ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้องผมก็ตัวแค่นี้

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 ความรักของเรนนี่คืออะไร

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 63


    ตอนที่ 7

    ความรักของเรนนี่คืออะไร

     

                    เจ้าซันมีเพื่อนแล้ว

                    กระบองเพชรสีเขียวต้นน้อยวางคู่กับน้องต้นสีขาวนุ่มฟู ยืนเคียงข้างกันรับแสงตะวันยามเช้า บรรยากาศดีๆ ที่น้อยครั้งผมจะได้ตื่นขึ้นมาสัมผัส

                    แต่เพราะวันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ

                    เปิดกล้องมือถือถ่ายรูปลงอินสตาแกรม อยากอวดให้สกายเห็นว่าลูกมันที่ผมรับมาเลี้ยงมีเพื่อนใหม่ ตัวโตขนฟูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส แม้กระถางที่น้องอยู่อาศัยไม่สวยงามอลังการเท่าก็ตาม ถามว่ายอมได้มั้ยมันก็พอยอมได้ แต่ไว้ว่างๆ เมื่อไรผมจะเพ้นท์กระถางของเมอร์ควรี่ให้อลังการไม่แพ้ซันเลย

                    กดโพสต์รูปก่อนลุกขึ้นยืดเส้นบิดขี้เกียจ วันนี้ตั้งใจตื่นเช้าเพราะจะทำต้มจืดตำลึงเลือดหมูที่เรนนี่อยากกิน เดินกลับเข้าห้องเปิดประตูระเบียงไว้ให้ลมพัดผ่านเข้ามา ก้าวเข้าครัวคว้าผ้ากันเปื้อนมาใส่ เปิดตู้เย็นนำวัตถุดิบออกมาเตรียม

                    หมูที่หมักไว้คราวก่อนถูกนำมาทอดในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยความเร่งรีบ ผมเริ่มทำทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก หมักหมูทิ้งไว้ เด็ดใบตำลึง ตั้งหม้อรอให้น้ำเดือดจากนั้นก็ใส่กระดูกหมู รวมเวลาเอ้อระเหยอีกนิดหน่อยหมูที่หมักไว้ก็ได้ที่ ปั้นเป็นก้อนแล้วหย่อนลงไปทีละลูกตามด้วยเลือดหมู ที่เหลือรอให้สุกและปรุงรสก็เป็นอันเสร็จสิ้น

                    ใส่ซีอิ๊วแล้วใช้ทัพพีคนให้เข้ากัน ตามด้วยใบตำลึงตัวเอกของเมนู ตักขึ้นมาชิมรสชาติ อร่อยกลมกล่อมพร้อมเสิร์ฟ

                    วางช้อนลงในถ้วยพร้อมกับสัมผัสหนักๆ บนไหล่ขวาที่ทำเอาผมสะดุ้ง หันขวับไปมองแก้มก็จิ้มกับปลายจมูกของเด็กตัวโตพอดี เรนนี่ไม่ถอยหนี ยืนหลับตานิ่งเหมือนหลับคาไหล่ผมไปแล้ว

                    “เรน”

                    “หิว”

                    ที่แท้กลิ่นหอมๆ ก็ปลุกน้องน้อยของผมให้ลุกจากที่นอนนี่เอง

                    คำสั้นๆ ที่เปล่งออกมาด้วยเสียงงัวเงียทำผมหลุดยิ้ม ปิดไฟ ใส่ต้นหอมผักชีเป็นอย่างสุดท้าย ขยับร่างกายโดยมีลูกลิงตัวยักษ์เกาะหลังอยู่

                    “ไปอาบน้ำไป จะได้มากินข้าว”

                    ผมย่อตัวลงหมุนตัวหันไปหา เรนนี่ค่อยๆ ลืมตาขณะที่ยังยืนค้างอยู่ท่าเดิม

                    “กินเลยไม่ได้เหรอ”

                    “ไปอาบน้ำก่อน”

                    เด็กเล็กทำหน้างอแง จ้องตาเหมือนจะไม่ยอมอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยอมก้าวถอย แต่ดันคว้าข้อมือผมไปด้วย

