ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dream of Me อยากให้เธอฝันยามหนุน

    ลำดับตอนที่ #5 : ฝันครั้งที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 61




    ฝันครั้งที่ 4

     

                'ไปดูหนังกัน'

                คำชวนที่คาดไว้ว่าอาจจะได้รับเด้งขึ้นมาจากกล่องข้อความเฟซบุ๊ก หลงซึ่งกำลังนั่งทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจเหลือบมองที่มุมขวาล่างของหน้าจอคอมฯ ทั้งที่คิดว่าจะทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยตอบ แต่มือดันไวเลื่อนเม้าท์คลิกเข้าไปอ่านเสียอย่างนั้น

                วันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นวันหยุดแต่หลงต้องมาทำโอที เพื่อนเองก็เช่นกัน ข้อความจากกล่องเฟซบุ๊กดังแจ้งเตือนตั้งแต่เช้าอย่างกับรายงานสถานการณ์ข่าว ก่อนจะหายไปครึ่งค่อนวันและกลับมาอีกครั้งพร้อมคำชวนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แต่หลังจากเลิกงานบ่ายนี้เขาไม่มีธุระสลักสำคัญอะไรอยู่แล้ว นานๆ ทีจะเข้าโรงหนังบ้างคงไม่เสียหาย

                Veerayu : กี่โมง

                Yanakorn : ห้าโมงเย็น

                Veerayu : ได้

                Yanakorn : โอเค แล้วเจอกัน

                Veerayu : อืม

                ด้วยความชินและลืมตัวทำให้หลงพิมพ์คำต้องห้ามออกไป เพียงเท่านั้นคนที่นิสัยติดจะกวนประสาทนิดๆ ก็ออกฤทธิ์ทันที

                Yanakorn : อืม

                Yanakorn : อืม

                Yanakorn : อืม

                Yanakorn : อืม

                ให้มันได้อย่างนี้สิ

                Veerayu : โอเคๆ เจอกันห้าโมง

                หลงถอนหายใจเฮือกใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองข้อความที่โชว์อยู่ด้วยความรู้สึกหลายอย่างตีวนอยู่ในอก มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกับการกลับมาของเพื่อนครั้งนี้ กลับมาเพื่อนสานต่อ หรือที่จริงต้องการแก้แค้นกันแน่ เขาที่ไม่มีอะไรดี เขาที่ปฏิเสธความรัก เขาที่ยังไม่มีความมั่นใจใดๆ แล้วเพื่อนยังจะเลือกเขาจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

                บางเรื่องที่ต้องใช้สมองมากๆ ก็อาจจะทำให้เขามีความคิดเพี้ยนๆ ก็เป็นได้

     

                หลงมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลานัดสิบนาที เขาได้รับข้อความจากเพื่อนว่ามาถึงก่อนหน้านี้ไม่นานนัก แถมยังซื้อตั๋วหนังไว้แล้วเรียบร้อย หลงกวาดตามองหาหลังจากขึ้นมาชั้นโรงหนัง แต่คนสดใสอย่างเพื่อนโดดเด่นกว่าใครเสมอ และสายตาเขาก็มักถูกสะกดให้จับจ้องไปยังคนคนนั้นทุกครั้งไป

                เพื่อนยืนเท้าแขนกับราวที่กั้น มองลงไปข้างล่าง ด้านข้าง กวาดสายตาไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย ท่าทางธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจ แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมากลับหยุดสายตาไว้ที่เขาเมื่อเดินผ่าน

                ยังเป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

                หลงสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบโดยไม่เอ่ยทัก ยกมือขึ้นแตะไหล่ให้อีกคนหันมา

                เพื่อนไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือทักทายอะไรเป็นพิเศษ เขาทำเพียงยิ้ม โชว์ลักยิ้มที่แก้มขวาก่อนเอ่ยถาม

                "กินข้าวยัง"

                "ยัง"

                "งั้นไปกินข้าวกัน"

                ไม่รอให้หลงตอบเพื่อนก็เดินนำหน้าไปยังศูนย์อาหารที่อยู่ข้างโรงหนัง ขณะที่ปากก็เอาแต่จ้อไม่หยุด

