ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✿ 8 วัน 7 คืน ✿

    ลำดับตอนที่ #2 : วันที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 60




    วันที่ 1

     

                เวลานัดคือหกโมงเช้า ส่วนตอนนี้ตีห้าสิบนาที ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาเช้าขนาดนี้แต่ถนนมันโล่งลุงไกรแกเลยเหยียบเต็มที่ ส่วนผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น นั่งหาวเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ อยากจะยึดเก้าอี้แล้วนอนยาวๆ เหมือนพี่ฝรั่งฝั่งตรงข้ามบ้างก็เกรงใจ ส่วนเพื่อนร่วมทริปอย่างน้องหมีได้ข่าวว่าเพิ่งออกจากบ้านอยู่เลย

                เฮ้อ~ ชีวิต

                สนามบินยามเช้ามันช่างเหงาหงอย นั่งแก่วไถเฟซบุ๊กไถทวิตเตอร์จนไม่มีอะไรให้อ่านในที่สุดไลน์จากน้องหมีก็เด้งขึ้นมาเสียที

                น้องหมี : ถึงแล้วนะ พี่อินอยู่ตรงไหน

                อิน : ไปรอเคาน์เตอร์เช็คอินเลยก็ได้ เดี๋ยวเดินไปหา

                น้องหมี : เราเช็คอินเคาน์เตอร์ R ใช่ป่ะ

                อิน : ใช่

                น้องหมี : งั้นรอตรงนี้นะ

                อิน : โอเค

                นัดแนะกันเรียบร้อยผมก็ลากกระเป๋าเดินไปหาน้องหมีที่เคาน์เตอร์ R น้องผมคนนี้น่ะสังเกตง่าย มองไกลร้อยเมตรยังจำได้เลย ตัวสูงเกิน 180 ซม. ผิวขาวหน้าหล่อเหมือนนายแบบ แม้จะแต่งตัวธรรมด๊าธรรมดาอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนส์ผู้หญิงก็พากันมองจนเหลียวหลัง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอ แค่ผมเดินเข้าใกล้บริเวณจุดนัดหมายของเราก็เห็นแล้วว่าน้องมันอยู่ตรงไหน

                นั่นไง ยืนเต๊ะท่าเล่นมือถืออยู่ตรงนั้น

                ผมลากกระเป๋าเดินไปยืนตรงหน้า พอน้องหมีรู้ตัวว่ามีคนมาถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ยกมือเสยผมที่ปลกหน้าไปข้างหลังแล้วยิ้มให้ตาเป็นขีด บอกได้คำเดียวว่าโคตรดูดี

                ถ้าสาวๆ ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ใกล้ๆ คงกรี๊ดกันสลบแน่ เงยหน้าขึ้นมาแบบหล่อๆ เสยผมแบบเท่ๆ แต่พอยิ้มแล้วดูน่ารักขึ้นมาทันที น้องหมีเป็นผู้ชายที่สามารถปรับลุคได้สามแบบในเวลาสามวินาที

                "มาถึงนานยัง" น้องหมีถามด้วยเสียงทุ้มๆ ตามความใหญ่ของขนาดตัว

                "สี่สิบนาทีที่แล้ว"

                "จริงดิ แล้วไมไม่บอก" พอรู้ว่าผมรอนานน้องมันก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่บอกแล้วมันจะช่วยอะไร ในเมื่อตอนผมถึงสนามบินแล้วน้องหมีเพิ่งออกจากบ้าน อีกอย่างเราทั้งสองคนก็มาถึงก่อนเวลานัดกันทั้งคู่

                "ช่างเหอะ ไปเช็คอินกัน" ผมบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจก่อนลากกระเป๋าไปต่อแถวเช็คอิน

     