                    “เดี๋ยวๆๆๆ”

                    “ลี่ก็ต้องรีบอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวสาย”

                    “สายบ้าอะไร เพิ่งเจ็ดโมง”

                    “งั้นก็แสดงว่าไม่ต้องรีบไง ของีบอีกแป๊บ” พูดจบก็ปล่อยข้อมือเปลี่ยนมาใช้อ้อมแขนกักขังผมไว้ เอาคางเกยไหล่แล้วก็นิ่งไปเลย

                    เดี๋ยวเว้ยเรนนี่ จะมาของีบแบบนี้ไม่ได้

                    “ไปอาบน้ำ” ผมจิ้มที่เอวรัวๆ แต่ไม่ได้ผลเพราะเรนนี่ไม่ใช่คนบ้าจี้

                    ไม่มีคำตอบ ไม่มีการขยับเคลื่อนไหว มีแต่ความเป็นไปได้ที่เรนนี่อาจจะยืนหลับไปแล้วจริงๆ

                    ผมยืนนิ่งปล่อยให้น้องกอดอยู่อย่างนั้น ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการถูกใครสักคนโอบกอดไว้มันรู้สึกดีมากแค่ไหน แม้ไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่ได้อยู่ในสภาพอ่อนล้า แต่การได้กอดใครสักคนก็เหมือนการชาร์จพลัง สำหรับเช้านี้คงเป็นการเติมพลังของเรนนี่เพื่อต่อสู้กับวันที่ไม่รู้ว่าจะหนักหน่วงและโหดร้ายกับตัวเองแค่ไหน

                    ยกแขนขึ้นโอบกอดตอบ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกสักพัก เมื่อก้อนเก็บพลังงานถูกชาร์จจนเต็มอ้อมแขนนั้นก็คลายออก ขาก้าวถอยหลัง ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูสดใสขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

                    ก็เพราะนอนดึกนี่นะ กอดให้อิ่มยังไงก็ไม่ช่วยให้หายง่วงได้อยู่ดี

                    “ไหวมั้ย” ยื่นมือไปช่วยจัดทรงผมยุ่งเหยิงของคนเพิ่งตื่นนอน ทำไมวันนี้เรนนี่ของผมถึงได้ดูงอแงจัง

                    “อือ”

                    “งั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้วครับ”

                    ยอมหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอนไปแม้จะยังดูเหมือนคนที่พร้อมเอนตัวลงกับพื้นได้ตลอดเวลา

                    ได้หลับตอนเรียนอีกแน่ๆ

     

                    วันนี้เป็นวันเกิดคุณแม่ของคู่พี่น้องท้องฟ้ากับสายรุ้ง ผมเลยถือโอกาสออกจากออฟฟิศก่อนเวลา แวะซื้อของขวัญก่อนไปรับเรนนี่กลับบ้านพร้อมกัน คุณแม่ตั้งใจทำเค้กปอนด์ใหญ่ไว้ให้ยังไงก็ต้องกลับไปกิน

                    วันเกิดตัวเอง ทำเค้กเอง เลี้ยงเอง นักเลงพอ

                    หลังเลือกของขวัญให้คุณแม่ก็ตรงไปรับเรนนี่ที่มหา’ลัย ทุกครั้งน้องจะมายืนรอผมหน้าตึก วนเข้ามาแล้วขับออกไปไม่ต้องเสียเวลารอ แต่วันนี้มีงานกลุ่มที่ยังคั่งค้าง เห็นบอกว่าใกล้เสร็จแล้วตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแต่ก็ขอต่อเวลามาเรื่อยๆ

                    จอดรถที่ตึกคณะเดินตรงไปหาเรนนี่ที่ใต้ตึกภาควิชา นักศึกษาหลายคนกำลังจับกลุ่มกันทำงาน เหมือนเห็นภาพวันวานสมัยที่ผมเคยเรียน กินนอนมันที่นี่เหมือนเป็นบ้านอีกหลัง

