ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้องผมก็ตัวแค่นี้

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8 เรื่องธรรมดาระหว่างพี่น้อง

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 63


    ตอนที่ 8

    เรื่องธรรมดาระหว่างพี่น้อง

     

                    สรุปแล้วความรักของเรนนี่คืออะไรผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เก็บไปคิดมากทำเอานอนตาค้างทั้งคืน หลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงและตื่นมาพบกับความปกติของน้องชายข้างบ้าน สีหน้า แววตา และการกระทำ เรนนี่ก็คือเรนนี่ ความรักที่น้องมีก็เหมือนความรักที่ผมมีไม่แตกต่าง

                    แวะส่งเรนนี่ที่ห้องก่อนออกไปทำงาน วันนี้ได้ทานข้าวเช้าฝีมือแม่ผม ชวนครอบครัวข้างบ้านมากินด้วยกัน มีแค่สกายเท่านั้นที่ยังไม่ตื่น นั่งหลังขดหลังแข็งทำงานดึกดื่นกว่าจะตื่นก็คงบ่ายนั่นแหละมัน

                    ระหว่างรอโครงการรีสอร์ตที่กำลังคืบหน้าไปทีละนิดผมก็ได้รับโปรเจกต์ใหม่มา เป็นคาเฟ่ธีมเทพปกรณัมกรีกที่นำเอาสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณเข้ามาผสมผสาน เป็นอีกงานที่ท้าทายและชวนให้สนุกกับมัน

                    นั่งทำงานเพลินจนลืมเวลา ไอเดียกระฉูดจมอยู่ในจินตนาการกระทั่งพี่นุ่นสะกิดชวนไปกินข้าว ผมขอทำส่วนที่ยังค้างให้เสร็จซึ่งเหลืออยู่ไม่มากนัก พี่นุ่นเลยอาสาซื้อข้าวให้ ถ้ากลับมาถึงแล้วจะไลน์บอก

                    ข้างตึกออฟฟิศของบริษัทมีร้านอาหาร ร้านน้ำ และของกินเต็มไปหมด ช่วงพักเที่ยงมวลมหาประชาชนชาวออฟฟิศต่างหลั่งไหลไปหาของกินแก้หิว บางครั้งชาวเราก็ยกโขยงไปทานด้วยกัน บ้างซื้อกลับมา บางวันผมก็ห่อข้าวมาเอง แต่ส่วนใหญ่มักรอลงไปตอนบ่ายโมงจะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร

                    เหยียดแขนลุกขึ้นยืดเส้นหลังจากงานที่ตั้งใจไว้เสร็จลุล่วง เห็นสภาพตัวเองแล้วก็นึกถึงน้องชายที่ห้อง ไม่รู้ป่านนี้พักกินข้าวกินปลาบ้างหรือยัง

                    กดโทรหาเพราะขี้เกียจรออีกฝ่ายตอบไลน์ ภาวนาให้เรนนี่รับสาย มือถือที่มักปิดเสียงไว้ยามทำงานคงไม่ถูกกองกระดาษสุมไว้จนหาไม่เจอ

                    (ว่า) กดรับแล้วก็ถามกลับมาสั้นๆ

                    “เที่ยงแล้วกินข้าวหรือยัง”

                    (ยัง เหลืออีกไม่เยอะเลยจะทำให้เสร็จก่อน)

                    “พักกินข้าวก่อน”

                    (งั้นเรนรอกินพร้อมลี่ตอนเย็นทีเดียวเลยแล้วกัน”

                    “ไม่ได้”

                    ข้าวเช้าสำคัญที่สุด แต่มื้ออื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน จะตื๊อจนกว่าเรนนี่จะยอมกิน ผลร้ายแรงที่สุดก็แค่โดนตัดสายแล้วปิดเครื่องหนีชั่วคราว

                    (อืม จะทำงานต่อแล้วนะ)

                    “อืมนี่คือยังไง”

                    (เดี๋ยวหาอะไรกินเอง)

                    “สั่งแกร็บเลย หรือให้พี่สั่งให้ จะกินอะไร”

                    (เดี๋ยวเรนสั่งเอง)