                ผ่านเข้ามาด้านในแล้วเราก็มานั่งรอกันหน้าเกท ระหว่างเดินมาน้องหมีมันชวนผมคุยย้อนความหลังครั้งวัยเยาว์ตลอดทาง เพราะเราเจอหน้ากันไม่บ่อยเลยมีเรื่องให้คุยเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ที่สุดคือส่วนสูงที่เพิ่มเอาๆ ของน้องมันมากกว่า ทั้งที่ตอนเด็กตัวเล็กกว่าผมแท้ๆ มาโดนแซงเอาตอนไหนก็ไม่รู้ แถมแซงไปไกลด้วย

                "ก็แค่กินทุกอย่างให้หมดแล้วนอนเยอะๆ แค่นั้นเอง"

                และนี่ก็คือคำตอบของน้องหมี ฟังแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้ม

                ผมก็นอนเยอะนะ ทุกวันนอนไม่เกินห้าทุ่มแต่ต้องตื่นตีห้าทุกวันเพื่อปั่นจักรยานไปจอดไว้หน้าหมู่บ้านแล้วนั่งรถตู้ไปทำงานซึ่งอยู่อีกฟากกับเขตบ้านผมเลย นับเวลานอนก็หกชั่วโมง เพียงพอแล้วสำหรับผู้ใหญ่วัยเบญจเพส ส่วนตอนเด็กผมหลับตั้งแต่สามสี่ทุ่ม เล่นกีฬาออกกำลังกายไม่ค่อยได้ทำเหมือนคนอื่นเขาเท่าไร เพราะงั้น 172 ซม. ที่ได้มาผมว่ามันก็โอเคแล้ว

                เวลาอยู่กับน้องหมีแล้วเหมือนผมเป็นฝ่ายรับฟังเสียงมากกว่า ตั้งแต่เจอหน้ากันน้องมันก็พูดไม่หยุด ปกติผมไม่ใช่คนเงียบเท่าไรนะ แต่ก็นั่นแหละ เจอคนพูดมากกว่าเลยต้องยอม

                "พี่อินไปญี่ปุ่นครั้งแรกป่ะ" แล้วคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะเจอก็หลุดออกมา

                คุยกันเรื่องญี่ปุ่นมาก็เยอะแต่น้องหมีไม่เคยถามคำถามนี้กับผมเลย ส่วนใหญ่จะปรึกษากันเรื่องที่เที่ยวมากกว่า ซึ่งผมวางแผนไว้หมดแล้วก่อนจะรู้ว่าได้เพื่อนร่วมเพิ่มมาอีกคน มีเอามาปรับใช้นิดหน่อยตอนน้องมันขอว่าอยากไปที่นั่นที่นี่แค่นั้น

                "ไม่อ่ะ"

                "จริงดิ" น้องหมีทำตาโต ดูจะตื่นเต้นมากที่ผมไม่ได้ไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

                "อืม"

                "ไปกี่ครั้งแล้ว"

                "ก็...ครั้งที่สี่"

                "โห!~ ไม่เห็นเคยบอก" ร้องแบบโอเวอร์แอคติ้งแถมเบิกตากว้างตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม นี่น้องหมีมันจบเอกการแสดงหรือไง

                ผมไม่บ้าโซเชียล ปกติไปเที่ยวเลยไม่ค่อยอัพรูปอัพเดทเหตุการณ์เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเท่าไร แต่ประเด็นที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปไหนก็คือหนึ่ง เบื่อพวกฝากซื้อของ และสอง ผมไม่ได้ไปเที่ยวแบบคนอื่นเขาไง เลยชอบไปแบบเงียบๆ ไปแค่ไม่กี่วัน รู้เฉพาะคนที่สนิทจริงๆ ขนาดเพื่อนที่ทำงานบางคนยังไม่รู้เลยว่าผมไปญี่ปุ่น  

                "งี้ก็เที่ยวครบทั้งประเทศแล้วดิ"

                "ไม่หรอก"

                อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนความลับที่ปกปิดไว้กำลังจะถูกเปิดเผย ผมไม่อยากบอกเลยว่าที่ผ่านมาไปญี่ปุ่นเพราะอะไร แต่พลั้งปากพูดไปแล้วแถมน้องหมีมันยังทำหน้าอยากรู้ซะขนาดนี้ผมควรจะแถออกไปมหาสมุทรไหนดี

                "ทำไมอ่ะ"

                "ก็ไม่ทำไมอ่ะ"

                "แล้วพี่อินไปที่ไหนมาแล้วบ้าง"

                "โตเกียวแล้วก็..." ผมลากเสียงยาวเพราะมันนึกไม่ออก ความจริงคือนอกจากโตเกียวแล้วผมก็แทบไม่ได้ไปไหนอีกเลย เพราะฉะนั้นคำตอบคือโตเกียวที่เดียวเท่านั้น

                "แล้วก็..."

                "จำไม่ได้แล้ว ไหนเอาแผนเที่ยวที่ให้ปริ๊นมาดูดิ๊" เลือกมหาสมุทรแถออกไปไม่ได้ผมก็เบี่ยงประเด็นมันซะเลย

                แบมือไปตรงหน้าน้องหมีขอแผนการท่องเที่ยวที่ผมใช้เวลาร่วมเดือนในการหาข้อมูลและจัดเรียงแต่ให้น้องมันเป็นคนพิมพ์เข้าเล่มมาให้

                น้องหมีก็แสนว่าง่าย ออกปากขอปุ๊บรีบเปิดกระเป๋าหยิบให้ปั๊บ เรื่องที่คุยกันอยู่เมื่อกี้ก็ลืมๆ มันไปแล้วขึ้นหัวข้อใหม่กันเถอะ

                พอเบี่ยงเบนประเด็นได้ผมก็ชวนน้องหมีคุยเรื่องที่เที่ยวในแผนการเดินทางไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง แล้วน้องมันก็เหมือนจะลืมประเด็นการไปญี่ปุ่นที่เดียวซ้ำๆ ของผมไปเลย

     

                ห้าชั่วโมงกับอีกห้าสิบนาทีเราสองคนก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะโดยสวัสดิภาพ ผมเดินงัวเงียตามหลังน้องหมีไปเรื่อยๆ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงสายพานรับกระเป๋า เห็นผมเดินทางบ่อยๆ ก็เถอะความจริงไม่ค่อยถูกโรคกับเครื่องบินเท่าไร แต่เพราะความอยากเลยต้องมา ถึงไม่ชอบนั่งเครื่องบินยังไงก็ต้องมา

                ที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยสองชั่วโมง ตอนนี้จึงเป็นเวลาสี่โมงครึ่ง หลังจากได้กระเป๋าเราก็นั่งรถไฟเข้าเมืองตรงไปยังโรงแรมที่สถานีอิเคะบุคุโระ ทิ้งสัมภาระเอาไว้แล้วจะได้ออกไปตะลุยโตเกียวในยามค่ำคืนกัน

                ลากกระเป๋าใบโตด้วยความทุลักทุเลมาถึงสถานีอิเคะบุคุโระได้สองกระเหรี่ยงจากเมืองไทยก็งงเป็นไก่ตาแตก ถึงผมจะมาโตเกียวบ่อยก็เถอะแต่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก สถานีใหญ่แถมคนเยอะเลยต้องรีบพากันไปหลบมุมเสาแล้วหยิบแผนเที่ยวที่ทำไว้มากางดู

                "ออกทาง west" น้องหมีบอกแล้วชี้ป้ายให้ผมดูเราถึงได้ลากกระเป๋าไปกันต่อ

                ทางออกที่พวกเราต้องออกนั้นไกลมาก เดินผ่านร้านอาหารผมก็ได้แต่มองตามตาละห้อย มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น แต่ด้วยสัมภาระที่ติดตัวมาเลยต้องอดไว้ก่อน เอากระเป๋าไปโยนทิ้งที่โรงแรมเมื่อไรผมจะแวะมันทุกร้านที่อยากกินเลย

