คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 น้องตัวหดผู้มาพร้อมกับความฉิบหาย
ตอนที่ 4
น้องตัวหดผู้มาพร้อมกับความฉิบหาย
เจ็ดโมงยี่สิบห้านาที ผมกดปิดนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ในมือถือโดยไม่รอให้ได้มันทำหน้าที่ตอนเจ็ดโมงครึ่ง ขยับตัวอย่างเบาที่สุดลงจากเตียงเพราะไม่อยากให้เด็กที่ยังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มตื่น ย่องเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวโดยใช้เวลาไม่กี่นาที สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ออกมาเตรียมอาหารเช้าแบบง่ายๆ
ข้าวสวยกับไข่ตุ๋นทรงเครื่อง
จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จก็เดินไปเปิดประตูห้องนอน เรนนี่ตื่นแล้วแต่ยังนั่งหลับตาเหมือนคนละเมอ ตัวเอนไปมาทำท่าจะล้มและพร้อมมุดเข้าผ้าห่มกลับสู่ห้วงความฝันอีกครั้ง
"ลุกไปอาบน้ำจะได้มากินข้าว” ผมตะโกนบอกจากหน้าประตู
เด็กน้อยลุกโซเซเดินเข้าห้องน้ำ เห็นประตูยังเปิดอ้าไว้ผมเลยเดินตามเข้าไปดู เรนนี่หยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันใส่โดยที่ยังไม่ลืมตา แถมไอ้แปรงที่หยิบมาน่ะแปรงผมอีกต่างหาก
“ผิดอันแล้ว”
ผมดึงแปรงสีฟันในมือน้องออก คนที่ยังงัวเงียปรือตามอง รับแปรงสีฟันของตัวเองที่ผมบีบยาสีฟันให้ใหม่ไปถือไว้แล้วก็ยืนนิ่งเหมือนหลับกลางอากาศไปแล้ว
“ไหวมั้ยเนี่ย หรือต้องให้แปรงให้”
“ไหว”
“เมื่อคืนนอนกี่โมง” หลังจากคุยกันเรื่องแคคตัสจบเรนนี่ก็เก็บตัวทำงานอยู่ในห้อง กลับเข้ามานอนด้วยกันตอนไหนก็ไม่รู้
“ตีสอง วันนี้พี่ลี่ไปก่อนก็ได้นะ” ยัดแปรงสีฟันเข้าปากพูดเสียงอู้อี้
“ไม่เป็นไรทางผ่านอยู่แล้ว”
“แต่เรนออกช้ากว่าได้ไง นั่งวินแป๊บเดียว ลี่จะได้ไม่ต้องรีบด้วย”
คำพูดฟังดูดีแต่ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความหมายจริงๆ ที่เรนนี่ต้องการสื่อได้ดีอยู่แล้ว ‘พี่ลี่ไปก่อนเลยเรนจะได้ไม่ต้องรีบ’ ในหัวต้องเป็นประโยคนี้แน่ แต่ไม่เป็นไรผมเข้าใจ
ว่าแต่...เมื่อกี้เรียกโดยไม่มีพี่นำหน้าอีกแล้ว
แต่ก็ช่างเถอะ
นาฬิกาดิจิทัลบนตัวเตียงบอกเวลาแปดโมงสิบห้านาที ผมต้องเข้างานเก้าโมงเช่นเดียวกับเวลาเริ่มเรียนของเรนนี่ จากคอนโดถึงที่ทำงานใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาทีรวมรถติด ถ้าบวกเวลาแวะส่งเรนนี่ด้วยก็ไม่เกินยี่สิบห้านาที กว่าจะรอน้องชายที่กำลังทำตัวเฉื่อยชาอาบน้ำกินข้าวเสร็จคงถึงที่ทำงานแบบฉิวเฉียด
“งั้นอย่าลืมกินข้าวนะ”
เรนนี่พยักหน้าตอบขณะที่มือสะบัดแปรงสีฟันทำความสะอาดช่องปากไปด้วย ผมก้าวออกจากห้องน้ำและไม่ลืมปิดประตูให้ กินข้าวเช้าฝีมือตัวเองและหอบกระเป๋าออกไปทำงาน ก่อนประตูปิดก็ไม่ลืมตะโกนบอกอีกรอบ
