ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อยากจีบให้ติด...คุณรักครั้งแรก

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 พิเศษดี

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 63


    ตอนที่ 4

    พิเศษดี

     

                    ก้าวลงจากรถเท้าเหยียบพื้นคอนกรีตใจผมก็เต้นตึกตัก ตามตารางวันนี้ชั่วโมงที่สองผมจะได้ออกถนนใหญ่เป็นครั้งแรกหลังจากขับวนอยู่ในสนามฝึกมาเจ็ดชั่วโมง ทั้งกังวลทั้งระแวงว่าจะควบคุมสมาธิไม่ได้แล้วก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น แม้ในรถจะมีครูฝึกนั่งไปด้วยและพร้อมจะเหยียบเบรกให้ตลอดเวลาก็ตาม

                    ตายแน่ๆ ตื่นเต้นจนมือไม้เกร็งไปหมดแล้ว

                    “คุณปลาทอง”

                    สะดุ้งตัวเมื่อถูกเรียก หันไปมองก็เจอคุณรักแรกยิ้มขำ เดินมาพร้อมกับลูกศิษย์ของชั่วโมงนี้ที่เพิ่งหมดเวลา

                    “มิวเข้าไปรอครูใหม่ข้างในก่อนนะ”

                    คุณรักแรกบอกกับลูกศิษย์ แทนตัวเองว่าครูใหม่ซะด้วย

                    “ไม่เข้าไปข้างในเหรอ”

                    “กำลังจะเข้านี่ไง”

                    พอถูกทักผมเลยเพิ่งรู้ตัวว่ายืนนิ่งอยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้ว กำลังคิดเตลิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ได้ขับรถออกถนนใหญ่ครั้งแรก แถมสิ่งที่คิดยังมีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น

                    “ไหวมั้ยเนี่ย ง่วงนอนเปล่า วันนี้ออกถนนใหญ่แล้วนะ”

                    อย่ามาขู่กันจะได้ไหม เอาจริงเมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับเท่าไร คิดมากคิดเยอะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมไม่มีใจอยากขับรถเท่าไรด้วย กลัวทำคนอื่นเขาเดือดร้อนเพราะไม่มีความมั่นใจพอ

                    “ไหวมั้ง”

                    “ผมอยู่ด้วยไม่ต้องกลัว เข้าข้างในกัน” ยิ้มให้กำลังใจพร้อมทั้งพยักหน้าชวน ถ้าอยากให้กำลังกันจริงๆ ช่วยยิ้มกว้างๆ ให้เห็นเขี้ยวด้วยจะได้มั้ย แล้วก็แทนตัวเองว่าครูใหม่ด้วย ไม่เอาแล้วคำว่าผม

                    คิดวุ่นวายอยู่ในใจไปเท่าไรสิ่งที่ผมแสดงออกมากลับมีเพียงรอยยิ้มเหนื่อยๆ ที่บอกว่าไม่พร้อมกับการเผชิญโลกความจริง อีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้... ช่วยภาวนาให้ผมด้วย

                    

                    ครูใหม่ยื่นกุญแจรถให้ก่อนขออนุญาตไปทำธุระส่วนตัว ผมนั่งรออยู่ในรถ ติดเครื่องยนต์เปิดแอร์ ทวนความจำว่าไฟอะไรอยู่ตรงไหนบ้างถึงเวลาจริงจะได้ไม่ลนแม้จะยังเหลือเวลาให้ฝึกซ้อมอยู่ในสนามอีกหนึ่งชั่วโมงก็ตาม

                    ปล่อยให้ผมว้าเหว่อยู่ในรถได้คนเดียวไม่นานคุณครูก็มา ยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวทั้งสองข้างเป็นกำลังใจ เช็กเอกสารของนักเรียนเรียบร้อยก็ได้เวลาออกรถ

                    “ชั่วโมงนี้ซ้อมท่าสอบแล้วกันเนอะ”

