ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้องผมก็ตัวแค่นี้

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 ชื่อของน้องตัวหด

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 63


    ตอนที่ 6

    ชื่อของน้องตัวหด

     

                    การงานคืบหน้า สภาพร่างกายก็กลับมาเป็นปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ วันนี้มีการเสนอแบบร่างครั้งแรก ผู้ออกแบบทุกคนในโครงการถูกเชิญเข้าไปร่วมฟังและพูดคุยกันเพื่อให้รับรู้แนวทางไปพร้อมกัน แบบที่เสนอดูถูกใจเจ้าของโครงการอย่างมากแต่ยังมีบางจุดที่ต้องแก้ไข สถาปนิกต้องแก้แบบและนำเสนออีกทีในครั้งหน้า หากยังมีจุดไหนที่เจ้าของโครงการยังไม่ถูกใจก็ต้องแก้วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้งานที่พึงพอใจออกมา

                    หลังจากออกแบบภาพรวมของตัวอาคารภายนอกและพื้นที่ภายในเสร็จสิ้น นักออกแบบภายในจะเข้ามาเติมเต็มพื้นที่ในตัวอาคารให้สมบูรณ์ รวมถึงภูมิสถาปนิกผู้รับหน้าที่ออกแบบภูมิทัศน์ โดยการนำธรรมชาติและสถาปัตยกรรมเข้ามาผสมผสานกัน และผม ผู้ออกแบบแสงสว่าง คนที่จะทำให้พื้นที่นั้นดูสวยงามและมีมิติมากขึ้น

                    เลิกงานวันนี้ผมตั้งใจว่าจะแวะไปร้านแว่นของน้องตัวหดเพื่อตัดแว่นใหม่ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ข่าวจากเรนนี่ที่บังเอิญเจอน้องเขาเป็นครั้งคราว ย้ำตลอดว่าอย่าลืมแวะไป เน้นด้วยว่า ‘ถ้าพี่ลี่ไม่ยอมไปตัดแว่นใหม่ที่ร้านละก็ผมต้องรู้สึกผิดไปจนวันตายแน่’ ใส่น้ำเสียงและสีหน้าแบบไร้อารมณ์ของเรนนี่ที่ดูแล้วไม่อินตามเอาเสียเลย

                    ผมกดโทรหาเรนนี่หลังจากตกลงแผนของเย็นนี้กับตัวเองได้ แวะไปตัดแว่นที่ร้านน้องตัวหดก่อนร้านปิดตอนสองทุ่ม ต้องบอกเรนนี่ล่วงหน้าเพราะน้องจับผมทำสัญญาใจว่าจะไปด้วยกัน จากนั้นก็หาอะไรกินแถวมหา’ลัย ที่นั่นร้านอาหารเยอะมาก ร้านโปรดผมก็เยอะเหมือนกัน อิ่มแล้วก็กลับห้องปล่อยเรนนี่ให้ปั่นงานที่ต้องส่งต่อ

                    “ยังอยู่ที่มอหรือเปล่า” เดินมาถึงรถเรนนี่ก็รับสาย ผมใช้ไหล่หยิบมือถือไว้ระหว่างจัดข้าวของอันรกรุงรังเหมือนคนจะย้ายบ้านที่เบาะหลัง

                    (ยังอยู่)

                    “พี่ว่าจะไปตัดแว่นใหม่ เจอกันที่ร้านเลยมั้ยหรือให้พี่วนเข้าไปรับก่อน” ปิดประตูหลังกลับมานั่งประจำที่คนขับ สตาร์ตรถเปิดแอร์ระหว่างรอเรนนี่ตอบ

                    (ไปที่ร้านเลยก็ได้ เดี๋ยวเรนตามไป)

                    “โอเคครับ”

                    กดวางสายแล้วออกรถขับไปตามถนนเส้นที่คุ้นเคย

     

