คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ฝันครั้งที่ 4
ฝันครั้งที่
4
'ไปดูหนังกัน'
คำชวนที่คาดไว้ว่าอาจจะได้รับเด้งขึ้นมาจากกล่องข้อความเฟซบุ๊ก
หลงซึ่งกำลังนั่งทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจเหลือบมองที่มุมขวาล่างของหน้าจอคอมฯ
ทั้งที่คิดว่าจะทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยตอบ แต่มือดันไวเลื่อนเม้าท์คลิกเข้าไปอ่านเสียอย่างนั้น
วันนี้เป็นวันเสาร์
เป็นวันหยุดแต่หลงต้องมาทำโอที เพื่อนเองก็เช่นกัน
ข้อความจากกล่องเฟซบุ๊กดังแจ้งเตือนตั้งแต่เช้าอย่างกับรายงานสถานการณ์ข่าว
ก่อนจะหายไปครึ่งค่อนวันและกลับมาอีกครั้งพร้อมคำชวนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่หลังจากเลิกงานบ่ายนี้เขาไม่มีธุระสลักสำคัญอะไรอยู่แล้ว นานๆ
ทีจะเข้าโรงหนังบ้างคงไม่เสียหาย
Veerayu
: กี่โมง
Yanakorn
: ห้าโมงเย็น
Veerayu
: ได้
Yanakorn
: โอเค แล้วเจอกัน
Veerayu
: อืม
ด้วยความชินและลืมตัวทำให้หลงพิมพ์คำต้องห้ามออกไป
เพียงเท่านั้นคนที่นิสัยติดจะกวนประสาทนิดๆ ก็ออกฤทธิ์ทันที
Yanakorn
: อืม
Yanakorn
: อืม
Yanakorn
: อืม
Yanakorn
: อืม
ให้มันได้อย่างนี้สิ
Veerayu
: โอเคๆ เจอกันห้าโมง
หลงถอนหายใจเฮือกใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองข้อความที่โชว์อยู่ด้วยความรู้สึกหลายอย่างตีวนอยู่ในอก
มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกับการกลับมาของเพื่อนครั้งนี้ กลับมาเพื่อนสานต่อ
หรือที่จริงต้องการแก้แค้นกันแน่ เขาที่ไม่มีอะไรดี เขาที่ปฏิเสธความรัก
เขาที่ยังไม่มีความมั่นใจใดๆ แล้วเพื่อนยังจะเลือกเขาจริงๆ อย่างนั้นเหรอ
บางเรื่องที่ต้องใช้สมองมากๆ
ก็อาจจะทำให้เขามีความคิดเพี้ยนๆ ก็เป็นได้
หลงมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลานัดสิบนาที
เขาได้รับข้อความจากเพื่อนว่ามาถึงก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
แถมยังซื้อตั๋วหนังไว้แล้วเรียบร้อย หลงกวาดตามองหาหลังจากขึ้นมาชั้นโรงหนัง
แต่คนสดใสอย่างเพื่อนโดดเด่นกว่าใครเสมอ และสายตาเขาก็มักถูกสะกดให้จับจ้องไปยังคนคนนั้นทุกครั้งไป
เพื่อนยืนเท้าแขนกับราวที่กั้น
มองลงไปข้างล่าง ด้านข้าง กวาดสายตาไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย ท่าทางธรรมดาๆ
ที่ไม่น่าสนใจ แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมากลับหยุดสายตาไว้ที่เขาเมื่อเดินผ่าน
ยังเป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
หลงสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบโดยไม่เอ่ยทัก
ยกมือขึ้นแตะไหล่ให้อีกคนหันมา
เพื่อนไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือทักทายอะไรเป็นพิเศษ
