คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
อาการของโฟทิสปลอดภัยหลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อกลางดึก ครอบครัวเดินทางจากต่างจังหวัดมาเฝ้าไข้เมื่อรู้ข่าว โพลาริสวิ่งวุ่นเรื่องคดี เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและติดต่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนเคียร์ที่เป็นคนพามาส่งโรงพยาบาลนั้นหายตัวไปตั้งแต่เช้ามืด
สีหน้าเคร่งเครียดของคนเป็นพ่อแม่ฉายชัดยามมองลูกชายที่กำลังหลับใหล ใบหน้าของโฟทิสเต็มไปด้วยรอยช้ำ โชคดีที่สมองและอวัยวะภายในไม่ได้รับการกระทบกระเทือน ทว่าเหตุผลที่ผู้ใหญ่ทั้งสองเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องที่ลูกชายคนเล็กถูกทำร้ายร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องน่าห่วงกว่านั้นให้เป็นกังวล
ความพิเศษที่ตื่นขึ้นอีกครั้งกำลังเรียกอันตรายอันใหญ่หลวงมาสู่ตัว
ยมทูตถูกเรียกตัวเข้าประชุม สุนัขล่าวิญญาณได้รับคำสั่งให้ลาดตระเวนยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อลากวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวลงนรก ผลของความผิดพลาดครั้งใหญ่ในอดีตที่ไม่สามารถจัดการให้เสร็จสิ้น สิบเอ็ดปีที่ปล่อยวิญญาณร้ายผู้อ่อนแรงได้พักฟื้นและกลับมาแข็งแกร่งกว่าเก่า
“มันไม่มีรูปร่าง” อามันต์ ยมทูตอาวุโสพูดขึ้นท่ามกลางที่ประชุม เขาคือคนที่ใช้เคียวสังหารวิญญาณร้ายดวงนั้นเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน จากนั้นร่างกายของมันก็สลายเป็นผุยผงกระจัดกระจายหายไปและจับพลังงานใดไม่ได้อีก
“อาจเป็นเพราะมันกินดัฟฟ์เข้าไป” อีกท่านเอ่ยขึ้น
“โดยปกติแล้วหากวิญญาณดวงใดต้องเคียวแห่งยมทูตดวงจิตจะดับสูญ มันควรหายไปแต่เพราะดัฟฟ์อยู่ในตัวของมันจึงทำให้รอดพ้นสายตาของเรามาตลอดสิบเอ็ดปี หรือจะเรียกว่าเพราะหาตัวไม่พบเราจึงเลิกที่จะตามหาก็ได้” อามันต์อธิบายเพิ่มเติม
“คาดเดาว่ามันอยู่ได้โดยการจับวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์กินเป็นพลังงานเพื่อเพิ่มพลัง หลายปีมานี้มีรายงานว่าวิญญาณบางดวงหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุและตรวจสอบไม่พบผู้ต้องสงสัย เฉลี่ยแล้วตกอยู่ที่ปีละหนึ่งถึงสองดวง”
ภาพดวงวิญญาณที่หายไปตลอดสิบเอ็ดปีถูกฉายขึ้นกลางโต๊ะประชุมโดยยมทูตสาวที่รวบผมตึงเป็นหางม้า เธอเป็นผู้รับผิดชอบคดีวิญญาณสูญหาย แต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ มาตลอดสิบเอ็ดปี
“วิญญาณที่ใกล้ดับสูญมันจะเก่งกาจอะไรนัก” ยมทูตอาวุโสอีกท่านถามขึ้นมา
“เพราะความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อทุกสรรพสิ่งยังไงล่ะท่านดาวิน”
“เจ้าช่างรู้ดีจริงนะอามันต์”
“เพราะข้าเป็นคนสังหารมันกับมือยังไงล่ะ”
“เช่นนั้นเคียวยมทูตของเจ้าคงจะทื่อเสียแล้วล่ะมั้งถึงได้ฆ่ามันไม่ตาย”
“พอเถอะท่านทั้งสอง เรามาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกันเอง” เอลตันผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ายมทูตคนปัจจุบันที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นานเอ่ยขึ้นหลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชาถกเถียงกันอยู่นาน
“แล้วเจ้าจะทำยังไงกับเหตุการณ์ครั้งนี้ล่ะเอลตัน มนต์ที่ร่ายไว้ดูเหมือนจะเสื่อมเสียแล้ว”
“เพราะยิ่งเติบโตพลังของโฟทิสยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ตอนเขาเป็นเด็กผมร่ายมนตร์ปิดกั้นพลังไว้เพราะไม่ต้องการให้พลังนั้นถูกใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครอบครัวเขาเองก็ต้องการแบบนั้น แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้คงต้องขึ้นไปพบปะเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจเรื่องพลังพิเศษของเขาเสียหน่อย” เอลตันตอบคำถามของดาวิน
“เจ้าเด็กหัวดื้อคนนั้นน่ะเหรอ”
“เอาน่าท่านอามันต์”
ชื่อเสียงของโฟทิสต่างเป็นที่ร่ำลือของเหล่ายมทูตดี ทุกการกระทำถูกจับตามองจากใต้พื้นพิภพ ดำเนินชีวิตภายใต้ข้อตกลงระหว่างนรกกับครอบครัวที่มีพลังส่งต่อมายังรุ่นต่อรุ่น บ้างเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา บ้างมองเห็นวิญญาณได้ แต่ละรุ่นจะมีคนที่เกิดมาพร้อมกับความพิเศษของสิ่งลี้ลับ ซึ่งพลังบางอย่างนั้นเป็นพลังที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งยากจะควบคุมได้
“เคียร์ส่งข่าวมาบอกว่าโฟทิสฟื้นแล้ว ผมจะขึ้นไปพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจ หากได้เรื่องยังไงจะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกที ส่วนเรื่องวิญญาณร้ายตนนั้นให้สุนัขล่าวิญญาณค้นหาจนกว่าจะพบ พวกท่านเองก็ระวังตัวด้วย ใครมีคำถามอะไรอีกมั้ย”
เอลตันกวาดตามองรอบห้องที่มีเพียงโต๊ะกลมตั้งอยู่ตรงกลาง ไม่มีใครยกมือหรือเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาอีก
“ถ้าอย่างนั้นผมขอปิดประชุม”
ปล่อยให้การประชุมยืดเยื้อนานไม่ได้เพราะพวกเขามีงานล้นมือ ยมทูตต่างหายออกไปจากเก้าอี้ทีละคน บ้างพุ่งตัวขึ้นด้านบน บ้างสลายหายกลายเป็นควัน บ้างลุกออกไปทางประตูเหมือนคนปกติ ออกไปทำหน้าที่ของตนที่ทำค้างไว้
โรงพยาบาลเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีวิญญาณวนเวียนอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะคนที่เพิ่งเสียชีวิตและยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แทบทุกพื้นที่จึงมักเห็นวิญญาณที่เดินไปมาหรือจับกลุ่มคุยกัน ลักซ์เองก็เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มวิญญาณเหล่านั้น
ก้าวเดินตามแจ็คกี้ที่แวะมาเยี่ยมเพื่อนหลังจากรู้ข่าว เพราะไม่ได้ตามติดมาด้วยตั้งแต่เมื่อวานลักซ์จึงไม่รู้ว่าโฟทิสพักรักษาตัวอยู่ตึกไหนห้องอะไร กลับไปหาโพลาริสที่ห้องเธอก็ดูวุ่นกับเรื่องคดีจนไม่อยากเข้าไปเป็นตัววุ่นวาย เลยตัดสินใจไปหาแจ็คกี้ที่บ้าน รอจนเพื่อนคนนี้รู้ข่าวและติดตามมาด้วย
ลักซ์ยืนหลบหลังแจ็คกี้เมื่อเดินเข้าไปในห้องพัก ทุกสายตาในห้องจับจ้องมายังผู้มาใหม่ ยิ้มแย้มเอ่ยคำขอบคุณไม่เว้นกระทั่งคนป่วยบนเตียงที่สีหน้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืน ก่อนรอยยิ้มนั้นจะหายไปเมื่อเห็นวิญญาณไม่ได้รับเชิญที่เผยตัวออกมา
