ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✿ 8 วัน 7 คืน ✿

    ลำดับตอนที่ #4 : วันที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 60




    วันที่ 2

     

                เช้าวันใหม่ในประเทศญี่ปุ่น เสียงนาฬิกาปลุกดังตอนเจ็ดโมง น้องหมีลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวก่อนตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนผมก็นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจนน้องมันพันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำนั่นแหละถึงได้เยื้องย่างลงจากเตียง

                ว่าแต่น้องหมีมันอาบน้ำด้วยแฮะ

                ผมคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กเดินเข้าห้องน้ำ ใช้พื้นที่แค่บริเวณอ่างล้างหน้าในการล้างหน้าแปรงฟันและปลดทุกข์อีกนิดหน่อย ไม่ถึงห้านาทีก็เดินตัวปลิวออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เห็นผมยังใส่ชุดนอนตัวแห้งสนิทน้องหมีก็โยนคำถามมาให้ทันที

                "ไม่อาบน้ำเหรอ"

                "ที่นี่ใครเขาอาบน้ำตอนเช้ากัน" ก็อย่างที่บอก คนญี่ปุ่นเขาอาบน้ำตอนเช้ากันซะที่ไหน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม พูดง่ายๆ ก็ขี้เกียจนั่นแหละ มันเสียเวลา ช่วงนี้อากาศเย็นจะตาย ออกเที่ยวทั้งวันยังไม่มีเหงื่อเลย

                "สกปรก ซกมก แสดงว่าตอนเด็กๆ ไปโรงเรียนพี่อินไม่เคยอาบน้ำเลยดิ"

                "ไม่ใช่โว้ย มั่วละ"

                โอ้โห น้องหมีมันเล่นย้อนอดีตไปยันวัยประถม มันต้องมีกันบ้างไหมวะอย่างหน้าหนาวอะไรแบบนี้ แปรงฟันล้างหน้าเอาน้ำลูบแขนลูบขาก็พอ

                "อย่ามา" ทำมาเป็นชี้หน้าจับผิด

                ผมขี้เกียจเถียงด้วยเลยเดินหนี เปิดกระเป๋าหยิบชุดที่จะใส่วันนี้ออกมาเปลี่ยน ส่วนน้องหมีมันก็แค่แกล้งผมเล่นนั่นแหละ พอโดนเมินใส่ก็หัวเราะอยู่คนเดียว อารมณ์ดีมากไหม ท่าทางจะอาการหนัก

     

                ผมกับน้องหมีออกจากที่พักกันแปดโมงกว่า กะจะหาอะไรกินแถวโรงแรมแต่ปรากฏว่าร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิดเลยต้องซื้อของในซุปเปอร์กินรองท้องกันไปก่อน

                เป้าหมายแรกในวันนี้ของคือสะพานแว่น สะพานที่ใช้ข้ามไปยังพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสะพานหินที่มีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลม เมื่อสะท้อนกับผิวน้ำจะมีลักษณะคล้ายแว่นตา ที่นี่น้องหมีเป็นคนรีเควสมาเอง แต่พอมาถึงจริงๆ กลับไม่ถูกใจซะงั้น ถ่ายรูปสองสามแชะได้รูปที่ถูกใจแล้วก็ชวนกันเดินต่อ ซึ่งผมว่าที่นี่มันก็ไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละถ้าไม่ได้เข้าไปดูข้างในวังที่เปิดให้เข้าแค่ปีละสองครั้งเอง

                เราเดินเลียบคูน้ำไปทางฝั่งตะวันออกของพระราชวังอิมพีเรียลก็เจอกับสวนซึ่งในอดีตนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารปกป้องก่อนถึงตัวปราสาท มีสนามหญ้ากว้าง ต้นไม้หลากหลายชนิด และฐานของหอคอยปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ผมพาน้องหมีเดินไปตามแผนที่หาข้อมูลมา เจอต้นซากุระที่ยังไม่ค่อยบานเท่าไร แอบเซ็งนิดๆ แต่ก็ยังมีมุมสวยๆ อยู่เหมือนกัน

                "พี่อินถ่ายรูปมั้ย"