                    ผมจอดรถในซอยข้างร้าน เงยมองป้ายด้านบนที่เขียนว่า ‘แว่นศิลป์’ ก่อนเปิดประตูเข้าไป ภายในร้านอันเงียบสงบมีคุณลุงนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ส่งรอยยิ้มต้อนรับ ผมยิ้มทักทายตอบกลับก่อนเดินตรงเข้าไปหาเพื่อบอกจุดประสงค์ของการมาที่นี่

                    “สนใจแบบไหนเดินดูก่อนได้นะครับ”

                    “สวัสดีครับ ผมชื่อลี่นะครับ คือน้อง...” แล้วก็ดันไม่รู้ชื่อน้องตัวหดอีก

                    พอผมชะงักคุณลุงก็ชะงักตาม แกทำหน้างงใส่ ผมไม่รู้ว่าน้องตัวหดกับคุณลุงคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง จะย้อนความเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบก็ดูจะกินเวลาไปหน่อย ก็ไหนน้องเขาบอกว่าแค่มาบอกชื่อที่ร้านไง แล้วทำไมคุณลุงคนนี้ถึงไม่รู้จักผม

                    หลังจากสบตากันท่ามกลางความเงียบได้สักพักผู้หญิงอีกคนก็เดินออกมาจากหลังร้าน เธอที่ดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมยิ้มแย้มเข้ามาทักทาย คุณลุงที่ยังนึกไม่ออกว่าผมเป็นใครก็หันไปบอก

                    “สวัสดีค่ะ”

                    “เขาบอกว่าชื่อลี่”

                    “อ๋อ คนที่อาร์ตบอกไว้ไงพ่อ ไปทำแว่นเขาแตก”

                    “อ๋อ” แล้วคุณพ่อที่ไม่รู้ว่าผมเป็นใครในตอนแรกก็ทำหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที

                    ผมยิ้มให้สองพ่อลูกแก้เก้อ ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นพี่สาวของน้องตัวหดที่ผมรู้ว่าแล้วว่าชื่อ ‘อาร์ต’ หน้าตาเธอดูคล้ายกับน้องชาย ยกเว้นแววตาที่มุ่งมั่นและมีความมั่นใจมากกว่า

                    “เลือกกรอบที่ชอบได้เลยนะ แล้วค่อยมาวัดค่าสายตา” เธอบอกขณะเดินนำผมไปยังมุมหนึ่งของร้าน นับจากจุดนี้เดินไปเรื่อยๆ เมื่อสุดทางอีกฝั่งก็จะสามารถดูกรอบแว่นทุกแบบที่ร้านมีได้

                    “ขอบคุณครับ”

                    ผมอยากถามเหลือเกินว่าสามารถเลือกยี่ห้อไหนหรือเรตราคาเท่าไรได้บ้าง แว่นที่ถูกเหยียบแตกราคาแค่ไม่กี่พันแถมยังใช้งานมาแล้วเกือบปี เผื่อเจออันที่ถูกใจแต่ราคาสูงเกินไปผมยินดีที่จะจ่ายส่วนต่างตรงนั้นให้

                    “เลือกตรงโซนไหนได้บ้างครับ”

                    “ได้หมดเลยค่ะ เลือกอันที่ชอบได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”

                    “ผมจ่ายส่วนต่างได้นะ แว่นที่แตกราคาไม่กี่พันเอง”

                    “ไม่ต้องกังวลเรื่องราคานะคะ เลือกตามสบายได้เลย ทางเรามากกว่าที่ต้องขอโทษ อาร์ตมันซุ่มซ่าม ดีแล้วที่คุณไม่เป็นอะไรมาก หรือถ้าคุณต้องไปหาหมอมีค่ายาค่ารักษาเอามาเบิกได้เลยนะ”

                    “ไม่มีครับไม่มี ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย ตอนนี้หายสนิทดีแล้วด้วย”

                    หากน้องชายถูกแปะป้ายว่าเป็นคนซุ่มซ่าม พี่สาวคงเป็นคนที่เข้มงวดน่าดู สีหน้าและสายตาของเธอจริงจังขณะพูด นึกภาพออกเลยว่าตอนอาร์ตมาสารภาพกับที่บ้านว่าก่อเรื่องอะไรไปจะถูกดุแล้วตัวหดลงเหลือประมาณไหน

