คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฝันครั้งที่ 3
ฝันครั้งที่
3
ชีวิตคนวัยทำงานอย่างหลงไม่มีอะไรน่าสนใจนัก
เช้ามาตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัวขับรถไปบริษัท
ทำงานตั้งโต๊ะในตำแหน่งธุรการตามที่รุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทชักชวนมาทำ
วันหยุดถ้าไม่ใช้เวลาอยู่ที่บ้านก็ออกไปไหนมาไหนกับครอบครัว ไม่ก็หมดไปกับการสะสางปัญหาธุระต่างๆ
ชีวิตของเขาที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน
วันที่เขาได้เจอกับเพื่อนที่ชื่อเพื่อนอีกครั้ง
หลังจากกดรับคำขอเป็นเพื่อนไป
หลงก็ได้รับข้อความทักทายจากเพื่อนทุกวัน
กล่องข้อความในเฟซบุ๊กที่แทบไม่ได้คุยกับใครนอกจากเพื่อนร่วมงานช่วงนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ
เริ่มด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ เมื่อตอบกลับคำถามทั่วไปอย่างเรื่องงาน เรื่องของกิน
หรือกระทั่งคำว่าทำอะไรอยู่ก็ถูกส่งกลับมา อย่างกับพวกวัยรุ่นที่เริ่มจีบกันใหม่ๆ
แต่จะว่าไปเพื่อนก็กำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ เพื่อนกำลังพยายามจะจีบเขาอยู่จริงๆ
"เฮ้อ~"
หลงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังเผชิญ
ตอนนี้เขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว รู้ตัวและกำลังทำความเข้าใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
เพราะเขาไม่อยากทำให้เพื่อนต้องเศร้าด้วยคำพูดโหดร้ายนั่นอีก
งานยังสุมหัวอยู่เต็มโต๊ะแต่หลงกลับไม่มีแรงจูงใจจะทำมันเท่าไรนัก
จอคอมฯ เปลี่ยนเป็นหน้าเฟซบุ๊ก
กดเข้าชื่อเพื่อนที่ทักมาเมื่อชั่วโมงก่อนแล้วก็หายเงียบไป
รูปที่ไม่รู้ถ่ายตั้งแต่สมัยไหนถูกตั้งเป็นภาพโปรไฟล์
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเพื่อนคนนั้นแทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเลย
หนำซ้ำหน้าไทม์ไลน์ยังไม่มีการอัพเดทมาแล้วหลายเดือน เป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบเปิดเผยการเคลื่อนไหว
เขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอื่นๆ ในกลุ่มถึงไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นตายร้ายดียังไง
ขนาดเขาเองยังได้เป็นเพื่อนกันทางโซเชียลไม่ครบหนึ่งอาทิตย์ดีด้วยซ้ำ
หลงเลื่อนเมาส์ลงมาเรื่อยๆ
ผ่านหน้าไทม์ไลน์ที่เคยผ่านมาสายตามาแล้ว เขาแค่อยากดู ไม่มีเหตุผลอะไรอื่น
ดูรูปเก่าๆ ของเพื่อนที่หนีไปเรียนไกลถึงเชียงใหม่
เรียนจบย้ายไปทำงานเป็นนักรังสีการแพทย์ที่เชียงราย
ก่อนกลับมาประจำอยู่โรงพยาบาลทันตกรรมในกรุงเทพฯ เมื่อสามเดือนก่อน
หน้าจอเฟซบุ๊กถูกปิดลงเพื่อกลับเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงานอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะเป็นเวลาว่างของคนที่หลงเพิ่งเข้าไปส่องเฟซบุ๊กเมื่อกี้นี้
ข้อความที่ทิ้งห่างไปนานร่วมชั่วโมงจึงถูกตอบกลับมา
Yanakorn
: คนไข้เยอะมาก
Yanakorn
: ข้าวที่กินไปย่อยหมดแล้ว
Veerayu
: ตั้งใจทำงานไป
Yanakorn
: ก็ตั้งใจตลอด
Yanakorn
: ตอนนี้ว่างละ
Veerayu
: อืม
เพื่อนว่างแต่หลงไม่ว่าง
เพราะเขายังมีงานรอให้เคลียร์อีกเป็นตั้ง เลยตอบกลับไปเป็นคำสั้นๆ
ก่อนจะโดนอีกฝ่ายว่ากลับมา
Yanakorn
: ไม่ชอบเลยคำนี้ เหมือนไม่อยากคุย
Veerayu
: แล้วจะให้ตอบว่าไง
Yanakorn
: สติ๊กเกอร์โง่ๆ ก็ยังดี
'ทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงขี้งอน'