“แจ็คกี้เข้ามาลูก” จันดาแม่ของโฟทิสกวักมือเรียกเพื่อนลูกชายให้รีบเดินเข้ามาด้านใน เธอและสามีจ้องลักซ์เขม็ง ทำให้วิญญาณผู้หวาดกลัวหยุดยืนที่หน้าประตู
“ลักซ์”
“ตัวเองเจ็บยังจะถามหาตุ๊กตาอีกเหรอ”
เพียงคำเดียวที่โฟทิสเอ่ยออกมาช่วยให้ทุกคนในห้องเข้าใจและคลายบรรยากาศตึงเครียดลงได้ เว้นเพียงแจ็คกี้ที่เข้าใจความหมายต่างไปจากทุกคน เขาขมวดคิ้วใส่เพื่อนที่อมยิ้มกลับมาให้
“เข้ามาสิ”
“ไหนมาดูแผลหน่อยซิ เป็นห่วงแทบแย่เลยรู้มั้ย ไปทำยังไงให้ถูกพวกมันซ้อมได้ ทำไมไม่สู้กลับ” แจ็คกี้ที่เข้าใจว่าเพื่อนคุยกับตนก้าวเข้าไปใกล้โฟทิสมากขึ้น ขมวดคิ้วจ้องหน้าคนเจ็บพร้อมบ่นยาวเหยียดด้วยความเป็นห่วง เขาเพิ่งรู้ข่าวเมื่อชั่วโมงที่แล้วและรีบบึ่งมาหาทันที
“สู้แล้ว แต่มันมีหลายคน”
“เล่ามาเลยเรื่องเป็นยังไง หรือเจ็บแผลมั้ย งั้นเอาไว้เล่าทีหลังก็ได้”
โฟทิสยิ้มกว้างกับความน่ารักของเพื่อนจนรู้สึกตึงแผลที่มุมปาก เขามองพ่อกับแม่ที่ยังเหล่ลักซ์ไม่เลิกจนคนโดนจ้องยืนนิ่งไม่กล้าขยับไปไหน ทั้งที่เล่าให้ฟังหมดแล้วแท้ๆ ว่าวิญญาณดวงนี้เป็นใคร อีกอย่างพ่อกับแม่น่าจะเคยได้ยินเรื่องของลักซ์จากโพลาริสแล้วด้วย
“ตอบด้วยอย่าเอาแต่ยิ้ม”
“ก็เจ็บนิดหน่อย แต่เล่าให้ฟังได้”
รอยฟกช้ำกับแผลนิดๆ หน่อยๆ นับเป็นเรื่องเล็กสำหรับโฟทิส เขาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อกลางดึกให้แจ็คกี้ฟัง เริ่มตั้งแต่เริ่มมีปากเสียงกับหนุ่มแว่นเจ้าเดิมที่เคยชวนกันเข้าโรงแรมเมื่อครั้งก่อน เพราะปฏิเสธคำชวนบวกกับความดื้อด้านไม่ยอมฟังของอีกฝ่าย เมื่อคนหัวแข็งสองคนมาเจอกันแรงปะทะยิ่งสูงเรื่องจึงไม่จบแค่การพูดคุย ระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นกลายเป็นการทำร้ายร่างกายเพื่อระบายความคับแค้นใจและความสนุกส่วนตัว แน่นอนว่าโฟทิสจะเอาเรื่องไอ้พวกนั้นให้ถึงที่สุด
“แม่ถึงบอกไงว่าให้เลิกทำงาน”
“มันไม่เกี่ยวกับงานของโฟเลยแม่”
หากจันดาพูดประโยคนี้กับลูกชายรอบที่ร้อย โฟทิสก็บอกประโยคนี้กับแม่เป็นรอบที่ร้อยเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะงานที่เขาทำ แต่เป็นเพราะสิ่งที่เขาสร้างให้คนจดจำและนิสัยที่ไร้การอบรมของผู้ชายคนนั้นต่างหาก
“แต่เราว่าเลิกทำก็ดีนะ กลับดึกๆ อันตราย”
“ไม่ได้กลับดึกแต่กลับเช้า”
“ทำเป็นพูดเล่นไปนะโฟ” ดอน ผู้เป็นพ่อเอ็ดขึ้นมาบ้าง แต่ลูกชายหัวแข็งคนนี้ยอมฟังเสียที่ไหน
“กลับเช้าจริงนะพ่อ ถามพี่โพลได้เลย”
ผีที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ แอบขำจนบุคคลที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้เหล่ไปมอง ลักซ์รีบเม้มปากก้มหน้ากลอกตาหนี ดันเผลอทำตัวเสียมารยาทไปอีกแล้ว
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เห็นว่าอยู่ไปจะทำเอาเสียบรรยากาศเปล่าๆ ลักซ์จึงเลือกที่จะถอยออกมาก่อน ได้เห็นกับตาว่าโฟทิสอาการดีขึ้นแล้วเขาก็เบาใจ มีทั้งเพื่อนทั้งครอบครัวอยู่ด้วยแบบนี้ผีที่ไม่รู้ว่าควรนับความสัมพันธ์กันด้านไหนอย่างเขาคงไม่จำเป็น
“งั้นเดี๋ยวพ่อกับแม่ออกไปรอข้างนอกนะ ตามสบายนะแจ็คกี้” จันดาพูดให้ผีที่ยังก้าวไม่พ้นประตูได้ยิน