เขาทำเพียงยิ้ม โชว์ลักยิ้มที่แก้มขวาก่อนเอ่ยถาม
"กินข้าวยัง"
"ยัง"
"งั้นไปกินข้าวกัน"
ไม่รอให้หลงตอบเพื่อนก็เดินนำหน้าไปยังศูนย์อาหารที่อยู่ข้างโรงหนัง
ขณะที่ปากก็เอาแต่จ้อไม่หยุด
"วันนี้โคตรเหนื่อยเลย
คนไข้อย่างเยอะ มีเคสแปลกๆ ด้วยนะ คุยกันไม่รู้เรื่อง เจอแบบนี้บ่อยๆ จะเป็นบ้าเอา...หนึ่งร้อยครับ" ปากพูดมือขยับหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์เพื่อแลกการ์ดไปซื้ออาหาร
เพื่อนชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเวลาพูดถึงเรื่องงาน
เขาเบื่อกับการต้องมารองรับอารมณ์คนแปลกๆ วันๆ เจอคนหลักร้อย ถ้าเจอบ่อยๆ
มีหวังเป็นโรคประสาทแน่
"แปลกยังไง"
"เป็นฝรั่งแต่พูดไทยได้...ขอบคุณครับ" ตอบคำถามยังไม่ทันจบเพื่อนก็ตัดบทรับการ์ดจากพนักงานหลงเลยใช้จังหวะนี้แกล้งแซวอีกฝ่ายเล่น
"แค่ฝรั่งพูดไทยได้แปลกตรงไหน"
"เดี๋ยวดิยังไม่จบ"
หันมาขมวดคิ้วใส่ก่อนเดินหลบฉากออกมายืนรอด้านข้างเพื่อให้หลงได้แลกการ์ดของตัวเองบ้าง
ใบหน้าที่ผอมเรียวกว่าเมื่อหลานปีก่อนยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้มขณะยื่นเงินให้พนักงานและรับการ์ดสำหรับซื้ออาหารกลับมา
เมื่อเดินเข้ามาหาเพื่อนคนเก็บกดเรื่องงานก็เริ่มสาธยายอีกรอบ
"ไม่ใช่แค่ฝรั่งพูดไทยได้"
"ทำไมอะ
เขาพูดภาษาอื่นได้ด้วยเหรอ"
"พูดมากอะดิ"
เพื่อนยังคงขมวดคิ้วเล่าถึงคนไข้ที่น่าปวดหัวสำหรับเขาระหว่างเดินหาร้านที่อยากกิน
"โดนด่าเหรอ"
"ใช่
แต่มันไม่ใช่ความผิดเราไง มันเป็นที่ระบบ ทางโรง'บาลเขาให้ทำแบบนี้
ถ้าไม่ทำตามก็ซวยที่เราอีก แล้วดันโชคร้ายได้เคสตานี่พอดี โดนวีนใส่เฉย ด่าฉอดๆ
ภาษาไทยแบบชัดมาก อธิบายก็ไม่ฟัง ทำตัวเหมือนเด็ก"
เหมือนความอัดอั้นทั้งหมดถูกปลดปล่อยมาลงที่หลง เพื่อนใส่อารมณ์เต็มที่
นึกถึงหน้าตาฝรั่งคนนั้นแล้วก็ยังไม่โมโหไม่หาย แต่พอคิดอีกมุมก็ตลกดี
บนโลกยังมีคนที่มีความคิดแปลกๆ ไม่ตรงกันอีกมากมาย
และเขาเองก็ต้องเจอคนเหล่านี้ไปอีกนานเหมือนกัน
"ก็ยังดีที่เขาพูดภาษาไทย"
"ภาษาอังกฤษก็มาเถอะ
ไม่กลัว"
"จ้า
พ่อคนเก่ง"
เพื่อนยืดอกทำหน้าภูมิใจ
เขาเป็นคนหัวดี ถนัดวิชาการมากกว่ากิจกรรม แม้ไม่ได้ตั้งใจเรียนแบบเอาเป็นเอาตายแต่ผลการเรียนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจเสมอ
ดีจนบางทีหลงยังนึกอิจฉา คนที่เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน ตอนขึ้น ม.6 ทำตัวเหมือนเด็กภาคบ่ายเข้าเรียนสายเป็นกิจวัตร แต่เมื่อผลสอบออกมาเพื่อนกลับทำได้ดีอย่างกับรู้ข้อสอบล่วงหน้า
เป็นคนที่ขี้โกงทั้งเรื่องหน้าตาและหัวสมอง
"หลงจะกินอะไร"
ได้บ่นจนพอใจถึงได้วกกลับมาเรื่องกิน เพื่อนเล็งร้านที่อยากกินเอาไว้แล้ว