                "วันนี้โคตรเหนื่อยเลย คนไข้อย่างเยอะ มีเคสแปลกๆ ด้วยนะ คุยกันไม่รู้เรื่อง เจอแบบนี้บ่อยๆ จะเป็นบ้าเอา...หนึ่งร้อยครับ" ปากพูดมือขยับหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์เพื่อแลกการ์ดไปซื้ออาหาร เพื่อนชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเวลาพูดถึงเรื่องงาน เขาเบื่อกับการต้องมารองรับอารมณ์คนแปลกๆ วันๆ เจอคนหลักร้อย ถ้าเจอบ่อยๆ มีหวังเป็นโรคประสาทแน่

                "แปลกยังไง"

                "เป็นฝรั่งแต่พูดไทยได้...ขอบคุณครับ" ตอบคำถามยังไม่ทันจบเพื่อนก็ตัดบทรับการ์ดจากพนักงานหลงเลยใช้จังหวะนี้แกล้งแซวอีกฝ่ายเล่น

                "แค่ฝรั่งพูดไทยได้แปลกตรงไหน"

                "เดี๋ยวดิยังไม่จบ" หันมาขมวดคิ้วใส่ก่อนเดินหลบฉากออกมายืนรอด้านข้างเพื่อให้หลงได้แลกการ์ดของตัวเองบ้าง

                ใบหน้าที่ผอมเรียวกว่าเมื่อหลานปีก่อนยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้มขณะยื่นเงินให้พนักงานและรับการ์ดสำหรับซื้ออาหารกลับมา เมื่อเดินเข้ามาหาเพื่อนคนเก็บกดเรื่องงานก็เริ่มสาธยายอีกรอบ

                "ไม่ใช่แค่ฝรั่งพูดไทยได้"

                "ทำไมอะ เขาพูดภาษาอื่นได้ด้วยเหรอ"

                "พูดมากอะดิ" เพื่อนยังคงขมวดคิ้วเล่าถึงคนไข้ที่น่าปวดหัวสำหรับเขาระหว่างเดินหาร้านที่อยากกิน

                "โดนด่าเหรอ"

                "ใช่ แต่มันไม่ใช่ความผิดเราไง มันเป็นที่ระบบ ทางโรง'บาลเขาให้ทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำตามก็ซวยที่เราอีก แล้วดันโชคร้ายได้เคสตานี่พอดี โดนวีนใส่เฉย ด่าฉอดๆ ภาษาไทยแบบชัดมาก อธิบายก็ไม่ฟัง ทำตัวเหมือนเด็ก" เหมือนความอัดอั้นทั้งหมดถูกปลดปล่อยมาลงที่หลง เพื่อนใส่อารมณ์เต็มที่ นึกถึงหน้าตาฝรั่งคนนั้นแล้วก็ยังไม่โมโหไม่หาย แต่พอคิดอีกมุมก็ตลกดี บนโลกยังมีคนที่มีความคิดแปลกๆ ไม่ตรงกันอีกมากมาย และเขาเองก็ต้องเจอคนเหล่านี้ไปอีกนานเหมือนกัน

                "ก็ยังดีที่เขาพูดภาษาไทย"

                "ภาษาอังกฤษก็มาเถอะ ไม่กลัว"

                "จ้า พ่อคนเก่ง"

                เพื่อนยืดอกทำหน้าภูมิใจ เขาเป็นคนหัวดี ถนัดวิชาการมากกว่ากิจกรรม แม้ไม่ได้ตั้งใจเรียนแบบเอาเป็นเอาตายแต่ผลการเรียนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจเสมอ ดีจนบางทีหลงยังนึกอิจฉา คนที่เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน ตอนขึ้น ม.6 ทำตัวเหมือนเด็กภาคบ่ายเข้าเรียนสายเป็นกิจวัตร แต่เมื่อผลสอบออกมาเพื่อนกลับทำได้ดีอย่างกับรู้ข้อสอบล่วงหน้า เป็นคนที่ขี้โกงทั้งเรื่องหน้าตาและหัวสมอง

                "หลงจะกินอะไร" ได้บ่นจนพอใจถึงได้วกกลับมาเรื่องกิน เพื่อนเล็งร้านที่อยากกินเอาไว้แล้ว แถมยังเดินเลยมาแล้วด้วย ถ้าหากร้านนั้นไม่ใช่ร้านเดียวกัน เขากับหลงคงต้องแยกกันที่ตรงนี้

                "ร้านนั้น" หลงชี้ไปด้านหน้าที่อยู่ถัดไปอีกสองสามร้าน

                "งั้นแยกกันซื้อแล้วเจอกันตรงนั้น" เพื่อนชี้ไปยังโต๊ะว่างที่อยู่ระหว่างทาของร้านทั้งสองพอดี