                เดินมาจนถึงทางออก บันไดเลื่อนพามาโผล่บนทางเดินแล้วก็พากันงงอีกรอบ

                "ไปไหนต่อนะ" น้องหมีหันซ้ายหันขวาก่อนหันมาถามผม

                "เขาบอกให้ตรงไป เจอร้านยาแล้วเลี้ยวซ้าย" บอกรายละเอียดที่หามาได้ไป

                ปกติผมไม่เคยหาข้อมูลอะไรแบบนี้เลย สามครั้งที่ผ่านมาคือมากับแก๊งเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันแถมเป็นผู้ตามตลอด อารมณ์แบบเดินตามอย่างเดียว เขาพาไปไหนก็ไป พอต้องมานำเองแบบนี้เลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

                "ตรงไป งั้นก็ข้ามถนนใช่มั้ย" ถามแล้วก็หันมาทำหน้ามึนใส่ผม

                อยากจะตอบกลับไปดังๆ ว่า 'ไม่รู้โว้ย! มาครั้งแรก' แต่ก็ทำได้เพียงแค่ทำหน้ามึนตอบกลับไปบ้าง

                "มั้ง"

                สุดท้ายก็เป็นอันสรุปว่าเราจะข้ามถนน เพราะโผล่ออกจากทางขึ้นสถานีก็เจอทางม้าลายอยู่ตรงหน้าเลย ฉะนั้น ตรงไปก็เท่ากับข้ามถนนไปล่ะมั้งนะ

     

                แล้วไหนล่ะร้านยา

                เดินลากกระเป๋าด้วยความลำบากยากเย็นมาจนจะสุดทาง ข้างหน้ามีถนนตัดผ่านตามด้วยกำแพงผมก็ยังไม่เจอร้านยาสักร้าน ไหนข้อมูลบอกเดินไม่ไกลแต่นี่มันโคตรไกล ไกลมากด้วย

                "มาถูกทางป่ะเนี่ย" ไม่ถามเปล่ามีการหัวเราะเยาะ

                ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าตรงไปคือข้ามถนนน่ะไอ้น้องหมี ก่อนจะได้เที่ยวต้องลุ้นว่าจะหาโรงแรมเจอหรือเปล่าด้วยใช่มั้ย

                "เปิดแมพดูดิ๊"

                "พี่ไม่เปิดอ่ะ"

                อุตส่าห์โยนไปให้แล้วยังจะโยนกลับมาอีก ถ้าดูเป็นคงทำเองไปแล้ว

                จุดบอดเรื่องการท่องเที่ยวของผมอีกอย่างคือเดินตามแมพไม่เป็น งงทิศ ไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหน เปิดดูแล้วไม่ช่วยอะไรรอบนี้ที่มาเองเลยเน้นการหาข้อมูลแน่นๆ แทน แต่ตอนนี้ข้อมูลแน่นแค่ไหนก็คงไม่ช่วยอะไรเหมือนกัน ในเมื่อหลงทางไปแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าการมีน้องหมีมาด้วยมันอาจจะดีก็ได้ ถ้าไม่นับเรื่องตรงไปเท่ากับข้ามถนนเมื่อกี้น่ะนะ

                "แบร์นำนะ" ให้ผมเปิดผมก็เปิดแต่ยื่นมือถือไปให้น้องหมีดูเอง น้องมันทำหน้างงนิดหน่อยแต่ก็ยอมรับไปถือไว้โดยดี