                    ผมหรี่ตาใส่คนปลายสายที่คงมองไม่เห็นอยู่แล้วว่าตอนนี้พี่ชายคนนี้หน้ายู่ขนาดไหนกับความดื้อด้านของน้อง พูดแบบนี้ทีไรไม่เคยทำตามทุกที

                    “โอเค งานจะเสร็จแล้วใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ออกไปวิ่งกัน”

                    เสียงถอนหายใจดังเฮือกผ่านมาตามสาย เรนนี่จอมขี้เกียจ นานๆ ทีผมจะชวนไปออกกำลังกาย พอชวนทีไรก็ชอบทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตกทุกที

                    “แค่นี้แหละพี่ไปกินข้าวแล้ว เรนก็อย่าลืมกิน”

                    (ครับ)

                    ผมชิงวางสายก่อน เปิดแอปฯ สีขาวสั่งสเต๊กร้านใกล้คอนโดให้ แล้วค่อยส่งไลน์ไปบอกเรนนี่อีกทีว่าให้รอรับ น้องชายผู้ดื้อด้านไม่ว่าอะไร ขอบคุณแล้วก็เงียบไปตั้งอกตั้งใจปั่นงานต่อ

                    ส่วนผม คุยกับเรนนี่เสร็จพี่นุ่นก็ทักมาเรียกให้ไปกินข้าวพอดี

     

                    จอดรถที่ข้างสวนสาธารณะไม่ไกลจากคอนโด อันเป็นสถานที่นัดหมายยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังจุดที่เรนนี่บอกว่ากำลังรออยู่ ชวนให้มาออกกำลังกายก็ยอมมา แต่ชุดที่ใส่มาดูไม่พร้อมออกกำลังกายเลยสักนิด

                    เสื้อยืด กางเกงบอล รองเท้าแตะ

                    มองเด็กตัวโตนั่งจิ้มมือถืออยู่ตรงม้านั่งแล้วก็ส่ายหน้า แต่ว่าน้องไม่ได้หรอกเพราะชุดที่ผมใส่ก็ใช่ว่าจะเหมาะกับการออกกำลังกายเท่าไร เสื้อยืดกางเกงยีนดูไม่คล่องแคล่ว แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นรองเท้าผ้าใบ

                    เรนนี่เลิกเล่นมือถือเมื่อผมเดินเข้าไปหา ข้างตัวมีกาแฟกระป๋องวางอยู่ คืนนี้จะไม่นอนหรือไง

                    “ไหนบอกงานเสร็จแล้ว”

                    “เสร็จงานเดียว ไม่ใช่ทั้งหมด แล้วไหนว่าจะมาออกกำลังกาย ชุดนี้อ่ะนะ”

                    “ก็ยังพอวิ่งได้อยู่”

                    ยืดแข้งยืดขาให้ดูว่าร่างกายยังเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉง ไม่เหมือนคนที่กำลังกระดกกาแฟกระป๋องอย่างห่อเหี่ยว แต่เมื่อลองคิดอีกที ฟ้าเริ่มมืดแล้วแบบนี้ตัดกิจกรรมพิเศษของวันนี้ออกไปคงไม่เป็นไร

                    “ไปกินข้าวกัน”

                    เพราะผมหิวจนไส้บิดแล้ว

                    เรนนี่ถึงกับหลุดขำ ลุกขึ้นอย่างขี้เกียจถือกระป๋องกาแฟไว้ในมือ ผมหมุนตัวหันหลังกลับ กำลังคิดว่าจะกินอะไรเป็นมื้อค่ำพลางก้าวไปข้างหน้า แล้วก็เดินชนอะไรบางอย่างที่ลอยอยู่กลางอากาศ มองเห็นไม่ชัดแต่แน่ใจมากว่ามันคือตัวอะไร ติดอยู่ตรง เอ่อ น่าจะแถวๆ คอเสื้อละมั้ง

                    ขาชะงักตัวแข็งเหมือนโดนสตัฟฟ์ ตกใจแต่ร้องไม่ออก ได้แต่เบะปากรอความช่วยเหลือจากน้องชายตัวโตที่เพิ่งเดินตามมา เรนนี่โน้มหน้ามามองอย่างสงสัย ตอนนี้เองก็เพิ่งคิดได้ว่าฉิบหายแล้วแน่ๆ ลืมชั่วขณะว่าน้องมันกลัวแมลง แค่ตัวต่อบินมาใกล้ยังเอาน้ำยาไก่สาดมาแล้วเลย