                    ตั้งใจเข้าไปทักทายน้องๆ กลุ่มเพื่อนของเรนนี่ที่รู้จักผมดี ทว่าคนที่เดินสวนมาอีกฝั่งดึงความสนใจของผมไปเสียหมด น้องชายตัวสูงที่ดูเรียบร้อยขี้อาย ตะโกนเรียกชื่อทักทายทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้ง

                    “อาร์ต! ทางนี้”

                    เจ้าของชื่อยิ้มกว้างวิ่งด๊อกแด๊กเข้ามาหา ในมือเต็มไปด้วยของกิน

                    “พี่ลี่มารับพี่เรนเหรอ”

                    “ใช่ แต่เหมือนงานจะยังไม่เสร็จเลย”

                    “เดือดมากกกกก” ลากเสียงยาวเพื่อย้ำสถานการณ์ เห็นสภาพแต่ละคนแล้วเข้าใจได้ดี

                    “ตุนเสบียงเหรอ”

                    “ครับ คืนนี้ต้องเสร็จ”

                    “สู้ๆ”

                    “แล้วแว่นใส่เป็นไงบ้างครับ” น้องชี้ที่ตาตัวเอง ปากยิ้ม มองตาแป๋วอย่างรอคอยคำตอบ

                    “ดีมากเลย ไม่ปวดตาด้วย”

                    “ถ้ามีปัญหาอะไรแวะไปที่ร้านได้ตลอดเลยนะครับ”

                    กำลังส่งยิ้มหวานคุยกันอยู่ดีๆ ก็รับรู้ได้ถึงเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่โตที่เข้ามาทาบทับ ฟังดูอาจจะเว่อร์ไปหน่อยแต่ไม่ได้เกินจริงนัก ยืนคุยกับอาร์ตว่าผมดูตัวเล็กแล้ว พอเรนนี่เข้ามาอีกคนผมเหมือนแอ่งระหว่างภูเขาสองลูกไปเลย

                    “มาถึงแล้วทำไมไม่บอก”

                    ตัวเองนั่นแหละมาถึงแล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เลย

                    “กำลังจะเดินเข้าไปหา แต่เจออาร์ตก็เลยแวะคุยกัน”

                    เรนนี่หันมอง ไม่ทักทาย ไม่หือไม่อือใดๆ เดินวนไปวนมากันอยู่แถวนี้คงเจอหน้าบ่อยจนชิน ส่วนอาร์ตก็ยิ้มแหะๆ ตามสไตล์คนขี้กลัว

                    “รอแป๊บนึงนะกำลังเก็บของ”

                    “ไม่ต้องรีบๆ”

                    “ไม่ได้เดี๋ยวแม่รอ” บอกแล้วเรนนี่ก็เดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนที่โบกไม้โบกมือทักทายผม

                    ยิ้มให้กลุ่มเพื่อนน้องชายก่อนหันไปมองคู่สนทนาที่ปิดปากเงียบมาได้สักพักใหญ่ อาร์ตมองไปยังทิศทางเดียวกับผมเมื่อครู่ ริมฝีปากเหยียดยิ้มบางๆ สายตาคู่นั้นสื่อความหมายบางอย่าง เป็นประกายวิบวับเคลือบไปด้วยความสุขและอ่อนโยน

                    คล้ายกับคนกำลังตกหลุมรัก

                    ผมพูดไม่ได้เต็มปากหรอกว่าสายตาคู่นั้นที่มองตามเรนนี่ไปแท้จริงแล้วสื่อความหมายใดกันแน่ อาจจะชื่นชมในฐานะรุ่นพี่ ชื่นชอบในฐานะคนหล่อ เลยอยากพิสูจน์ว่าความคิดของผมนั้นถูกต้องมากแค่ไหน

                    “เรนน่ารักเนอะ”

                    “คะ ครับ”

                    ตอบอึกอัก จากมั่นใจแค่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ผมขอเพิ่มเป็นเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์

                    แอบชอบอยู่...จริงๆ เหรอ

                    “คนต้องชอบเยอะแน่ๆ เลยว่ามั้ย”

                    “ครับ พวกรุ่นพี่คนก็พูดถึงพี่เรนเยอะอยู่”