แถมยังเดินเลยมาแล้วด้วย ถ้าหากร้านนั้นไม่ใช่ร้านเดียวกัน
เขากับหลงคงต้องแยกกันที่ตรงนี้
"ร้านนั้น"
หลงชี้ไปด้านหน้าที่อยู่ถัดไปอีกสองสามร้าน
"งั้นแยกกันซื้อแล้วเจอกันตรงนั้น"
เพื่อนชี้ไปยังโต๊ะว่างที่อยู่ระหว่างทาของร้านทั้งสองพอดี
หลังจากตกลงกันได้ทั้งคู่ก็หันหลังให้กันก่อนเดินแยกย้ายไปยังร้านที่ตัวเองเล็งเอาไว้
อาหารจานเดียวตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อนกับหลงหลังจากไปเลือกซื้อของที่อยากกินมา
หลงกินข้าวคลุกกะปิ ส่วนเพื่อนกินยำมาม่า เมนูโปรดอีกหนึ่งเมนูตั้งแต่สมัยเรียน
ยำมาม่าโปะหน้าด้วยไก่ทอด หลงยังจำเมนูนี้ได้ดี
"เหมือนจะเผ็ด"
เห็นสีแสบสันกับเม็ดพริกที่อยู่ในจานแล้วหลงรู้สึกแสบท้องแทน
ถ้าเขาจำไม่ผิดเพื่อนเป็นพวกกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง
แล้วทำไมถึงได้สั่งรสชาติซะน่ากลัวแบบนี้
"บอกเขาว่าไม่เผ็ด"
"ใช่เหรอ"
"เขาคงหูไม่ค่อยดีมั้ง"
เพื่อนบอกแล้วขำแห้งก่อนจิ้มไส้กรอกเข้าปากเพื่อลองชิม เผ็ดจริงจังแบบไม่ต้องสืบ
"เป็นไง"
"เผ็ดดิ"
"แล้วกินได้เปล่า"
"ได้ๆ"
พยักหน้าตอบรับแข็งขันแล้วใช้ส้อมม้วนเส้นมาม่าส่งเข้าปาก
ถึงจะเผ็ดแต่พอมีรสเปรี้ยวมาตัดอาการมันเลยไม่ร้ายแรงนัก แต่หลังกินเสร็จขอของหวานล้างปากสักหน่อยก็ดี
หลงกินไปก็คอยสังเกตอาการเพื่อนไปอย่างนึกเป็นห่วง
ปากเริ่มแดงเหงื่อเริ่มออกแต่ท่าทางกลับดูมีความสุข
ที่เขาบอกว่ากินเผ็ดจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ทำให้รู้สึกมีความสุขท่าทางจะจริง
ถ้าเกิดไม่ท้องเสียก็คงจะดี
นิสัยการกินของหลงกับเพื่อนนั้นแตกต่างกัน
หลงไปพวกชอบกินไปคุยไปตามฉายาหลงหลับ
คนตัวใหญ่ที่หลายคิดว่าน่าจะกินเร็วกลับกินหมดช้ากว่าชาวบ้านประจำเพราะมัวแต่พูด
ส่วนเพื่อนเป็นพวกตั้งใจกิน
พอมีของกินที่ชอบอยู่ตรงหน้าก็เหมือนจะไม่สนใจอย่างอื่น กินไปฟังหลงพูดไป สลับกันบ่นเรื่องสัพเพเหระให้กันละกันฟัง
"พรุ่งนี้เพื่อนหยุดใช่มั้ย"
คนที่กำลังใช้ส้อมม้วนเส้นมาม่าเข้าปากพยักหน้ารับ
"หลงไม่ได้หยุดต้องเข้าบริษัท
โคตรเซ็งเลย"
"ทำไมอะ"
"หัวหน้าเข้าเลยต้องเข้าตาม
โอทีก็ไม่ได้ เห็นว่าเป็นรุ่นน้องที่มหา'ลัยเลยใช้งานใหญ่
บางทีพี่แม่งพาลูกมาให้เลี้ยงก็มี โคตรกันเอง แต่จริงๆ ทำที่นี่มันก็โอเคนะ
ใกล้บ้าน รถไม่ติด ไม่อึดอัด ถึงงานจะเยอะไปหน่อยแต่สบายใจดี สิ้นปีมีพาไปเที่ยว
สวัสดิการอะไรก็โอเค"
เพื่อนอมยิ้มหลังจากฟังเพื่อนเล่าจบ
คำถามที่ตั้งใจจะถามแทรกให้รับรู้ว่าฟังอยู่ไม่ได้พูดออกไปสักพยางค์เดียว
เพราะหลงเล่นพูดยาวแบบไม่มีเว้นช่วง บ่นเองชมเองเสร็จสรรพ
ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มัธยม ถ้าได้พูดเมื่อไรอย่างหวังเลยว่าใครจะขัดได้
"ดีแล้วจะได้ไปหากันสะดวก"
