คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 8 จบลงเหมือนเดิม
ตอนที่ 8
จบลงเหมือนเดิม
อีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังผมก็ได้ใบขับขี่มาครอบครอง พี่เพนนีขับรถมาส่งตั้งแต่เก้าโมงเช้า อยู่รอด้วยกันกระทั่งถึงเวลาที่ผมนัดไว้ คุณพี่สาวดูดีใจมากที่น้องชายคนนี้มีใบขับขี่เป็นของตัวเองสักทีแม้ผมจะยังขับรถไม่ค่อยแข็งนักก็เถอะ
“งั้นแกขับกลับเลย”
“ฮะ”
ผมว่าพี่เพนนีต้องใจเย็นกว่านี้อีกสักนิด เก็บใบขับขี่ใส่กระเป๋าสตางค์ยังไม่ถึงสิบนาทีจะให้ผมออกสู่สนามรบแล้วเหรอ รถคันนี้ไม่มีเบรกฝั่งข้างคนขับนะ อีกอย่าง...
“ปอนด์ขับเกียร์ออโต้ไม่เป็น”
บ้านผมมีรถสามคัน กระบะเกียร์ธรรมดาสองคันกับเก๋งเกียร์ออโต้หนึ่งคัน รถพี่เพนนีขับมาวันนี้ไม่ใช่แบบที่ผมเรียนมา
“เกียร์ออโต้ง่ายกว่าตั้งเยอะ”
“ไม่เอา” ง่ายกว่าแล้วให้ผมเรียนเกียร์ธรรมดาทำไมเล่า
“แกต้องฝึก ไปช้าๆ ช่วงนี้รถไม่เยอะไม่ต้องห่วง” พี่เพนนียื่นกุญแจรถให้ผมโดยไม่สนใจคำคัดค้านใดๆ แต่มันดีแล้วจริงๆ น่ะเหรอ
เข้ามานั่งในรถแล้วผมก็นิ่งไปหลายวินาที ต้องใช้เวลาเพื่อทำความคุ้นเคยกับระบบต่างๆ ในรถแม้มันไม่ได้ต่างกันมากก็เถอะ เสร็จแล้วก็ทำสมาธิอีกสักพัก พี่เพนนีก็นั่งเล่นมือถือปล่อยให้ผมเตรียมตัวเตรียมใจได้เต็มที่ เมื่อพร้อมแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางกลับบ้านด้วยความเร็วไม่เกินหกสิบกิโลเมตรก็ต่อชั่วโมง
เพราะไม่ต้องพะวงกับการเหยียบคลัตช์แถมเกียร์ยังมีแค่เดินหน้ากับถอยหลังผมจึงใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับเกียร์ออโต้ไม่นานนัก ระหว่างขับไปก็หันมองพี่เพนนีที่เอาแต่นั่งยิ้ม คงกำลังขำกับความเร็วที่ผมใช้อยู่แน่ๆ แต่ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน
ด้วยความเร็วที่ไม่มากนักและไม่มีรถคนอื่นมาขับกดดันเพราะถนนค่อนข้างโล่งทำให้ผมสังเกตเห็นสิ่งรอบข้างที่ขับผ่านได้อย่างชัดเจน ซึมซับความเพลิดเพลินของการขับรถไปทีละนิด ช่วงไหนที่เพลินไปหน่อยก็ยังมีพี่เพนนีคอยเตือนสติ ช่วยจับพวงมาลัยให้บ้างตอนเห็นท่าไม่ดี ตรงไปตามทางเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้าเพื่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแม้จะขลุกขลักไปบ้างตอนถอยรถเข้าจอดก็ตาม