                    “แต่ถ้าใครจะมาเป็นแฟนเรนนี่ต้องผ่านด่านพี่ก่อน”

                    อาร์ตมีอาการอึกอักอีกแล้ว เป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่เก่งเอาเสียเลย

                    “ล้อเล่นน่า เรนจะคบใครพี่ไม่เกี่ยวสักหน่อย”

                    แต่พอคิดว่าสักวันเรนนี่ต้องมีแฟนจริงๆ ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะผูกพันและหวงแหน เลยรู้สึกเหมือนกับความรักถูกแย่งไป

                    เรนนี่ที่เป็นเหมือนความรักของผม

                    ยังไม่ทันมีอะไรเกิดขึ้นก็คิดไกลไปถึงดาวพลูโตซะแล้ว

                    พี่ชายคนนี้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

                    “ผมไปก่อนนะครับ”

                    พยักหน้าถี่ๆ ให้อาร์ตก็เดินจากไปพร้อมกับขนมในมือ เรนนี่ที่เพิ่งเก็บของเสร็จก็เดินมาหาพอดี

                    สายตาของคนมาใหม่เหมือนกำลังมองหาแต่ไม่เอ่ยถาม ผมช่วยถือของระหว่างเดินไปขึ้นรถ ลองเกริ่นๆ ถามถึงรุ่นน้องอีกภาคเรนนี่ก็ถามคำตอบคำ

                    “เจออาร์ตบ่อยมั้ย”

                    “ช่วงนี้เจอบ่อย”

                    “ทำไมดูยังไม่สนิทกันเลยอ่ะ”

                    “ไม่ค่อยได้คุย”

                    “แต่ดูน้องอยากคุยด้วยนะ”

                    “ไม่เห็นมีเรื่องต้องคุย”

                    “ทำไมเย็นชาจัง”

                    “ก็ปกติ”

                    คำว่าปกติที่เรนนี่แสดงออกกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน กับพ่อแม่เป็นอีกอย่าง กับพี่สาวเป็นอีกอย่าง กับผมก็แสดงออกอีกแบบ แต่พื้นฐานนิสัยที่น้องแสดงออกกับครอบครั้วและคนสนิทบอกชัดเจนว่าเด็กคนนี้น่ารักขนาดไหน มันต่างกับความเย็นชาที่แผ่ออกมาตอนอยู่มหา’ลัยอย่างเห็นได้ชัด

                    สงสัยคีพลุคเป็นรุ่นพี่สุดหล่อนิ่งๆ คูลๆ

                    “เรนไม่ชอบอาร์ตเปล่า”

                    “ทำไม เรนดูเหมือนไม่ชอบเขาเหรอ”

                    เราเดินมาถึงรถพอดี เปิดประตูยัดของใส่เบาะหลังก่อนจะยัดตัวเองเข้าเบาะหน้า สตาร์ตเครื่องยนต์เปิดแอร์ก่อนตอบคำถาม

                    “เปล่า เรนอาจจะดูดุมั้งน้องมันเลยกลัว”

                    “ไม่มีเรื่องจำเป็นต้องคุยกันไง ก่อนหน้านี้ตอนน้องมันมาถามเรื่องลี่ เรนก็คุยอยู่”

                    เอาเป็นว่าผมจะมองข้ามคำว่าพี่ที่หายไปก่อนในสถานการณ์นี้ ขับรถออกจากตัวอาคาร แตะคันเร่งไปช้าๆ กระทั่งเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่

                    ประเมินน้ำเสียงและสีหน้ายามพูดถึงแล้ว หากอาร์ตชอบน้องชายผมจริงๆ เรียกได้ว่างานหนัก ตั้งแต่เข้ามหา’ลัยผมยังไม่เคยเห็นเรนนี่มีแฟนเลยสักคน ไม่เคยพูดถึงคนที่ชอบสักครั้งไม่ว่าจะรุ่นพี่รุ่นน้อง หรือคนที่บังเอิญเดินสวนกันตามที่ต่างๆ อย่างกับกล่องความรู้สึกแห่งรักโดนล็อกกุญแจปิดตายไปแล้ว