หลงอยากจะว่าเพื่อนกลับไปแบบนั้น ก็แค่คำว่า 'อืม' ทำไมต้องคิดว่าไม่อยากคุย มันก็เป็นเพียงแค่การตอบรับแบบหนึ่ง
เวลาเขาโดนเพื่อนๆ พิมพ์คำนี้ใส่ยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย
แต่สุดท้ายก็ยอมส่งสติ๊กเกอร์กลับไปแทน
Veerayu
: ทำงานก่อน
Yanakorn
: OK
หลงปิดหน้าจอลงเพื่อกลับไปเคลียร์งานที่ค้างอยู่
แต่ทิ้งเวลาไว้ไม่ถึงสามวินาทีแถบด้านล่างก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า
จากเพื่อนเจ้าเก่าเจ้าเดิม
Yanakorn
: ทิ้งเบอร์ไว้ให้หน่อย ว่าจะขอตั้งนานแล้วแต่ลืม
เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน
'มันจะมีอะไรให้ฉุกเฉิน' หลงได้แต่คิดในใจ ขนาดไม่ได้ติดต่อกันตั้งแปดปียังมีชีวิตรอดกลับมาเจอกันได้
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นมือเจ้ากรรมดันพิมพ์ตัวเลขสิบหลักลงไปอย่างรวดเร็ว
กว่าจะรู้ก็ตอนอีกฝ่ายบอกขอบคุณกลับมา
สมองคัดค้านแต่ใจกลับเปิดรับ
อยากดันเพื่อนให้ห่างออกหรือดึงให้เข้ามาใกล้กันแน่ตอนนี้หลงยังสับสนในตัวเอง
ม. 4 เทอม 2
กลายเป็นเรื่องปกติที่หลงเห็นจนชินตา
ภาพรุ่นน้อง ม.ต้น วิ่งตามเพื่อนของเขา คนที่มีดวงตาเปล่งประกายสุกใสกับลักยิ้มที่แก้มขวา
แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจเท่าไรว่าตัวเองเป็นที่นิยมในโรงเรียนขนาดไหน
เพราะเพื่อนก็คือเพื่อน คนที่ยิ้มให้กับทุกอย่างและไม่เคยทำตัวทุกข์ร้อนกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา
"พี่เพื่อนคะ"
คนที่เดินรั้งท้ายกลุ่มหยุดเท้าหันไปมองตามเสียงเรียกทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มหยุดตาม
สาวน้อยในชุดนักเรียนคอซองยืนยิ้มอย่างเหนียมอายท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
จนเจ้าของชื่อที่ถูกรั้งไว้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามหาเหตุผลแทน
"น้องมีอะไรหรือเปล่า"
"คือหนู...ขออีเมลได้มั้ยคะ"
จบคำขอเพื่อนๆ
ก็พากันโห่ร้องแซว ทำเอาสาวน้อยใจกล้าสะดุ้งตัวโยนทำท่าจะหลบฉากหนี
จนเพื่อนต้องสั่งให้เพื่อนหยุดส่งเสียงอันเสียมารยาทลงก่อน
"พวกมึงเงียบ! น้องเขากลัวหมดแล้วเนี่ย"
แต่มีหรือเหล่าทโมนจะยอมกันง่ายๆ
"ถ้ากล้ามาขอขนาดนี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้วจ้ะน้อง"
"มาได้ถูกเวลาซะด้วย
มันกำลังหาคนมาดามใจอยู่พอดี"
"อย่างกับรู้ว่ามันเพิ่งอกหัก"
"ข่าวมันก็ออกจะดังป้ะวะ"
"หุบปากไปเลยพวกมึง"
โดนแซวหนักๆ เพื่อนเลยโพล่งออกมาอย่างสุดทน
ถึงเขาไม่ได้อยากจะให้ตามที่รุ่นน้องคนนี้ขอแต่การที่พวกมันเอาเรื่องแบบนี้มาพูดล้อเล่นมันก็ทำให้เขานึกหงุดหงิดอยู่ดี
"ออกโรงแบบนี้แสดงว่าจะให้"
"น้องเอากระดาษมาจดเลยครับ
มาๆ" กลายเป็นเล็กที่เจ้ากี้เจ้าการ
เป็นคนเดินไปหารุ่นน้องแถมยังช่วยดันหลังให้เดินเข้ามาใกล้
สมุดปกอ่อนที่เปิดหน้าสุดท้ายเอาไว้ถูกยื่นมาให้พร้อมปากกา
สาวน้อยยังยิ้มหวาดๆ ก่อนบอกถึงความเป็นมาเป็นไปให้เพื่อนได้ฟังอีกข้อ แต่ใครๆ
ก็มักใช้ข้ออ้างนี้กันทั้งนั้น
"คือหนูขอให้เพื่อนค่ะ"
"ไม่ใช่ของน้องเหรอ"
"ค่ะ"
"งั้นพี่ไม่ให้ครับ"
"อ้าว!" เสียงที่แสดงถึงความผิดหวังมาจากกลุ่มเพื่อนๆ
แทนที่จะเป็นรุ่นน้องใจกล้า แต่เธอไม่ยอมลดละความพยายามลงง่ายๆ
"นะคะพี่เพื่อน
เพื่อนหนูมันขี้อาย แต่มันอยากรู้จักกับพี่จริงๆ"
"อยากรู้จักแล้วทำไมไม่มาทำความรู้จักเองล่ะครับ"
"มันเขินค่ะ"
"งั้นพี่ก็เขินครับ
ไม่กล้าให้" ตอบรุ่นน้องเพียงเท่านี้เพื่อนก็ทำท่าจะถอยหลังเดินหนี
