ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้องผมก็ตัวแค่นี้

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 เอะอะอะไรก็จะหอมแก้ม

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 63


    ตอนที่ 5

    เอะอะอะไรก็จะหอมแก้ม

     

                    เสียงนาฬิกาปลุกดังเวลาเดิม ผมควานหามือถือมาเพื่อกดปิด แต่แล้วเสียงปลุกก็หยุดลงก่อนจะหามือถือของตัวเองเจอ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบกับดวงตาเรียวเล็กอันดำคล้ำของน้องชายตัวโตกำลังมองอยู่

                    “เป็นไงบ้าง”

                    “ง่วง”

                    “ไม่ใช่คำตอบนี้” เรนนี่ที่นั่งอยู่ข้างกันขมวดคิ้วใส่ ยกมือแตะหน้าผากผมเพื่อวัดไข้ ก็แค่เสาไม้เบาๆ หล่นใส่หัวผมไม่อาการหนักถึงขั้นไข้ขึ้นหรอกน่า หัวก็ไม่โนแผลก็ไม่มี แถมเมื่อคืนยังมีเด็กดีคอยประคบเย็นให้อีก

                    “สบายดีแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดใดๆ ทั้งสิ้น” ผมดันตัวลุกขึ้นนั่ง จำได้ว่าเมื่อคืนเรนนี่โผล่มาดูอาการให้ทุกยี่สิบนาทีอย่างที่ว่า ผมเองก็หลับๆ ตื่นๆ แต่ไม่มีสติเหลือพอจะจดจำว่าเรนนี่เข้ามานอนด้วยกันตอนไหน

                    “แน่นะ”

                    “แน่ดิ เนียนกริบเหมือนเดิม” หันข้างโชว์ด้านที่โดนกระแทกให้ดู เนียนกริบอย่างที่บอกไปจริงๆ

                    ....หรือเปล่าก็ไม่รู้ขอโม้ไว้ก่อน

                    ผมยิ้มให้เรนนี่ คนมองก็ทำหน้านิ่งใส่ ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มบริเวณที่โดนเสาไม้หล่นใส่เมื่อคืนจนเผลอสะดุ้ง

                    “โอ๊ย!”

                    แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เจ็บเท่าไรหรอก

                    “ไหนบอกไม่เป็นไรแล้ว”

                    “แกล้งทำหรอก มันยังช้ำอยู่มั้ย”

                    “นิดหน่อย ดูดีกว่าเมื่อวานเยอะ”

                    “งั้นก็หายสนิทแล้ว”

                    ผมยืนยันอีกครั้งว่าไม่เป็นอะไร เดิมทีอาการไม่ได้หนักมากอยู่แล้วแถมได้คนดูแลดีขนาดนี้อีกมีหรือจะไม่หาย ห่วงก็แต่คุณหมอจำเป็นนี่แหละ ไม่รู้เมื่อคืนได้นอนกี่โมงตาถึงบวมแบบนี้

                    “เรนได้นอนบ้างหรือยัง”

                    “นอนแล้ว”

                    “กี่โมง”

                    “ตีห้า”

                    ผมทำหน้าจ๋อยใส่ ถ้าไม่ต้องเข้ามาดูอาการผมบ่อยๆ มีสมาธิกับการทำงานยาวๆ คงไม่กินเวลามากขนาดนี้ รู้สึกผิดอีกแล้ว

                    “ขอโทษนะ”

                    “ขอโทษทำไม”

                    “ที่ทำให้เรนไม่ได้นอน”

                    “ตอนเรนไม่สบายลี่ก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ถือว่าสลับกันดูแล”

                    ฟังแล้วตื้นตันใจอยากจับมาหอมแก้มซ้ายขวา จำได้ว่าเมื่อคืนยังไม่ได้จุ๊บๆ แก้มง้อเลย