“อย่าลืมกินข้าวด้วยนะ”
ไร้เสียงใดตอบกลับมา จะได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้
งานของผมวันนี้เป็นการเข้าไปฟังรายละเอียดโครงการพร้อมผู้ออกแบบหลักอย่างสถาปนิก ผู้ออกแบบภายใน รวมถึงภูมิสถาปนิก รีสอร์ตที่จะสร้างขึ้นนี้เจ้าของโครงการต้องการเป็นสไตล์ทรอปิคัลเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเมืองร้อนริมทะเล สถาปนิกได้ลองเสนอความคิดคร่าวๆ ซึ่งเจ้าของโครงการเองก็ดูพอใจ จึงได้ทำการนัดหมายส่งแบบร่างในการพูดคุยครั้งหน้า โดยที่ผมได้ลองเสนอความคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับการติดตั้งดวงไฟไปบ้างแล้ว แต่งานที่ต้องลงมือทำจริงๆ นั้นจะเริ่มขึ้นหลังจากเจ้าของโครงการได้แบบร่างที่พอใจ
ให้ว่ากันตามตรงบริษัทผมค่อนข้างให้อิสระในการทำงานแก่พนักงานอยู่มาก เวลาทำงานเก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็นเป็นเพียงนามธรรม หากคุณมีธุระอื่นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใดนั้นงานต้องเสร็จทันเวลา แต่พนักงานส่วนใหญ่ก็ยังชอบเข้าออฟฟิศกันอยู่ดีหากไม่มีธุระจำเป็นหรือต้องออกงานต่างจังหวัด เพราะสิ่งแวดล้อมที่ดีช่วยกระตุ้นให้คนมีใจอยากทำงานมากขึ้น
ออฟฟิศที่สวยทั้งการตกแต่งและจิตใจของผู้ร่วมงาน
หลังจบโปรเจกต์ธนาคารยังมีงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ทำตลอด โครงการรีสอร์ตกลายโปรเจกต์คู่ชีวิตผมไปจนถึงกลางปีหน้ากว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นและพร้อมเปิดให้บริการ ที่บริษัทเล็กๆ ของเรามีงานเข้ามารัวๆ แบบนี้เป็นเพราะพี่กอล์ฟเป็นคนที่ดีลงานเก่งมาก ชื่อเสียงบริษัทก็เลื่องลืออยู่ไม่น้อย สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าและขยายฐานลูกค้าใหม่ได้เรื่อยๆ เป็นสถานที่ที่ผมคิดว่าเจ๋งสุดๆ ไปเลย
งานอวยบริษัทก็ต้องมา
เสร็จจากการพูดคุยกลับมาถึงบริษัทตอนสี่โมงเย็น ผมแวะร้านกาแฟใต้ตึก สั่งบานาน่าลาเต้กับวาฟเฟิลโมจินั่งกินที่ร้านเป็นรางวัลสำหรับการเริ่มงานใหม่ที่ดีในวันนี้
จริงๆ ผมก็แค่อยากกินนั่นแหละ
‘เมื่อเช้ากินข้าวหมดมั้ย’
ผมส่งไลน์หาเรนนี่ที่ไม่ยอมทักทายกันมาเลยตั้งแต่เช้า วันนี้น้องเลิกเรียนบ่ายสอง ไม่รู้ว่ายังอยู่ที่มหา’ ลัยหรือกลับไปปั่นงานต่อที่ห้องแล้ว
‘หมดแล้ว แช่หม้อแล้ว’
ตอบดักเหมือนกลัวว่าจะโดนผมบ่น แต่ก่อนเรนนี่ชอบลืมแช่หม้อข้าวหลังกินหมดเป็นประจำ พอปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นมันก็ล้างออกยาก โดนผมบ่นแทบทุกวันจนนั่งหน้ามุ่ยเป็นเด็กโดนขัดใจ