                    ผมเริ่มเดินไล่ดูกรอบแว่นไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนเมื่อได้รับการยืนยัน มีเธอคอยให้คำแนะนำตลอดว่าจุดเด่นของกรอบแว่นแต่แบบเป็นยังไง จัดแจงให้ลองใส่ได้ตามสบาย ลังเลใจอยู่สองสามแบบกระทั่งมาเจอแว่นทรงกลมของอีกแบรนด์ซึ่งคล้ายกับอันเก่าผมก็หยิบมาลองใส่ ภาพของหนุ่มแว่นที่คุ้นเคยดีสะท้อนในกระจก ผมยิ้มให้อย่างถูกใจ ตกลงเลือกกรอบแว่นอันนี้อย่างไม่ลังเล

                    หลังจากได้กรอบแว่นผมก็ถูกพามาวัดค่าสายตา ข้างซ้ายทะลุสามร้อยไปแล้วในขณะที่ข้างขวายังอยู่ที่สองร้อย จากที่ตอนแรกสองข้างต่างกันแค่ห้าสิบ

                    จัดการทุกอย่างเรียบร้อยเหลือแค่นั่งรอคนที่บอกว่าอยากมาด้วยกันกลับเพิ่งมาถึง เรนนี่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับอาร์ต น้องตัวหดที่ยิ้มกว้างมาให้แต่ไกล จับพลัดจับผลูยังไงถึงมาพร้อมกันได้ล่ะเนี่ย

                    เรนนี่เดินเข้ามาหาผม อาร์ตแยกไปหาพี่สาวกับพ่อ แนะนำทั้งคู่กับเราทั้งสองให้ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการอีกที

                    โซฟายาวสำหรับนั่งรอถูกจับจองเป็นพื้นที่พูดคุยระหว่างรอแว่นอันใหม่ของผม ‘อาย’ พี่สาวของอาร์ตยกขนมนมเนยมาเสิร์ฟจนผมรู้สึกเกรงใจ แต่สองพี่น้องก็เอาแต่โบกมือว่าไม่ต้องคิดมากเชิญกินได้ตามสบาย เอ่ยขอโทษซ้ำๆ กับความซุ่มซ่ามของน้องชายที่ทำผมเจ็บตัวและทำให้ข้าวของเสียหาย แถมยังย้ำอีกว่าชดใช้ให้เท่านี้ยังรู้สึกน้อยไปด้วยซ้ำ

                    ฟังไปผมก็ได้แต่ยิ้มสลับกับบอกว่า ‘ไม่เป็นไรครับ’ ตลอดการสนทนา อาร์ตยืนกุมมือนิ่งสำนึกผิด กระทั่งพี่สาวได้บ่นจนพอใจก็พาน้องชายเดินกลับไปนั่งหลังเคาน์เตอร์

                    รู้สึกสงสารน้องตัวหดขึ้นมาทันที

                    “ดีนะพี่กับสกายไม่ดุขนาดนี้” แอบกระซิบกระซาบ เวลาทำผิดต้องโดนดุน่ะถูกแล้ว แต่ผมกับสกายเป็นพวกดุไปโอ๋ไปเรนนี่ถึงได้ตัวพองแบบนี้

                    “เรนก็ไม่เคยก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น”

                    “เรื่องใหญ่สุดคงเป็นตอนเอาน้ำยาไก่สาดแมลงมั้ง อดกินทั้งบ้าน”

                    “แม่ยังบ่นอยู่เลยทุกวันนี้”

                    สองบ้านทานข้าวด้วยกันในวันหยุด ทุกคนช่วยกันตั้งโต๊ะเตรียมของ เรนนี่ที่ตัวใหญ่สุดอาสายกหม้อขนมจีนน้ำยาไก่ไปวางที่โต๊ะในสวน ระหว่างทางมีตัวต่อบินเข้ามาใกล้ น้องกลัวเลยเผลอยกหม้อแกงเหวี่ยงใส่ โจมตัวเจ้าต่อตัวนั้นด้วยตีนไก่ในน้ำยากะทิ