                    เพราะฉะนั้นเลยอยากลองถาม

                    “พี่ถามเรื่องแฟนได้มั้ย”

                    “ไม่มี” แล้วก็ตอบเร็วอย่างกับรู้คำถามล่วงหน้า

                    “ไม่มีคนที่ชอบเลยเหรอ เป็นวัยรุ่นมันต้องมีเรื่องรักกุ๊กกิ๊กบ้างดิ”

                    “ตอนลี่เรียนมีเรื่องแบบนั้นเหรอ”

                    “ไม่มี” แค่ต้องทำงานส่งให้ทันก็หมดเวลาหาแฟนแล้ว วันๆ อยู่แต่กับเพื่อน ไม่อยู่คณะก็เจอได้ที่ร้านเหล้า

                    “ก็เหมือนกันแหละ ใครจะไปทนคบคนไม่มีเวลาได้ เพื่อนเรนมันก็เพิ่งเลิกกับเพื่อนเมื่อเดือนก่อน ตอนแฟนขอเลิกมันยังไม่มีเวลาไปตามง้อเลยด้วยซ้ำ”

                    ทำไมเราดูเป็นคู่พี่น้องที่น่าสงสารชะมัด

                    “งั้นต้องคบคนที่อยู่สายเดียวกัน”

                    “คงต้องอย่างนั้น” เรนนี่หันมาสบตาเพื่อบอกว่าเห็นด้วย

                    ทุกความสัมพันธ์จะไปรอดหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจและการปรับตัว ความพยายามต้องไม่ตกอยู่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต่อให้ต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่หากความสัมพันธ์นั้นตั้งอยู่บนความเข้าใจ ผมเชื่อว่ามันจะยืนยาวมากกว่าคนที่เอาแต่ตั้งแง่สาดความอคติใส่กันไม่จบสิ้น

                    “ถ้าเรนมีแฟนอย่าลืมพามาแนะนำให้พี่รู้จักนะ”

                    เรนนี่หันมาสบตาแต่ไม่ยอมรับปากคำขอจากผม

                    “เงียบแบบนี้หมายความว่าไง”

                    “ไม่มีอะไร”

                    “พามาแนะนำด้วย”

                    “ไม่จำเป็นหรอก”

                    “ได้ไงอ่ะ” ผมอยากโวยวายให้มากกว่านี้ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่

                    “ลี่อาจจะรู้จักเขาดีอยู่แล้วไง”

                    “เดี๋ยวนะ! แสดงว่ามีคนที่ชอบแล้วเหรอ”

                    “จะเสียงดังทำไมเล่า”

                    “ก็เรนชอบใครทำไมพี่ไม่รู้”

                    เรนนี่เงียบใส่ผมอีกแล้ว โอเค ผมจะไม่เซ้าซี้แล้วก็ได้ เรื่องของความรู้สึกเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ ไม่จำเป็นต้องเอาทุกเรื่องในชีวิตมาบอกให้พี่ชายคนนี้รู้ ผมเข้าใจ พยายามจะเข้าใจให้มากขึ้น เพราะงั้นจะไม่เซ้าซี้ถามอีกแม้จะน้อยใจอยู่ลึกๆ ก็เถอะ 

                    น้อยใจแค่นิดเดียว

                    “ไม่ถามแล้วก็ได้” พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่ด้วยรูปประโยคสุดท้ายมันก็สื่อว่าผมกำลังน้อยใจอยู่ดี

                    ลองเหล่มองก็เห็นเรนนี่แอบยิ้ม ชวนให้ยิ่งอยากรู้ว่าผู้โชคดีคนนั้นเป็นใครกัน

                    คนที่จะได้เป็นเจ้าของรอยยิ้มน่ารักนี้

                    

                    บรรยากาศวันเกิดของบ้านหลังนี้อบอุ่นทุกครั้งที่ได้เข้าร่วม เค้กก้อนใหญ่ที่แม่เป็นคนทำเอง ร้องเพลง อวยพร เป่าเทียน และมอบของขวัญ ผมซื้อหม้อทอดไร้น้ำมันให้สำหรับวันครบรอบอายุห้าสิบสองปีของคุณแม่อีกคนของผม จะได้เอาไว้ทำของอร่อยๆ ให้ลูกๆ กินอีกเยอะๆ