‘น่ารักมากครับ แล้ววันนี้จะกลับกี่โมง อยากกินอะไรพี่จะได้ซื้อไปเลย’
‘วันนี้ที่มอมีตลาดนัด เพื่อนเรนมันขายพวกสติกเกอร์โปสต์การ์ด,โพสต์การ์ด ตอนนี้กำลังตั้งโต๊ะกันอยู่’
‘งานของคณะเหรอ’
‘ใช่ เรนลืมบอก’
เรนนี่ส่งโปสเตอร์งาน ‘ตลาดนัดสถาปัตย์’ มาให้ จำได้ว่าตอนผมเรียนก็เคยมีจัด มีโซนขายของกินกับพวกงานแฮนด์เมดที่นักศึกษาทำมาขาย เปิดตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงสามทุ่ม บุคคลทั่วไปสามารถเข้าร่วมงานได้ แน่นอนว่าศิษย์เก่าหลายคนต้องไป แต่ทำไมไม่มีใครมาบอกข่าวผมเลย แม้กระทั่งอีสกายที่ไม่น่าจะพลาดข่าวนี้ได้
ผมยกลาเต้หอมกลิ่นกล้วยขึ้นดื่มก่อนสลับหน้าจอแชต พิมพ์ถามสกายเรื่องตลาดนัด มันบอกว่าเพิ่งเห็นโปสเตอร์งานผ่านหน้าเฟซบุ๊กเมื่อช่วงสายนี่เอง แต่วันนี้มีงานลูกค้าเข้าเยอะคงไม่สะดวกมา พอเลื่อนสายตาลงมองกลุ่มแชตที่อยู่ด้านล่างก็เจอเลขสีแดงบอกจำนวนร้อยยี่สิบห้าโชว์หรา กับข้อความสุดท้ายที่บอกว่า ‘เจอกันพวกมึง’
งั้นคงผิดที่ผมเองที่ปิดเสียงมือถือจนเป็นนิสัย ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็มักจะลืมไปเลย
เปิดแชตของกลุ่มเพื่อนในภาควิชาที่พูดคุยเกี่ยวกับงานตลาดนัดสถาปัตย์วันนี้ พวกมันแค่เข้ามาบอกข่าวและเช็กชื่อว่ามีใครไปบ้าง ต่างคนต่างไปแล้วแต่สะดวก ผมที่เพิ่งรู้เรื่องรู้ราวเลยพิมพ์ตอบกลับไปแม้เพื่อนบางคนอาจจะถึงงานแล้วก็ตาม
‘กูไปนะ คงถึงประมาณหกโมงครึ่ง’
ข้อความถูกอ่าน เพื่อนคนที่ไปงานเหมือนกันตอบกลับมา
ยินดีสำหรับการพบเจอ
‘เดี๋ยวพี่ไปหาที่งาน’
บอกเพื่อนแล้วก็สลับแชตบอกน้องชายสุดที่รัก เรนนี่ยังไม่อ่านคงเพราะกำลังยุ่งกับการช่วยเพื่อนจัดโต๊ะเตรียมของอยู่
เด็กสถาปัตย์กลับมารวมตัวกันแบบนี้ ผมว่าคืนนี้ไม่เมาไม่กลับกันแน่ๆ
เลิกงานผมก็ตรงดิ่งไปยังมหาวิทยาลัยที่เคยเรียน บรรยากาศยามฟ้ามืดดูคึกคัก พบปะเพื่อนฝูงรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไม่ได้เจอหน้าคร่าตากันมานาน หลายคนจบไปหน้าที่การงานมั่นคง ส่วนคนที่ไม่ได้เดินตามทางที่ร่ำเรียนมาก็มี
ศิษย์เก่ากลุ่มใหญ่จับจองพื้นที่ใต้ตึกภาควิชาอันเป็นสถานที่ที่เคยใช้ปั่นงานสมัยเรียน แต่ละคนซื้ออาหารเครื่องดื่มมาวางกันเต็มโต๊ะ พูดคุยเสียงดังเฮฮาจนออกจะน่าหนวกหูไปบ้าง ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบระบายปัญหาของตัวเองกันไป สลับกับขุดเอาวีรกรรมครั้งยังเป็นนักศึกษาขึ้นมาเล่าเรียกเสียงหัวเราะ คุยๆ อยู่ก็ชวนกันถ่ายรูปหมู่แท็กหาทุกคนเพื่อบันทึกความทรงจำ
ร่วมวงเฮฮากับเพื่อนฝูงจนหลงลืมใครบางคน เพิ่งจะรู้ตัวก็ตอนหยิบมือถือในกระเป๋าขึ้นมาดูรูปที่ถูกแท็ก เจอมิสคอลสามสายกับสติกเกอร์ที่รัวมาในไลน์เหมือนโกรธกัน