“เก่งมาก”
และได้รับคำชมเป็นกำลังใจจากพี่สาวให้พัฒนาต่อ
ได้ใบขับขี่มาแล้วก็ต้องถ่ายรูปอวดครูใหม่ให้ชื่นใจเสียหน่อย โม้เพิ่มไปด้วยว่าขับรถกลับมาเองจากขนส่งด้วยความเร็วไม่เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงแถมยังเป็นเกียร์ออโต้อีก คุณครูต้องภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้อย่างแน่นอน
เสียงแจ้งเตือนจากไลน์ดังขึ้นหลังจากส่งข้อความไปหาไม่นานนัก ผมรีบเปลี่ยนกางเกงให้เสร็จเดินไปหยิบมือถือมาเปิดอ่าน เป็นเวลาพักเที่ยงของคุณครูพอดีเลยได้คำตอบกลับมาเร็วแบบนี้
ขับเกียร์ออโต้ด้วยเหรอ เก่งนะเนี่ย’
ชมเหมือนเด็กแต่ผมก็ยินดีรับคำชมนี้ ยิ้มให้หน้าจอมือถือเปิดประตูออกจากห้องเพื่อลงไปกินข้าวเที่ยง
ก็ศิษย์ครูใหม่’
‘วันหลังต้องพาครูไปขับรถเล่นบ้างแล้ว’
‘นัดวันมาเลย’
เสนออะไรมาให้ผมยินดีรับทั้งหมด เป็นโอกาสที่ต้องคว้าเอาไว้แม้อีกฝ่ายจะตอบด้วยเลขห้าเรียงกันเป็นตับก็ตาม
‘อาทิตย์หน้ามีงานวัดด้วย ไปด้วยกันมั้ย’
ผมเห็นป้ายตอนขับรถผ่าน วางแผนไว้แล้วว่าจะชวนคุณรักแรกไปเดินเที่ยวกันสองคน งานแบบนี้นานๆ ทีจะมีสักครั้ง นึกถึงบรรยายเก่าๆ ที่มีซุ้มเกมกับร้านขายของกินตั้งเรียงรายตลอดแนวทางเดิน เป็นอีกสถานที่ที่เหมาะสำหรับสร้างความทรงจำดีๆ
‘เอาดิ’
‘ใหม่อยากไปว...’
ตุบๆๆ
เหมือนสัญญาณเนตโดนตัด รู้ตัวอีกทีผมก็ลงมานั่งพับเพียบอยู่บนพื้นทั้งที่เมื่อกี้ยังยืนอยู่กลางบันไดแท้ๆ จุกและเจ็บจนร้องไม่ออก มึนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
เสียงดังโครมครามที่ผมสร้างขึ้นเรียกให้พ่อที่อยู่ในครัวรีบวิ่งออกมาหา แกทำหน้าตื่นตกใจเข้ามาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นพร้อมกับบ่นเป็นชุดที่มีทั้งความห่วงใยและคำด่าปนๆ กันไป
“ทำยังไงตกลงมาได้เนี่ยบ้านตัวเองแท้ๆ ซุ่มซ่ามไม่เข้าเรื่อง พ่อก็นึกว่าเสียงอะไรตกใจหมด ถ้าอยู่บ้านคนเดียวจะทำยังไง ไหนเป็นไงบ้าง”
“ขาพลิกมั้ง เจ็บอ่ะ” ตอบขณะเดินกะเผลกตามแรงพยุงของพ่อไปนั่งที่โซฟา
“ทำยังไงถึงตกลงมาได้”
“ก้าวพลาด แต่แค่ไม่กี่ขั้นเองนะพ่อ”
“ดีนะไม่คอหักตาย”
“อย่าพูดให้กลัวดิ”