                    ท่าสอบได้เลย ชิลๆ แม้ไอ้ท่าจอดเทียบฟุตพาทอะไรนั่นผมจะยังทำไม่สำเร็จสักครั้งเลยก็เถอะ

                    ตอนเจอกันทักว่าผมง่วงแต่พอรถออกตัวเคลื่อนไปช้าๆ ในสนามคนที่หาวแล้วหาวอีกกลับเป็นคุณครูเสียอย่างนั้น ชวนให้เป็นกังวลว่าวันนี้จะรอดกันมั้ย คุณครูต้องมีสตินะ เพราะลูกศิษย์คนนี้ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไร

                    “ง่วงเหรอ”

                    “คุณดูบรรยากาศดิน่านอนมาก ยิ่งขับวนแบบนี้ยิ่งง่วงเลย”

                    “ง่วงไม่ได้ดิครู” บอกพร้อมกับเหยียบเบรกตรงจุดจอดของท่าสอบที่สองพอดี เบรกแรงชนิดที่หัวพุ่งไปข้างหน้าเพราะมัวแต่คุยกับครูจนเกือบลืมมองจุดจอด

                    “โอเคผ่าน เข้าซะหายง่วงเลย” ครูใหม่บอกกลั้วขำ ผมไม่ได้แกล้งเลยนะ ไม่ได้แกล้งจริงๆ

                    “ผ่านครั้งแรกโดยที่ครูไม่ต้องบอก”

                    “บอกแล้วไม่ต้องเครียด คุณทำได้ ลูกศิษย์ครูใหม่เก่งจะตาย”

                    ผมเปิดไฟเลี้ยวตีรถออกขวาทำเป็นหันมองกระจกข้างแล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวกับคำว่าครูใหม่

                    “เออเนี่ย เรียกแต่คุณปลาทองจำชื่อจริงๆ เราได้หรือเปล่า”

                    “จำได้ดิ พสุธร มั่งมีทรัพย์”

                    “ชื่อเล่นก็พอ”

                    “ปอนด์”

                    ถูกเรียกว่าคุณปลาทองมาตลอดสี่วันพอเขาเรียกชื่อเล่นตัวเองจริงๆ ดันเขินซะงั้น เรียกแล้วก็ยิ้มภูมิใจแสดงออกให้เห็นว่าจำได้จริงๆ แต่เพราะเป็นคนพิเศษเลยเลือกที่จะใช้คำพิเศษเรียกแทนกัน ประโยคหลังนี่ผมคิดเอาเองนะอย่าถือสาคนที่ความรักกำลังบังตาเลย

                    “ก็จำได้นี่”

                    “ก็บอกว่าจำได้”

                    “แล้วทำไมไม่เรียก”

                    คำถามวัดใจ หมายถึงใจผมนี่แหละ มาลองวัดกันว่าจะทนแรงต้านทานจากคุณรักแรกได้สักเท่าไร หากคำตอบโดนใจกลัวว่าจะเผลอสารภาพความในใจออกไปจริงๆ

                    “ก็เรียกแบบนี้มาตั้งนานแล้วไง ติดปาก” เป็นคำติดปากที่ลดพยางค์ลงเรื่อยๆ จากคุณปลาทองเหลือคุณเฉยๆ จึงกลายเป็นว่าตอนนั้นทั้งห้องมีผมคนเดียวที่ถูกเขาเรียกว่าคุณ

                    “ตอนแรกๆ ก็เรียกเราว่าปอนด์อยู่นะ”

                    “เปลี่ยนตอนรู้ว่าที่บ้านคุณเป็นฟาร์มปลาทองไง หรือว่าปอนด์ไม่ชอบ” ถามหน้าเครียดเหมือนคนทำผิดมาทั้งชีวิต แต่ขอนอกเรื่องสักนิด ช่วยอย่าเรียกว่าปอนด์บ่อยๆ ได้มั้ยใจสั่น

                    “ก็เปล่า”

                    “มันดูเหมือนคำล้อเลียนหรือเปล่า ผมก็ลืมคิดไปเลย ขอโทษนะ”

