ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dream of Me อยากให้เธอฝันยามหนุน

    ลำดับตอนที่ #4 : ฝันครั้งที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 61




    ฝันครั้งที่ 3


                ชีวิตคนวัยทำงานอย่างหลงไม่มีอะไรน่าสนใจนัก เช้ามาตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัวขับรถไปบริษัท ทำงานตั้งโต๊ะในตำแหน่งธุรการตามที่รุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทชักชวนมาทำ วันหยุดถ้าไม่ใช้เวลาอยู่ที่บ้านก็ออกไปไหนมาไหนกับครอบครัว ไม่ก็หมดไปกับการสะสางปัญหาธุระต่างๆ ชีวิตของเขาที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน

                วันที่เขาได้เจอกับเพื่อนที่ชื่อเพื่อนอีกครั้ง

                หลังจากกดรับคำขอเป็นเพื่อนไป หลงก็ได้รับข้อความทักทายจากเพื่อนทุกวัน กล่องข้อความในเฟซบุ๊กที่แทบไม่ได้คุยกับใครนอกจากเพื่อนร่วมงานช่วงนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ เริ่มด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ เมื่อตอบกลับคำถามทั่วไปอย่างเรื่องงาน เรื่องของกิน หรือกระทั่งคำว่าทำอะไรอยู่ก็ถูกส่งกลับมา อย่างกับพวกวัยรุ่นที่เริ่มจีบกันใหม่ๆ แต่จะว่าไปเพื่อนก็กำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ เพื่อนกำลังพยายามจะจีบเขาอยู่จริงๆ

                "เฮ้อ~" หลงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังเผชิญ ตอนนี้เขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว รู้ตัวและกำลังทำความเข้าใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เพราะเขาไม่อยากทำให้เพื่อนต้องเศร้าด้วยคำพูดโหดร้ายนั่นอีก

                งานยังสุมหัวอยู่เต็มโต๊ะแต่หลงกลับไม่มีแรงจูงใจจะทำมันเท่าไรนัก จอคอมฯ เปลี่ยนเป็นหน้าเฟซบุ๊ก กดเข้าชื่อเพื่อนที่ทักมาเมื่อชั่วโมงก่อนแล้วก็หายเงียบไป รูปที่ไม่รู้ถ่ายตั้งแต่สมัยไหนถูกตั้งเป็นภาพโปรไฟล์ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเพื่อนคนนั้นแทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเลย หนำซ้ำหน้าไทม์ไลน์ยังไม่มีการอัพเดทมาแล้วหลายเดือน เป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบเปิดเผยการเคลื่อนไหว เขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอื่นๆ ในกลุ่มถึงไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นตายร้ายดียังไง ขนาดเขาเองยังได้เป็นเพื่อนกันทางโซเชียลไม่ครบหนึ่งอาทิตย์ดีด้วยซ้ำ

                หลงเลื่อนเมาส์ลงมาเรื่อยๆ ผ่านหน้าไทม์ไลน์ที่เคยผ่านมาสายตามาแล้ว เขาแค่อยากดู ไม่มีเหตุผลอะไรอื่น ดูรูปเก่าๆ ของเพื่อนที่หนีไปเรียนไกลถึงเชียงใหม่ เรียนจบย้ายไปทำงานเป็นนักรังสีการแพทย์ที่เชียงราย ก่อนกลับมาประจำอยู่โรงพยาบาลทันตกรรมในกรุงเทพฯ เมื่อสามเดือนก่อน

                หน้าจอเฟซบุ๊กถูกปิดลงเพื่อกลับเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงานอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะเป็นเวลาว่างของคนที่หลงเพิ่งเข้าไปส่องเฟซบุ๊กเมื่อกี้นี้ ข้อความที่ทิ้งห่างไปนานร่วมชั่วโมงจึงถูกตอบกลับมา

                Yanakorn : คนไข้เยอะมาก

                Yanakorn : ข้าวที่กินไปย่อยหมดแล้ว

                Veerayu : ตั้งใจทำงานไป

                Yanakorn : ก็ตั้งใจตลอด

                Yanakorn : ตอนนี้ว่างละ

                Veerayu : อืม

                เพื่อนว่างแต่หลงไม่ว่าง เพราะเขายังมีงานรอให้เคลียร์อีกเป็นตั้ง เลยตอบกลับไปเป็นคำสั้นๆ ก่อนจะโดนอีกฝ่ายว่ากลับมา

                Yanakorn : ไม่ชอบเลยคำนี้ เหมือนไม่อยากคุย

                Veerayu : แล้วจะให้ตอบว่าไง

                Yanakorn : สติ๊กเกอร์โง่ๆ ก็ยังดี

                'ทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงขี้งอน' หลงอยากจะว่าเพื่อนกลับไปแบบนั้น ก็แค่คำว่า 'อืม' ทำไมต้องคิดว่าไม่อยากคุย มันก็เป็นเพียงแค่การตอบรับแบบหนึ่ง เวลาเขาโดนเพื่อนๆ พิมพ์คำนี้ใส่ยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย แต่สุดท้ายก็ยอมส่งสติ๊กเกอร์กลับไปแทน