                    ผมแปลงร่างเป็นแมวทิ้งตัวใส่น้องชาย ความน่ารักของเรนนี่ทำให้หัวใจผมฟูฟ่องรับยามเช้าที่อาจไม่ได้สดใสที่สุดในชีวิต แต่ยังมีสายรุ้งพาดผ่านให้ยิ้มออกได้เมื่อมองมัน

                    “วันนี้ตรวจแบบตอนบ่ายใช่มั้ย”

                    “ครับ ตอนเช้าเรียนโครงสร้าง”

                    “งั้นเรนนอนต่อก่อนก็ได้นะแล้วค่อยนั่งวินไป หรือจะไปพร้อมพี่”

                    “ไปพร้อมกันก็ได้ แต่ไม่ต้องทำข้าวเช้านะ ลงไปกินป้าตามสั่งด้วยกัน”

                    “โอเค งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” เงยหน้าส่งยิ้มให้เจ้าเด็กขี้กังวลก่อนลุกออกจากเตียงอย่างเชื่องช้า เหตุผลข้อแรกคือใจยังอยากนอนต่อ ส่วนอีกข้อคือไม่อยากลุกเร็วจนหน้ามืดทำน้องเป็นห่วงมากกว่าเดิม

                    

                    ร้านข้าวร้านเดิมที่ผมมานั่งกินกับสกายเมื่ออาทิตย์ก่อน วันไหนไม่มีเวลาทำข้าวเช้าผมมักชวนเรนนี่มานั่งกินด้วยกัน ทำงานหนัก นอนน้อย ตื่นมาด้วยความรู้สึกไม่อยากอาหารแค่ไหนก็ต้องกินข้าวเช้า ผู้ที่ผ่านประสบการณ์เป็นลมตกวินมอเตอร์ไซค์มาแล้วอย่างผมไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับน้องชายสุดที่รักอีก

                    เป็นคนที่มีแต่เรื่องเจ็บตัวจริงๆ เลยตัวผมเนี่ย

                    เราสั่งเมนูง่ายๆ เหมือนกันอย่างข้าวผัดหมู ตักข้าวเข้าปากด้วยความรู้สึกเหมือนมีเมฆครึ้มลอยอยู่เหนือหัว คิดแล้วก็อยากล้มตัวนอนอีกสักสองสามชั่วโมง นอนไม่พอทีไรเหมือนความสดใสถูกพรากไปจากชีวิตทุกที ไม่ต่างกับเด็กตัวโตที่ตักข้าวกินเหมือนไม่รับรสชาติของมันนัก ในทางทฤษฎีผมอาจบอกได้ว่าก็เรนนี่ไงคือความสดใสของชีวิต แต่ในทางปฏิบัติร่างกายเป็นผู้ตัดสิน

                    เช้านี้เราต้องเป็นลูกค้าที่ดูหมดอาลัยตายอยากมากแน่ๆ

                    “ลี่จะไปตัดแว่นใหม่วันไหน”

                    เรียกแบบไม่มีพี่นำหน้าอีกแล้ว แต่เวลานี้ผมขี้เกียจจะแก้สุดๆ ขอช่างมันไปก่อนแล้วกัน

                    “ยังไม่รู้เลย จริงๆ ใส่อันนี้ไปก่อนก็ได้” แว่นอันเก่าที่ผมใส่อยู่ค่าสายตาต่างกันนิดหน่อย สิ่งเดียวที่ผมไม่ถูกใจคือกรอบแว่นทรงเหลี่ยม แม้ผมจะเคยชอบมันเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้ผมผูกพันกับแว่นทรงกลมโตๆ มากกว่า

                    “พอกลับมาใส่อันนี้แล้วดูแปลกตาไปเลย”

                    “ตลกเหรอ”

                    “แปลกตา หมายถึงมองแล้วไม่ชิน”

                    “นึกว่าดูตลก จะได้ไม่ใส่” แม้ไม่มีแว่นผมก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เพื่อความคมชัดเลยชอบใส่ไว้ตลอด โดยเฉพาะเวลาทำงานและตอนขับรถที่ต้องใช้สายตาเป็นพิเศษ