                    แต่ผมไม่โทษเรนนี่หรอก ก็คนมันกลัวจะให้ทำยังไง

                    “แล้วมาด้วยกันได้ไง” ถามถึงลูกชายร้านแว่นที่มาถึงพร้อมกัน

                    “บังเอิญเจอตอนกำลังคุยโทรศัพท์กับลี่พอดี”

                    “ตอนที่พี่โทรไปบอกอ่ะนะ”

                    “อืม เรนบอกไปว่าลี่จะแวะไปตัดแว่นวันนี้น้องมันเลยรีบเก็บของตามมา ที่ช้าก็เพราะรอมันนี่แหละ”

                    เรนนี่ยังคงพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนหรือสะดุดว่ามีคำไม่เหมาะสมในประโยค เดิมทีผมตั้งใจว่าจะปล่อยผ่านแล้วแต่เมื่อความรู้สึกออดอ้อนที่มีในน้ำเสียงลดลงจากการที่คำนั้นถูกตัดออกไปก็เกิดอาการทำใจไม่ได้ทุกที

                    “อะไรอ่ะ จ้องเหมือนจะกัด”

                    “พี่ลี่”

                    คนฟังกลอกตาหนี ผมยกสองมือขึ้นประกบหน้าเรนนี่ไว้ไม่ให้หันหนีตาม ทักทีไรทำบ่ายเบี่ยงทุกที

                    “เรียกพี่ลี่ก่อนเร็ว”

                    เด็กดื้อพยายามงัดหน้าตัวเองออกจากพันธนาการของผม ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในร้านแว่นละก็จับหอมแก้มไปแล้ว

                    ดื้อนัก

                    ยื้อยุดกันอยู่ไม่นานผมก็ปล่อยมือออกเมื่อเรนนี่ขัดขืนเต็มกำลัง น้องทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ก่อนพยักพเยิดให้ผมมองไปทางด้านหลังพร้อมกับน้ำเสียงเจี๋ยมเจี้ยมที่ทักขึ้น

                    “แว่นเสร็จแล้วครับพี่ลี่ ลองใส่ดูอีกทีนะครับ พ่อจะได้ช่วยปรับให้พอดี”

                    ผมเดินตามอาร์ตไปยังเคาน์เตอร์เพื่อลองแว่นอันใหม่ ลองใส่เดิน ก้มหน้า เงยหน้า ปรับขนาดให้พอดีไม่หลวมหรือคับไป ได้แว่นใหม่ที่ถูกใจกว่าอันเก่าก็ถูกเก็บใส่กล่อง เอ่ยขอบคุณและชื่นชมกับบริการชั้นเลิศที่ได้รับ ปิดท้ายด้วยการบอกว่าจะเขียนรีวิวให้ทุกคนก็ยิ้มหน้าบานกันใหญ่

                    “เดี๋ยวผมเดินไปส่ง” ลูกชายเจ้าของร้านเสนอตัวเปิดประตูเชิญแขกทั้งสอง ผมก้าวขึ้นไปประกบข้างเพื่อชวนคุย ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องตัวหดเลยนอกจากชื่อ

                    “อาร์ตเรียนปีอะไรแล้ว”

                    “ออกแบบภายในปีหนึ่งครับ”

                    “รู้จักเจ้าเด็กยักษ์คนนั้นมั้ย” บุ้ยปากไปทางเรนนี่ที่เดินทำหน้าเป็นตูดตามหลัง อาร์ตก็ยิ้มแหยให้

                    “รู้จักครับ พี่เขาเด่นจะตาย”

                    “เด่นยังไง”

                    “ทั้งสูงทั้งหล่อ ใครๆ ก็พูดถึง”