                หลังจากตกลงกันได้ทั้งคู่ก็หันหลังให้กันก่อนเดินแยกย้ายไปยังร้านที่ตัวเองเล็งเอาไว้

                อาหารจานเดียวตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อนกับหลงหลังจากไปเลือกซื้อของที่อยากกินมา หลงกินข้าวคลุกกะปิ ส่วนเพื่อนกินยำมาม่า เมนูโปรดอีกหนึ่งเมนูตั้งแต่สมัยเรียน ยำมาม่าโปะหน้าด้วยไก่ทอด หลงยังจำเมนูนี้ได้ดี

                "เหมือนจะเผ็ด" เห็นสีแสบสันกับเม็ดพริกที่อยู่ในจานแล้วหลงรู้สึกแสบท้องแทน ถ้าเขาจำไม่ผิดเพื่อนเป็นพวกกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แล้วทำไมถึงได้สั่งรสชาติซะน่ากลัวแบบนี้

                "บอกเขาว่าไม่เผ็ด"

                "ใช่เหรอ"

                "เขาคงหูไม่ค่อยดีมั้ง" เพื่อนบอกแล้วขำแห้งก่อนจิ้มไส้กรอกเข้าปากเพื่อลองชิม เผ็ดจริงจังแบบไม่ต้องสืบ

                "เป็นไง"

                "เผ็ดดิ"

                "แล้วกินได้เปล่า"

                "ได้ๆ" พยักหน้าตอบรับแข็งขันแล้วใช้ส้อมม้วนเส้นมาม่าส่งเข้าปาก ถึงจะเผ็ดแต่พอมีรสเปรี้ยวมาตัดอาการมันเลยไม่ร้ายแรงนัก แต่หลังกินเสร็จขอของหวานล้างปากสักหน่อยก็ดี

                หลงกินไปก็คอยสังเกตอาการเพื่อนไปอย่างนึกเป็นห่วง ปากเริ่มแดงเหงื่อเริ่มออกแต่ท่าทางกลับดูมีความสุข ที่เขาบอกว่ากินเผ็ดจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ทำให้รู้สึกมีความสุขท่าทางจะจริง ถ้าเกิดไม่ท้องเสียก็คงจะดี

                นิสัยการกินของหลงกับเพื่อนนั้นแตกต่างกัน หลงไปพวกชอบกินไปคุยไปตามฉายาหลงหลับ คนตัวใหญ่ที่หลายคิดว่าน่าจะกินเร็วกลับกินหมดช้ากว่าชาวบ้านประจำเพราะมัวแต่พูด ส่วนเพื่อนเป็นพวกตั้งใจกิน พอมีของกินที่ชอบอยู่ตรงหน้าก็เหมือนจะไม่สนใจอย่างอื่น กินไปฟังหลงพูดไป สลับกันบ่นเรื่องสัพเพเหระให้กันละกันฟัง

                "พรุ่งนี้เพื่อนหยุดใช่มั้ย"

                คนที่กำลังใช้ส้อมม้วนเส้นมาม่าเข้าปากพยักหน้ารับ

                "หลงไม่ได้หยุดต้องเข้าบริษัท โคตรเซ็งเลย"

                "ทำไมอะ"

                "หัวหน้าเข้าเลยต้องเข้าตาม โอทีก็ไม่ได้ เห็นว่าเป็นรุ่นน้องที่มหา'ลัยเลยใช้งานใหญ่ บางทีพี่แม่งพาลูกมาให้เลี้ยงก็มี โคตรกันเอง แต่จริงๆ ทำที่นี่มันก็โอเคนะ ใกล้บ้าน รถไม่ติด ไม่อึดอัด ถึงงานจะเยอะไปหน่อยแต่สบายใจดี สิ้นปีมีพาไปเที่ยว สวัสดิการอะไรก็โอเค"

                เพื่อนอมยิ้มหลังจากฟังเพื่อนเล่าจบ คำถามที่ตั้งใจจะถามแทรกให้รับรู้ว่าฟังอยู่ไม่ได้พูดออกไปสักพยางค์เดียว เพราะหลงเล่นพูดยาวแบบไม่มีเว้นช่วง บ่นเองชมเองเสร็จสรรพ ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มัธยม ถ้าได้พูดเมื่อไรอย่างหวังเลยว่าใครจะขัดได้

                "ดีแล้วจะได้ไปหากันสะดวก"