                    เค้กก้อนใหญ่วางอยู่กลางโต๊ะอาหาร สมาชิกสองบ้านพร้อมหน้าพร้อมตาร่วมทานมื้อค่ำฝีมือคุณแม่ทั้งสองด้วยกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิต รับรู้ความเป็นไปของสมาชิกในครอบครัว

                    เปิดด้วยคุณแม่เจ้าของวันเกิดที่ห่วงลูกชายคนเล็กเป็นที่หนึ่ง

                    “เรนมาหาแม่แบบนี้ไม่กระทบงานเหรอลูก”

                    “พรุ่งนี้เรนหยุดอ่ะแม่ ตอนเช้าค่อยกลับพร้อมพี่ลี่ไปปั่นงานต่อ”

                    “อย่านอนเช้าบ่อยๆ เหมือนสกายนะ”

                    “เรนมันมีไอ้ลี่ดูแลอยู่ เลี้ยงดีอย่างกับลูกแม่ไม่ต้องห่วง” สกายช่วยยกยอความดีความงามของผม

                    “ถ้าดื้อมากบอกพ่อเลยนะ”

                    “ไม่มีเวลาดื้อหรอกพ่อ” เรนนี่ตอบเองไม่รอให้พี่ชายสุดที่รักคนนี้ช่วยอวยความน่ารักให้

                    “อยู่ด้วยกันก็ดูแลกันดีๆ ต้องรักกันไว้รู้มั้ย” แม่น้องบอกพร้อมทำหน้าดุใส่ที่ผมมองยังไงก็ยังดูใจดี

                    “มันรักกันอยู่แล้วแม่ ตีกันสิแปลก”

                    “มีแต่มึงอ่ะตีน้อง”

                    สกายมันช่วยอวย ผมก็ช่วยเปิดเผยความช่วยร้ายของมัน ในโลกนี้ใครเล่าจะโอ๋น้องได้เท่ามดลี่คนนี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ถึงจะโอ๋ก็เป็นการโอ๋ที่มีขอบเขต เรื่องไหนน้องทำผิดผมก็ดุเหมือนกัน

                    ผมกับสกายเริ่มเถียงกันเรื่องเรนนี่ เจ้าตัวกลอกตาเบือนหน้าหนี ฝั่งแม่ๆ นั่งขำคึกคัก มีแต่พ่อที่พยายามปรามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ขยันเถียงกันตั้งแต่เด็กยันโต เป็นเจี๊ยบกับน้อยหน่าเวอร์ชันนองเลือด

                    งานฉลองเล็กๆ สิ้นสุด ผมกับสกายรับหน้าที่ล้างจาน ปล่อยให้เรนนี่นั่งคุยกับเหล่าแม่ๆ ให้หายคิดถึง ลูกชายตัวโตนั่งตรงกลางประกบข้างด้วยคุณแม่สองคน กับคุณพ่อที่นั่งโซฟาตัวเล็กข้างๆ กัน

                    ผมไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไร แต่นี่ถือเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ซุบซิบเรื่องน้องชายเพื่อนสนิท

                    “มึง เรนนี่มีแฟน”

                    สกายหันขวับมาหา มันขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนผมพูดปดมดเท็จแบบที่หาเค้าความจริงไม่ได้เลยสักนิด

                    “มึงไปเอามาจากไหน”

                    “น้องบอกกู”

                    มันยังคงทำหน้าไม่เชื่อ

                    “ก็วันนี้กูถามเรนว่ามีแฟนมีคนที่ชอบมั้ย น้องมันก็บอกไม่มีแหละ แต่กลับบอกว่ากูอาจจะรู้จักคนที่น้องชอบประมาณนี้ กูว่าใช่แน่ๆ เรนมีแฟน” ผมพยายามกระซิบแบบใส่อารมณ์ให้เบาที่สุด