“กูไปหาน้องก่อนนะ” ผมบอกกับเพื่อนที่นั่งข้างกัน ก่อนกดโทรออกหาเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่างอนตุ๊บป่องไปหรือยัง
“อย่าหนีกลับนะมึง”
“เออ ขอไปหาน้องก่อน จะไปกันกี่โมงนะ” นัดกันว่าจะไปต่อร้านนั่งชิลใกล้มหา’ ลัย แต่ยังไม่ได้นัดเวลาเพราะพวกมันมัวแต่แย่งกันพูด
ไอ้เพื่อนที่นั่งข้างผมตะโกนถามรุ่นพี่ที่เป็นตัวตั้งตัวตี ได้คำตอบกลับมาว่าหลังตลาดนัดเลิกตอนสามทุ่ม ผมเลยตัดปัญหานัดเจอที่ร้านไปเลยทีเดียว เผื่อว่าต้องไปส่งเรนนี่กลับคอนโดก่อน
ก้มมองมือถืออีกทีปลายสายกดรับได้สิบวินาทีแล้ว ผมรีบก้าวยาวๆ ออกจากใต้ตึกไปยังลานกิจกรรมของคณะ ยกมือถือขึ้นแนบหูเอ่ยเรียกชื่อคนที่กำลังไปหา
“เรนนี่”
[จะไปเที่ยวต่อเหรอ] น้ำเสียงฟังดูมึนตึง ถามแบบนี้คงได้ยินที่ผมคุยกับเพื่อนหมดแล้ว
“ช่าย พี่กำลังไปหา ร้านเพื่อนเรนอยู่ตรงไหนนะ”
[พี่ลี่มาจากไหน]
“ตึกภาค”
[งั้นรอข้างหน้าทางเข้าฝั่งนั้นแหละเดี๋ยวเรนไปรับ]
“โอเคคร้าบ”
กดวางสายเดินอีกไม่ไกลก็ถึงลานกิจกรรมที่ใช้จัดงาน เห็นเด็กตัวสูงยืนกดมือถือโดยไม่ต้องมองหา ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้อยากแกล้งให้ตกใจแต่เรนนี่กลับเงยหน้าขึ้นมาเสียก่อน
“ทำอะไร”
“ว่าจะแกล้งเด็ก”
เด็กตัวโตเก็บมือถือใส่กระเป๋า ปั้นหน้านิ่งเหมือนโกรธใครมา ใครกันน้าทำให้น้องชายที่น่ารักของผมงอนได้เนี่ย
“โอ๋เอ๋น้า คุยกันเสียงดังไปหน่อยเลยไม่ได้ยิน”
“ไม่ได้เปิดเสียงมากกว่า”
รู้ทันอีก
“ไม่งอนนะครับ” ผมพยายามง้อด้วยเสียงสองเสียงสาม แต่เรนนี่โหมดนิ่งเนี่ยบอกเลยว่ากู้กลับยากมากๆ
“ไม่ได้งอนแค่หงุดหงิด เวลาติดต่อไม่ได้คือมันไม่รู้จะทำยังไงไง”
ถ้าอยู่ห้องกันสองคนในสถานการณ์แบบนี้ผมคงแปลงร่างเป็นแมวแล้วเอาตัวเข้าสี จากนั้นเรนนี่ก็จะทำหน้ารำคาญกว่าเดิม สุดท้ายก็มักจะหลุดยิ้มออกมาทุกครั้ง แต่ในที่สาธารณะแบบนี้จะให้แปลงร่างมันก็ยังไงอยู่
“พี่ขอโทษนะ ครั้งหน้าจะปรับปรุงตัว”
“ก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง”
“อย่าโกรธนานดิ ถึงห้องแล้วจะให้จุ๊บๆ โอเคนะ”
มาแล้วสเต็ปทำหน้าหงุดหงิดแล้วเบือนหนี จากนั้นก็เม้มปากกลั้นยิ้มไม่พูดอะไรต่อ ตอบสนองแบบนี้เท่ากับผมง้อสำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือจุ๊บๆ แก้มอีกครึ่งหนึ่งต้องรอไปทำให้ที่ลับตาคน หลังจากเมื่อตอนวันเกิดอาจหาญกล้าขโมยหอมผมแล้วหวังว่าครั้งนี้เรนนี่จะไม่ดันหน้าผมหงายหรอกนะ
“ร้านเพื่อนอยู่ไหนอ่ะ จะได้ไปอุดหนุน”
“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ เรนยังไม่ได้เดินเที่ยวงานเลย”