                อย่าให้พี่เดินนำเลยไอ้น้อง จากที่ควรจะถึงโรงแรมอาจจะพาเดินกลับสนามบินเลยก็ได้

                สุดท้ายด้วยความสามารถของหมียักษ์ก็ทำให้พวกเรามาถึงโรงแรมได้สำเร็จ ซึ่งทางที่เดินไปก่อนหน้านี้ก็เหมือนเป็นการสำรวจย่านนี้เล่นๆ ว่าง่ายๆ คือไปเดินอ้อมมาเกือบครบทั้งย่านแล้วนั่นแหละ

                โรงแรมที่ผมจองไว้เป็นโรงแรมเล็กๆ และราคาถูกมาก เจ้าหน้าที่ก็สุดแสนจะเงียบขรึม จ่ายเงินให้กุญแจห้องเป็นอันจบข่าว ไม่มีการแนะนำใดๆ ต่อทั้งสิ้น เช็คอินเรียนร้อยผมกับน้องหมีก็ลากกระเป๋าเข้าลิฟต์กดชั้นสามตามหมายเลขห้องบนกุญแจที่ได้มา

                "โคตรแคบ" ประตูลิฟต์เปิดออกปุ๊บน้องหมีก็บ่นปั๊บ

                จะว่าไปทางเดินมันก็แคบจริงๆ นั้นแหละ กระเป๋าใบเดียววางก็เต็มแล้ว ยิ่งคนตัวใหญ่อย่างกับหมีขั้วโลกอย่างน้องมันไปยืนคือคับเต็มทางเดินไปหมด เห็นแล้วก็ขำ

                "ไม่ต้องมาหัวเราะ ใครให้จองที่นี่เนี่ย" ปากบ่น คิ้วขมวด พร้อมทั้งลากกระเป๋าไปด้วยความทุลักทุเล

                "อย่ามาบ่น ตอนจองก็เอาให้ดู"

                "ใครจะไปรู้ว่าทางเดินจะแคบขนาดนี้"

                "นอนในห้องไม่ได้นอนตรงทางเดิน"

                น้องหมียู่หน้าใส่ผม หยุดบ่นแล้วลากกระเป๋าเงียบๆ ไปยังห้องพักที่อยู่สุดทางเดิน

                เปิดประตูห้องเข้ามา เปิดสวิตช์ไฟเรียบร้อย อย่างแรกที่ผมมองหาคือเตียงนอน เตียงใหญ่กว่าติดริมหน้าต่างส่วนเตียงเล็กติดผนังห้องอีกด้าน และนี่คือความประหลาดของโรงแรมนี้ที่สองเตียงมันขนาดไม่เท่ากัน แม้จะต่างกันแค่ครึ่งฟุตก็ตาม

                ผมกับน้องหมีมองหน้ากัน เป็นใครก็อยากนอนเตียงใหญ่ใช่ไหม ถ้าว่ากันตามหลักความจริงน้องหมีมันตัวใหญ่กว่าก็สมควรได้เตียงใหญ่ไป แต่ใครสน

                "อิน..."

                "แบร์นอนเตียงเล็กเอง" ผมยังไม่ทันพูดน้องหมีก็พูดขัดขึ้นมา มีการหันมายิ้มตาหยีให้ก่อนลากกระเป๋าเข้าไปไว้ฝั่งเตียงตัวเอง

                ยอมให้ขนาดนี้ผมก็น้อมรับแต่โดยดี ตั้งแต่เด็กแล้วที่เวลาเถียงกันทะเลาะกันน้องหมีมักจะยอมให้ผมตลอด ทั้งที่ผมซึ่งเป็นพี่ควรจะยอมให้มากกว่า

                แม้ตัวจะสูงขึ้น แม้จะห่างกันมานาน แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี นิสัยข้อนี้ของน้องหมีก็ยังน่ารักสำหรับผมเหมือนเดิม

                ดูเป็นพี่ที่เอาเปรียบน้องชะมัด

     