                Veerayu : ทำงานก่อน

                Yanakorn : OK

                หลงปิดหน้าจอลงเพื่อกลับไปเคลียร์งานที่ค้างอยู่ แต่ทิ้งเวลาไว้ไม่ถึงสามวินาทีแถบด้านล่างก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า จากเพื่อนเจ้าเก่าเจ้าเดิม

                Yanakorn : ทิ้งเบอร์ไว้ให้หน่อย ว่าจะขอตั้งนานแล้วแต่ลืม เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน

                'มันจะมีอะไรให้ฉุกเฉิน' หลงได้แต่คิดในใจ ขนาดไม่ได้ติดต่อกันตั้งแปดปียังมีชีวิตรอดกลับมาเจอกันได้ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นมือเจ้ากรรมดันพิมพ์ตัวเลขสิบหลักลงไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้ก็ตอนอีกฝ่ายบอกขอบคุณกลับมา

                สมองคัดค้านแต่ใจกลับเปิดรับ อยากดันเพื่อนให้ห่างออกหรือดึงให้เข้ามาใกล้กันแน่ตอนนี้หลงยังสับสนในตัวเอง

     

                . 4 เทอม 2

                กลายเป็นเรื่องปกติที่หลงเห็นจนชินตา ภาพรุ่นน้อง ม.ต้น วิ่งตามเพื่อนของเขา คนที่มีดวงตาเปล่งประกายสุกใสกับลักยิ้มที่แก้มขวา แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจเท่าไรว่าตัวเองเป็นที่นิยมในโรงเรียนขนาดไหน เพราะเพื่อนก็คือเพื่อน คนที่ยิ้มให้กับทุกอย่างและไม่เคยทำตัวทุกข์ร้อนกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา

                "พี่เพื่อนคะ"

                คนที่เดินรั้งท้ายกลุ่มหยุดเท้าหันไปมองตามเสียงเรียกทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มหยุดตาม สาวน้อยในชุดนักเรียนคอซองยืนยิ้มอย่างเหนียมอายท่าทางกล้าๆ กลัวๆ จนเจ้าของชื่อที่ถูกรั้งไว้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามหาเหตุผลแทน

                "น้องมีอะไรหรือเปล่า"

                "คือหนู...ขออีเมลได้มั้ยคะ"

                จบคำขอเพื่อนๆ ก็พากันโห่ร้องแซว ทำเอาสาวน้อยใจกล้าสะดุ้งตัวโยนทำท่าจะหลบฉากหนี จนเพื่อนต้องสั่งให้เพื่อนหยุดส่งเสียงอันเสียมารยาทลงก่อน

                "พวกมึงเงียบ! น้องเขากลัวหมดแล้วเนี่ย"

                แต่มีหรือเหล่าทโมนจะยอมกันง่ายๆ

                "ถ้ากล้ามาขอขนาดนี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้วจ้ะน้อง"

                "มาได้ถูกเวลาซะด้วย มันกำลังหาคนมาดามใจอยู่พอดี"

                "อย่างกับรู้ว่ามันเพิ่งอกหัก"

                "ข่าวมันก็ออกจะดังป้ะวะ"

                "หุบปากไปเลยพวกมึง" โดนแซวหนักๆ เพื่อนเลยโพล่งออกมาอย่างสุดทน ถึงเขาไม่ได้อยากจะให้ตามที่รุ่นน้องคนนี้ขอแต่การที่พวกมันเอาเรื่องแบบนี้มาพูดล้อเล่นมันก็ทำให้เขานึกหงุดหงิดอยู่ดี

                "ออกโรงแบบนี้แสดงว่าจะให้"

                "น้องเอากระดาษมาจดเลยครับ มาๆ" กลายเป็นเล็กที่เจ้ากี้เจ้าการ เป็นคนเดินไปหารุ่นน้องแถมยังช่วยดันหลังให้เดินเข้ามาใกล้

                สมุดปกอ่อนที่เปิดหน้าสุดท้ายเอาไว้ถูกยื่นมาให้พร้อมปากกา สาวน้อยยังยิ้มหวาดๆ ก่อนบอกถึงความเป็นมาเป็นไปให้เพื่อนได้ฟังอีกข้อ แต่ใครๆ ก็มักใช้ข้ออ้างนี้กันทั้งนั้น

                "คือหนูขอให้เพื่อนค่ะ"

                "ไม่ใช่ของน้องเหรอ"

                "ค่ะ"

                "งั้นพี่ไม่ให้ครับ"

                "อ้าว!" เสียงที่แสดงถึงความผิดหวังมาจากกลุ่มเพื่อนๆ แทนที่จะเป็นรุ่นน้องใจกล้า แต่เธอไม่ยอมลดละความพยายามลงง่ายๆ

                "นะคะพี่เพื่อน เพื่อนหนูมันขี้อาย แต่มันอยากรู้จักกับพี่จริงๆ"