                ผมส่ายหน้ารับ เป็นคนประเภทไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไร ขนาดมาเที่ยวผมยังมีแค่มือถือเลย ถ่ายสองสามรูปให้รู้ว่ามาแล้วก็เก็บมือถือยัดใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิมเพราะอยากใช้ร่างกายซึมซับกับบรรยากาศมากกว่า ผิดกับน้องหมีที่มาพร้อมกับกล้องรุ่นใหม่ราคาแพงที่ได้ข่าวว่าเพิ่งไปถอยมา เก็บทุกรายละเอียด ถ่ายทุกจุดทุกมุมทุกบรรยากาศ ยกเว้นถ่ายตัวเอง

                "แบร์อยากถ่ายมั้ย เดี๋ยวถ่ายให้" ผมแบมือขอกล้องแต่น้องมันส่ายหน้าใส่

                "ไม่เป็นไรๆ"

                มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกทั้งนี่ไม่คิดจะถ่ายรูปตัวเองไว้บ้างหรือไง

                ในเมื่อเจ้าของเขาไม่ให้ใช้กล้องผมเลยใช้มือถือตัวเองแอบถ่ายน้องมันตอนเผลอ รูปไม่ค่อยสวยเท่าไรเพราะถ่ายรูปไม่เป็น ได้แต่ความเป็นธรรมชาติมาเต็มๆ เอาน่า ก็ยังดีกว่าไม่มีรูปเก็บไว้เลย วิวสวยถ่ายยังไงก็ต้องมีความสวยในรูปบ้างล่ะ

                จากสวนตะวันออกพวกเราเดินทะลุจนมาโผล่ที่สวนจิโดริงะฟุจิ สวนที่ตั้งอยู่ระหว่างทางระบายน้ำสองสาย มีเรือพายให้เช่า เป็นสถานที่ชมซากุระอันดับต้นๆ ของโตเกียว แต่เพราะโชคไม่ดี สภาพอากาศไม่เป็นใจ ซากุระที่ควรบานสะพรั่งย้อยระไปกับคูน้ำกลับมีแต่ก้านกับดอกหุบๆ

                "เซ็งว่ะ ถ้ามันบานต้องสวยมากกกกกกก" ผมลากเสียลาวแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง เจอแบบนี้มันอดไม่ได้ที่จะบ่นจริงๆ

                ผมยืนเกาะรั้วริมแม่น้ำ มองก้านต้นซากุระแล้วได้แต่ถอนหายใจ ครั้งนี้ผมหวังไว้สูงมาก วางแผนช่วงเวลาไว้อย่างดีว่าจะได้เห็นซากุระบานสะพรั่งเต็มไปทั้งสวนแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ อากาศจะเย็นนานกว่าปกติก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่แผนที่วางมาครึ่งปีมันเปลี่ยนไม่ได้ มาญี่ปุ่นบ่อยก็จริงกลับไม่มีครั้งไหนเลยที่มาตรงช่วงซากุระบานแบบนี้

                "เพิ่งวันที่สองเอง ไม่เจอที่นี่ก็อาจจะไปเจอที่อื่นก็ได้" คำปลอบใจจากน้องหมีฟังแล้วมีพลังขึ้นมานิดหน่อย

                แต่ซากุระเป็นดอกไม้ที่เปราะบางมาก แต่ละปีบานแค่หนึ่งอาทิตย์ไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้ขึ้นเหนือ เจอลมเจอฝนนิดหน่อยก็ร่วงหมด บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจเลยว่าจะได้เห็นภาพสวยๆ เหมือนคนอื่นเขา

                ปลอบใจผมเสร็จน้องมันก็ผละออกไป ผมมองน้องหมีเดินเก็บภาพมุมนู้นทีมุมนี้ทีทั้งที่ซากุระมันมีแต่ก้านแล้วก็อดไม่ได้ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง แต่ผมเป็นพวกถ่ายรูปไม่สวยแถมไม่เจอบรรยากาศที่หวังยิ่งไม่อยากถ่าย เลยเลือกที่จะเก็บภาพเพื่อนร่วมทริปแทน มาเที่ยวด้วยกันทั้งทีน่าจะเซลฟี่คู่กันสักหน่อย

                "แอบถ่ายเหรอ ขอดีๆ ก็ได้"

                อย่างกับมีจิตสัมผัส น้องหมีดันเห็นมาตอนผมยกกล้องแอบถ่ายทีเผลอพอดีเลยหันมาเก๊กท่าชูสองนิ้วยิ้มตาหยีก่อนเดินเข้ามาหา

                "อยากได้รูปตอนขี้เหล่ไง"

                "ถ่ายยังไงก็ไม่ขี้เหล่หรอก เพราะคนมันโคตรหล่อ"