                    “เรน หนอน” บอกเสียงสั่น ภาพในจินตนาการเห็นเรนนี่กระโดดถอยหลังไปสิบเมตร แต่ภาพความจริงหนอนตัวนั้นกลับถูกหยิบออกจากคอเสื้อผมโยนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

                    เรนนี่...ไม่กลัวมันแล้วเหรอ

                    สบตากับน้องชายอย่างงุนงง ก่อนเรนนี่จะหลบสายตาเพื่อสำรวจว่ายังมีตัวอะไรติดอยู่บนตัวผมอีกหรือเปล่า

                    “ไม่กลัวแล้วเหรอ” ถามอย่างสงสัย

                    “ไม่ได้กลัวหนอน”

                    “ตอนเด็กพี่ยังเห็นเรนกลัวมันอยู่เลย”

                    “แค่ไม่ชอบ เรนกลัวแค่ตัวที่มันบินๆ แบบนั้นอันตราย”

                    “อันตรายตรงไหน”

                    “แล้วหนอนอันตรายเหรอลี่ถึงกลัว”

                    เด็กมันยอกย้อน รู้ว่าความกลัวไม่ได้เกิดเพราะสิ่งนั้นอันตรายเสมอไป เอาเป็นว่าผมจะไม่ตั้งแง่กับความกลัวของคนอื่นแล้วกัน ที่ผ่านมาเข้าใจความกลัวของเรนนี่มาโดยตลอด มาติดใจเพราะน้องไม่กลัวในสิ่งที่ผมมั่นใจว่าน้องกลัว ต้องอัปเดตฐานข้อมูลใหม่แล้ว

                    “โอเค ตัวบินๆ ใช่มั้ย จะจำไว้ครับ”

                    พอยอมอ่อนให้ก็ยิ้มกว้างออกมาเชียวนะ

                    

                    ชูซิสุดหรูขอบคุณสำหรับการทำงานที่ยาวนานและเหน็ดเหนื่อย เจ้าเด็กตัวโตคีบเข้าปากทั้งชิ้นแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ชาร์จพลังที่ใกล้หมดให้เต็มหลอด เดินพุงกางออกจากร้านและพร้อมทำงานต่อหลังกลับถึงห้อง ผมเองก็อยากแก้งานอีกนิดหน่อยก่อนเสนอลูกค้าพรุ่งนี้เหมือนกัน

                    เดิมทีเราจะแบ่งห้องทำงานกันใช้คนละฝั่ง แต่วันนี้ผมยกห้องให้เรนนี่แล้วแบกโน้ตบุ๊กมานั่งทำที่ห้องนั่งเล่นแทน ใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับงานจนเกือบเที่ยงคืนกว่าเสร็จสิ้น ปิดโน้ตบุ๊ก อาบน้ำเตรียมตัวนอน และไม่ลืมแวะไปดูน้องชายว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

                    “เรนใกล้เสร็จยัง พี่จะนอนแล้วนะ” ถามคนที่กำลังนั่งตัดกระดาษอย่างขะมักเขม้น

                    “ใกล้แล้ว”

                    “เที่ยงคืน”

                    เรนนี่เหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลบนโต๊ะ อีกสิบห้านาทีจะเที่ยงคืน

                    “อย่างเร็วตีหนึ่ง ลี่ไปนอนก่อนเลย”

                    ผมเดินเข้าไปในห้องยืนข้างโต๊ะมองงานที่เป็นรูปเป็นร่างใกล้ร้อยเปอร์เซ็นต์

                    “ให้ช่วยมั้ย”

                    “ไม่ต้องครับ ไปนอนเลย พรุ่งนี้เรนตรวจแบบเสร็จก็กลับไม่มีเรียนต่อ” เงยหน้าขึ้นมาสบตากันแค่แวบเดียว

                    ใจอยากอ้อนแต่ก็กลัวถูกรำคาญ ปิดปากเงียบไม่ทำตัวโวยวายที่คำว่าพี่ถูกตัดทิ้งไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ ผมพยายามทำตัวให้ชินและไม่เก็บมาไม่ใส่ใจ แต่ในเมื่อยอมให้เรียกชื่อเฉยๆ แล้ว งั้นขอรางวัลก่อนนอนสักนิดหน่อยได้มั้ย งานเยอะทีไรเหมือนจะห่างเหินกันทุกที

