ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dream of Me อยากให้เธอฝันยามหนุน

    ลำดับตอนที่ #3 : ฝันครั้งที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 61




    ฝันครั้งที่ 2

     

                เขาว่ากันว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา เพราะฉะนั้นหลงเองก็จะไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และเพื่อนเองก็ไม่มีสิทธิ์มาถือสาเรื่องที่เขาปล่อยให้นอนเมาหลับที่โซฟาห้องนั่งเล่นเหมือนกัน

                เมื่อคืนหลังจากเพื่อนหลับไปหลงก็ขับรถหนีกลับบ้าน คำพูดและจูบกะทันหันนั้นทำเอาเขานอนไม่หลับ มัวแต่คิดมากว่าถ้าหากเจอกันอีกจะปั้นหน้ายังไง จะสามารถทำตัวเป็นปกติได้ไหม แล้วคนเมาจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า

                หลงนั่งนิ่งพิงโซฟามองทีวีตรงหน้าแต่สายตาไม่ได้จับจ้องรายการที่กำลังฉาย ในหัวเขายังคงคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืน คิดย้ำแล้วย้ำอีกถึงสิ่งที่เพื่อนกระทำ อย่างกับว่าเหตุการณ์ครั้งเก่ากำลังถูกจับมาเล่าใหม่อีกครั้งโดยเจ้าของเรื่องคนเดิม เรื่องราวที่ตอนจบอาจจะเปลี่ยนแปลงไป

                "เฮ้อ!~" คิดแล้วก็เผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่จนน้องสาวที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปหันกลับมามอง

                "พี่หลงเป็นอะไร"

                "เป็นอะไร?"

                "ถอนหายใจดังขนาดนั้น"

                "เปล่า"

                น้องสาววัยมัธยมปลายเอียงคอมอง ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปโดยไม่สนใจพี่ชายคนโตที่ยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิก

                หลงหยิบรีโมทมากดปิดทีวีตั้งใจจะขึ้นไปนอนทำตัวขี้เกียจบนห้องให้สมกับเป็นวันหยุด แต่ยังไม่ทันก้าวถึงบันไดเสียงน้องสาวที่เพิ่งสะพายกระเป๋าออกไปก็ดังแว่วมา เหมือนเขาจะได้ยินคำว่า...

                "เพื่อนเหรอคะ"

                ช่วงขายาวชะงักทันที หลงเดินย้อนกลับมาที่ประตูบ้านแล้วก็ต้องรีบมุดตัวกลับเข้ามาเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น

    คนที่กำลังยืนคุยกับน้องสาวของเขา

                เพื่อนที่ชื่อเพื่อน

                "อ๋อ หนูจำได้ละ พี่เพื่อน หน้าตาไม่เปลี่ยนเลยนะเนี่ย หล่อเหมือนเดิม"

                เพราะยืนหลบอยู่ด้านหลังทำให้หลงไม่รู้ว่าน้องสาวเขากับเพื่อนมีสีหน้ายังไง ถ้าให้เดาคนถูกชมคงจะยิ้มจนตาหยีโชว์ลักยิ้มที่แก้มขวา ส่วนน้องสาวตัวดีคงจะยิ้มหน้าระรื่นทำตัวเป็นสาวน้อยใจกล้าแซวผู้ชายหน้าตาดีไปทั่ว

                "พี่หลงอยู่ในบ้านเลยค่ะ"

                "พี่เข้าไปได้ใช่มั้ย"

                "ได้ค่ะ เข้าไปเลยๆ เดี๋ยวหนูไปก่อนนะนัดเพื่อนไว้"

                "ครับ"

                บทสนทนาของทั้งคู่จบลงแค่นั้น สมัยมัธยมเพื่อนๆ เคยนัดมาทำงานกลุ่มที่บ้านหลงสองสามครั้ง ด้วยความที่น้องสาวเขาเป็นเด็กผู้หญิงแก่แดดแถมชอบผู้ชายหน้าตาดีช่วงนั้นเธอเลยหลงใหลได้ปลื้มเพื่อนเป็นพิเศษ ถึงขนาดเอามาพูดให้ฟังว่าพี่เพื่อนดีอย่างนั้นพี่เพื่อนดีอย่างนี้ทั้งที่ได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะครั้งนั้นเธอโดนพิษรักไอศกรีมแท่งละห้าบาทที่เพื่อนซื้อมาฝากก็เป็นได้