จากการเลี้ยงดูเรนนี่มายี่สิบปีประโยคเมื่อครู่แปลว่าได้ ‘ช่างหัวเพื่อนมันเถอะ พี่ลี่ไปเดินเล่นกับเรนดีกว่า’ เด็กอะไรฟอร์มจัดจริงๆ
“ต้องจับมือมั้ย เผื่อเด็กน้อยหลง”
น้องส่ายหน้าใส่ผม ถ้าบันทึกสถิติไว้ต้องได้ลงกินเนสส์บุ๊กในหัวข้อ ‘น้องชายที่ส่ายหน้าใส่พี่ชายสุดที่รักมากที่สุดจำนวนล้านครั้ง’ แน่นอน
ตั้งแต่มาถึงผมแวะซื้อแค่น้ำปั่นแก้วเดียวแล้วตรงไปใต้ตึกภาควิชา พอมาเห็นร้านของกินตั้งเรียงรายก็อยากกินไปหมด ได้กลิ่นชีสหอมๆ เตะจมูกให้เดินตรงดิ่งไปหา สั่งเฟรนช์ฟรายส์ราดชีสเพิ่มคอเลสเตอรอลให้ร่างกาย
สั่งถ้วยใหญ่สุดให้สาแก่ใจ หยิบกินหนึ่งชิ้น ลิ้มรสกลมกล่อมของชีสแล้วต้องยิ้มตาปิดก่อนยื่นถ้วยไปตรงหน้าเด็กน้อยแบ่งกันกิน เรนนี่หยิบใส่ปากโดยไม่แสดงสีหน้าใดเหมือนความอร่อยของผมเมื่อกี้เป็นเพียงการแสดง
เดินไปกินไปเจออะไรน่าอร่อยผมก็เดินเข้าไปสั่งเหมือนลืมว่าหลังตลาดวายยังมีนัดต่อ พอของกินอยู่ในมือเยอะๆ ก็นึกเป็นห่วงเรื่องปากท้องเรนนี่ขึ้นมา วันไหนที่ต้องอยู่มหา’ ลัยดึกๆ ชอบกินแต่ขนมกับมาม่า ดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นข้าวกล่องเวฟ
“เรนกินข้าวบ้างยัง”
“กินอยู่นี่ไง”
“นี่ไม่เรียกว่ากินข้าว”
“มันก็อิ่มได้เหมือนกัน”
ยังจะเถียงอีก ทำงานเยอะ นอนก็ดึก ข้าวไม่กินอีกเดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอา เพราะแบบนี้ไงผมถึงพยายามทำข้าวเช้าไว้ในทุกวัน
“อย่ากินแต่ขนม”
“ก็วันนี้ไม่ได้กินกับข้าวพี่ลี่ไง”
“งั้นพรุ่งนี้อยากกินอะไร”
“ต้มจืดตำลึงใส่เลือดหมูด้วย”
“โอเค”
พรุ่งนี้เรนนี่มีตรวจแบบตอนบ่าย กลับห้องมากินข้าวเย็นแล้วคงแก้งานต่อยาวๆ เพราะฉะนั้นผมจะเตรียมมื้อใหญ่ไว้ให้เลย
ของกินในมือทยอยหมดทีละอย่าง เดินตรงไปหาถังขยะแต่ยังไม่ทันได้ทิ้งอะไรกลับโดนแรงปะทะจากด้านข้างจนทุกอย่างที่อยู่ในมือหลุดกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ผมยังมึนงงขณะที่ร่างกายเซล้มลง ไม่พอยังถูกอะไรสักอย่างฟัดเข้าข้างหู แว่นหลุดออกจากหน้า เบลอไปชั่วขณะโดยที่ยังนั่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“ทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!” ได้ยินเพียงเสียงสุดเกรี้ยวกราดของเรนนี่ลอยมา
“พี่ ผมขอโทษ” กับเสียงสั่นๆ ของใครอีกคน
“พี่ลี่ เป็นไงบ้าง”
“โอเค...มั้ง”
ต้องบอกว่าโชคดีที่ผมไม่เป็นอะไร นั่งมึนอยู่สักพักภาพที่เคยเบลอก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เศษซากของกินที่ยังกินไม่หมดกระจายเต็มพื้น กองรวมกับแว่นตาที่แตกละเอียด