                    “เรนเบื่อพี่หรือเปล่า”

                    “ถามอะไร” มือหยุดทำงานเงยหน้าขึ้นมาสบตากันตรงๆ มุ่นคิ้วทำหน้าเหมือนจะต่อยผมยังไงยังงั้น

                    “เพราะพี่วุ่นวายกับเรนไง ตอนนี้ก็เริ่มจะวุ่นวายอีกแล้ว งั้นไปนอนดีกว่า”

                    ได้จังหวะก็ตั้งใจจะเดินหนี แต่โดนเรนนี่คว้าตัวไว้เสียก่อน รู้สึกเหมือนมีคนเอาห่วงมาคล้องแล้วดึงจนต้องก้าวถอยหลัง จบด้วยการนั่งแหมะบนตักน้องชายพอดี

                    “ไม่ได้วุ่นวาย จะเอาอะไร” ให้ลองนึกภาพพระเอกการ์ตูนแสนเย็นชา น้ำเสียงของเรนนี่สื่อออกมาประมาณนั้น

                    เข้าใจแล้วว่ารักผมมาก

                    “จุ๊บๆ ก่อนนอนก่อนเร็ว”

                    “งอแงเรื่องแค่นี้”

                    “เรนว่ามันเป็นเรื่องแค่นี้เหรอ ตั้งแต่วันเกิดพี่ได้จุ๊บแค่ไม่กี่ครั้งเองนะ” ไหนจะหอมแก้มง้อที่ผมเองก็ลืมไปเลย วันนี้เห็นน้องทำงานหนักเลยอยากมาให้กำลังใจและขอกำลังใจให้ตัวเองด้วย

                    “ก็ไม่เห็นขอ”

                    “งั้นจุ๊บก่อนเร็วๆ จะไปนอนแล้ว เรนจะได้ทำงานต่อ”

                    ข้อเสียของการนั่งหันหลังให้คือผมไม่รู้ว่าตอนนี้เรนนี่กำลังทำสีหน้ายังไง จะยิ้ม จะบึ้ง หรือทำหน้าหมั่นไส้ผมอยู่หรือเปล่า รับรู้ได้เพียงวงแขนที่ประคองเอวกอดไว้หลวมๆ เสียงที่ดังอยู่ใกล้แต่ไม่ถึงขนาดสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

                    “หันหน้ามาดิ”

                    “มันลำบากไปมั้ยเนี่ยแบบนี้”

                    พอบอกออกไปวงแขนที่ประคองกันไว้ก็ปล่อยออก ผมลุกขึ้นยืนหันหน้ากลับไปยิ้มให้น้องชาย โน้มหน้าลงไปหาจรดปลายจมูกบนแก้มนุ่มนิ่มที่อาจไม่หอมฟุ้งแต่ช่วยให้ชื่นใจได้เสมอ

                    ขยับหน้าออกห่างเมื่อได้หอมแก้มน้องชายสมใจ ก่อนจะถูกอ้อมแขนของเด็กตัวโตรวบให้ลงบนนั่งตักอีกครั้ง ต่างกันแค่ครั้งนี้ต้องประจันหน้าและเห็นทุกการแสดงออกของกันและกัน

                    กับรอยยิ้มนั้นที่ทำให้ผมนึกหวั่นใจแปลกๆ

                    “ขี้โกง”

                    เลิกคิ้วถามกลับ ผมขี้โกงยังไง

                    “เรนยังไม่ได้หอมลี่เลย”

                    ครั้งที่สองกับการถูกน้องชายขอหอมแก้มแบบตรงๆ

                    “ก็หอมดิ หอมเลยเร็ว จะได้รีบทำงานต่อ จะได้นอนสักที”

                    ผมทำแก้มป่องท้าให้รีบหอม แขนที่กอดเอวผมไว้กระชับแน่นขึ้นขณะที่เรนนี่เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ มุมมองที่เห็นแปลกไปคล้ายกับเป้าหมายของปลายจมูกโด่งนั้นไม่ใช่แก้ม เป็นมุมมองที่ชวนให้ต้องหลับตาลง