“ครับ”
โฟทิสมองพ่อกับแม่เดินตามลักซ์ออกไปจากห้อง สีหน้าทั้งคู่ดูตึงเครียดยามเขาเล่าเรื่องวิญญาณดวงนี้ให้ฟัง ก่อให้เกิดความสงสันว่าโพลาริสไปพูดอะไรแปลกๆ ไว้หรือเปล่า
ลักซ์เดินตามดอนกับจันดามายังร้านกาแฟเล็กๆ ที่อยู่ข้างโรงพยาบาล เขาไม่แน่ใจว่าจุดนี้มีวิญญาณวนเวียนอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าหากมีวิญญาณดวงไหนบังเอิญผ่านมาเห็นคงนึกว่าเขากำลังนั่งฟังมนุษย์คุยกันมากกว่า หรือไม่ก็คงคิดว่าพ่อแม่ของโฟทิสคือครอบครัวของเขาน่าจะไม่สร้างจุดที่น่าสงสัยมากนัก
“ไม่ต้องเครียดนะลักซ์ แม่แค่อยากคุยด้วยนิดหน่อย ไม่ได้จะว่าอะไรเรา”
“ครับ” ยิ้มตอบรอยยิ้มที่ผู้ใหญ่ทั้งสองมอบให้
จันดาไม่ได้เร่งรีบจะคุยหรือบีบคั้นอีกฝ่าย เธอได้ฟังเรื่องของลักซ์ในมุมที่แตกต่างกันมาจากโพลาริสกับโพทิสแล้ว แต่ที่เรียกมาคุยด้วยกันตรงนี้แค่อยากปรับความเข้าใจและทำข้อตกลงกันเท่านั้น
“แม่ขอบคุณลักซ์มากนะที่เมื่อคืนคอยอยู่ข้างๆ โฟทิส”
“ครับ” ยิ้มรับอีกครั้งแม้สิ่งที่เขาทำลงไปไม่อาจช่วยเหลือโฟทิสได้เลยก็ตาม
“งั้นลักซ์ก็รู้แล้วใช่มั้ยว่าโฟทิสทำอะไรได้”
“ครับ” ลักซ์พยักหน้ารับ นึกถึงภาพวงกลมสีดำเล็กๆ ที่ด้านในมีเปลวไฟส่องสว่าง มันคือการเปิดประตูนรก ความสามารถที่ยมทูตกับสุนัขล่าวิญญาณเท่านั้นที่ทำได้ แต่เป็นเพราะอะไรกันมนุษย์อย่างโฟทิสถึงได้มีความสามารถนี้
“ครอบครัวเรามีความพิเศษที่สืบทอดกันมา สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าความพิเศษนั้นเป็นคำสาปก็ได้ อย่างโฟทิสเองก็ไม่ได้ชอบความพิเศษที่ตัวเองมีสักเท่าไร แต่กลับกลายเป็นคนที่มีความพิเศษมากกว่าใครอื่น”
ลักซ์นั่งฟังเงียบๆ เขารู้อยู่แล้วว่าครอบครัวของโฟทิสทำอาชีพหมอผี โพลาริสเองก็เป็นหมอดู ทุกคนมีความพิเศษที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ ทั้งครอบครัวมีเพียงโฟทิสคนเดียวเท่านั้นที่กีดกันเรื่องเหล่านี้ แต่เพราะอะไรทำไมโฟทิสถึงทำเหมือนไม่รู้ตัวว่าตนนั้นมีความพิเศษมากกว่าคนอื่น
“ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้โฟทิสไม่รู้ตัวว่าตัวเองพิเศษยังไง ลักซ์น่าจะได้รับคำเตือนจากโพลาริสกับเคียร์มาแล้วว่าไม่ควรตามติดโฟทิสมากเพราะมันเป็นการกระตุ้นพลังที่ถูกสกัดกั้นเอาไว้ แต่แม่ไม่ได้โทษลักซ์เรื่องนี้หรอกนะ การอยู่ใกล้วิญญาณมากเกินไปเป็นเพียงหนึ่งในตัวกระตุ้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้มนต์สกัดกั้นพลังนั้นไว้เสื่อมลง ซึ่งถ้าหากมนต์นั้นสลายไปทั้งโฟทิสและตัวลักซ์เองจะเป็นอันตรายด้วย”
“ผมเหรอครับ”
“อยู่ห่างจากโฟทิสไว้และรีบหาทางไปเกิดให้เร็วที่สุดดีกว่า”
ทำได้เพียงนิ่งเงียบทั้งที่ยังมีคำถามมากมายอยู่ในใจ อันตรายนั้นคืออะไรและเกี่ยวอะไรกับวิญญาณธรรมดาอย่างเขา การเปิดประตูนรกได้ไม่ใช่ว่าโฟทิสยืนอยู่เหนือวิญญาณทั้งหมดหรอกเหรอ มีอำนาจเทียบเท่ายมทูตและสุนัขล่าวิญญาณ เจอผีตัวไหนคิดร้ายแค่ขู่ว่าจะจับโยนลงนรกก็สิ้นเรื่อง ไม่ว่าวิญญาณดวงไหนก็กลัวการลงนรกก่อนกำหนด รวมถึงตัวลักซ์เอง
“ลักซ์เข้าใจแม่ใช่มั้ย”
“คือ...”