                "ใครจะหาใคร" หลงแกล้งถาม รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนหมายถึงใคร คนบ้านใกล้มีใครบางที่เพื่อนรู้จัก ตัดเล็กออกไปเพราะมันย้ายบ้านแล้วก็เหลือแค่เขาคนเดียว ที่จริงไม่ต้องคิดเรื่องคนที่เพื่อนอยากเจออยากไปหาให้ปวดหัวเลยด้วยซ้ำ

                "ยังจะถาม"

                "เผื่อมีเพื่อนคนอื่นไง"

                "ไม่มีหรอก ถ้าไม่มีหลงก็ไม่เหลือใครแล้ว"

                "น่าสงสาร"

                "ใช่มั้ย" เพื่อนพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเต็มที่ ปูมาขนาดนี้จะไม่เล่นด้วยก็ยังไงอยู่ สิ่งเหล่านี้มันก็แค่ช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะแทรกเข้าไปได้ เขาไม่รู้ ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วหลงรู้สึกยังไง เปิดใจให้กันแล้วหรือยัง ที่ได้มาอยู่ด้วยกันวันนี้ ยอมติดต่อกันอยู่อย่างนี้มันก็ดีเกินพอแล้ว ดีจนคิดว่าให้เป็นเพื่อนกันตลอดไปก็ยังได้ แต่เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

                เพื่อนไม่อยากเป็นแค่เพื่อน

                "แล้วทำงานไกลบ้านแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ" หลงเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็น มันไม่ได้ไกลจากที่คุยกันอยู่นักแต่ก็ดีกว่าพูดวนเวียนเกี่ยวกับความรู้สึกอยู่แบบนั้น

                "ก็มีบ้าง แต่พอได้กลับบ้านก็หาย"

                "ทำไมไม่ซื้อรถขับ ต้องตื่นเช้ากลับดึก เดี๋ยวร่างกายก็ไม่ไหวเอาหรอก"

                "ขี้เกียจขับ เดี๋ยวไม่ได้นอน"

                คำตอบจากเพื่อนไม่ผิดจากที่หลงคิดไว้นัก เพื่อนจอมขี้เซา เพื่อนจอมขี้เกียจ เพื่อนผู้เฉื่อยชา

                "นอนบนรถตู้มันดีตรงไหน สัปหงกปวดคอเดี๋ยวเลยป้ายอีก ดีไม่ดีเจอขโมยของตอนหลับ รถตู้สมัยนี้ก็ขับซิ่ง อันตราย"

                "พอๆ กินข้าว จะหมดมั้ยนั่น จะได้เวลาแล้ว" เพื่อนต้องรีบเบรกก่อนจะโดนบ่นไปมากกว่านี้ เขาหัวเราะเบาๆ ไม่ได้คิดจริงจังกับข้อคิดเห็นของหลงนัก

                หลังจากโดนเบรกหลงถึงได้รู้ตัวว่าเพื่อนจัดการยำมาม่าของตัวเองหมดแล้ว เหลือแค่เขาที่ยังกินไม่หมด เพราะเวลาพูดมือที่จับช้อนส้อมชอบอยู่นิ่งๆ มากกว่าตักอาหารใส่ปากเหมือนอีกฝ่าย แต่พอได้มองหน้าเพื่อนชัดๆ หลงก็ชักเป็นห่วง ปากบวมหน้าแดง โดนยำมาม่าทำพิษเสียแล้ว

                "ปากบวมหมดแล้ว"

                "ขอไปหาขนมกินก่อนนะ" พูดจบเพื่อนก็ลุกเดินเร็วๆ ไปยังร้านขนมหวาน เขาคงเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ

     

                หนังที่เพื่อนชวนมาดูวันนี้เป็นแนวบู๊แอคชั่นที่เขาเลือกสุ่มมาเพราะคิดว่าน่าดูที่สุดจากหนังที่กำลังฉายในช่วงนี้ ที่จริงแอบเห็นผ่านตาในโซเชียลมาบ้างแต่ไม่ได้รู้รายละเอียดเยอะนัก มีคนชมแสดงว่าต้องสนุก เขาไม่ใช่คนเลือกมากเรื่องหนัง ถ้าไม่น่าเบื่อจนเกินไปเขาคิดว่าทุกเรื่องสนุกหมด