                บ้านของหลงนั้นอยู่หลังสวนสาธารณะเล็กๆ ติดถนนใหญ่ มีซอยเข้าบ้านผ่านกลางสวน เพราะบ้านมีก่อนแต่สวนเพิ่งมาสร้างทีหลัง เป็นบ้านที่ไร้รั้วรอบขอบชิด มีเพียงบ้านสองชั้นหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ต้นซอย ถัดไปอีกหลายเมตรถึงจะมีบ้านอีกหลัง พื้นที่ว่างด้านหน้าเป็นลานจอดรถ ดูร่มรื่นเหมือนบ้านสวนก็ไม่ปาน

                ในเมื่อถูกเชื้อเชิญให้เข้าบ้านขนาดนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่หลงต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป เขาเดินออกมายืนหน้าประตู มองเพื่อนที่ส่งยิ้มกลับมาให้ แววตาสุกใสนั่นช่วยเสริมให้อีกฝ่ายดูมีเสน่ห์เปล่งประกาย ก่อนเพื่อนจะก้าวเข้ามาหาอย่างอารมณ์ดี

                "ไง" เพราะไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไงหลงเลยทักออกไปแบบนี้ ใจจริงเขาอยากจะถามออกไปว่า 'มาได้ยังไง' หรือ 'มีธุระอะไร' แต่ก็เกรงใจเกินกว่าจะพูดอย่างนั้น

                "น้องสาวโตขึ้นเยอะเลย ชื่ออะไรนะ" เพื่อนเอี้ยวตัวหันกลับไปมองเด็กสาวที่เดินออกไปจนเกือบจะถึงหน้าถนนใหญ่แล้วยิ้มแหย เขาจำหน้าได้ แต่เป็นพวกจำชื่อคนไม่ค่อยเก่งเท่าไร

                "หยก"

                "ใช่ น้องหยก สวยขึ้นด้วย"

                "เข้ามาในบ้านก่อนดิ"

                คำชวนที่รอคอยทำให้เพื่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม รีบถอดรองเท้าวางไว้อย่างเป็นระเบียนก่อนเดินตามหลงเข้าบ้าน

    เพื่อนจำไม่ค่อยได้นักว่าสมัยมัธยมการตกแต่งของบ้านหลังนี้เป็นยังไง จำได้ลางๆ ว่าตรงกลางมีพื้นที่ว่างสามารถรองรับเพื่อนได้ทั้งกลุ่ม มองไปแล้วก็ไม่ต่างจากตอนนี้นัก โถงด้านล่างโล่งกว้าง มีเพียงโซฟาไม้ตัวยาวตั้งติดขอบผนังด้านหนึ่งเป็นมุมสำหรับดูทีวี ตู้โชว์สองหลังใหญ่ ห้องน้ำใกล้กับบันได ห้องครัวอยู่ทางประตูหลังบ้าน มีโต๊ะทานข้าวสำหรับครอบครัว มีหน้าต่างเปิดรับลม เหมาะสำหรับเอาไว้จัดงานฉลองยิ่งนัก

                หลงเชิญแขกนั่งที่โซฟาไม้ ก่อนเดินไปหาน้ำหาท่ามาให้ วันนี้มีเขาอยู่เฝ้าบ้านแค่คนเดียว พ่อเลี้ยง แม่ แล้วก็น้องชายคนรองไปเยี่ยมญาติที่สระบุรี น้องสาวคนเล็กก็อย่างที่เห็น เพิ่งแต่งตัวสวยเดินออกไปจากบ้านเมื่อกี้นี้ เหลือเพียงเขา คนที่เมื่อวานกลับบ้านมาก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ตื่นมาอีกทีก็โดนทุกคนทิ้งไปหมด