                    “ลี่ใส่แบบไหนก็เหมาะนั่นแหละ”

                    “พอไม่ทักแล้วเรียกใหญ่เลยนะ”

                    เรนนี่ขำแบบลมออกจมูกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอไม่มีว่าคำว่า ‘พี่’ ก็เหมือนคำนั้นหายไปจากหน่วยความจำเป็นที่เรียบร้อย เรียกชื่อเฉยๆ จนติดปาก จริงๆ ผมไม่มีปัญหากับประเด็นนี้นักหรอก แต่ที่ชอบให้เรนนี่เรียกพี่ลี่เพราะมันให้ความรู้สึกออดอ้อนมากกว่า ลองนึกภาพเวลาน้องเรียกพี่อย่างนู้นพี่อย่างนี้สิ มันน่ารักจะตายไป

                    กินไปคุยไปแบบเอ้อระเหยเล่นเอาเกือบสาย ผมเข้าไปส่งเรนนี่ถึงหน้าคณะก่อนตรงไปทำงาน ตอนกำลังจะเลี้ยวออกจากมหา’ลัยเห็นน้องตัวหดนั่งวินเข้าสวนเข้ามาพอดี หอบข้าวของพะรุงพะรังสะพายกระเป๋าใบใหม่ จะว่าไปแล้วน้องเขาก็น่ารักอยู่เหมือนกัน

                    ผมเป็นพวกชอบคนน่ารัก แต่คนนน่ารักของผมมักตัวโตเท่าบ้าน เพราะถ้ายิ่งน่ารักตัวก็จะยิ่งใหญ่ยังไงเล่า

     

                    การทำงานวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นแม้จะถูกหลายคนทักว่าไม่สดใสเหมือนอย่างเคย พอผมเล่าว่าเมื่อคืนไปเจออะไรมาทุกคนต่างรุมเป็นห่วง พี่กอล์ฟถึงขนาดเสนอว่าถ้าไม่ไหวก็ให้กลับบ้านไปก่อน ทั้งที่ผมแค่ดูง่วงเหงาหาวนอนเพราะนอนหลับไม่สนิทเท่านั้นเอง

                    นอกจากที่ทำงานแล้วกลุ่มที่ดูจะเป็นห่วงผมมากคือเพื่อนๆ พี่ๆ ที่นัดกันไปต่อเมื่อคืน เล่นใหญ่เว่อร์วังอลังการจนผมไม่กล้าบอกเลยว่าเหตุเกิดจากรุ่นน้องร่วมคณะ แม้ความเล่นใหญ่ของทุกคนจะเป็นเพียงการแสดงก็ตาม วันนี้ก็ทักมาถามอาการจนมือถือผมสั่นแทบไม่ได้พัก ต้องโพสต์ลงเฟซบุ๊กอัปเดตว่าตอนนี้ปลอดภัยดีแล้วทุกคนถึงสงบลง

                    ซัดกระหน่ำอย่างกับพายุเลยคนพวกนี้

                    หลังเลิกงานก็แวะซูเปอร์ซื้อของอย่างเคย เย็นนี้จะทำเมนูต้มจืดตำลึงเลือดหมูที่เรนนี่ขอมาเมื่อวาน หยิบของที่ต้องใช้ใส่รถเข็น จ่ายเงินเรียบร้อยก่อนแวะร้านไอศกรีมโมจิที่อยู่ข้างๆ ร้านชูครีม ซื้อของโปรดผมเป็นของหวานล้างปากสำหรับมื้อเย็น

                    กลับถึงบ้านเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ ตำกระเทียม พริกไทยดำ และผักชีไปพลางเปิดสูตรดูไปพลางเพราะเมนูนี้ผมจำสูตรได้ไม่แม่นเท่าไรจึงต้องการความชัวร์ ตอนที่กำลังอ่านขั้นตอนต่อไปอยู่นั้นไลน์จากเรนนี่ก็แจ้งเตือนขึ้นมา