"ใครจะหาใคร"
หลงแกล้งถาม รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนหมายถึงใคร คนบ้านใกล้มีใครบางที่เพื่อนรู้จัก
ตัดเล็กออกไปเพราะมันย้ายบ้านแล้วก็เหลือแค่เขาคนเดียว
ที่จริงไม่ต้องคิดเรื่องคนที่เพื่อนอยากเจออยากไปหาให้ปวดหัวเลยด้วยซ้ำ
"ยังจะถาม"
"เผื่อมีเพื่อนคนอื่นไง"
"ไม่มีหรอก
ถ้าไม่มีหลงก็ไม่เหลือใครแล้ว"
"น่าสงสาร"
"ใช่มั้ย"
เพื่อนพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเต็มที่ ปูมาขนาดนี้จะไม่เล่นด้วยก็ยังไงอยู่
สิ่งเหล่านี้มันก็แค่ช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะแทรกเข้าไปได้ เขาไม่รู้
ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วหลงรู้สึกยังไง เปิดใจให้กันแล้วหรือยัง
ที่ได้มาอยู่ด้วยกันวันนี้ ยอมติดต่อกันอยู่อย่างนี้มันก็ดีเกินพอแล้ว
ดีจนคิดว่าให้เป็นเพื่อนกันตลอดไปก็ยังได้ แต่เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
เพื่อนไม่อยากเป็นแค่เพื่อน
"แล้วทำงานไกลบ้านแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ"
หลงเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็น มันไม่ได้ไกลจากที่คุยกันอยู่นักแต่ก็ดีกว่าพูดวนเวียนเกี่ยวกับความรู้สึกอยู่แบบนั้น
"ก็มีบ้าง
แต่พอได้กลับบ้านก็หาย"
"ทำไมไม่ซื้อรถขับ
ต้องตื่นเช้ากลับดึก เดี๋ยวร่างกายก็ไม่ไหวเอาหรอก"
"ขี้เกียจขับ
เดี๋ยวไม่ได้นอน"
คำตอบจากเพื่อนไม่ผิดจากที่หลงคิดไว้นัก
เพื่อนจอมขี้เซา เพื่อนจอมขี้เกียจ เพื่อนผู้เฉื่อยชา
"นอนบนรถตู้มันดีตรงไหน
สัปหงกปวดคอเดี๋ยวเลยป้ายอีก ดีไม่ดีเจอขโมยของตอนหลับ รถตู้สมัยนี้ก็ขับซิ่ง
อันตราย"
"พอๆ
กินข้าว จะหมดมั้ยนั่น จะได้เวลาแล้ว"
เพื่อนต้องรีบเบรกก่อนจะโดนบ่นไปมากกว่านี้ เขาหัวเราะเบาๆ
ไม่ได้คิดจริงจังกับข้อคิดเห็นของหลงนัก
หลังจากโดนเบรกหลงถึงได้รู้ตัวว่าเพื่อนจัดการยำมาม่าของตัวเองหมดแล้ว
เหลือแค่เขาที่ยังกินไม่หมด เพราะเวลาพูดมือที่จับช้อนส้อมชอบอยู่นิ่งๆ มากกว่าตักอาหารใส่ปากเหมือนอีกฝ่าย
แต่พอได้มองหน้าเพื่อนชัดๆ หลงก็ชักเป็นห่วง ปากบวมหน้าแดง
โดนยำมาม่าทำพิษเสียแล้ว
"ปากบวมหมดแล้ว"
"ขอไปหาขนมกินก่อนนะ"
พูดจบเพื่อนก็ลุกเดินเร็วๆ ไปยังร้านขนมหวาน เขาคงเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ
หนังที่เพื่อนชวนมาดูวันนี้เป็นแนวบู๊แอคชั่นที่เขาเลือกสุ่มมาเพราะคิดว่าน่าดูที่สุดจากหนังที่กำลังฉายในช่วงนี้
ที่จริงแอบเห็นผ่านตาในโซเชียลมาบ้างแต่ไม่ได้รู้รายละเอียดเยอะนัก
มีคนชมแสดงว่าต้องสนุก เขาไม่ใช่คนเลือกมากเรื่องหนัง
ถ้าไม่น่าเบื่อจนเกินไปเขาคิดว่าทุกเรื่องสนุกหมด
เพราะเป็นวันหยุดแถมห้างนี้เป็นที่เดียวที่มีโรงหนังในแถบนี้คนเลยเยอะเป็นพิเศษ