                    สัมผัสนุ่มๆ แนบลงข้างมุมปากซ้าย นิ่งค้างราวกับอยากลองใจ คำถามที่ว่า ‘ความรักของเรนนี่คืออะไร’ ผุดขึ้นมาให้ได้ขบคิดอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดีเมื่อความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นโครมครามนั้นค่อยๆ หายไป

                    ผมยังนิ่งค้างมองลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นหวังหาคำตอบที่คาใจให้เจอ เพราะไม่กล้าเอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา กลัวว่าคำตอบไม่เป็นอย่างที่คิด หรืออาจจะเกินเลยจากที่คิดไปไกล

                    “เรนจะทำงานต่อแล้ว”

                    รีบเด้งตัวลุกขึ้นยืนและก้าวถอยหลัง เรนนี่หมุนเก้าอี้กลับไปเริ่มตั้งอกตั้งใจกับการทำงานอีกครั้ง เหลือเพียงผมที่ยืนเคว้งคว้างกับความรู้สึกที่ยังหาคำตอบไม่เจอ

                    ตัดสินใจก้าวออกจากห้อง สะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ที่พยายามไขข้อข้องใจว่าความรักของเรนนี่นั้นคืออะไร บอกกับตัวเองว่าการกระทำเล็กน้อยนี้ไม่สามารถนำมาเป็นคำตอบได้ หอมแก้มเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างเราพี่น้อง เรื่องธรรมดาที่ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันดี

                    สรุปกับตัวเองได้ใจที่สั่นไหวก็เริ่มสงบ แต่เมื่อเดินเข้าห้องนอนอีกใจกลับแย้งสวนขึ้นมาว่าการกระทำเมื่อครู่นี้ไม่ใช่การ ‘หอมแก้ม’ สักหน่อย ริมฝีปากที่แนบลงมาข้างมุมปากผม ขยับอีกแค่นิดเดียวจะกลายเป็นการจูบโดยทันที

                    แล้วปกติพี่น้องเขาจูบกันด้วยอย่างนั้นเหรอ

                    ไม่มีทางแน่นอน

                    ผมตบตีกับความคิดตัวเองอยู่ในห้องนอนเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ และปล่อยวางทุกอย่างลงอีกครั้ง ความคลุมเครือทำให้มนุษย์คิดมาก แต่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดก็ไม่กล้าพออีก ทำไมเรื่องน่าอึดอัดต้องเกิดขึ้นกับผมด้วยก็ไม่รู้ คิดแล้วอยากโยนความผิดทุกอย่างให้เพื่อนสนิท เป็นเพราะสกายมันยกประเด็นความรักของเรนนี่ขึ้นมาพูดให้ผมคิดมากอยู่แบบนี้

                    กระโดดขึ้นเตียงห่มผ้าพยายามข่มตานอน แต่ใจที่ไม่สงบก็ยากจะหลับลงได้ ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียง ก้าวผ่านความเงียบออกจากห้องนอนเดินไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ข้างกัน หยุดยืนอยู่ตรงหน้าบานประตูที่ปิดไม่สนิท

                    อยู่ๆ ก็เกิดอยากรู้ว่าเรนนี่จะรู้สึกกระวนกระวายเหมือนกันหรือเปล่า

                    ไม่ได้เรียกให้คนอยู่ที่ในห้องหันมาเพราะตั้งใจมาสังเกตการณ์ ผมดันประตูเบาๆ ให้มันแง้มออกเพิ่มอีกนิด มองผ่านช่องที่เปิดอ้าไม่กว้างนักเข้าไปด้านใน แผ่นหลังของคนที่ยังนั่งทำงานอยู่ปรากฏให้เห็น เพียงแต่ท่าทางที่กำลังเคลื่อนไหวนั้นดูแปลกไป

                    ‘อาจจะกำลังเหล่าดินสอ’ แวบแรกผมคิดแบบนั้น แต่เสียงครางต่ำในลำคอที่ผมเองก็คุ้นเคยกับมันดีกำลังบอกว่าสิ่งที่คิดอาจไม่เหมือนกับสิ่งที่เห็น

    เมื่อได้พิจารณาอีกครั้ง คำตอบนั้นก็ชัดเจน

                    เรนนี่กำลัง...ช่วยตัวเอง

     

    tbc

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×