                    “ไม่เป็นไร ไม่ได้คิดอะไร ใหม่เรียกแบบนี้ก็ดูพิเศษดี” บอกก่อนว่าตั้งใจหยอด พูดแล้วต้องเบือนหน้าหนีทำเป็นหันมองด้านข้างในจังหวะเลี้ยวรถพอดี ใจเต้นโครมครามรอลุ้นว่าคุณรักแรกจะตอบกลับมายังไง

                    ทว่าเขากลับเงียบไปเลย

                    “หมายถึงไม่เหมือนใครดี” ผมเลยต้องรีบแก้ตัวให้ตัวเองโดยที่ไม่กล้าหันไปสบตาเหมือนเดิม

                    “แล้วชอบแบบไหนมากกว่า”

                    “แล้วแต่ใหม่อยากเรียกเลย”

                    “งั้นก็คุณปลาทอง”

                    หันไปมองก็พบกับรอยยิ้มขี้เล่น ผมไม่ว่าอะไรแค่พยักหน้าให้ เรียกคุณปลาทองต่อไปแบบนี้ก็ดี มัน...

                    “พิเศษดี”

                    ไม่ใช่เสียงในหัวผมแต่เป็นเสียงคนข้างๆ ที่พูดขึ้นมาได้อย่างหน้าตาเฉย อยากถามเพื่อขยายความแต่ใจกลับค้านกลัวเขาเล่นมุกใส่แล้วจะเศร้ากว่าเดิมเพราะผมเพิ่งหยอดมุกไปก่อนหน้านี้ ฉะนั้นขอฟันธงเลยว่าเป็นการตบมุกแน่ๆ ขออนุญาตเก็บความรู้สึกที่เผลอดีใจออกไปเมื่อกี้สักครู่

                    “เงียบเลย” พูดแล้วก็ขำอีก ผมอุตส่าห์เงียบไว้แล้วนะ อย่ามาต้อนกันได้มั้ย

                    “หยอดกลับเหรอ”

                    “หยอดอะไร”

                    “ตบมุกกลับไง ก็เมื่อกี้พูดไปว่าใหม่เรียกคุณปลาทองแล้วดูพิเศษดี” รู้มั้ยว่าผมต้องใช้ความกล้าแค่ไหนในการรวบรวมลมปราณเพื่อพูดประโยคนี้ออกมา

                    “ไม่ได้ตบมุก พูดจริง”

                    “อย่ามา”

                    “อย่ามาอะไร”

                    “อย่ามาจีบ”

                    ฉิบหายละ อยากตบปากตัวเองร้อยที

                    คุณครูหัวเราะจนเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง ผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับสิ่งที่ผมพูดออกไป สนิทกันหนึ่งปีห่างไปอีกแปดปีเพิ่งกลับมาเจอกันได้สี่วันมาพูดเรื่องจงเรื่องจีบ หวังว่าเขาคงไม่คิดมากนะผมแค่แซวเล่น เพราะคนที่อยากจีบน่ะคือผมต่างหาก

                    “ล้อเล่นนะ อย่าคิดมาก”

                    “รูปประโยคมันคงเหมือนกำลังจีบจริงๆ ล่ะมั้ง”

                    ยังไม่หยุดอีกเหรอคุณครูใหม่!

                    “ถ้าไม่จีบจริงๆ ก็เงียบไปเลย” เพราะคนที่คิดเกินเลยด้วยกำลังคิดมาก จะไม่ถือสาเพราะคุณรักแรกไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของผม เราแค่หยอกกันเล่น แถมผมยังเป็นฝ่ายเริ่มด้วย

                    พอพูดแบบนั้นแล้วครูใหม่ก็เงียบไปจริงๆ

                    ผมเหลือบมองคุณครูที่เหมือนกำลังนั่งเหม่ออยู่ในโลกที่มีก้อนสายไหมสีหวานลอยไปมา มุมปากยกขึ้นนิดๆ แลดูอารมณ์สุนทรีย์จนนึกสงสัยว่าเขากำลังนึกถึงเรื่องอะไรอยู่ และในนั้นมีผมอยู่ด้วยหรือเปล่า