ก่อนจะได้พูดอะไรวงกลมสีดำที่อยู่ๆ ปรากฏขึ้นข้างโต๊ะก็ทำให้ลักซ์ต้องรีบลุกและถอยหนี ยมทูตในชุดสูทสีดำก้าวออกมาพร้อมสุนัขล่าวิญญาณที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ลักซ์ยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัว ขณะที่ครอบครัวเห็นผียังนิ่งเฉย มองการมาของบุคคลในนรกเหมือนรู้ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น
“ผมมาขัดจังหวะหรือเปล่า” เอลตันเอ่ยถาม เขายิ้มให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ รวมถึงลักซ์ที่ถอยหนีไปจนติดกระจก
“เรากำลังรอคุณอยู่พอดี” เป็นดอนที่ตอบกลับ
“เคียร์ช่วยจัดการเรื่องเพื่อนของโฟทิสทีนะ”
สุนัขวิญญาณผู้ติดตามรับคำสั่งจากเอลตันก่อนปลีกตัวออกไป ลักซ์มองตามเคียร์ที่กำลังโทรหาใครบางคนซึ่งน่าจะเป็นแจ็คกี้ คำว่าจัดการที่ว่าหมายถึงการทำยังไงก็ได้ให้แจ็คกี้กลับไปก่อนเพื่อเปิดทางให้พวกเขาได้พูดคุยและสะสางปัญหาเกี่ยวกับโฟทิสได้
“แล้วก็ลักซ์ เธอต้องมากับพวกเราด้วย”
“ครับ”
“ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะพาเธอลงนรกก่อนเวลาหรอก แค่อยากพูดคุยด้วยเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง”
ลักซ์พยักหน้ารับคำของยมทูต รอกระทั่งเคียร์กลับมารายงานว่าทุกอย่างเรียบร้อยทุกคนก็เคลื่อนพลกลับไปยังห้องพักผู้ป่วย ยมทูตและสุนัขวิญญาณปรากฏตัวให้คนทั่วไปเห็น พูดคุยกับครอบครัวของโฟทิสอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีมนุษย์คนไหนรู้ว่าตัวตนจริงของพวกเขาคือใคร เว้นก็แต่เหล่าวิญญาณที่เปิดทางไม่กล้าเข้าใกล้ หวาดกลัวแม้ยังไม่ถึงเวลาพิพากษาของตน
เป็นเรื่องน่าแปลกอีกอย่างที่วิญญาณเกือบทุกดวงไม่ได้คิดสงสัยเกี่ยวกับการพบปะพูดคุยกับมนุษย์ของยมทูตหรือสุนัขล่าวิญญาณ พวกเขาต่างเข้าใจตรงกันว่าเพราะเป็นงานของผู้มีอำนาจการพูดคุยกับมนุษย์หรือใช้ชีวิตอย่างมนุษย์นั้นคือเรื่องปกติ เป็นที่น่าอิจฉาเพราะวิญญาณอย่างพวกเขาไม่สามารถปรากฏตัวหรือพูดคุยกับมนุษย์ได้แม้อยากติดต่อสื่อสารกันมากแค่ไหนก็ตาม
กลับมาถึงห้องพักแจ็คกี้ก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เหลือเพียงโฟทิสที่มองผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าแปลกใจ มองสลับไปมาระหว่างพ่อแม่ของตัวเอง วิญญาณที่เพิ่งรู้จัก รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย และคนแปลกหน้าที่ความทรงจำบอกว่าเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก
“แจ็คกี้กลับไปแล้วเหรอ” จันดาถามหลังประตูห้องปิดลง
“เพิ่งกลับไปเมื่อกี้ เห็นบอกว่าที่บ้านโทรตาม”
‘ที่บ้าน’ ที่ถูกอ้างถึงยืนนิ่งสงบสมกับเป็นสุนัขล่าวิญญาณที่ถูกฝึกมาอย่างดี
“ว่าแต่...” โฟทิสไม่รู้จะเริ่มถามถึงใคร ทุกคนเดินเข้ามาพร้อมกันอย่างกับรู้จักกันมาก่อนทั้งที่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นได้
“สวัสดีโฟทิส ผมชื่อเอลตันเป็นยมทูต ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยมทูต” เบิกตากว้างทวนคำด้วยความตกใจ โฟทิสหันมองคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเพื่อขอความเห็นแต่ไม่มีใครพูดอะไรกระทั่งคนที่บอกว่าตัวเองคือยมทูตเริ่มพูดต่อ
“เธอคงตกใจแต่ต้องบอกก่อนว่าไม่มีอะไรน่ากังวลเกี่ยวกับตัวผมและเคียร์”
“เคียร์เหรอ”