                    'อาจารย์ไปธุระเพิ่งกลับมา'

                    'เพิ่งได้เริ่มตรวจแบบต่อ'

                    'ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง'

                    ผมอ่านทีละข้อความที่ถูกส่งมา ปัญหาแบบนี้มีประจำทุกปี อาจารย์งานยุ่งมาก นักศึกษาก็ต้องรอไปก่อน

                    เดินไปล้างมือเพื่อตอบไลน์ ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะยาว เวลานี้เกือบสองทุ่มแล้ว มีโอกาสลากยาวไปยันเที่ยงคืน

                    'กินข้างหรือยัง'

                    แต่ที่ห่วงที่สุดก็เรื่องปากท้องของน้องชายนี่แหละ

                    'กินแล้ว ลี่ไม่ต้องทำกับข้าวแล้วก็ได้นะ ทันมั้ย เรนก็ลืมบอก'

                    'ทันๆ'

                    มองวัตถุดิบทุกอย่างที่เตรียมไว้หมดแล้วก็ได้แต่ทำหน้าจ๋อย มันยังเก็บไว้ทำต่อพรุ่งนี้ได้ แต่ก็ยังจ๋อยอยู่ดี

                    'งั้นถ้าเรนตรวจเสร็จแล้วจะบอกอีกทีนะ'

                    'โอเคครับ เดี๋ยวพี่ไปรับนะ'

                    เรนนี่ส่งสติกเกอร์บอกโอเคกลับมา วางมือถือลงแล้วผมก็เก็บวัตถุดิบที่เตรียมเสร็จแล้วใส่กล่องเข้าตู้เย็น เสียบกาต้มน้ำ แกะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยกินแทน ในวันที่ไม่มีเรนนี่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันผมก็ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น 

                    เป็นนิสัยเว่อร์วังที่ติดจากเพื่อนมาอย่างแน่นอน

                    ผมใช้เวลาระหว่างรอเรนนี่ติดต่อมาดูหนังไปพลางคิดงานไปพลางแบบที่ไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไร สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นอีกทีตอนมือถือสั่นจนตกจากโต๊ะ นอกจากฟิล์มจะบิ่นแล้วอาจมีโอกาสถูกเรนนี่โกรธได้ด้วยกับนิสัยไม่ชอบเปิดเสียงมือถือของผม

                    ห้าทุ่มกว่าแล้ว ป่านนี้น่าจะตรวจแบบกันเสร็จแล้วมั้ง

                    [พี่ลี่] ทันทีที่กดรับน้ำเสียงนิ่งๆ ที่บอกว่าปลายสายรอผมมานานแค่ไหนก็เรียกชื่อให้ได้ยิน

                    สี่มิสคอล ตายแน่ๆ ลี่เอ๊ย

                    "เสร็จแล้วเหรอ เดี๋ยวพี่ออกไปรับ"

                    [เรนอยู่หน้าคอนโดแล้วเพื่อนแว้นมาส่ง โทรหาตั้งหลายสายทำไมเพิ่งรับเป็นอะไรหรือเปล่า ปวดหัว หน้ามืด หรือเจ็บแผล]

                    ใส่รัวเหมือนกลัวผมแย่งตอบ ถ้าบอกไปว่าเผลอหลับจะโดนว่าอะไรมั้ย นี่ผมไม่ได้กลัวนะ แต่รู้สึกผิดที่ปล่อยให้เรนนี่รอและทำให้เป็นห่วง

                    "แค่หลับเฉยๆ เรนขึ้นมายัง"

                    [อยู่ในลิฟต์แล้ว]

                    ผมหันมองไปที่ประตู ยืนตัวบิดขี้เกียจก่อนลุกจากโซฟาโดยมีเสียงเอฟเฟกตูมตามของหนังที่เปิดค้างไว้เป็นฉากหลัง เหมือนจะถูกปลุกตอนถึงไคลแม็กซ์พอดี