                คนเรา หลงตัวเองไปอี๊ก          

                "แล้วหิวยัง"

                "หิวมากกกกกก"

                "'งั้นไปฮารากัน"

     

                จากสวนจิโดริงะฟุจิเราไปต่อกันที่ถนนทาเคชิตะหรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันติดปากว่าฮารากุจุ ย่านแฟชั่นที่สาวๆ มาต้องชอบเพราะมีร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับน่ารักๆ เต็มไปหมด ของกินเองก็เช่นกัน

                ออกจากสถานีรถไฟเดินข้ามถนนมาก็ถึงที่หมาย คนจำนวนมากมายมหาศาลหลั่งไหลมาที่นี่ ทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นที่แต่งตัวได้หลุดโลกไม่สนใจใคร ผมปล่อยให้น้องหมีถ่ายรูปตรงหน้าซอยที่ใครมาก็ต้องถ่ายก่อนเดินลงเนินเล็กๆ มาด้วยกัน แต่เดินยังไม่พ้นห้าเมตรน้องมันก็เหมือนจะสนใจบางสิ่งบางอย่างเข้าให้แล้ว

                "ร้านอะไรอ่ะ"

                "พุริคุระ"

                "ฮะ"

                "ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์"

                "น่าสน ไปกันมั้ย"

                "เค้าไม่ให้ผู้ชายเข้า"

                "ทำไมอ่ะ"

                "จะไปรู้เหรอ"

                ผมรีบเดินหนีก่อนที่น้องมันจะเกิดความคิดแผลงๆ ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์ที่นี่เขาห้ามผู้ชายเข้า ยกเว้นคนที่มากับแฟน เพราะเหตุผลอะไรผมไม่รู้หรอก เดาเอาว่าเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงล่ะมั้งเลยห้ามผู้ชายล้วนเข้าไป ก่อนหน้านี้ผมเคยถ่ายกับเพื่อนผู้หญิงที่มาดูคอนเสิร์ตด้วยกันครั้งหนึ่ง รูปมันแต่งหลอกตาซะกลายเป็นคนละคน ตาโตปากแดงหน้าใสเวอร์ๆ ไม่เห็นว่ามันจะสวยตรงไหน เห็นตัวเองในรูปนั้นยังสะพรึงจนถึงทุกวันนี้

                ที่ทาเคชิตะมีของกินเยอะก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นขนมจุกจิกซะมากกว่า ตลอดทั้งซอยเจออะไรน่ากินก็ซื้อ โดยเฉพาะเครปของเด็ดของที่นี่ เจอร้านน่าเข้าก็แวะ เดินกันจนสุดซอยก็วนไปทางโอโมเตะซันโดถนนที่อยู่ติดกันมาโผล่สี่แยกเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปคือศาลเจ้าเมจิ

                เดินข้ามถนนข้ามสะพานมาเจอกับโทริอิต้นใหญ่ ปากทางเข้าสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่สีเขียวร่มรื่นใจกลางเมืองหลวงในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีความทันสมัย เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หากมาโตเกียวผมจะแวะมาทุกครั้ง

                ผมกับน้องหมีแยกย้ายกันไปถ่ายรูปในมุมที่ต้องการ ผมถ่ายมาได้หนึ่งรูปก็เก็บมือถือใส่กระเป๋ายืนรอน้องมันใกล้ๆ กับเสาต้นยักษ์ที่หนึ่งคนโอบไม่มิด ผมชอบที่นี่นะ มาทีไรก็รู้สึกร่มรื่น มองไปเห็นต้นไม้ใหญ่ มันให้ความรู้สึกร่มเย็นคล้ายกับป่า เป็นสถานที่ที่ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ในเมืองหลวง

                "ไปกัน" ถ่ายรูปจนพอใจน้องหมีก็เดินกลับมาหา ยิ้มตาปิดพยักหน้าให้ผมก่อนเราจะออกเดินไปพร้อมกัน

                ระยะทางจากปากทางเข้าไปถึงตัวศาลเจ้าค่อนข้างไกลเอาเรื่อง แถมทางเดินยังเป็นพื้นหิน ดูเหมือนจะลำบากแต่เพราะบรรยากาศร่มรื่นของที่นี่ทำให้ลืมเรื่องระยะทางไปเลย อากาศเย็นมากจนเริ่มหนาว หนาวจนผมต้องกระชับเสื้อชุกมือไว้ในกระเป๋า