                "อยากรู้จักแล้วทำไมไม่มาทำความรู้จักเองล่ะครับ"

                "มันเขินค่ะ"

                "งั้นพี่ก็เขินครับ ไม่กล้าให้" ตอบรุ่นน้องเพียงเท่านี้เพื่อนก็ทำท่าจะถอยหลังเดินหนี คนปากหนักเลยต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้

                "ของหนูเองค่ะ หนูขอเอง"

                เท้าที่กำลังก้าวถอยหลังหยุดนิ่ง เพื่อนยกยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มที่แก้มขวา เหล่ากองเชียร์ทโมนก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้เหมือนกัน

                "ก็แค่นี้" เพื่อนยื่นมือไปรับสมุดกับปากกาที่เด็กหญิงรุ่นน้องถือค้างเอาไว้ ก่อนบรรจงเขียนอีเมลของตัวเองลงไป

                แต่มนุษย์ย่อมมีความโลภมาก ได้คืบจะจะเอาศอก ถึงอย่างนั้นเพื่อนก็ไม่ได้ถือสาอะไรนัก

                "แล้วถ้าขอเบอร์"

                "ให้มันน้อยๆ หน่อยๆ"

                เพื่อนเขียนเฉพาะอีเมลตามที่เธอขอแล้วยื่นสมุดกลับไปให้ ก่อนทั้งกลุ่มจะเดินตรงไปยังอาคารเพื่อเข้าเรียนในคาบบ่าย ส่วนพ่อคนดังนั้นก็โดนแซวไปตามระเบียบ

                เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ขออีเมล ขอเบอร์โทร ขอถ่ายรูป แปลกหน่อยก็เอาบันทึกมาให้เขียน เอาคำถามร้อยข้อมาให้ตอบ หลงเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างโดยไม่เคยออกความเห็นใดๆ และเขาก็ไม่เคยเห็นเพื่อนบ่นรำคาญหรือพูดถึงคนเหล่านั้นในทางที่ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าหากทุกคนที่เข้าหานั้นมาพร้อมกับความจริงใจ

                บางคนเข้าหาเพื่ออยากรู้จัก เข้ามาเพราะความนับถือ เข้ามาเพราะชอบที่หน้าตาเลยอยากยกให้เป็นรุ่นพี่สุดหล่อในความทรงจำ หรือบางคนอาจจะเข้ามาเพราะหวังมากกว่านั้น หลงรู้สึกชื่นชมทุกครั้งที่เห็นเพื่อนมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เขารู้สึกว่าคนคนนี้เหมาะที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนต้องการอย่างแท้จริง

     

                เสียงมือถือที่ดังขึ้นมาเรียกให้หลงหลุดออกจากภวังค์ความคิด เบอร์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนโชว์อยู่บนหน้าจอ เขารีบคว้ามันมากดรับอย่างไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าจะเป็นเบอรของลูกค้า

                "สวัสดีครับ"

                (สวัสดีครับ คุณวีรายุ)

                หลงขมวดคิ้วฉับดึงมือถือออกจากหูเพื่อดูเบอร์อีกครั้ง เบอร์แปลกแต่น้ำเสียงกลับคุ้นอย่างบอกไม่ถูก จนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กหลงก็เริ่มเข้าใจ

                Yanakorn : เดี๋ยวยิงไป

                งั้นก็ผิดที่เขาใช่ไหมที่ดันกดรับ

                "เพื่อน"

                (รับซะเร็ว)

                "เพิ่งเห็นที่ส่งมา"

                (นี่เบอร์เพื่อนนะ)

                "รู้แล้ว"

                เสียงหัวเราะดังแว่วมาจากปลายสาย หลงเผลอยิ้ม อยู่ๆ ก็นึกหน้าเพื่อนสมัยมัธยมตอนกำลังหัวเราะขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูมีความสุขนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเขา

                (จะบอกแค่นี้แหละ)

                "ว่างอยู่เหรอ"

                (ว่างเป็นช่วงๆ)

                "อะไรคือว่างเป็นช่วงๆ"

                (ก็คนไข้มาไม่สม่ำเสมอไง เดี๋ยวอีกแป๊บเดียวจะไม่ว่าละ แล้วหลงว่างเหรอ)

                "ไม่ว่าง"

                (อ้าว)

                "ก็บอกไปแล้วว่าจะทำงาน"

                (โอเค งั้นวางละ)

                "อืม"

                หลงยังถือสายรออยู่อย่างนั้นแต่เสียงตัดสายกลับไม่ดังขึ้นสักทีจนชักสงสัย แต่เมื่อนึกถึงคำที่ตอบรับออกไปเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าไอ้ความเงียบแปลกๆ มันมีที่มาจากอะไร

                "สวัสดีครับ"

                (สวัสดีครับ)

                กดวางสายแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพื่อนเป็นคนติสท์ แถมยังมีระบบความคิดที่ซับซ้อน ถ้ายังคิดจะคุยกันต่อนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของเขาเลยสินะ

                ไอ้คำว่า 'อืม' เนี่ย

     

     

    TBC

     


    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×