                เพราะเป็นวันหยุดแถมห้างนี้เป็นที่เดียวที่มีโรงหนังในแถบนี้คนเลยเยอะเป็นพิเศษ ที่นั่งเต็มไปครึ่งโรง เพื่อนเลือกที่นั่งด้านหลังเพราะเคยมีประวัติ เวลาได้นั่งใกล้จอทีไรเป็นอันต้องมึนหัวจะอ้วกทุกที

                ตั้งแต่รู้จักกันมาเป็นสิบปีเพื่อนเคยดูหนังกับหลงแค่ครั้งเดียวสมัยเรียน ตอนนั้นมาดูกันทั้งกลุ่มแถมยังได้ส่วนลดราคานักเรียน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเรื่องอวตาร ตอนนั้นทั้งคู่ได้นั่งข้างกันเพราะหลงเดินช้าส่วนเพื่อนติดนิสัยเดินรั้งท้าย และเป็นการดูหนังที่เฮฮาที่สุดเท่าที่จำความได้

                แม้จะเป็นในโรงหนังที่ต้องอยู่ในความเงียบหลงยังใช้ช่วงเวลาที่เอฟเฟคในหนังดังๆ ชวนเพื่อนคุยได้ตลอดเวลา ออกความเห็นนั่นนี่เหมือนนักวิจารณ์หนัง พูดมากจนเพื่อนต้องยกมือขึ้นจุ๊ปากส่งเสียงชู่วเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเลือกชวนคุย

                "ดูหนังก่อน"

                หลงเงียบทันทีที่โดนว่า ตัวที่เคยเอนมาหาขยับออกห่างเพื่อนเลยคว้าแขนไว้ไม่ให้ขยับหนีแล้วกระซิบถามข้างหู

                "งอน?"

                "เปล่า" คนตอบหน้าตรงมองจอ ไม่ใช่ว่าเขางอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากหันหน้าไปคุย แต่เพราะเพื่อนเข้ามาใกล้เกินไป ถ้าหันหน้าไปอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็ได้

                "แล้วขยับหนีทำไม"

                "จะได้เลิกคุยไง"

                "เลิกคุยก็ไม่จำเป็นต้องขยับหนี" สรุปเองเสร็จสรรพแถมยังไม่ยอมปล่อยแขนที่คล้องไว้อยู่ เพื่อนชอบแขนของคนคนนี้ เขาอยากจะทำมากกว่าคล้องมันไว้ด้วยซ้ำ อยากได้มันมาครอบครองเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับไปทำแบบนั้นได้โดยที่อีกฝ่ายเต็มใจ

                หลงไม่ขัดขืนไม่ชวนคุยอีกตามที่บอก รอให้เพื่อนเป็นฝ่ายเข้ามากระซิบคุยเองบ้างนานๆ ครั้ง เอนตัวเข้าหากันจนเหมือนรังเกียจคนข้างๆ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าโลกเขาเริ่มเอนเอียงแล้วก็เป็นได้

               

                กว่าหนังจะจบฟ้าก็มืด ร้านค้าในห้างทยอยกันปิดหมดจนเหลือแค่ไม่กี่ร้าน มีเพียงฝั่งโรงหนังโซนเดียวที่ยังคึกคัก จะสามทุ่มแล้วแต่คนยังเดินเข้าออกไม่ขาดสาย

                "คราวหลังมาดูรอบดึกกันมั้ย"

                ความคิดของเพื่อนน่าสนใจไม่หยอก หลงดูหนังไม่บ่อยและไม่เคยมาดูตอนกลางคืน อย่างช่วงสี่ห้าทุ่ม กลับถึงบ้านคงเลยเที่ยงคืนตีหนึ่ง มีหวังโดนแม่บ่นแน่ๆ

                "แล้วจะดูเรื่องอะไร"

                "หนังผีดิ" ว่าแล้วเพื่อนก็ชี้ไปที่โปสเตอร์หนังที่กำลังจะเข้าฉายเร็วๆ นี้

                "ไม่ดีกว่า"

                "กลัวผีด้วยเหรอ"

                "ก็นิดหน่อย"

                "เฮ้ย อันนี้เพิ่งรู้"

                เพื่อนดูท่าทางดีใจแต่หลงกลับไม่รู้สึกดีด้วยเลยสักนิด อย่างกับบอกจุดอ่อนให้คนไม่น่าไว้ใจรู้ แล้วแบบนี้คราวหลังจะไม่โดนหลอกมาดูหนังผีหรอกเหรอ