ที่นั่งเต็มไปครึ่งโรง เพื่อนเลือกที่นั่งด้านหลังเพราะเคยมีประวัติ
เวลาได้นั่งใกล้จอทีไรเป็นอันต้องมึนหัวจะอ้วกทุกที
ตั้งแต่รู้จักกันมาเป็นสิบปีเพื่อนเคยดูหนังกับหลงแค่ครั้งเดียวสมัยเรียน
ตอนนั้นมาดูกันทั้งกลุ่มแถมยังได้ส่วนลดราคานักเรียน
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเรื่องอวตาร ตอนนั้นทั้งคู่ได้นั่งข้างกันเพราะหลงเดินช้าส่วนเพื่อนติดนิสัยเดินรั้งท้าย
และเป็นการดูหนังที่เฮฮาที่สุดเท่าที่จำความได้
แม้จะเป็นในโรงหนังที่ต้องอยู่ในความเงียบหลงยังใช้ช่วงเวลาที่เอฟเฟคในหนังดังๆ
ชวนเพื่อนคุยได้ตลอดเวลา ออกความเห็นนั่นนี่เหมือนนักวิจารณ์หนัง
พูดมากจนเพื่อนต้องยกมือขึ้นจุ๊ปากส่งเสียงชู่วเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเลือกชวนคุย
"ดูหนังก่อน"
หลงเงียบทันทีที่โดนว่า
ตัวที่เคยเอนมาหาขยับออกห่างเพื่อนเลยคว้าแขนไว้ไม่ให้ขยับหนีแล้วกระซิบถามข้างหู
"งอน?"
"เปล่า"
คนตอบหน้าตรงมองจอ ไม่ใช่ว่าเขางอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากหันหน้าไปคุย
แต่เพราะเพื่อนเข้ามาใกล้เกินไป ถ้าหันหน้าไปอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็ได้
"แล้วขยับหนีทำไม"
"จะได้เลิกคุยไง"
"เลิกคุยก็ไม่จำเป็นต้องขยับหนี"
สรุปเองเสร็จสรรพแถมยังไม่ยอมปล่อยแขนที่คล้องไว้อยู่ เพื่อนชอบแขนของคนคนนี้
เขาอยากจะทำมากกว่าคล้องมันไว้ด้วยซ้ำ อยากได้มันมาครอบครองเหมือนเมื่อก่อน
แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับไปทำแบบนั้นได้โดยที่อีกฝ่ายเต็มใจ
หลงไม่ขัดขืนไม่ชวนคุยอีกตามที่บอก
รอให้เพื่อนเป็นฝ่ายเข้ามากระซิบคุยเองบ้างนานๆ ครั้ง
เอนตัวเข้าหากันจนเหมือนรังเกียจคนข้างๆ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าโลกเขาเริ่มเอนเอียงแล้วก็เป็นได้
กว่าหนังจะจบฟ้าก็มืด
ร้านค้าในห้างทยอยกันปิดหมดจนเหลือแค่ไม่กี่ร้าน
มีเพียงฝั่งโรงหนังโซนเดียวที่ยังคึกคัก
จะสามทุ่มแล้วแต่คนยังเดินเข้าออกไม่ขาดสาย
"คราวหลังมาดูรอบดึกกันมั้ย"
ความคิดของเพื่อนน่าสนใจไม่หยอก
หลงดูหนังไม่บ่อยและไม่เคยมาดูตอนกลางคืน อย่างช่วงสี่ห้าทุ่ม กลับถึงบ้านคงเลยเที่ยงคืนตีหนึ่ง
มีหวังโดนแม่บ่นแน่ๆ
"แล้วจะดูเรื่องอะไร"
"หนังผีดิ"
ว่าแล้วเพื่อนก็ชี้ไปที่โปสเตอร์หนังที่กำลังจะเข้าฉายเร็วๆ นี้
"ไม่ดีกว่า"
"กลัวผีด้วยเหรอ"
"ก็นิดหน่อย"
"เฮ้ย
อันนี้เพิ่งรู้"
เพื่อนดูท่าทางดีใจแต่หลงกลับไม่รู้สึกดีด้วยเลยสักนิด
อย่างกับบอกจุดอ่อนให้คนไม่น่าไว้ใจรู้
แล้วแบบนี้คราวหลังจะไม่โดนหลอกมาดูหนังผีหรอกเหรอ
"งั้นการ์ตูนดูได้ใช่มั้ย"
เมื่อรู้ว่าหลงไม่ชอบหนังผีเพื่อนเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นอนิเมชั่นที่ป้ายถูกแขวนอยู่ข้างๆ