เจ้าของชื่อยิ้มแหย เตรียมตัวรับแรงกระแทกที่อาจตามมาภายหลังเพราะความลับที่ปกปิดอีกฝ่ายมานาน แท้จริงแล้วเคียร์ไม่อยากบอกความจริงกับโฟทิสตอนนี้แต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับเมื่อเอลตันเลือกที่จะบอกทุกอย่างให้โฟทิสรู้ ผู้ที่ถูกมอบหมายให้คุ้มครองโฟทิสมาตลอดจึงจำต้องเปิดเผยตัวตน
“เธอคงยังไม่รู้ว่าเคียร์เป็นสุนัขล่าวิญญาณที่คอยตามดูแลเธออยู่”
“สุนัขล่าวิญญาณ” ทวนคำเสียงเบา โฟทิสมองพ่อกับแม่ที่ยังนิ่งเงียบก่อนสบตากับลักซ์ที่ก้มหน้าหนี หันมองเคียร์เพื่อขอคำอธิบายแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้รับอนุญาตให้พูด
“เรามาที่นี่เพื่ออธิบายเรื่องที่เธอควรรู้”
“เรื่องอะไร”
ผู้ใกล้ชิดทั้งสี่รับรู้ได้ทันทีว่าโฟทิสกำลังไม่พอใจ น้ำเสียงแข็งกระด้าง แววตาแข็งกร้าว การถูกคนใกล้ชิดปิดบังเรื่องสำคัญอยู่เพียงผู้เดียวไม่ต่างกับการถูกหักหลัง ทั้งสับสนและโกรธเคือง คนเหล่านี้ไม่คิดเลยหรือว่าการโยนเรื่องหนักหนาใส่คนป่วยเป็นความโหดร้ายยังไง
“ฉันไม่ว่าถ้าเธอจะโกรธ แต่ขอให้ฟังเหตุผลทั้งหมดก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าที่ทุกคนทำไปนั้นเพื่ออะไร มันอาจจะหนักกับคนที่เพิ่งพบเจอเรื่องเลวร้ายมา แต่ถ้าชักช้าเธอจะมีอันตราย” เอลตันอ่านความคิดมนุษย์ไม่ได้ เขาเดาจากน้ำเสียงและสีหน้าของโฟทิสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดยังไง เด็กหัวแข็งที่เฝ้ามองมาตลอดนับสิบปี ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักนิสัยคนคนนี้ๆ เลย
โฟทิสไม่ตอบอะไร การเงียบคือการควบคุมอารมณ์และให้โอกาสอีกฝ่ายได้พูด มองคนที่อ้างตัวว่าเป็นยมทูตนั่งลงข้างเตียงโดยมีรุ่นพี่ที่เพิ่งสารภาพว่าเป็นสุนัขล่าวิญญาณยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างไม่ต่างจากสุนัขรับใช้ ส่วนพ่อกับแม่นั่งลงข้างเตียงอีกฝั่ง โดยมีวิญญาณหนึ่งเดียวในที่นี้ยืนอยู่ด้านหลัง
“เมื่อคืนตอนที่เธอถูกซ้อมคงไม่รู้ใช่มั้ยว่าตัวเองทำอะไรลงไป” เอลตันเริ่มเปิดประเด็น เมื่อเห็นว่าโฟทิสไม่พูดอะไรยมทูตจึงได้เริ่มพูดต่อ “เธอคงรู้ดีอยู่แล้วว่าครอบครัวเธอนั้นมีความพิเศษอย่างไร แต่เธอคือคนที่พิเศษยิ่งกว่า เธอมีพลังที่ยมทูตอย่างผมมี พลังที่สามารถเปิดปิดประตูนรกได้”
เมื่อเอลตันแตะที่แขนของโฟทิสพลังที่คล้ายม่านสีขาวบางๆ ก็สลายออก มีความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่โฟทิสรับรู้ได้ มันหนักอึ้งจนเหมือนจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่อยู่
“ผมเพิ่งคลายมนตร์สะกดพลังของเธอออก ความจริงมันก็อ่อนแรงเต็มทีแล้ว เพราะเธอโตขึ้นพลังจึงแข็งแกร่งขึ้น มันมีข้อดีหากเธอใช้ให้ถูกวิธี แต่ก็มีอันตรายหากวิญญาณล่วงรู้และคิดจะครอบครองพลังนี้ ซึ่งมันคือเหตุผลที่ทำให้ผมมาหาเธอ”
โฟทิสรู้สึกปวดหัวตุบ อยากล้มตัวนอนคลุมโปงให้มิดแล้วคิดเสียว่าเรื่องที่ได้ฟังอยู่นี้เป็นเพียงความฝัน แค่มองเห็นผีก็แย่อยู่แล้วดันมียมทูตมาบอกว่าเขามีพลังวิเศษที่สามารถเปิดประตูนรกได้อีก
ทุกอย่างมันบ้าบอสิ้นดี
“คุณจะให้ผมเชื่อเรื่องพวกนี้จริงๆ เหรอ แล้วพี่เป็นหมาล่าวิญญาณอะไรนั่นจริงเหรอ”
“จะโชว์ให้ดูสักหน่อยก็ได้นะเคียร์”
น้อมรับคำสั่งของยมทูต เคียร์เดินออกมายังที่ว่างก่อนร่างมนุษย์จะเปลี่ยนรูปร่างกายเป็นสุนัขสีขาวตัวใหญ่ที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคม โฟทิสมองภาพตรงหน้าตาค้าง ใจเต้นรัวเมื่อได้เห็นความน่ากลัวของสุนัขล่าวิญญาณในระยะประชิด ก่อนเคียร์จะรีบกลับสู่ร่างมนุษย์และเดินมายืนที่เดิม