“เอาขามาพาดบนนี้ก่อน” พ่อถอนหายใจใส่จับขาผมวางบนโต๊ะกลางในแบบที่ต้องเบ้หน้าเพราะความเจ็บ ก่อนแกจะเดินเข้าไปในครัวและกลับออกมาพร้อมถุงใส่น้ำแข็งที่เอามาประคบให้
“เหมือนมันจะเริ่มบวมแล้วอ่ะพ่อ”
“เออ ก็สมควร ปวดมากมั้ย”
“นิดหน่อย”
“นั่งพักไปก่อน ถ้าอีกสักพักไม่หายค่อยไปหาหมอ”
กะพริบตามองพ่อที่เดินกลับไปกินข้าวในครัวเหมือนกับว่าการตกบันไดของผมไม่ใช่เรื่องใหญ่ กินไปก็กดโทรบอกแม่ซึ่งน่าจะอยู่ที่ฟาร์มว่าผมทำตัวซุ่มซ่ามกลิ้งลงบันไดต้องอยู่ดูอาการก่อน ถ้าหนักหนามากต้องพาไปโรงพยาบาลเข้าเฝือกนู่นนั่นนี่ ฟังดูน่ากลัวจนผมเริ่มจะจิตตก ผมไม่ชอบโรงพยาบาล ไม่ชอบที่ต้องเห็นคนอื่นเจ็บรวมถึงตัวเอง
นั่งเหม่อประเมินความเจ็บปวดที่เริ่มทุเลาลงก็เริ่มเบาใจ ลืมทุกสิ่งอย่างที่ทำค้างไว้และสิ่งที่ตั้งใจจะทำกระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างบันไดแผดเสียงร้อง ผมชะเง้อมองส่งสายตาหาพ่อที่เพิ่งกินข้าวเสร็จและเดินไปหยิบมายื่นให้ด้วยสีหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรนัก เป็นคนชอบทำหน้าเหมือนโมโหใครอยู่ตลอดเวลา
“ว่า...” กดรับพูดออกไปได้คำเดียวก็เหลือบตามองพ่อเพราะแกเห็นชื่อที่ผมบันทึกไว้ มิน่าล่ะทำไมถึงได้ทำหน้าโหดใส่
(เห็นพิมพ์ค้างไว้เหมือนกดส่งไม่ครบเลยลองโทรมาดู ไม่ได้กวนใช่มั้ย)
“เปล่าๆ” พิมพ์อะไรค้างไว้ผมจำไม่ได้แล้ว แต่พ่อน่ะยืนเฝ้าไม่ห่างเลย
(แล้วที่พิมพ์มาจะถามว่าอะไร ใหม่อยากอะไร)
“นั่นดิ ลืม” หัวเราะแหะๆ กลับไป พ่อก็ไม่เลิกจ้องกันสักที
(โอเคใช่มั้ยเนี่ย)
“ไม่โอเคนิดหน่อยเมื่อกี้ตกบันได”
(เอ้า เป็นไรมากเปล่า)
“แค่ขาพลิก”
(มัวแต่เล่นมือถืออ่ะดิ)
“อย่าเพิ่งบ่น ใหม่ไม่สอนเหรอใกล้ได้เวลาแล้วนะ” แค่ฟังพ่อบ่นคนเดียวก็เครียดจะแย่แล้ว และเครียดยิ่งกว่าเดิมเมื่อกำลังถูกจับตามองเลยต้องรีบไล่ให้คุณครูไปสอนก่อน
(นักเรียนยังไม่มาเลย แต่พูดถึงตกบันไดแล้วนึกถึงตอนนั้นเลย)
ยังจะมารำลึกความหลังกันอีกนะ
ผมเหลือบมองพ่อแล้วยิ้มแหยให้ จะมายืนกดดันทำไมก็ไม่รู้ก็แค่ลูกชายคุยโทรศัพท์กับคนที่บันทึกชื่อว่า ‘คุณรักแรก’ เนี่ย รอให้คุยเสร็จก่อนค่อยมาซักถามความเป็นไปไม่ได้หรือไง
“ตอนนั้นอ่ะนะ”
(ตอนที่ผมอุ้มคุณไปส่งห้องพยาบาลไง รอบนี้ร้องไห้เหมือนครั้งนั้นหรือเปล่า)