                    “ใหม่ ทวนท่าสามให้หน่อยดิ”

                    “อืมๆ”

                    ต้องเรียกสติคุณครูก่อนเขาจะเดินหลงอยู่ในทุ่งขนมหวานแล้วปล่อยให้ผมติดอยู่ในสนามฝึกขับรถคนเดียว เราไม่ได้คุยเรื่องที่เสี่ยงต่ออัตราการเต้นของหัวใจของผมต่อ ใช้เวลาที่เหลืออีกยี่สิบนาทีไปกับการฝึกถอยเข้าซอง วนซ้อมได้แค่สองรอบก็หมดเวลาชั่วโมงแรก

                    พักเบรกห้านาทีหายใจหายคอและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชั่วโมงสุดท้ายของวันนี้

     

                    ได้จับรถครั้งแรกตื่นเต้นแค่ไหน ตอนได้ออกถนนจริงตื่นเต้นกว่านั้นหลายเท่า แค่ขับมาจอดตรงทางออกโรงเรียนใจผมก็เต้นตึกตักทั้งที่รถไม่เยอะเท่าไร มีกฎที่ต้องปฏิบัติตามอยู่สามข้อคือห้ามหักพวงมาลัยกะทันหัน เชื่อฟังคำสั่งของครูฝึกสอน และอย่าขืนพวงมาลัยเวลาครูฝึกช่วยจับเพื่อบังคับทิศทางของรถ

                    ดูรถว่าปลอดภัยครูใหม่ก็บอกให้เลี้ยวออกถนนใหญ่ จากนั้นก็เปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่ง ดูรถทางขวาแล้วเปลี่ยนมาอยู่เลยกลาง ถนนโล่งรถทำความเร็วได้ก็ตบเข้าเกียร์สาม เพิ่มความเร็วอีกนิดให้ความรู้สึกว่ารถเบาขึ้นเยอะและพร้อมที่จะพุ่งทะยานไปด้านหน้า

                    “เก่งมาก เราจะไปเลนนี้กันยาวๆ เลย”

                    “โอเคครับครู”

                    การออกถนนใหญ่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะมีคนที่ไว้ใจอยู่ด้วยกัน ผมปฏิบัติตามทุกอย่างที่ครูใหม่บอกทำตัวเป็นลูกศิษย์ที่ดี อาจจะมีนอกลู่นอกทางบ้างเพราะฝีมือยังอ่อนหัดนัก แต่ยังมีคุณครูช่วยจับพวงมาลัยดึงเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้เสมอ

                    เราไม่ได้คุยนอกเรื่องกันมากระหว่างอยู่บนถนน คล้ายกับคุณครูรู้ว่าผมต้องใช้สมาธิอย่างสูงเพื่อควบคุมอาการตื่นเต้นหรือตกใจหากเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างเช่นช่วงเย็นที่คนทยอยเลิกงาน บนถนนเขตชุมชนที่เคยโล่งก็เต็มไปด้วยรถราและผู้คน

                    ความเร็วที่บางช่วงเวลาเผลอเหยียบไปถึงร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงลดลงเท่าตัว ครูใหม่คอยบอกเส้นทาง ขับยาวตรงไปกระทั่งเข้าสู่พื้นที่ที่คุ้นเคย ซอยที่เลี้ยวออกถนนใหญ่ตรงไปอีกนิดก็เจอตลาด ผ่านไฟแดงตรงไปอีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงโรงเรียน

                    “อยากลงไปทักทายที่บ้านมั้ย”

                    เป็นเส้นทางที่ผ่านหน้าฟาร์มปลาทองของที่บ้านผมเอง

                    “ทักได้ด้วยเหรอ”

                    “อนุญาตให้แวะเป็นกรณีพิเศษ”