“ผมขอโทษนะพี่ เมื่อกี้ผมสะดุดสายไฟตรงนั้นอ่ะ” ผู้ชายคนหนึ่งนั่งลงตรงหน้าผม หน้าซีดเหมือนไก่ต้มยกมือขอโทษขอโพย ขณะที่ผมกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวจากคำให้การ
ในเมื่อมันเป็นอุบัติเหตุผมจะไม่คิดถือโทษโกรธเคืองอะไรก็แล้วกัน
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เป็นไรได้ไงอ่ะลี่ ล้มมาชนไม่พอเหยียบแว่นแตกอีก”
ผมเดินทางสายสงบ แต่เรนนี่น่ะสายบวก โวยวายขึ้นมาทันทีอย่างไม่ยอมยิ่งทำให้ไอ้น้องตรงหน้าผมหน้าซีดเหมือนโดนยุงสูบเลือดไปหมดตัว มือยังยกพนมค้างไหว้อย่างกับผมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“ผมขอโทษจริงๆ นะพี่ เดี๋ยวแว่นผมตัดให้ใหม่ ค่าของกินด้วย”
“มันน่ายอมความมั้ยวะ ทำไมเดินไม่ระวัง สะดุดมาชนไม่พอยังลากไอ้เสาไม้ลงมาฟาดหน้าพี่กูอีก ถ้าพี่กูเป็นอะไรขึ้นมานะมึง”
พอเรนนี่พูดผมก็เพิ่งสังเกตว่าข้างๆ มีเสาไม้ที่ใช้แขวนไฟล้มอยู่ สร้างความฉงนสงสัยว่าไอ้น้องคนนี้มันเดินสะดุดยังไงทำของเสียหายได้ขนาดนี้ ยังดีที่มันไม่ลากสายมาพันขาจนพังทั้งงาน
อุบัติเหตุครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โต หลายคนมุงดูสถานการณ์อย่างเป็นห่วงและพร้อมให้การช่วยเหลือ ขณะที่คนอีกกลุ่มกำลังช่วยกันต่อสายไฟที่หลุดและยกเสาไม้ตั้งขึ้นเหมือนเดิม ส่วนไอ้น้องที่มาพร้อมความฉิบหายแทบจะก้มกราบขอขมาผมแล้ว
“เขาก็ขอโทษแล้วไงเรน พี่ไม่เป็นอะไรแล้วด้วย” บอกด้วยบทพ่อพระ ดันตัวเองลุกขึ้นโดยมีเรนนี่ช่วยพยุงกับไอ้น้องที่อยากจะช่วยแต่โดนลูกหมาของผมแยกเขี้ยวใส่ตลอดเวลา
“ยังไงผมขอชดใช้ค่าเสียหายนะครับ จริงๆ บ้านผมเป็นร้านแว่นอยู่ข้างสะพานใกล้ๆ มอนี้เอง”
“แว่นศิลป์เหรอ”
“ใช่ครับ ยังไงผมขอบัญชีหรือช่องทางติดต่อไว้ก่อนได้มั้ยครับ ตอนนี้ผมไม่มีเงินสดเลย” พูดไปไอ้น้องมันก็ทำตัวหดไป ส่วนเรนนี่ก็จ้องเขาด้วยสายตาน่ากลัวไม่เลิกทั้งที่ผมก็ปลอดภัยดีแล้ว...มั้งนะ
บางทีอาจจะต้องรอดูอาการอีกวันสองวันเผื่อมีความผิดปกติเกี่ยวกับสมอง
“งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปที่ร้านวันหลังก็ได้ครับ”
“ได้ครับ ขอโทษอีกครั้งนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“ไม่เป็นไร ทีหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
“ครับ ทีหลังผมจะระวังให้มากๆ” ไอ้น้องคนนี้ยังทำตัวหดสำนึกผิดไม่เลิก ถ้าตอนนี้เรนนี่ไม่ยืนประกบผมอยู่มันคงอุ้มผมไปส่งโรงพยาบาลแล้ว