                "หายเมาแล้วเหรอ" เห็นหน้าตาเพื่อนสดใสอย่างกับคนละคนกับเมื่อคืนหลงก็อดถามไม่ได้ แต่พอถามแล้วก็พาลให้คิดถึงคำถามของคนเมาขึ้นมา หรือว่าเขาควรจะเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่น

                "แค่นั้นไม่แฮงค์หรอกน่า"

                "อืม" ส่งเสียงตอบรับไปแล้วต่างคนก็ต่างเงียบ

                บรรยากาศวังเวงแปลกๆ เริ่มเข้ามาปกคลุมจนทำให้หลงชักรู้สึกอึดอัด คนพูดมากไม่กล้าหยิบหยกเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาพูด ไม่กล้าเปิดประเด็น ไม่กล้าจะซักถามอะไรต่อทั้งนั้นเพราะกลัวจะไปกระตุ้นต่อมความจำของเพื่อนเข้า ไม่ใช่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เขารังเกียจหรือนึกเกลียดเพื่อนขึ้นมา แต่เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้มันจะเหมือนหนังที่ถูกฉายซ้ำกับเมื่อแปดปีที่แล้วมันก็ยังเร็วไปจนตั้งตัวไม่ทันอยู่ดี

                พอหลงเงียบใส่เพื่อนก็เงียบไปด้วย ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนเกลียดเพราะเขาค่อนข้างคุ้นชินกับมัน แต่เขาชอบเวลาที่หลงพูดมากมากกว่า ชอบเวลาหลงเล่าเรื่องต่างๆ ให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง ความรู้สึกคล้ายกับเวลาฟังคุณครูเล่านิทาน เพลิดเพลินชวนให้เคลิ้มหลับ และเขารู้ว่าทำไมคนที่เคยพูดเป็นต่อยหอยถึงได้เงียบเป็นเป่าสากแบบนี้ เหตุผลนั้นมาจากตัวเขาเอง

                "เมื่อคืน"

                เพียงแค่เกริ่นออกมาคำเดียวสีหน้าหลงก็เปลี่ยนจนเพื่อนจับสังเกตได้ไม่ยาก เล่นทำตาโตเลิ่กลั่กแบบนี้ไม่เนียนเอาเสียเลย

                "ขอบคุณที่ไปส่ง"

                "อ๋อ อืม ไม่เป็นไร"

                "แล้วกลับมาถึงบ้านกี่โมง"

                "ประมาณเที่ยงคืน"

                เพื่อนพยักหน้าแล้วยิ้มรับจนเห็นแก้มปุ๋มข้างขวา เขายืดตัวขึ้นพิงพนัก นึกขำหลงอยู่ไม่น้อยทั้งที่ในใจตัวเองยังรู้สึกหวาดหวั่น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเพราะเมาหนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นลงไป การกระทำที่เสี่ยงโดนปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง แต่ถ้าหากถามว่าเสียใจที่ทำลงไปไหมเขาตอบได้เลยว่าไม่ ปฏิกิริยาตอบกลับในวันนี้ของหลงไม่ได้แย่นัก และนั่นทำให้เขาอยากเดินหน้าสู้ต่อ แม้จะรู้ว่ามันยากไม่ต่างจากเมื่อแปดปีก่อนเลยก็ตาม

                เพราะถ้าไม่เคยรู้สึก...พยายามให้ตายยังไงก็คงไม่มีวันรู้สึกอยู่ดี

                "เออ หลงมีแฟนยัง"

                "ก็...ยัง"

                "ยังไม่มีเหมือนกัน"

                "ใช่เหรอ"

                คนโดนดักคอหัวเราะเบาๆ คนอย่างเพื่อนที่ทุกคนในกลุ่มรู้จักโสดได้ไม่เกินสองเดือนเดี๋ยวก็มีคนมาดามหัวใจ แต่ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปอะไรๆ มันก็เปลี่ยน

                "โสดมาหลายปีแล้ว"

                "..."