คนปากหนักเลยต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้
"ของหนูเองค่ะ
หนูขอเอง"
เท้าที่กำลังก้าวถอยหลังหยุดนิ่ง
เพื่อนยกยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มที่แก้มขวา
เหล่ากองเชียร์ทโมนก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้เหมือนกัน
"ก็แค่นี้"
เพื่อนยื่นมือไปรับสมุดกับปากกาที่เด็กหญิงรุ่นน้องถือค้างเอาไว้
ก่อนบรรจงเขียนอีเมลของตัวเองลงไป
แต่มนุษย์ย่อมมีความโลภมาก
ได้คืบจะจะเอาศอก ถึงอย่างนั้นเพื่อนก็ไม่ได้ถือสาอะไรนัก
"แล้วถ้าขอเบอร์"
"ให้มันน้อยๆ
หน่อยๆ"
เพื่อนเขียนเฉพาะอีเมลตามที่เธอขอแล้วยื่นสมุดกลับไปให้
ก่อนทั้งกลุ่มจะเดินตรงไปยังอาคารเพื่อเข้าเรียนในคาบบ่าย
ส่วนพ่อคนดังนั้นก็โดนแซวไปตามระเบียบ
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ขออีเมล ขอเบอร์โทร ขอถ่ายรูป แปลกหน่อยก็เอาบันทึกมาให้เขียน
เอาคำถามร้อยข้อมาให้ตอบ หลงเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างโดยไม่เคยออกความเห็นใดๆ และเขาก็ไม่เคยเห็นเพื่อนบ่นรำคาญหรือพูดถึงคนเหล่านั้นในทางที่ไม่ดีเหมือนกัน
ถ้าหากทุกคนที่เข้าหานั้นมาพร้อมกับความจริงใจ
บางคนเข้าหาเพื่ออยากรู้จัก
เข้ามาเพราะความนับถือ
เข้ามาเพราะชอบที่หน้าตาเลยอยากยกให้เป็นรุ่นพี่สุดหล่อในความทรงจำ หรือบางคนอาจจะเข้ามาเพราะหวังมากกว่านั้น
หลงรู้สึกชื่นชมทุกครั้งที่เห็นเพื่อนมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
เขารู้สึกว่าคนคนนี้เหมาะที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คน
แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนต้องการอย่างแท้จริง
เสียงมือถือที่ดังขึ้นมาเรียกให้หลงหลุดออกจากภวังค์ความคิด
เบอร์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนโชว์อยู่บนหน้าจอ เขารีบคว้ามันมากดรับอย่างไม่คิดอะไร
เพราะคิดว่าจะเป็นเบอรของลูกค้า
"สวัสดีครับ"
(สวัสดีครับ
คุณวีรายุ)
หลงขมวดคิ้วฉับดึงมือถือออกจากหูเพื่อดูเบอร์อีกครั้ง
เบอร์แปลกแต่น้ำเสียงกลับคุ้นอย่างบอกไม่ถูก จนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กหลงก็เริ่มเข้าใจ
Yanakorn
: เดี๋ยวยิงไป
งั้นก็ผิดที่เขาใช่ไหมที่ดันกดรับ
"เพื่อน"
(รับซะเร็ว)
"เพิ่งเห็นที่ส่งมา"
(นี่เบอร์เพื่อนนะ)
"รู้แล้ว"
เสียงหัวเราะดังแว่วมาจากปลายสาย
หลงเผลอยิ้ม อยู่ๆ ก็นึกหน้าเพื่อนสมัยมัธยมตอนกำลังหัวเราะขึ้นมา
ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูมีความสุขนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเขา
(จะบอกแค่นี้แหละ)
"ว่างอยู่เหรอ"
(ว่างเป็นช่วงๆ)
"อะไรคือว่างเป็นช่วงๆ"
(ก็คนไข้มาไม่สม่ำเสมอไง
เดี๋ยวอีกแป๊บเดียวจะไม่ว่าละ แล้วหลงว่างเหรอ)
"ไม่ว่าง"
(อ้าว)
"ก็บอกไปแล้วว่าจะทำงาน"
(โอเค
งั้นวางละ)
"อืม"
หลงยังถือสายรออยู่อย่างนั้นแต่เสียงตัดสายกลับไม่ดังขึ้นสักทีจนชักสงสัย
แต่เมื่อนึกถึงคำที่ตอบรับออกไปเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าไอ้ความเงียบแปลกๆ มันมีที่มาจากอะไร
"สวัสดีครับ"
(สวัสดีครับ)
กดวางสายแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เพื่อนเป็นคนติสท์ แถมยังมีระบบความคิดที่ซับซ้อน ถ้ายังคิดจะคุยกันต่อนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของเขาเลยสินะ
ไอ้คำว่า
'อืม' เนี่ย
TBC
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่า
ความคิดเห็น