                    ไม่มีเสียงพูดคุยทั้งที่เรายังถือโทรศัพท์แนบหู ได้ยินเสียงลิฟต์เปิดดังเข้ามาในสาย เกิดความคิดอยากแกล้งน้องเลยตั้งใจยืนรอเฉยๆ อยู่ตรงนี้ ประตูเปิดเมื่อไรจะกระโดดกอดแล้วหอมแก้มสักทีเป็นการง้อ

                    เอะอะอะไรก็จะหอมแก้มน้องชายอย่างเดียวเลยนะผมเนี่ย

                    เสียงปลดล็อกดังขึ้นก่อนประตูจะค่อยๆ เปิดออก ผิดจากที่จินตนาการไว้นิดหน่อย เรนนี่ไม่ได้เปิดผางเข้ามาให้ผมเซอร์ไพรส์ด้วยการกระโดดเข้าใส่ คงเพราะอยู่ด้วยกันมานานละมั้งถึงได้รู้ทันไปหมด

                    รู้ทันจนแม้แต่ตัวก็ไม่โผล่มาให้เห็น

                    ผมกดวางสาย ยืนรออยู่สักพักเรนนี่ก็ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา เล่นแผนซ้อนแผนในแบบที่ผมไม่คาดคิด

                    ก้าวออกจากประตูช้าๆ เพื่อเล่นตามเกมของน้องชาย หันมองด้านซ้ายไม่เจออะไร รู้แล้วว่าต้องอยู่ด้านขวาแน่ๆ แต่กลับไม่กล้าหันมอง ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนกลัวผีระดับเล็กน้อย ถ้าเรนนี่คิดจะแกล้งหลอกผีขึ้นมารับรองร้องกรี๊ดแน่ๆ ในเวลาเกือบเที่ยงคืนแบบนี้ข้างห้องได้เปิดประตูออกมาด่าพอดี

                    ขอยืนหลับตาทำใจอีกสักพัก แผนกระโดดกอดแล้วหอมแก้มรัวๆ พังพินาศ สะกดสะใจตัวเองไว้ว่าถ้าหันไปเจออะไรก็ห้ามแหกปากร้องเด็ดขาด หลังทำใจได้แล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนไปมอง และก็พบว่าอีกฝั่งนั้นก็...ว่างเปล่า

                    เป็นไปไม่ได้น่า แล้วใครเปิดประตู

                    “พี่ลี่จะยืนเหม่อหน้าห้องอีกนานมั้ย”

                    ผมรีบหันขวับไปตามเสียงที่ดังอยู่ด้านหลัง เรนนี่ยืนกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ เข้าห้องไปตอนไหนทำไมผมไม่รู้ตัว!

                    “แกล้งพี่เหรอ”

                    “แล้วใครให้ไปยืนหลับตาทำหน้าเหมือนคนปวดขี้อยู่ตรงนั้นเล่า”

                    “หยาบคายมาก” รีบเดินเข้าห้องปิดประตู แกล้งทำหน้าบึ้งเข้าหน่อยเด็กน้อยก็ทำท่าจะเข้ามาโอ๋ ว่าแต่ผมกลายเป็นคนที่น้องต้องง้อไปได้ยังไง

                    “ไม่มีอาการผิดปกติอะไรใช่มั้ยวันนี้” เรนนี่ยกหลังมือแตะที่แก้มผมใกล้กับบริเวณที่โดนเสาไม้กระแทกเมื่อวาน

                    “ไม่มี หายสนิทแล้ว”

                    ผมยิ้มให้เป็นคำยืนยัน แถมยักคิ้วให้ดูอีกสองที จะว่าไปยังไม่ได้หอมแก้มเรนนี่เป็นการต้อนรับกลับห้องเลยนี่นา แต่เอาไว้หอมก่อนนอนก็ได้

                    “หิวมั้ย เดี๋ยวพี่ต้มมาม่าให้กิน”

                    “กินขนมมาแล้ว ตอนนี้เรนอยากนอนมากกว่า”