“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันต่อ” เอลตันเอ่ยเพื่อเรียกความสนใจของโฟทิสกลับมา “ที่ผมมาวันนี้เพื่อบอกถึงพลังที่เธอมีและอยากให้เธอปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ ที่สำคัญคือมาเตือนถึงอันตรายที่เธอต้องเจอ”
โฟทิสนิ่งไปเหมือนไม่อยากรับรู้ จันดาเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปจับมือลูกชายไว้ มันคงเป็นทางเลือกที่ผิดที่เธอยอมให้โฟทิสปิดกั้นสิ่งที่เป็นมาตลอด ยินยอมให้ยมทูตสะกดพลังนั้นไว้เพราะคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า โดยลืมคิดถึงผลเสียที่อาจตามมาในอนาคต
“แม่ขอโทษนะโฟ”
โฟทิสสูดลมหายใจเข้าแล้วค่อยๆ ผ่อนออก เขาไม่นึกโทษครอบครัวที่ให้อิสระและไม่เคยกีดกันทางที่เขาเลือกเดิน แม้สุดท้ายย่อมไม่มีใครหนีความเป็นตัวเองพ้น สิ่งที่ทำได้คือการยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
“ลูกจำตอนเด็กๆ ที่ถูกผีชวนไปเล่นด้วยได้มั้ย” ดอนที่นั่งเงียบมานานถามขึ้น
ความทรงจำตอนเด็กเป็นเรื่องที่ไม่อยากจดจำโฟทิสจึงซ่อนมันไว้ในส่วนลึก แต่เมื่อถูกกระตุ้นก็ใช่ว่าจะเลือนหายไปเสียทีเดียว
“ก็พอจำได้”
“วันนั้นเป็นครั้งแรกที่โฟเปิดประตูนรกและปล่อยให้วิญญาณหลายดวงหนีออกมา เพราะโฟยังเด็กเกินกว่าจะควบคุมพลังได้พ่อกับแม่เลยตัดสินใจให้เอลตันสะกดพลังนี้เอาไว้ แล้วโฟก็เริ่มเกลียดพวกผีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
โฟทิสพยายามนึกย้อนไปถึงวันนั้นแต่มันค่อนข้างเลือนราง เขาพอจะจำเสียงใครบางคนที่พูดบางอย่างกับเขาได้ รวมถึงความน่ากลัวที่ทำให้เขาอยากวิ่งหนีให้ไกล มันอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากลัวผีและพัฒนาเป็นความเกลียดชังในที่สุด
“ผมมีคำถาม”
“เชิญ” เอลตันตอบรับเมื่อสายตาโฟทิสจับจ้องมายังเขา
“สะกดไว้แล้วทำไมผมถึงยังมองเห็นวิญญาณล่ะ”
“เพราะนั่นคือดวงตาของเธอ ผมไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้”
“อันตรายที่คุณพูดถึงคืออะไร”
“วิญญาณที่ได้รับโอกาสให้วนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์เป็นวิญญาณชั้นดีที่สั่งสมความดีมามากพอ แต่ก็ใช่ว่าจะมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าวิญญาณที่ดีเหล่านั้นจะคงความดีได้ตลอดไปหากรู้ว่าเธอมีพลังอะไรอยู่ การอยู่บนโลกมนุษย์นานๆ ทำให้วิญญาณเหล่านั้นดูดพลังชีวิตมาใช้ได้ทางนรกจึงมีนโยบายให้โอกาสไปเกิดใหม่แก่วิญญาณเหล่านั้นเพียงหนึ่งปี ไม่อย่างนั้นพลังมันจะแข็งแกร่งขึ้นและกลายเป็นวิญญาณร้ายที่มีพลังสามารถทำร้ายมนุษย์ได้”
“ซึ่งนั่นก็เป็นหน้าที่ของสุนัขล่าวิญญาณที่ต้องคอยเก็บกวาด” โฟทิสเสริมพร้อมกับมองเคียร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายของเขา
“เธอเข้าใจถูกต้อง และตอนนี้มีวิญญาณร้ายดวงหนึ่งที่วนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์มาราวสิบปีแล้วแต่ยังตามจับมันไม่ได้”
“สิบปี แบบนี้มันไม่กินคนได้เลยหรือไง”
เอลตันยิ้มขำกับความเห็นของโฟทิสซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าขำเลยสักนิด เพราะการปล่อยให้วิญญาณร้ายหลุดรอดมาจนถึงตอนนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง
“ใช่ มันกินคนได้ และคนที่เป็นเป้าหมายมันก็คือเธอ โฟทิส”
คำพูดของยมทูตทำให้โฟทิสนึกถึงความรู้สึกประหลาดที่เหมือนถูกใครสักคนแอบมองก่อนหน้านี้ พลังที่ไม่เหมือนกับวิญญาณทั่วไป
“จะว่าไปผมก็เคยเจอวิญญาณแปลกๆ เหมือนกัน” ลักซ์ที่เงียบฟังมานานเอ่ยขึ้นดึงความสนใจจากทุกคน