หันมองโดยรอบอีกทีทุกอย่างก็ถูกซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพปกติ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาสอบถามอาการผม เธอแนะนำตัวว่าเป็นนักศึกษาแพทย์และขอดูบริเวณที่ผมโดนเสาไม้นั่นหล่นใส่ซึ่งมีเพียงรอยแดงและเริ่มจะบวมนิดหน่อย ได้คำแนะนำมาว่าให้กลับไปประคบเย็นก่อน ถ้าปวดศีรษะอย่างรุนแรงหรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ผมเอ่ยขอบคุณก่อนเธอกับเพื่อนจะเดินจากไป ก้มมองเศษขยะที่หล่นเกลื่อนพื้นก็ตั้งใจจะเก็บกวาดให้หมด แต่นั่งลงหยิบได้แค่ชิ้นเดียวเรนนี่กับไอ้น้องตัวหดก็เข้ามารุมแย่งเก็บไปทิ้งให้จนสะอาดเอี่ยม
ทีอย่างนี้ล่ะสามัคคีกันเชียว
“แว่นอันนี้” ไอ้น้องตัวหดถือแว่นเลนส์แตกของผมไว้ในมือ
“ทิ้งเลยครับ”
“พี่โอเคใช่มั้ย มองเห็นใช่มั้ยครับ”
“เห็นครับ สบาย”
“กลับเหอะ วันนี้ไม่ต้องไปไหนต่อแล้วนะ” เรนนี่ที่เงียบมานานบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ยิ่งทำให้ไอ้น้องตัวหดย่อขนาดตัวเองลงเรื่อยๆ เด็กน้อยที่น่ารักของผมกลายเป็นคนน่ากลัวไปซะแล้ว
“กลับเลยก็ได้”
รู้ว่าฝืนไปยังไงเรนนี่ก็คงไม่ยอม เสียดายโอกาสดีๆ ที่จะได้สังสรรค์กับเพื่อนนิดหน่อยแต่ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมคงแย่ ถ้าบอกไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมยังไงเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนคงเข้าใจ ดีไม่ดีจะรีบไล่ให้ผมกลับบ้าน
เรนนี่กอดเอวช่วยพยุงไปยังทางออกเหมือนพี่ชายคนนี้อาการหนักไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจนเดินเองไม่ได้ ท่ามกลางสายตาเป็นห่วงและอยากรู้อยากเห็นของผู้มาร่วมงานที่บางคนอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
ก้าวตามแรงพยุงของเรนนี่มาเงียบๆ เกิดสงสัยจึงหันกลับไปมองก็พบว่าไอ้น้องตัวหดยังยืนทำตัวสลดอยู่ สร้างเรื่องใหญ่ขนาดนี้เป็นผมคงรู้สึกผิดไปหลายวัน
ขากลับเรนนี่ขอทำหน้าที่เป็นพลขับ เมื่อน้องแบมือขอกุญแจรถผมก็ยื่นให้โดยไม่คัดค้านใดๆ พาแวะร้านยาซื้อเจลเย็นมาตุนไว้ กลับถึงห้องก็ถูกจูงมือผมมาส่งที่โซฟา เอาเจลเย็นที่ซื้อมาใส่ตู้เย็นแล้วเอาน้ำแข็งก้อนที่ผมทำไว้เทใส่ถุงห่อด้วยผ้าอีกชั้นก่อนเดินกลับมาหา สร้างความตื้นตันใจยามมองเด็กน้อยที่แต่ก่อนทำอะไรเงอะๆ งะๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถพึ่งพาได้แล้ว
“ยังเจ็บอยู่มั้ย”
“ปวดนิดหน่อย”
เรนนี่ยื่นมือมาจับผมทัดหูให้ อาการบาดเจ็บที่ไม่มีบาดแผลเห็นชัดขึ้นเมื่ออยู่ในห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอ คนมองขมวดคิ้วทำหน้าเครียด มันคงบวมแดงและช้ำจนดูน่ากลัว
“มานอนตรงนี้มา เดี๋ยวเรนประคบให้” เรนนี่หยิบหมอนมาวางบนตักแล้วตบเรียกเบาๆ
“นั่งจับเอาก็ได้”
“มันเมื่อย”
“งั้นพี่ทำเองก็ได้”
“เร็ว”
ผมจะแย่งห่อน้ำแข็งมาเรนนี่ก็ชูมือหนีแถมยังเร่งด้วยการตบหมอนบนตักอีกครั้ง บังคับให้ผมต้องนอนลงตามคำสั่ง หมดแรงจะยื้อแย่งและต่อสู้