“ไม่ร้องแล้ว” ถึงกับต้องขึ้นเสียงเพื่อยืนยัน
ตอนเด็กๆ ผมค่อนข้างขี้แย เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็ร้อง แต่ความเจ็บปวดครั้งนั้นมันหนักหนากว่าครั้งนี้หลายเท่า ลื่นบันไดลงมาหลายขั้นจนเส้นเอ็นข้อเท้าฉีก ไหนจะแผลถลอกตามตัวอีก นอนหมดสภาพจนเพลินมันนึกว่าผมจะไม่รอดแล้ว
(ลูกศิษย์ผมมาพอดี ค่อยคุยต่อนะ)
“อื้ม ตั้งใจสอน”
(ครับ)
กดวางสายหันสบตากับพ่อปิ๊งๆ ลืมไปแล้วมั้งว่าลูกกำลังเจ็บ หน้าตาพร้อมสอบสวนจนผมเห็นภาพซ้อนว่าพ่อใส่ชุดตำรวจอยู่ จากนั้นก็เริ่มเปิดประเด็นโดยไม่ให้ตั้งตัวก่อนแต่อย่างใด
“ใช่ใหม่ที่มาวันนั้นหรือเปล่า”
“ใช่”
“คุณรักแรก?” เครื่องหมายคำถามลอยมาพร้อมน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ชอบใจนัก สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พ่อไม่ชอบที่ผมเป็นแบบนี้ บอกเลยว่าแย่แน่ๆ
“ก็ตั้งเล่นๆ อ่ะพ่อ เพื่อนสมัยเด็ก”
“แอบรักเขา”
ผมไม่กล้าตอบ สบตาแล้วเบือนหน้าหนี อยากออกไปจากตรงนี้ไม่อยากโดนกดดันให้พูดในเรื่องที่ยังไม่พร้อม
“ปอนด์คิดว่าเป็นแบบนี้มันโอเคเหรอ”
“แล้วพ่อคิดว่าแบบไหนมันโอเคล่ะ”
“เขาไม่ได้เป็นอย่างปอนด์ใช่มั้ย”
เหมือนโดนแทงใจดำ ผมยืนยันไม่ได้ว่าคุณรักแรกเป็นอย่างผมแม้อีกฝ่ายจะเปิดใจให้อย่างเต็มที่ หากพูดออกไปว่าก็แค่ลองดูร้อยทั้งร้อยพ่อต้องไม่เห็นด้วย ไม่มีทางที่คนในครอบครัวจะคิดเห็นแบบเดียวกันในเมื่อพวกเขาคิดต่างมาตลอด
“พ่อเคยบอกปอนด์กี่ครั้งแล้ว”
“ก็ปอนด์เป็นแบบนี้พ่อจะให้ปอนด์ทำยังไง”
พ่อถอนหายใจใส่เฮือกใหญ่กับลูกชายที่ทำให้เขาเหนื่อยใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำอะไรก็ไม่เคยได้ดังใจสักอย่าง
ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่อยู่พักใหญ่ ผมเอาแต่ก้มมองมือตัวเอง ครั้งหนึ่งเคยทะเลาะกับที่บ้านเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะตอนนั้นผมยังเด็กเลยปรี๊ดแตกโวยวายว่าทุกคนไม่เข้าใจและไม่คิดจะทำความเข้าใจ แต่สุดท้ายคำตอบก็คือความเงียบเมื่อไม่มีใครเอ่ยถึงมันอีก
บางทีผมควรจะพูดและยืนหยัดในสิ่งที่เป็นให้มันจบๆ ไป
“พ่อ คือปอนด์...”
“หายเจ็บหรือยัง”
“พ่อฟังปอนด์...”