“ช่วยเล่าให้ผมฟังได้มั้ย”
“ผมเจอเขาที่โรงแรม เขาไม่มีรูปร่างเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังงาน ผมเจอเขาแค่ครั้งเดียวเลยคิดว่าวิญญาณแปลกๆ แบบนั้นน่าจะถูกหมานรกจัดการไปแล้ว”
“นายเจอมันเมื่อไร” เคียร์กัดฟันกรอดเมื่อได้ฟังและรีบถามกลับไป
“ประมาณเดือนก่อน”
“ก่อนเจอโฟใช่มั้ย”
“ครับ”
“นั่นอาจจะเป็นวิญญาณร้ายดวงนั้น ผมอยากให้พวกเธอทุกคนระวังตัวเอาไว้ ลักซ์อาจถูกมันกินเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณได้”
คนฟังหน้าซีดกับน้ำเสียงเรียบนิ่งของยมทูตที่พูดขึ้นมาเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร
“โดยเฉพาะเธอโฟทิส เพราะเธอมีพลังแต่ยังไงก็ยังเป็นมนุษย์ วิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งมากๆ อาจจะกลืนกินวิญญาณของเธอและแย่งร่างเนื้อของเธอไปครอบครอง”
“หมายถึงมันจะสิงผมเหรอ”
“ใช่ ซึ่งนั่นหมายถึงเธอต้องตาย”
“เป็นข่าวดีจัง”
“โฟ” ดอนเรียกชื่อลูกชายสีหน้าตึงเครียด นี่ไม่ใช่เรื่องตลกและไม่ควรเอามาพูดเล่น
“แล้วผมต้องทำยังไง คุณไม่มีวิธีจัดการงานของคุณให้ดีกว่านี้เหรอ”
“เราเคยคิดว่าจัดการมันได้แต่มันก็หลบหนีและซ่อนตัวมากว่าสิบปี พลังของมันอ่อนมากจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ที่พลังมันแข็งแกร่งขึ้นและได้ปรากฏตัวออกมา มันไม่มีรูปร่างเป็นเพียงก้อนพลังงาน ขณะนี้เราได้จัดหน่วยลาดตระเวนเพื่อค้นหาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนเธอผมจะให้เคียร์คอยคุ้มกันให้ไม่ต้องห่วง”
“แสดงว่าถ้าพี่ เอ่อ...เคียร์ตายผมก็มีสิทธิ์โดนไอ้วิญญาณนั่นกินเหมือนกันน่ะสิ”
“อย่าดูถูกกันสิ”
โฟทิสเบือนหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจ หันไปสบตากับวิญญาณอีกดวงที่น่าจะตกอยู่ในอันตรายไม่แพ้กัน
“แล้วลักซ์ล่ะ เขาเคยเจอไอ้วิญญาณร้ายนั่นแล้วนี่ จะไม่เป็นอันตรายเหมือนกันเหรอ”
“ผมไม่เป็นไรครับ” ลักซ์รีบบอกปฏิเสธ
“จนกว่าจะจับไอ้วิญญาณร้ายนั้นได้ นายช่วยคุ้มครองลักซ์ด้วยได้ใช่มั้ยเคียร์” มันคือการเอาคืน ไม่มีแล้วรุ่นพี่ที่เคยรู้จัก
เคียร์มีสีหน้าหนักใจ เขาอยากปฏิเสธเพราะงานที่มีก็ล้นมืออยู่แล้วแต่เมื่อผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งย่อมไม่สามารถขัดได้
“งั้นก็เอาตามนี้นะเคียร์”
“ครับ”
“ส่วนลักซ์ ถ้ามีโอกาสก็รีบไปเกิดซะ แต่คงหมดโอกาสเกิดในครอบครัวแจ็คกี้แล้วเพราะแผนกส่งคนไปเกิดเพิ่งคัดเลือกวิญญาณที่เหมาะสมได้เมื่อวานนี้เอง”
ฟังจบโฟทิสก็หันขวับไปมองวิญญาณที่ชักช้าไม่เข้าเรื่อง ถ้าไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปตั้งแต่คืนแรกล่ะก็คงไม่ต้องมากังวลกับอันตรายที่ต้องเจอในอนาคตแบบนี้
“อ้อ ส่วนเรื่องการฝึกใช้พลัง เคียร์จะเป็นครูให้เธอนะโฟทิส”
โฟทิสทำหน้าเหม็นเบื่อใส่รุ่นพี่ปลอมๆ ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนรอบข้าง
การพูดคุยจบลงเมื่อทุกฝ่ายทำความเข้าใจกันได้ เอลตันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง เคียร์ที่ได้รับมอบหมายให้คอยคุ้มกันไม่ได้ตามติดแจหากแต่คอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่างนัก ลักซ์เองก็เลือกที่จะตีตัวออกห่างเพื่อไม่ให้โฟทิสกลายเป็นจุดสนใจของวิญญาณ เหลือเพียงครอบครัวที่ยังอยู่เฝ้า พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตเพื่อทำความเข้าใจกันอีกครั้ง
tbc
ความคิดเห็น