                    เราก้าวเข้ามาตรงส่วนห้องนั่งเล่นหลังจากยืนอยู่ตรงหน้าประตูอยู่นาน เรนนี่ดูเหนื่อยล้าและง่วงซึม นอนตีห้า ตื่นเจ็ดโมง เรียนเก้าโมงที่น่าจะแอบหลับไปครึ่งคาบ ตรวจแบบตอนบ่าย อาจารย์ก็ยุ่งมากหายไปหลายชั่วโมง กลับมาอีกทีเกือบสองทุ่ม และตรวจแบบเสร็จตอนห้าทุ่มพอดี เป็นวันที่หนักหนาสาหัสสำหรับน้องตัวน้อยของผมจริงๆ

                    “งั้นไปนอนกัน” ผมก็พร้อมนอนแล้วเหมือนกัน

                    ปล่อยให้เรนนี่เดินเข้าห้องไปก่อน กดปิดทีวีที่นอนให้มันดูผมอยู่เป็นชั่วโมง ไล่ปิดไฟทุกดวงก่อนตามเข้าห้อง กระโดดขึ้นเตียงนอนมองน้องชายถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นโยนลงตะกร้าผ้าแต่ดันลงพื้นแทน

                    คนมือไม่แม่นทำหน้าหงุดหงิดใส่ตัวเอง ก้มลงหยิบผ้าใส่ตะกร้าเพราะถ้าปล่อยมันกองอยู่ตรงนั้นรับรองถูกผมบ่นแน่ๆ ห้องทำงานน่ะรกได้ แต่พื้นที่อื่นต้องสะอาดเรียบร้อยโดยเฉพาะห้องนอน

                    “เออใช่พี่ลี่ วันนี้เรนเจอไอ้น้องร้านแว่นด้วย” พูดขึ้นตอนคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดไหล่ โชว์กางเกงในสีดำให้ผมดู

                    “น้องเขาว่าไง” เมื่อเช้าผมก็เห็นน้องเขาเหมือนกัน

                    “มันบอกว่าถ้าจะไปตัดแว่นใหม่ก็ให้แวะไปได้เลย น้องมันบอกคนที่ร้านไว้ให้แล้ว เรนบอกชื่อพี่ลี่ไปแล้วนะ น้องมันจะเอาไปบอกคนที่ร้านไว้ ถ้าไปแค่บอกชื่อก็พอ”

                    “โอเคเลย”

                    “ถ้าจะไปวันไหนก็บอกด้วยนะ เรนจะไปด้วย”

                    “ไปทำไม”

                    “จะไป อยากตัดแว่นใหม่เหมือนกัน” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินหนีเข้าห้องน้ำเหมือนคนง่วงจัดจนพูดไม่รู้เรื่อง แล้วตัดแว่นใหม่อะไร ปกติไม่เคยเห็นใส่แว่น หรือจ้องคอมฯ จนสายตาเริ่มเสียแล้ว 

                    ระหว่างรอเรนนี่อาบน้ำจะได้หอมแก้มก่อนนอนผมก็เปิดหาร้านแว่นของน้องตัวหดดู ลืมถามเรนนี่อีกแล้วว่าน้องเขาชื่ออะไร ตอนพูดให้ฟังเมื่อกี้ก็บอกแค่ว่า ‘ไอ้น้องร้านแว่น’ ดูท่าว่าน้องน้อยของผมก็คงไม่ได้ถามชื่อเหมือนกัน แบบนี้ใช้ไม่ได้เลย

                    นอนเล่นมือถือได้แป๊บเดียวตาก็เริ่มเจ็บและยากจะทนต่อความหนักอึ้งของเปลือกตาไหว ผมหลับตาลง พาตัวเองเข้าสู่ความดำมืด แม้มือถือยังคามืออยู่ก็ตาม

                    ไม่ว่าอะไรก็ต่อต้านความง่วงไม่ได้จริงๆ

     

    tbc

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×