“ถ้ายังไม่หายพ่อจะพาไปหาหมอ”
ผมถอนหายใจออกมาให้รู้ว่าไม่พอใจกับการที่พ่อเลือกจะเมินเฉยแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วอาจจะเป็นผมก็ได้ที่ทำให้เรื่องไม่ดีขึ้นสักที ในเมื่อคนที่ยอมให้ถูกเมินก็คือตัวผมเอง
“หายแล้วครับ”
“งั้นก็พักอยู่ที่บ้านไปแล้วกัน พ่อไปที่ฟาร์มก่อน”
และแล้วทุกอย่างก็จบลงเหมือนเดิม
การเปิดใจที่จะพูดความจริง...ล้มเหลว
ทางพึ่งเดียวที่ผมสามารถเปิดใจคุยได้อย่างสบายใจคือเพื่อนสนิทที่อยู่ห่างไกล เพลินกลายเป็นตัวเลือกในการปรับทุกข์ของผมอีกครั้งแม้มันจะยุ่งหัวฟูทุกช่วงเวลาของชีวิตก็ตาม แต่เพื่อนคนนี้ก็ยังใส่ใจที่ปนความอยากรู้อยากเห็นมานิดหน่อยในทุกเรื่องของผมอยู่เสมอ
(พ่อไม่ปลื้มตั้งแต่ยังไม่ได้คบเลยเหรอวะ)
“ไม่ปลื้มลูกชายตัวเองนี่แหละ”
น้อยครอบครัวที่จะรับเรื่องนี้ได้ แม้เขาไม่เคยพูดตรงๆ แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบใจ ตั้งแต่เด็กผมเลยไม่กล้ารักใครจริงๆ จังๆ ที่ผ่านมาก็แค่แอบชอบแอบคบไม่ให้ที่บ้านรู้ว่ามีแฟน
(ค่อยๆ ปรับเข้าหากันทีละนิดเดี๋ยวก็ดีเอง พ่อมึงก็ไม่เคยด่าตวาดแรงๆ ไม่ใช่เหรอ)
“เคยอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เขาหนีไงมึง แบบไม่อยากคุยอ่ะ แม่งอึดอัดกว่าอีก”
(มึงได้บอกใหม่ป้ะ)
“ไม่ได้บอก ไม่อยากบอกด้วย ถ้ารู้ว่าถึงเปิดใจแต่ก็เป็นไปไม่ได้ใหม่จะไม่หนีกูเลยเหรอ กูตั้งใจจะช่วยงานที่ฟาร์มอยู่แล้วไง คือจริงๆ กูแม่งก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้วแหละ อยู่มาตั้งแต่เด็กไม่อยากทิ้งไปไหน”
(เออน่าใจเย็น)
กับคุณรักแรกจะจริงจังและไปได้ไกลถึงขั้นไหนผมยังตอบตัวเองไม่ได้ แต่บ้านและฟาร์มเป็นสถานที่ที่ผมต้องอยู่ ผมอยากพาเขามาที่นี่ได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องหลบซ่อน
“กูควรลุยหรือปล่อยเบลอบ้างดี”
(ลองรอดูท่าทีพ่อมึงอีกสักพักก่อนมั้ย)
“เฮ้อ”
(เฮ้ย อย่าเพิ่งเครียด)
“เออๆ ไว้กูมารายงานใหม่”
(มีอะไรทักมาได้ตลอดนะมึง)
ผมกดวางสายเพราะไม่อยากรบกวนเวลามันมากนัก กว่าจะได้คุยกันแต่ละทีก็ดึกดื่น คุยได้แป๊บๆ มันก็ต้องไปนอนเพราะต้องตื่นเช้าออกไปใช้ชีวิตฝ่าฟันกับความยากลำบากของมนุษย์เมืองหลวง ต่างกับผมที่สถานที่ทำงานห่างจากบ้านเพียงไม่กี่ก้าว แม้จะมีงานทุกวันแต่บางทีก็รู้สึกว่างจนอยากหาอย่างอื่นทำ หรือว่าผมควรลองไปหางานทำและใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้างดี แต่แค่คิดว่าต้องหางานเองก็เหนื่อยแล้ว
เฮ้อ
ความคิดเห็น