                "รอคนที่สารภาพรักไว้เมื่อแปดปีก่อนมาเป็นแฟนอยู่"

     

                ม. 4 เทอม 2

                หากจะพูดถึงแฟนของเพื่อนสมัยมัธยม ก็มักจะนึกถึงคำหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมานิยามการคบหาแบบรักๆ ใคร่ๆ ของเพื่อนในสมัยนั้น คล้ายกับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คำที่หลงไม่แน่ใจว่าเพื่อนยังเป็นแบบนั้นอยู่หรือเปล่า

                ในเมื่อหลงคือ 'หลงหลับ' ฉะนั้นแล้วนิยามสำหรับเพื่อนก็คือ 'เพื่อนไม่เลือก'

                คำๆ นี้เป็นใครได้ยินคงรู้สึกไม่ดีนัก แต่ในความหมายที่เพื่อนๆ เข้าใจไม่ใช่แบบนั้น เพราะเพื่อนก็แค่คบหาใครสักคนเป็นแฟนโดยไม่สนหน้าตาเท่านั้นเอง

                "แฟนมึงแต่ละคน"

                แฟนคนใหม่ของเพื่อนกลายเป็นประเด็นสนทนาหลักของกลุ่มในวันนี้ กับสาวรุ่นพี่ที่พยายามขายขนมจีบให้น้อง ม.4 ขวัญใจสาวๆ ในโรงเรียนมานานแรมเดือน จนสุดท้ายก็ได้สมหวังเสียที แต่สิ่งที่เล็กติดใจไม่ใช่เพราะเพื่อนคบรุ่นพี่ แต่เป็นฉายา 'พี่ผี' กับความสวยที่หาได้น้อยมากจากตัวรุ่นพี่คนนั้นต่างหาก

                "ทำไมไม่หาแฟนสวยๆ หน่อยวะ" เก้เองก็เห็นด้วย

                "สวยสุดคงเป็นน้องใหม่มั้ง แต่คนนั้นไม่ใช่แฟนนี่หว่า เหมือนมากุ๊กกิ๊กๆ กันพักเดียว" ขวัญว่าพลางทำท่านึก น้องใหม่ที่ว่าก็สวยใช้ได้ อย่างน้อยก็สวยกว่าพี่ผี

                เพื่อนส่ายหน้าน้อยๆ กับคำวิจารณ์ที่ได้รับ เขาไม่โกรธ เพราะรู้อยู่แล้วว่าผลตอบรับจากกลุ่มเพื่อนจะเป็นแบบนี้

                "ไม่ได้เลือกคบที่หน้าตานี่หว่า"

                "แล้วพี่ผีนี่ดีตรงไหน อ๋อ ดีเพราะมึงได้กินขนมฟรีใช่มั้ย" เล็กสวนขึ้นทันควัน คนโดนดักคอก็ได้แต่ยิ้มอีกรอบ ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ เก้เลยช่วยยืนยันความคิดเล็กอีกแรง

                "กูว่าต้องใช่แน่ๆ"

                "เห็นกูเป็นคนเห็นแก่กินเหรอวะ"

                "หรือไม่ใช่"

                เพื่อนหัวเราะแทนคำตอบ ได้กินของฟรีก็ส่วนหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักทั้งหมดเสียหน่อย การจะคบใครสักคนเป็นแฟนต้องมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน กับพี่ผี คนที่คอยเข้ามาวอแวเอาใจใส่มีหรือที่ใจจะไม่รู้สึก อย่างน้อยเพื่อนเองก็มีความชอบพออยู่บ้าง แต่จะพัฒนาเป็นความรักได้หรือไม่นั้นต้องให้อนาคตตัดสิน

                "แล้วไง จะกลับด้วยกันมั้ย หรือจะไปไหนกับพี่ผีมั้ย" เล็กถาม ปกติเขากับเพื่อนจะกลับบ้านด้วยกัน ความจริงมีหลงด้วยอีกคนแต่รายนี้ไม่ค่อยได้กลับด้วยกันนัก หากเรียงตามระยะทางแล้วบ้านหลงอยู่ใกล้ที่สุด ถัดมาเป็นเล็ก และเพื่อนที่อยู่เลยไปอีกเขตแต่ยังเป็นถนนเส้นเดียวกันอยู่

                "พี่เค้านัดไปหาอะไรกินที่ตลาด"

                "นัดกันที่ไหน"

                "ก็..."