                    “คุณครูใหม่อยากมาเที่ยวฟาร์มก็บอก”

                    อีกไม่กี่เมตรจะถึงทางเข้าฟาร์ม ผมไม่คิดจะแวะอยู่แล้วเพราะแค่ทางเข้าก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ถ้าคุณครูอยากมาเที่ยวฟาร์มปลาทองมั่งมีทรัพย์ละก็ต้องสละเวลามาทั้งวัน แล้วลูกชายเจ้าของฟาร์มคนนี้จะพาทัวร์เอง

                    “เที่ยวได้ด้วยเหรอ”

                    “เที่ยวได้ดิ ใหม่อยากมามั้ยล่ะ”

                    “อยาก”

                    “งั้นวันหลังมาเที่ยวกัน”

                    “โอเค”

                    ตอบตกลงในจังหวะที่รถแล่นผ่านหน้าทางเข้าพอดี

                    สัญญากันแล้วนะครูใหม่

     

                    สี่สิบนาทีผ่านไปผมก็พาคุณครูกลับมาถึงโรงเรียนโดยสวัสดิภาพ ถอนหายใจอย่างโล่งอกตอนดับเครื่องยนต์ ล็อกรถแล้วยื่นกุญแจคืนให้ กำลังจะทวงถึงสัญญาเห็ดทอดที่ติดค้างกันไว้รถกระบะสีขาวที่เทียวมารับส่งทุกวันก็เลี้ยวเข้ามา

                    ผมได้แต่มองพี่เพนนีที่ขับมาจอดขนาบข้างเราสองคนตาปริบๆ ยังไม่ได้เรียกให้มารับเลยนะ ปกติต้องตามจิกก่อนถึงจะมาได้ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมวันนี้ถึง...

                    “เรียนเสร็จพอดีใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปจอดรอหน้าอาคารแล้วกัน” รับไหว้ครูใหม่แล้วพี่เพนนีก็ใส่ไม่ยั้งก่อนปิดกระจกและขับผ่านเราไปเพื่อวนไปจอดหน้าอาคารตามที่บอก

                    แล้วเห็ดเข็มทองทอดของเราล่ะ

                    “ว่าจะชวนไปตลาด ไว้วันหลังแล้วกันเนอะ”

                    วันหลังนั้นหมายถึงวันพรุ่งนี้ที่เรียนด้วยกันวันสุดท้ายใช่หรือไม่ครูใหม่ รู้งี้บอกพี่เพนนีไว้ว่าไม่ต้องมารับก็ดี พลาดได้ยังไงนะเรา

                    “อดกินอีกแล้ว”

                    อยากบอกออกไปว่า ‘ไม่เป็นไรไปตลาดด้วยกันก็ได้ ส่วนพี่เพนนีก็ให้กลับเอง’ แต่สถานการณ์บังคับให้ไม่สามารถปฏิเสธใครได้ ทั้งพี่สาวที่มารับและคุณรักแรกที่บอกออกมาทันทีว่า ‘วันหลัง’

                    สรุปว่าเห็ดเข็มทองทอดไม่ใช่เครื่องรางนำโชคแต่เป็นกาลกิณีสินะ ถ้าวันนั้นชวนกินอย่างอื่นอาจจะไม่แห้วซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ก็ได้

                    ทำไมผมถึงไม่ชวนคุณรักแรกกินไข่นกกระทาที่อยู่ร้านข้างๆ ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

                    ทำไมนะทำไม

                    “พรุ่งนี้เจอกัน”

                    สแกนนิ้วเสร็จก็ได้เวลาต้องจาก พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้เรียนด้วยกัน แต่ยังเหลือวันอบรมและสอบอีกวันที่ยังพอมีโอกาส

                    พรุ่งนี้ผมจะสารภาพ และใช้อีกวันตัดสินใจว่าควรเดินหน้าหรือปล่อยให้รักแรกเป็นเพียงความทรงจำในอดีตเท่านั้น

                     

     

    tbc

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×