                "งั้นการ์ตูนดูได้ใช่มั้ย" เมื่อรู้ว่าหลงไม่ชอบหนังผีเพื่อนเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นอนิเมชั่นที่ป้ายถูกแขวนอยู่ข้างๆ กันแทน

                "ก็ได้อยู่"

                "โอเค งั้นเดือนหน้ามาดูเรื่องนี้"

                ตารางชีวิตเดือนหน้าถูกแปะป้ายไว้ว่าไม่ว่างอีกหนึ่งวัน หลงไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ แต่การไม่พูดก็กลายเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธคำชวนจากเพื่อนได้อยู่ดี

                เพราะเพื่อนไม่มีรถหลงเลยอาสาขับไปส่งที่บ้านแม้อีกคนจะปฏิเสธเนื่องจากบ้านทั้งคู่ไกลกันเป็นสิบกิโล แต่หลงไม่ใช่คนคิดมากเรื่องเวลาไม่กี่สิบนาที ตอนนี้มันดึกแล้ว รถตู้ยังพอมีแต่คนที่จะนั่งเป็นเพื่อนคนบ้านไกลจะเหลืออยู่สักกี่คน เพราะฉะนั้นให้เขาเป็นคนไปส่งปลอดภัยที่สุด

                รถกระบะสี่ประตูจอดหน้าบ้านที่มีอ่างบัวตั้งอยู่ คุณแม่ของเพื่อนที่วันนี้ทำหน้าที่อยู่เฝ้าบ้านเปิดประตูออกมาดู เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีคนขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านก็ได้แต่ทำหน้างง แม้คนบนรถจะเปิดประตูลงมาก็ยังมีสีหน้าสงสัยไม่หายอยู่ดี

                "แม่ นี่หลง"

                "สวัสดีครับ" หลงยกมือไหว้หญิงวัยห้าสิบกว่าอย่างนอบน้อม เขาเจอแม่เพื่อนอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ด้วยความสาวและสวยทำให้ตรึงตาตรึงใจจนมาถึงตอนนี้ แม้จะผ่านไปเป็นสิบปีแต่ผู้หญิงคนนี้กลับยังสวยไม่เป็นแปลง ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้เป็นแวมไพร์กันหรืออย่างไร

                "สวัสดีจ้ะ เข้าบ้านก่อนมั้ยลูก" คนเป็นแม่รับไหว้เชื้อเชิญแขกเข้าบ้าน อาการงงงวยในทีแรกหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มหวานๆ ที่ดูสดใสไม่แพ้ลูกชาย เธอรู้จักเด็กผู้ชายที่ชื่อหลงดี เพื่อนในกลุ่มที่ลูกชายของเธอชอบเล่าให้ฟังบ่อยๆ แต่ไม่คิดเหมือนกันว่าจากเด็กอ้วนที่ลดน้ำหนักแล้วจะทำให้ดูดีผิดหูผิดตาได้ขนาดนี้

                "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเลย สวัสดีครับ" หลงปฏิเสธ ยกมือไหว้อีกครั้งก่อนเดินกลับขึ้นรถ

                เพื่อนยืนรอส่งจนหลงวนรถออกไป มองคุณแม่สุดสวยที่ส่งยิ้มมาให้อย่างมีเลศนัยแล้วเดินเข้าไปสวมกอด

                "ไงเรา"

                "เพื่อนจะพยายามอีกครั้งนะแม่"

                "แม่จะรอฟังข่าวดี" เธอกระชับกอดแน่นเพื่อนส่งกำลังใจ หอมหัวลูกชายจอมดื้ออีกหนึ่งทีถึงได้ปล่อยออก

                เพื่อนยิ้มกว้างเดินอารมณ์ดีเข้าบ้าน ตอนนี้เขาอยู่กับแม่แค่สองคนเพราะพ่อถูกส่งตัวไปทำงานต่างประเทศ ความจริงถ้าพ่อไม่ไปเขาก็คงจะอยู่เชียงรายยาวๆ แต่เพราะเป็นห่วงแม่เลยต้องกลับมา กลับมาดูแลแม่ กลับมาดูแลครอบครัว

                กลับมาหาคนที่เข้าใจและคนที่รักเขามากที่สุด

     

    TBC.

     

    เหมือนโดนรู้ความคิดเลยค่ะเพราะตอนแรกเราว่าจะยังไม่อัพต่อ แต่ตอนนี้จะลงต่อเรื่อยๆ นะคะ

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×