                "น้องเพื่อน"

                พูดยังไม่ทันขาดคำเจ้าของฉายาพี่ผีก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาก่อนตัว รุ่นน้องผู้น่ารักพากันยกมือไหว้ เธอเองก็รับไหว้พร้อมรอยยิ้มสดใส ไม่ได้มีท่าทีคุกคามทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แค่ยืนห่างๆ รอให้แฟนหนุ่มขวัญใจของใครหลายๆ คนลุกขึ้นมาหาเอง

                "งั้นไปก่อนนะ"

                "เออๆ เจอกันพรุ่งนี้"

                "เที่ยวให้สนุกนะครับ"

                เพื่อนลุกออกจากโต๊ะไปหาแฟนสาวก่อนทั้งคู่จะเดินเคียงข้างออกไปพร้อมกัน จะว่าไปก็ดูเหมาะสมกันดี ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง ไม่ต้องหล่อไม่ต้องสวย ขอแค่มีความสุข มันจะกลายเป็นความเหมาะสมที่น่าอิจฉาขึ้นมาเอง

                อย่างน้อยหลงก็คิดแบบนั้น

                ไม่ว่าเพื่อนจะคบหากับใคร เขาก็ทำให้คนคนนั้นดูน่าเหมาะสมได้อย่างน่าประหลาด

     

                ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับพี่ผีดำเนินไปท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน บางกลุ่มเชียร์ บางกลุ่มแช่ง ถึงอย่างนั้นเรื่องราวความรักมักไม่จบด้วยความสวยงามเสมอไป อย่างน้อยก็กับเพื่อน ผู้ชายหน้าตาดีที่ถูกผู้หญิงบอกเลิกเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งกับพี่ผี

                "เกือบห้าเดือน คนนี้นานสุด" เล็กชูนิ้วที่นับได้ให้เพื่อนดูอย่างภาคภูมิใจ เขาไม่ใช่คนที่อาลัยอาวรณ์กับความรักของเพื่อนนัก เพราะคนอักหกยังนั่งกินข้าวได้อย่างปกติสุขอยู่เลย

                "แล้วทำไมถึงโดนบอกเลิกอีกวะ" ขวัญถามบ้าง เขาเองมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เหตุผลของการเลิกราครั้งนี้คงไม่ต่างจากเดิมนัก แต่ที่เพิ่งถามและนึกอยากรู้เพราะเมื่อสองวันก่อนแผลเพื่อนยังสด ทำตัวซึมกระทือไม่พูดไม่จา พอเห็นวันนี้สีหน้ากลับมาสดใสเหมือนเดิมแถมมีเล็กเปิดประเด็นให้เลยอดที่จะถามบ้างไม่ได้

                "ก็เหมือนเดิม"

                "ไม่มีเวลาให้"

                "อยากนอนมากกว่า"

                "อยากมีเวลาส่วนตัว"

                "ไม่ใช่ไม่รักนะ"

                "แต่คนเราก็อยากอยู่บ้านบ้าง"

                "บางทีก็ขี้เกียจ"

                "กูว่ามึงยังไม่พร้อมมีแฟนว่ะ"

                ได้ฟังคำตอบเพื่อนทั้งกลุ่มก็พูดต่อกันเหมือนเล่นต่อเพลงโดยปิดท้ายด้วยความคิดเห็นของเล็ก ทุกประโยคนั้นเพื่อนเคยพูดไว้ทุกคนไม่ได้ใส่ร้าย เพื่อนเป็นคนติสท์ มักมีอารมณ์ศิลปิน บางเวลาไม่ชอบให้ใครมารบกวน แต่ถึงเวลาทุ่มก็ทุ่มเต็มที่ คาดว่าสาวรุ่นพี่คงไม่เข้าใจถึงจุดนี้ รวมถึงสาวๆ ที่โบกมือลาไปก่อนหน้านี้ด้วย

                "เขาขอเวลาในตอนที่อยากพัก ขอในตอนที่รู้สึกไม่ไหว บางทีมันก็ไม่อยากให้ไง"