กันแทน
"ก็ได้อยู่"
"โอเค
งั้นเดือนหน้ามาดูเรื่องนี้"
ตารางชีวิตเดือนหน้าถูกแปะป้ายไว้ว่าไม่ว่างอีกหนึ่งวัน
หลงไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ แต่การไม่พูดก็กลายเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธคำชวนจากเพื่อนได้อยู่ดี
เพราะเพื่อนไม่มีรถหลงเลยอาสาขับไปส่งที่บ้านแม้อีกคนจะปฏิเสธเนื่องจากบ้านทั้งคู่ไกลกันเป็นสิบกิโล
แต่หลงไม่ใช่คนคิดมากเรื่องเวลาไม่กี่สิบนาที ตอนนี้มันดึกแล้ว
รถตู้ยังพอมีแต่คนที่จะนั่งเป็นเพื่อนคนบ้านไกลจะเหลืออยู่สักกี่คน
เพราะฉะนั้นให้เขาเป็นคนไปส่งปลอดภัยที่สุด
รถกระบะสี่ประตูจอดหน้าบ้านที่มีอ่างบัวตั้งอยู่
คุณแม่ของเพื่อนที่วันนี้ทำหน้าที่อยู่เฝ้าบ้านเปิดประตูออกมาดู เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีคนขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านก็ได้แต่ทำหน้างง
แม้คนบนรถจะเปิดประตูลงมาก็ยังมีสีหน้าสงสัยไม่หายอยู่ดี
"แม่
นี่หลง"
"สวัสดีครับ"
หลงยกมือไหว้หญิงวัยห้าสิบกว่าอย่างนอบน้อม เขาเจอแม่เพื่อนอยู่ไม่กี่ครั้ง
แต่ด้วยความสาวและสวยทำให้ตรึงตาตรึงใจจนมาถึงตอนนี้
แม้จะผ่านไปเป็นสิบปีแต่ผู้หญิงคนนี้กลับยังสวยไม่เป็นแปลง
ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้เป็นแวมไพร์กันหรืออย่างไร
"สวัสดีจ้ะ
เข้าบ้านก่อนมั้ยลูก" คนเป็นแม่รับไหว้เชื้อเชิญแขกเข้าบ้าน
อาการงงงวยในทีแรกหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มหวานๆ ที่ดูสดใสไม่แพ้ลูกชาย
เธอรู้จักเด็กผู้ชายที่ชื่อหลงดี เพื่อนในกลุ่มที่ลูกชายของเธอชอบเล่าให้ฟังบ่อยๆ
แต่ไม่คิดเหมือนกันว่าจากเด็กอ้วนที่ลดน้ำหนักแล้วจะทำให้ดูดีผิดหูผิดตาได้ขนาดนี้
"ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวผมกลับเลย สวัสดีครับ" หลงปฏิเสธ ยกมือไหว้อีกครั้งก่อนเดินกลับขึ้นรถ
เพื่อนยืนรอส่งจนหลงวนรถออกไป
มองคุณแม่สุดสวยที่ส่งยิ้มมาให้อย่างมีเลศนัยแล้วเดินเข้าไปสวมกอด
"ไงเรา"
"เพื่อนจะพยายามอีกครั้งนะแม่"
"แม่จะรอฟังข่าวดี"
เธอกระชับกอดแน่นเพื่อนส่งกำลังใจ หอมหัวลูกชายจอมดื้ออีกหนึ่งทีถึงได้ปล่อยออก
เพื่อนยิ้มกว้างเดินอารมณ์ดีเข้าบ้าน
ตอนนี้เขาอยู่กับแม่แค่สองคนเพราะพ่อถูกส่งตัวไปทำงานต่างประเทศ
ความจริงถ้าพ่อไม่ไปเขาก็คงจะอยู่เชียงรายยาวๆ แต่เพราะเป็นห่วงแม่เลยต้องกลับมา กลับมาดูแลแม่
กลับมาดูแลครอบครัว
กลับมาหาคนที่เข้าใจและคนที่รักเขามากที่สุด
TBC.
เหมือนโดนรู้ความคิดเลยค่ะเพราะตอนแรกเราว่าจะยังไม่อัพต่อ
แต่ตอนนี้จะลงต่อเรื่อยๆ นะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน
เจอกันตอนหน้าค่า
ความคิดเห็น