ความเย็นสัมผัสผิวบริเวณที่ปวดตุบ ผมหลับตาลงปล่อยให้อนาคตสถาปนิกในคราบคุณหมอช่วยรักษาอาการบอบช้ำที่ยังนับว่าเล็กน้อย ชีวิตนักศึกษาสถาปัตย์ต่างเคยผ่านความเจ็บปวดกันมาทั้งนั้น อุบัติเหตุจากความประมาทเกิดขึ้นเหมือนเรื่องปกติ ประสบการณ์ตัดโมจนนิ้วเกือบหายก็ผ่านมาแล้ว
“ถ้าเจ็บบอกด้วยนะ”
“อืม”
มันยังปวดแต่อยู่ในระดับที่ทนได้ เรนนี่คงกะน้ำหนักไม่ปล่อยห่อน้ำแข็งทับลงมาที่แผลผมเต็มๆ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกชาเหมือนมีก้อนหินทับหน้าอยู่
“ถ้าประคบรอบแรกเสร็จแล้วพี่ลี่ไปอาบน้ำนอนเลยนะ เอาเจลในตู้เย็นไปแปะไว้ด้วย เดี๋ยวเรนจะแวะไปดูทุกยี่สิบนาที”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
“ต้องขนาดนี้นี่แหละ ความผิดเราก็ไม่ใช่ ที่จริงน่าจะเรียกน่าเสียหายหน่อยนะ เรนก็ลืมทักไปเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก เขาก็ไม่ได้ตั้งใจไง ว่าแต่เรนรู้จักน้องคนนั้นมั้ย”
“ไม่รู้จักหรอก แต่คงเป็นเด็กปีหนึ่ง”
เรียกพวกเราว่าพี่แถมยังกลัวตัวหดขนาดนั้นคงเป็นเด็กปีหนึ่งอย่างที่เรนนี่ว่า
“งั้นตอนพี่ลี่ไปตัดแว่นก็ทวงค่ายาไปด้วยเลย”
“ไม่ได้ดิ” ผมค้าน คุยกันว่าจะชดใช้เฉพาะค่าตัดแว่นใหม่ไปแล้วห้ามกลับคำเด็ดขาด
“แล้วมีแว่นสำรองใส่หรือเปล่า”
“มีอันเก่าอยู่ ค่าสายตาไม่ตรงแต่ยังใส่ได้อยู่”
“ถ้าจะไปเมื่อไรบอกเรนด้วยแล้วกัน จะไปด้วย”
“เรนไปเดี๋ยวน้องเขาก็กลัวหัวหดอีก”
“ให้กลัวนั่นแหละดี”
“ห้ามข่มขู่คนอื่น”
“ไม่ได้ข่มขู่เลย”
สายตาคนเรามักมองใครสักคนในมุมที่ไม่เหมือนกันเสมอ เรนนี่ที่ผมมองว่าน่ารักน่าเอ็นดูกลับเป็นคนที่ดูน่ากลัวและเย็นชาสำหรับใครหลายคน เหตุของความแตกต่างนี้อาจเป็นเพราะผมรู้จักน้องตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเด็กคนนี้ซ่อนความน่ารักไว้ตรงไหนบ้าง
“ถ้าปวดหัวมากๆ ต้องรีบไปหาหมอนะ ให้เพื่อนที่ทำงานพาไป”
“ทราบแล้วครับ”
“หรือถ้าไม่ไหวก็หยุดงานสักวัน”
“อืม”
ผมหลับตาลงรู้สึกเหมือนสติใกล้จะดับวูบเต็มที ฟังเรนนี่พูดนั่นนี่ไปเรื่อยจนครบสิบห้านาทีน้องก็ไล่ผมไปอาบน้ำ กำชับด้วยว่าห้ามล็อกประตูเด็ดขาดเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เข้าไปช่วยทัน
เจ็บป่วยทีไรทำน้องเป็นกังวลทุกที
อาบน้ำเตรียมตัวตามคำสั่ง เรนนี่เตรียมเจลเย็นมาประคบให้ กล่อมผมนอนเหมือนเด็กน้อย ทิ้งท้ายไว้อีกครั้งว่าจะเข้ามาดูทุกยี่สิบนาที ส่วนตัวเองก็ไปนั่งแก้แบบอยู่ในห้องทำงาน
ทำน้องลำบากขนาดนี้ คราวหลังห้ามเจ็บป่วยอีกนะมดลี่เอ๊ย
tbc
น้องตัวหดคือใครกัน
#น้องผมก็ตัวแค่นี้
ความคิดเห็น