                "หนาวเหรอ"

                "นิดนึง"

                "ขี้หนาวเหมือนเดิม"

                "ใครมันจะไปหนังหนาเหมือนแบร์"

                "อุ่นดีนะ มา ให้ยืมจับมือ"

                "โน" งานนี้ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด น้องมันก็หัวเราะคิกคักได้ใจที่แกล้งผมได้ นี่ถ้าบ้าจี้ยอมจับจริงๆ ขึ้นมาบอกเลยน้องมันนั้นแหละจะไปต่อไม่ถูก

                พูดถึงเรื่องขี้หนาวแล้วคิดถึงสมัยเด็ก ช่วงเช้าในฤดูหนาวของกรุงเทพฯ อุณหภูมิอยู่ในช่วงยี่สิบต้นๆ ซึ่งถือว่าหนาวแล้วสำหรับผม แต่ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายทำให้ไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาวบวกกับความเชื่อที่ว่ากรุงเทพฯ มันไม่หนาวแม้จะเป็นหน้าหนาวก็เถอะ เวลาไปโรงเรียนตอนเช้าก็จะขนลุกอยู่บนรถจนน้องหมีสละเสื้อกันหนาวมาให้ใส่บ่อยๆ เป็นคุณงามความดีที่ผมยังซาบซึ้งใจมาจนถึงทุกวันนี้

                เดินมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าทางเข้าศาลเจ้าจะเจอกับบ่อน้ำสำหรับชำระล้างก่อนเข้าไปในเขตศักดิ์สิทธิ์ ผมทำให้น้องหมีดูเป็นตัวอย่าง มือขวาจับกระบวยตักน้ำล้างมือข้างซ้ายจากนั้นสลับมาล้างข้างขวา เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับกระบวยมือซ้ายรองน้ำล้างรอบปาก ล้างมือซ้ายอีกแล้วตักน้ำใหม่เพื่อล้างด้ามจับกระบวยเป็นอันเสร็จ

                "ฝากกล้องหน่อย ถ่ายรูปให้ด้วย"

                น้องหมีมันเอากล้องมาคล้องคอพร้อมออกคำสั่ง ผมก็จัดให้ถ่ายรูปทุกกิริยาท่าทางอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ตักน้ำขึ้นมาระหว่างทำน้องมันก็หันมาถามผมตลอด สรุปที่ทำให้ดูเมื่อกี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ

                ผ่านการชำระล้างเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้าไปข้างใน แต่พอก้าวผ่านประตูเข้ามาผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปจากทุกที เพราะตรงหน้าอาคารมีผู้ชายใส่ชุดองเมียวยืนอยู่สองคน แถมมีคนมุงอยู่ด้านหน้าด้วย

                ใจผมเริ่มแรงขึ้นมาเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ เดินนำเข้าไปใกล้หยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องรอ จนเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดแบบดั้งเดิมของศาลเจ้าชินโตเดินออกมา ใช่เลย ใช่แน่ๆ

                พิธีแต่งงาน

                "แบร์ๆ ถ่ายรูป" ผมตีแขนน้องหมีด้วยความตื่นเต้น ขณะที่สองขาก้าวตามคู่บ่าวสาวที่กำลังเดินขบวนไปตามพิธี หามุมสวยๆ กดชัตเตอร์เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกสองสามรูป ก่อนลดกล้องลงใช้สองตาเก็บภาพความทรงจำมองดูขบวนพิธีเดินหายเข้าไปในตัวอาคาร

                นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้ใจเต้นแรงและรู้สึกดีจนหุบยิ้มไม่ได้ ผมคิดมาตลอด คิดว่าสักครั้งหนึ่งที่มาที่นี่จะได้เห็นพิธีแต่งงานด้วยตาตัวเองสักครั้ง และมันเป็นจริงแล้วในวันนี้

                "ลัคกี้แบร์ว่ะ" ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมทริปแต่น้องมันกลับทำหน้าเอ๋อใส่

                "แบร์อ่ะนะ"

                "อืม ลัคกี้แบร์ พามาครั้งแรกก็โชคดีเลย อยากเห็นมานานแล้วงานแต่งงานที่นี่ มาตั้งหลายทีไม่เคยเจอเลย ไหนเอารูปมาดูหน่อย"

                "อ่ะ อืมๆ"