                "ขออะไรพูดให้เคลียร์ๆ" เต้ยขัดขึ้นจนเพื่อนมองตาขวางใส่ แต่คนสวนกลับกลายเป็นขวัญ

                "ขอเอามั้ง มึงอย่าเพิ่งขัดได้มั้ยวะ"

                "เห็นหน้าเครียดๆ ก็เผื่อจะตลกไง แล้วสรุปมึงโอเคหรือยังวะ"

                "อืม ถ้าเขาไม่อยากอยู่แล้วกูก็ไม่รั้งหรอก"

                "แต่บางทีเขาอาจจะอยากให้มึงรั้งก็ได้นะ"

                "ไม่อยากรั้งคนที่ไม่เข้าใจในตัวกูว่ะ" คนพูดยังก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวในจาน กลุ่มเพื่อนๆ เองก็ไม่ได้ว่าหรือคัดค้านในการตัดสินใจครั้งนี้

                แต่ละคนนั้นมีความคิดและทัศนคติต่อความรักแตกต่างกันไป สำหรับผู้ชายตัวอ้วนเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ไม่เคยมีแฟนเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะอะไรความรักของเพื่อนถึงเกิดขึ้นได้ง่ายและจบลงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งตอนนี้เองเขาก็ยังไม่เข้าใจเช่นกัน

                ว่าเพราะอะไรความรักที่เพื่อนมีให้เขา...ถึงยังยาวนานมาจนถึงตอนนี้

     

                หลงทำหูดับ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ ไหนจะเรื่องเมื่อคืนอีก ทุกอย่างมันดูเร็วเกินไป เขายังไม่พร้อมรับอะไรทั้งสิ้น และไม่คิดว่าจะพร้อมในเวลาอันใกล้นี้ด้วย

                "หินข้าวยัง"

                แต่แล้วประเด็นกลับถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหันจากเพื่อนที่ชื่อเพื่อน

                "เอ่อ...ก็ ยัง"

                "งั้นไปกินข้าวกัน"

                "ที่ไหน"

                "หลงอยากไปที่ไหน"

                คลังร้านอาหารแถวบ้านมีอยู่ในหัวหลายสิบร้านแต่ตอนนี้หลงกลับนึกไม่ออก กินอะไรดี ตอนนี้เขาอยากกินอะไร แล้วเพื่อนล่ะอยากกินอะไร ยังชอบกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือเปล่า

                "ก๋วยเตี๋ยวเรือ"

                "แถวนี้มีด้วยเหรอ"

                "มี"

                หลงไม่แปลกใจนักที่คนไม่ค่อยช่างสังเกตอย่างเพื่อนจะไม่รู้ จากที่นี่ไปตั้งหลายปีทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด อะไรๆ ก็ไม่เหมือนสมัยมัธยม ร้านนั้นปิดตัวร้านนี้เปิดใหม่ ก๋วยเตี๋ยวเรือที่ไม่เคยมีก็มี

                "งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน"

                "อืม" ทำไมถึงไม่อาจปฏิเสธคำชวนนี้ได้ หลงยังนึกแปลกใจในตัวเองอยู่เหมือนกัน

                เพื่อนยิ้มตาปิด โชว์ลักยิ้มที่แก้มขวาบ่งบอกถึงความอารมณ์ดี ก็เป็นซะแบบนี้ใครจะไปปฏิเสธลง หลงไม่อยากเห็นเพื่อนทำหน้าเศร้า เขาไม่ชอบบรรยากาศขมุกขมัวรอบตัวเพื่อนนัก ผู้ชายคนนี้เหมาะกับความสดใส เหมาะกับโทนสีฟ้าหรือไม่ก็เขียว นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่กล้าปฏิเสธ

                คำปฏิเสธที่ทำให้เพื่อนต้องเศร้าเหมือนเมื่อแปดปีก่อน  

     

    -------------- ติดตามตอนต่อไป --------------

     

    แอบเพิ่มรายละเอียดเรื่องเวลานิดหน่อย

    เรื่องนี้เรานับเวลาหลายรอบมากค่ะ อยากให้ตรงกับเวลาจริงๆ

    ส่วนม่าไม่ม่านั้น เราสายฮีลค่ะ จะไม่ขอผิดคอนเซ็ป อิ_อิ

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×