                    “อาร์ตก็สูง” เหมือนจะเตี้ยกว่าเรนนี่นิดเดียวเอง เป็นเด็กยักษ์ที่ผมต้องเงยหน้าคุยทั้งคู่

                    “ขอบคุณครับ”

                    “เรื่องวันนั้นไม่ต้องคิดมากแล้วนะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ได้แว่นใหม่มาแล้วด้วย”

                    “ครับ เวลาเจอพี่เรนผมถามถึงอาการพี่ตลอดเลย แต่พี่เรนเขาดูดุๆ” ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา กลัวเรนนี่ได้ยินแหละดูออก

                    “ไม่สนิทก็เป็นงี้ อีกเดี๋ยวเจอกันบ่อยๆ ก็ดีขึ้นเอง”

                    อาร์ตยิ้มแหยยิ่งกว่าเดิม ตัวเริ่มหดเล็กลงเรื่อยๆ กลายเป็นเด็กน้อยตัวเล็กไม่ต่างจากเรนนี่ ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนผมจะได้น้องชายที่น่ารักเพิ่มมาอีกคน

                    เราโบกมือลากันเมื่อเดินมาถึงรถ เรนนี่ปิดปากเงียบไม่หือไม่อือตั้งแต่ออกมาจากร้าน ขึ้นรถแล้วก็ยังไม่ยอมพูด ประท้วงโดยใช้ความเงียบเพราะผมแอบแบ่งความรักนิดๆ หน่อยๆ ให้น้องคนใหม่แน่ๆ

                    “พี่ก็รักเรนคนเดียวนั่นแหละน่า”

                    “ก็ลองรักคนอื่นมากกว่าเรนดูดิ”

                    หันสบตา ต่างฝ่ายต่างเงียบ ทิ้งท้ายประโยคที่เหมือนมีการคาดโทษไว้ในใจ ความผิดโทษฐานแบ่งความรัก มันจะร้ายแรงขนาดไหนกัน

                    “เรนจะทำอะไร”

                    “ทำได้แค่เสียใจมั้ง”

                    “ดราม่าอีก”

                    “ถ้าจะไม่รักเรนแล้วต้องบอกกันด้วยนะ”

                    มาแปลกจนชวนให้ขมวดคิ้วสงสัย รู้อยู่แก่ใจดีว่ารักแต่หลายครั้งมักปฏิเสธที่จะแสดงออก แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงได้พูดจาตรงไปตรงมาถึงขนาดนี้ กำแพงความปากแข็งถูกทลายลงเพราะอายุครบยี่สิบปีหรือไง

                    “ทำไมถึงคิดว่าพี่จะไม่รัก ต่อให้มีแฟนเรนก็ยังเป็นน้องชายที่พี่รักที่สุดอยู่ดี”

                    ผมยืนยันในความรักอันบริสุทธิ์ที่มี เรียกรอยยิ้มบางๆ จากน้องชายก่อนจะโดนเมินหน้าหนี มองวิวข้างทางที่รถเคลื่อนผ่านตามความคล่องตัวของถนน

                    เป็นอะไรไปอีกหรือเปล่านะ

                    

                    ร้านเกาเหลาที่หมายตาไว้วันนี้ปิดร้านพาลูกจ้างไปเที่ยวหัวหินสามวัน แปะป้ายไว้เด่นหราทำผมยืนคอตกขณะที่เรนนี่ขำคิกคัก ตบบ่าแปะๆ จูงมือพาไปนั่งร้านส้มตำข้างๆ ผมสั่งทุกอย่างที่ดูน่ากินเพื่อความสะใจเอาให้หายแค้น กินอิ่มพุงกางก็ชวนกันไปเดินซอยข้างๆ ที่เหมือนถนนคนเดินขนาดย่อมความยาวแค่ร้อยเมตร