                ดูเหมือนน้องหมีจะงงที่ผมพูดรัวใส่แต่ก็ยอมเปิดรูปในกล้องให้ดู มีแต่สวยๆ ทั้งนั้น ฝีมือการถ่ายรูปไม่ใช่เล่นๆ เลย

                "พี่อินชอบงานแต่งที่นี่เหรอ"

                "อืม เคยอ่านเจอในรีวิวแล้วอยากเห็นบ้าง อาจจะเป็นเพราะแบร์ก็ได้เลยได้เจอ"

                "แบร์เนี่ยนะ"

                "ก็ใช่ไง ลัคกี้แบร์"

                ผมยังยืนยันคำเดิมกับน้องหมีผู้นำพาโชคดี บางทีการที่ได้น้องมันมาเป็นเพื่อนร่วมทริปโดยไม่ได้ตั้งใจอาจจะทำให้ทริปนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆ ก็ได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละที่ผมคิดว่ามันพิเศษ

                "ดีแล้ว" เสียงทุ้มๆ ของคนตัวโตกว่าดังอยู่บนหัว

                ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นรอยยิ้มหวานๆ บนใบหน้าหล่อๆ มาญี่ปุ่นแค่วันที่สองจำเป็นต้องยิ้มได้แบ๊วขนาดนี้เลยไหม ติดมาจากน้องเมดเมื่อวานหรือยังไง เห็นแล้วมันชวนให้รู้สึกแปลกๆ จนต้องรีบยื่นกล้องคืนให้แล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

                "ไปขอพรกันดีกว่า"

     

                ขากลับจากศาลเจ้าเมจิพวกเราก็เดินเอ้อระเหยออกกันทางเดิม จุดหมายต่อไปคือชิบูย่า ย่านฮอตฮิตของวัยรุ่นกับห้าแยกในตำนาน ขึ้นรถไฟมาสถานีเดียวก็ถึง โผล่ออกมาจากสถานีได้ก็เจอกับจำนวนผู้คนมหาศาลกับอีกหนึ่งสัญญาลักษณ์สำคัญของที่นี่

                รูปปั้นน้องหมาฮาจิโกะ

                น้องหมาผู้ซื่อสัตย์ที่มานั่งรอเจ้านายหน้าสถานีสถานีชิบูย่าหลังเลิกงานทุกวัน จนวันที่เจ้านายมันเสียชีวิตและไม่ได้กลับมาที่สถานีรถไฟอีก แต่ฮาจิโกะก็ยังเฝ้ารอเจ้านายของมันที่เดิมเวลาเดิมทุกวันเป็นเวลาเก้าปีจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของมัน

                ผมพาน้องหมีไปดูรูปปั้นฮาจิโกะที่อยู่หน้าสถานี มารอบก่อนผมได้รูปคู่ไปแล้วเพราะเพื่อนไล่ให้มาถ่าย โพสท่ากอดเจ้าฮาจิโกะได้ไม่เกรงใจฟ้าดินจนคนมองกันเป็นแถว แต่อายที่ไหน ยังไงก็ไม่มีใครจำได้อยู่แล้ว

                "ถ่ายรูปคู่มั้ย" เอ่ยถามเพื่อนร่วมทริปที่รัวชัตเตอร์ไปแล้วหลายรูป แต่คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า

                "ไม่เอาอ่ะ"

                "ไปเลยเร็วๆ" แต่ผมยอมที่ไหน ผลักไสไล่ส่งเต็มที่ เอากล้องตัวเองนี่แหละถ่ายให้

                น้องหมีหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมแต่ก็ยอมเดินไปยืนข้างรูปปั้นฮาจิโกะ โพส่ทายืนตรงเคารพธงชาติกับชูสองนิ้วแล้วยิ้มตาเป็นขีด ผมเลยรีบกดชัตเตอร์จนได้ท่าเดิมๆ มาหลายรูป

                "ได้ยัง"

                "ได้แล้วๆ"

                น้องมันรีบวิ่งมาหาจนผมเกือบหลุดขำ อะไรจะเขินขนาดนั้น หรือว่าไม่ชอบโพสท่าถ่ายรูปในที่ที่คนเยอะๆ แบบนี้

                "อายอะไร"

                "คนเยอะ" นั่นไง จริงด้วย

                "ไม่มีใครเขาสนใจหรอกน่า มัวแต่อายเดี๋ยวก็อดอะไรดีๆ หรอก"

                น้องหมีมันมองผมเหมือนจะอึ้งไปนิดๆ ที่พูดจาดูมีสาระก็เป็นด้วย

                "แล้วพี่อินไม่ถ่ายเหรอ"