                ตามตารางที่ผมวางไว้คือหลังจากเก็บของที่โรงแรมเรียบร้อยเราจะออกไปหาข้าวเย็นกินกัน ไม่ได้ระบุว่าจะไปที่ไหน อารมณ์แบบไปหาเอาดาบหน้า เจออะไรน่ากินก็กิน และจากการเดินวนย่านนี้มาแล้วหนึ่งรอบทำให้ตัวเลือกผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ต่อให้อยู่เป็นเดือนก็คงกินไม่ครบทุกร้าน

                "จะกินแถวนี้มั้ย หรืออยากไปที่อื่น" ผมถามลองเชิง อันที่จริงก่อนจะรู้ว่าได้น้องหมีเป็นเพื่อนร่วมทริปผมมีแผนอยู่แล้วว่าจะไปที่ไหน ก่อนมาก็เช็คตารางเรียบร้อยและคิดว่าจะไม่พลาดแน่ๆ ใจหนึ่งก็อยากไปใจหนึ่งก็ไม่อยากเพราะน้องหมี ความชอบของคนเรามันเหมือนจะซะที่ไหน เกิดพาไปแล้วน้องมันไม่เอ็นจอยขึ้นมาจะพาลเอาผมเซ็งไปด้วย

                "แถวนี้ก็ได้ หรือพี่อินมีที่ไหนแนะนำมั้ย เอาที่ไม่มีในแผนนะ"

                "ที่จริงก็มีอยู่ที่นึง" เสริมอีกนิดว่าเป็นย่านที่มีในแผนแต่ไม่คิดว่าจะพาไปเพราะอยากจะไปคนเดียว

                เฮ้อ! แล้วผมจะบอกน้องมันทำไมวะ เกริ่นซะน่าไปขนาดนี้น้องหมีมันเลยทำหน้าตาอยากรู้เข้าไปใหญ่

                "ที่ไหน"

                "อากิบะ"

                "ฮะ" พูดชื่อย่อก็ไม่เข้าใจ มาทำหน้างงใส่ผมอีก มาเที่ยวนี่ศึกษาอะไรมาบ้างมั้ยเนี่ย

                "อากิฮาบาระ"

                "มันมีในแผนไม่ใช่เหรอ"

                "ก็ไปส่วนที่ไม่ได้อยู่ในแผนไง"

                ได้ยินแบบนี้น้องหมีก็ทำหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที แต่พาไปแล้วน้องมันจะชอบหรือเปล่า ผมกับน้องมันชอบอะไรคนละสไตล์กันด้วย

                "มันแพงนะ กินเสร็จอาจจะไม่อิ่มก็ได้" พูดดักไว้ก่อน ที่ที่ผมอยากไปคือไปเอาความสุขใจล้วนๆ เป็นความชอบส่วนบุคคลจริงๆ

                แต่สำหรับน้องหมีแล้วดูเหมือนเรื่องเงินจะไม่ใช่ปัญหา

                "ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มดิ จ่ายได้น่า มาเที่ยวต้องเอาให้คุ้ม"

                ถ้าพาไปก็เท่ากับว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของผมซึ่งน้อยคนนักที่รู้อาจจะถูกเปิดเผย ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก แต่กับน้องหมี เด็กที่เคยเดินตามผมต้อยๆ มีผมเป็นที่พึ่งเดียวในตอนนั้น หลังจากห่างหายจากกันไปเกือบสิบปีมารู้ว่าตอนโตรสนิยมผมกลายเป็นแบบนี้ความนับถือมันจะยังหลงเหลืออยู่ไหม

                "สรุปพี่อินจะพาไปไหน"

                ผมยังไม่ตอบในทันที มองหน้าน้องมันแล้วยิ้มแห้งๆ หรือบางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

                "บอกมาเร็วๆ"

                มาถึงญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องไปที่แบบนี้ดิถึงจะถูก จริงมั้ย

                "เมดคาเฟ่"


     

    TBC.

      

    ตอนแรกมาแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยน้า

    ตอนหน้าจะพาไปเมดคาเฟ่กัน

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×