                    “อ๋อ”

                    “อ๋ออะไร”

                    สกายทำหน้าเหมือนเผลอคายความลับออกมา มันนิ่งไปพักหนึ่ง อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้มันกับเรนนี่รู้เห็นกันสองคนโดยไม่บอกผม

                    “อ๋อว่าจริงๆ เรนไม่มีแฟนไง แค่อาจจะมีคนที่ชอบ”

                    “เหรอวะ”

                    “มันต้องมีบ้างแหละคนที่แอบชอบไรงี้ มึงไม่มีบ้างเหรอ” แล้วมันก็โยนประเด็นใส่ผมเฉยเลย

                    “ไม่มี” ส่ายหน้าอย่างเศร้าๆ

                    มัธยมอาจจะมีบ้าง พอเข้ามหา’ลัยใหม่ๆ ก็ยังพอมีอยู่ แต่พองานท่วมหัวก็เลิกคิดถึงเรื่องความรักไปชั่วขณะ คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้งานเสร็จทันเวลา ตอนไปเรียนต่อก็พอมีคนคุยบ้าง พอเข้าสู่ช่วงทำงานก็แห้งเหี่ยวไปเลย แต่จะว่าเหี่ยวเฉาขนาดนั้นมันก็ไม่ถูก ทุกวันนี้ที่อยู่กับเรนนี่ชีวิตผมกระชุ่มกระชวยสุดๆ

                    “เอาจริงชีวิตมันตอนนี้ถ้าไม่อยู่กับเพื่อนก็ติดกับมึงตลอดเวลาเลยนะ ถ้ามีแฟนจริงยังไงมึงก็ต้องรู้ ที่น้องมันพูดแบบนั้นอาจจะอยากหยอกพี่ชายโง่ๆ เล่นก็ได้”

                    “โง่เลยนะ”

                    “เออ โง่”

                    ผมกำที่ล้างจานซึ่งเต็มไปด้วยฟอง อยากสะบัดใส่มันให้หายแค้นที่ถูกด่าแบบดื้อๆ แต่ไม่อยากทำบ้านเลอะแล้วต้องตามเก็บกวาด แถมยังไม่ใช่บ้านตัวเองอีก

                    “กูจะบอกอะไรให้นะ”

                    สกายล้างจานใบสุดท้ายก่อนวางบนชั้น มันหันมาหาผม วางแขนข้างหนึ่งเท้าเคาน์เตอร์ไว้เหมือนอยากหาเรื่องกันมากกว่า

                    “เรนมันรักมึงที่สุดแล้ว”

                    “ก็แน่อยู่แล้วป้ะ”

                    โธ่ นึกว่าจะบอกอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ซะอีก

                    “ก็แล้วแต่มึงจะคิดแล้วกัน”

                    “แล้วกูคิดผิดเหรอ”

                    “ก็ไม่ผิดหรอก ไปได้แล้ว”

                    สกายโคลงหัวส่งสัญญาณบอกให้เดินเข้าไปหาทุกคนพร้อมกัน ประเด็นเรื่องความรักของเราจบลงเพียงเท่านี้ ความรักและความหวังดีที่เราสามพี่น้องมอบให้กันที่ต่างฝ่ายต่างรับรู้และเข้าใจดี แต่ทำไมสกายมันถึงทำหน้าเหมือนผมไม่เข้าใจอะไรเลย

                    มีคนตีความหมายของความรักในรูปแบบที่แตกต่างอย่างนั้นเหรอ

                    หนึ่งในเราสามคน หนึ่งคนที่เป็นประเด็นของบทสนทนาเมื่อครู่นี้

                    มองไปยังผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่กลางโซฟาและสบตาเข้าพอดี ทุกครั้งเรามักจะยิ้มให้กัน แต่ครั้งนี้กลับไปเป็นอย่างนั้น สบตา นิ่งเฉย ก่อนหันหนี ความสงสัยกำลังแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน หากไม่ใช่ความรักในรูปแบบเดียวกัน

                    แล้วความรักของเรนนี่คืออะไร

     

    tbc

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×