                "เคยแล้ว ปะ เดี๋ยวพาไปข้ามถนนเล่น"

                น้องหมีเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใส่ตอนผมพาไปยืนรอข้ามทางม้าลายที่ห้าแยก อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของโตเกียว ภาพสะท้อนความวุ่นวายของมหานคร ใครมาชิบูย่าถ้าไม่ได้มาข้ามถนนเล่นคือมาไม่ถึง แต่เชื่อไหมว่าคนเดินสวนกันเยอะขนาดนี้กลับไม่มีใครเดินชนกันเลย

                ยืนรอสักพักพอสัญญาณขึ้นไฟเขียวฝูงชนก็เริ่มออกเดิน ผมเห็นน้องหมีเอากล้องขึ้นมากดถ่ายวิดีโอดูตื่นตาตื่นใจกับจำนวนผู้คนจนตาแทบไม่ได้มองทางเลยคว้าแขนน้องมันมาจูง แล้วดูแววตาตื่นๆ ที่หันมามองกันสิ ไม่รู้จะตกใจอะไร

                "มองทางหน่อย"

                ได้ผมเตือนสติน้องหมีก็ยิ้มตอบ ปล่อยให้ผมจูงไปจนถึงอีกฝั่งแล้วตัวเองถ่ายคลิปไป อย่างกับผู้ปกครองพาเด็กมาเที่ยว

                จุดประสงค์ของการมาชิบูย่าคือกินกับช็อปปิ้ง เพราะวันนี้เรายังไม่ได้กินอาหารหนักๆ สักมื้อผมเลยพาไปกินราเมงข้อสอบแก้หนาว อิ่มจนพุงกางก็ไปเดินช็อปปิ้งกันต่อ

                ปกติแล้วผมไม่ใช่สายช็อปยกเว้นของที่เกี่ยวกับไอดอล ร้านที่แวะไปเลยมีแค่ทาวเวอร์เรคคอร์ดกับร้านสึทะยะ ส่วนที่เหลือให้น้องหมีนำ อยากแวะร้านไหนก็แวะ ผ่านไปสามชั่วโมงก็ได้ของมาเต็มสองมือ

                "เหนื่อย" ช็อปเสร็จแล้วบ่นเหนื่อย ให้มันได้แบบนี้ดิคนเรา

                ผมกับน้องหมีนั่งพักขากันที่ข้างตึก 109 ที่เพิ่งเดินออกมากัน ตึกที่ว่าเป็นตึกขายเสื้อผ้าผู้หญิงที่ผมบอกไปปุ๊บน้องหมีมันขอแวะปั๊บแล้วก็ได้ชุดผู้หญิงมาหนึ่งชุด แถมทำเป็นกั๊กไม่ยอมบอกด้วยว่าซื้อไปให้ใคร ถ้าให้ผมเดาต้องซื้อไปให้แฟนชัวร์ๆ

                เห็นถุงที่วางกองกับพื้นเหมือนโดนผีเข้าให้ซื้อมาแล้วเริ่มหนักใจ พะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือแบบนี้จะไปต่อไหวเหรอ หิ้วแขนหลุดแน่ๆ ผมหมายถึงน้องหมีนะ เพราะของผมมีแค่ถุงใบเดียว

                "เพิ่งจะห้าโมง กลับโรงแรมก่อนมั้ย เอาไว้สักทุ่มนึงค่อยออก" ผมเสนอทางที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด

                ที่หมายต่อไปของวันนี้คือแม่น้ำเมกุโระ สถานที่ชมซากุระยอดฮิตอีกแห่งของโตเกียว ไฮไลท์อยู่ไลท์อัพตอนกลางคืน มีการประดับโคมไฟที่ต้นซากุระซึ่งปลูกเรียงรายสองข้างแม่น้ำ ในรูปที่ผมเห็นมันสวยมาก เลยอยากไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้ง

                "ดีๆ จะได้เอาของไปเก็บ"

                ตกลงกันได้เราก็เคลื่อนที่ไปยังสถานีรถไฟ แขนขาล้าหมดเรี่ยวแรงจะเดิน ต้องไปพักร่างเอาแรงสักนิดก่อนออกตะลุยยามราตรีกันต่อ

     

     

    TBC.

     

     

    นี่นิยายหรือรีวิวพันทิป ฮ่า จะเบื่อกันมั้ยเน้อ

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×