                    ในซอยนี้มีร้านค้าหลากหลาย รวมถึงร้านเครื่องเขียนที่ผมเคยมาซื้อบ่อยๆ ตอนเรียน เราก้าวไปตามเส้นทางที่มีผู้ร่วมสัญจรอยู่ประปรายอย่างไม่เร่งรีบ เพียงต้องการย่อยอาหารที่เพิ่งกินจนแน่นท้อง อิ่มถึงขนาดร้านของกินที่ดูน่าอร่อยตามทางไม่สามารถชักจูงผมที่รักการกินเป็นอย่างยิ่งได้เลย

                    “พี่ลี่”

                    เดินมาถึงกลางซอยเรนนี่ก็ชี้ให้ดูร้านขายกระบองเพชรที่ผมจำไม่ได้ว่ามันเคยตั้งอยู่ตรงนั้น

                    “หาเพื่อนให้ซันกันมั้ย” ถามด้วยสายตาเชิญชวน ลูกหมาน้อยเริ่มทำการออดอ้อน

                    “เอาดิ”

                    แคคตัสหลากหลายรูปร่างต่างขนาดวางเรียงบนโต๊ะ บางต้นสูงยาว บางต้นกลมอ้วน บางต้นมีดอกสีชมพู ราคาแตกต่างตั้งแต่ต้นละยี่สิบบาทไปถึงหลักร้อย

                    หลังจากกวาดสายตามองจนรอบผมเลือกหยิบกระถางที่เหมือนมีปุยนุ่มๆ สีขาวคลุมทั้งต้น เจ้าของร้านเรียกมันว่าแมมขนแกะ เป็นสายพันธุ์ไม่มีหนาม ความขาวและอ่อนนุ่มที่ดูน่ารักน่าชังของเจ้าต้นนี้ถูกใจผมนัก

                    “ชอบต้นนี้เหรอ”

                    “อืม เอามั้ย หรือเรนอยากได้ต้นไหน”

                    “เอาต้นนี้ก็ได้ เรนเป็นคนเลือกซันแล้วต้นนี้ให้พี่ลี่เลือกแล้วกัน”

                    พูดจาน่ารักอีกแล้วน้องชายผม

                    เมื่อเจอของที่ถูกชะตาก็ตกลงซื้ออย่างไม่รีรอ เจ้าของร้านบอกว่าเจ้าต้นนี้ชอบแดดมาก วางไว้กลางแดดร้อนๆ ได้ เพราะมีขนช่วยกรองแสง ยิ่งแดดดีขนนุ่มฟูยิ่งปุกปุย ข้อควรระวังคือห้ามให้น้ำเยอะเกินไป หากต้นเน่าจะดูออกยากเพราะขนปกคลุมทั้งต้น ที่สำคัญคือฝุ่นจะทำให้ขนสีขาวกลายเป็นสีดำได้

                    ยกกระถางชื่นชมความน่ารักของเจ้าเมอร์คิวรี่เพื่อนใหม่ของซันระหว่างเดินกลับที่จอดรถ ผมชอบขมนุ่มนิ่มน่าสัมผัสของมันจริงๆ เจ้าของร้านยังเสริมอีกว่าออกดอกง่ายและออกทั้งปี สัญญาว่าจะดูแลมันอย่างดีเลย

                    “เห่อใหญ่” เรนนี่ว่า เพราะเป็นของที่ชอบก็ต้องเห่อเป็นธรรมดามันถูกต้องแล้ว

                    “มันน่ารักนะ”

                    “ตัวโตกว่าซันอีก”

                    “เพราะเป็นของพี่ไง เหมือนพี่กับเรนนั่นแหละ”

                    “ย้ำจังเลย”

                    “อะไรนะ”

                    เรนนี่พึมพำเบาๆ ผมเลยได้ยินไม่ชัด เมื่อถามกลับน้องก็ส่ายหน้าใส่ แบบมือขอเมอร์คิวรี่ไปชื่นชมความน่ารักบ้าง เสียงเบาๆ ที่ผมได้ยินแค่ท้ายคำว่า ‘จังเลย’ เมื่อกี้อาจเป็น ‘น่ารักจังเลย’ ก็ได้

                    ต้องใช่แน่ๆ

     

    tbc

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×