คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 วันที่ฝนตก
ตอนที่ 3
วันที่ฝนตก
ฝนตกหนักตั้งแต่บ่าย
ผมนั่งมองเม็ดฝนโปรยปรายอยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนและภาวนาให้มันหยุดตกก่อนถึงจะคาบเรียนขับรถในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า เพราะขนาดขับตอนอากาศปกติยังไม่ค่อยจะรอด ถ้าฝนตกอีกละก็ผมขอขาดคาบนี้ไปแล้วกัน แต่จะไปโรงเรียนนะ ไปนั่งคุยกับคุณครู
นั่งไถมือถือเล่นระหว่างรอเวลา กดเข้าไลน์แล้วกดออกเป็นว่าเล่น อยากอวดว่ามีไลน์ของคุณรักแรกแล้วแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่กล้าทักไป แต่ว่าตอนนี้ผมคิดเรื่องที่จะชวนคุยออกแล้ว
'นี่ปอนด์เองนะใหม่ ที่โรงเรียนฝนตกไหม'
ต้องเกริ่นเดี๋ยวคุณรักแรกมองไม่ออกว่าไอ้คนที่ยืนแช่อยู่ในบ่อน้ำอยู่คือใคร ใส่หมวกปิดหน้าปิดตาทำให้ไม่เห็นความน่ารักเหมือนตัวจริง
ไม่มีการตอบรับเพราะคุณครูน่าจะสอนนักเรียนของชั่วโมงนี้อยู่ ผมก็ถามอะไรโง่ๆ ออกไปได้ไงไม่รู้ บ้านกับโรงเรียนก็อยู่ห่างกันแค่นี้ ถ้าบ้านผมฝนตกแต่โรงเรียนไม่ตกคงเป็นอะไรที่แปลกมาก แต่มันก็เกิดขึ้นได้ไม่ใช่หรือไง
เฝ้ารอการตอบกลับจากคุณรักแรกจนใกล้ได้เวลาที่ต้องไปเรียนก็ยังเงียบฉี่ แจ้งเตือนดังอีกทีระหว่างที่ผมกำลังมุ่งหน้าไปโรงเรียน ออกสายนิดหน่อยเพราะฝนยังตกปรอยๆ
‘ยังตกอยู่เลย คุณใกล้ถึงยัง’
‘กำลังไป แล้วคุณครูเล่นมือถือได้ไง’
‘ชั่วโมงนี้สอนเสร็จแล้ว รอลูกศิษย์คนต่อไปอยู่’
เหมือนผมเข้าเรียนสายแต่มันยังไม่สายไงเหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที คุณครูนั่นแหละทำไมคาบนี้สอนเสร็จเร็ว
‘จะถึงแล้ว’
พี่เพนนีเลี้ยวรถเข้าโรงเรียนพอดี วันนี้มาจอดส่งผมถึงหน้าตึกเพราะฝนตก เสร็จธุระแล้วก็ขับรถออกไปโดยไม่อวยพรน้องชายเลยสักนิด
เดินเข้าออฟฟิศก็เจอคุณครูนั่งเล่นมือถือ ผมเดินไปสะกิดเขาก็ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง ทำใจสั่นก่อนเริ่มเรียนอีกแล้ว
หลังจากสแกนนิ้วเข้าเรียนเราก็เดินออกมาท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ต้องขอบคุณที่ไม่ตกหนักเหมือนชั่วโมงก่อน
บรรยากาศฝนตกปรอยๆ ได้อยู่กับคนที่แอบรักสองต่อสองจะว่าไปก็โรแมนตกไม่น้อยถ้ารถคันนี้ไม่ใช่รถฝึกสอน และคนขับไม่ใช่ผมที่แค่เลี้ยวก็กินเลนข้างๆ ไปเกือบครึ่ง ขับด้วยความเร็วเอ่อ....เอาเป็นเข้าเกียร์หนึ่งแล้วปล่อยไหลเพราะคุณครูไม่ให้แตะคันเร่ง เข็มไมล์ยังไม่ขยับเลยคิดดู ขับวนรอบสนามฝึกซ้อมท่าสอบที่ผมก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง
"ฝนตกแบบนี้ก็อดไปกินเห็ดเข็มทองแล้วดิ" พอฝนตกการดำเนินชีวิตก็ชักจะลำบากขึ้นมาก
"ทำไมอ่ะ วันนี้ไม่อยากกินแล้วเหรอ"
"ก็แบบฝนตกมันเป็นอุปสรรคต่อการเที่ยวไง ใครๆ ก็ไม่อยากไปไหนตอนฝนตก"
"นี่คุณยกเลิกนัดผมใช่มั้ย"
เห็นสีหน้าหงอยๆ ของครูใหม่แล้วผมรู้สึกผิดเฉยเลย ใจไม่ได้อยากยกเลิกแค่กลัวอีกคนลำบาก ตลาดตอนฝนตกมันเฉอะแฉะไม่น่าเดิน
"ถ้ามันไม่ตกหนักอีกรอบไปก็ได้" เพราะผมก็อยากยืดเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ เหมือนกัน
"โอเค"
เป็นอันตกลงตามนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ฝนหยุดตกไปเลยดีกว่า
ขับวนรอบสนามหลังการซ้อมท่าสอบเสร็จสิ้นก็หันไปเห็นรถอีกคันกำลังวนเล่นอยู่ในวงเวียนเห็นแล้วน่าสนุก ผมยังไม่เคยซ้อมเข้าวงเวียนมาก่อนเลยหันไปยิ้มใส่ครูพยักพเยิดให้ดูรถคันนั้นแล้วบอกความต้องการออกไป
"อยากเข้าวงเวียน"
"ได้"
คุณครูผมก็ตามใจเก่ง ขอปุ๊บตอบรับปั๊บ ชี้ให้ผมเลี้ยวแยกข้างหน้าหักซ้ายหักขวาเกือบเสยต้นไม้ไปหนึ่งรอบเราก็เข้ามาสู่วงเวียน
“หักขวาไปเรื่อยๆ เลย” ครูใหม่พูดชิลๆ นั่งอมยิ้มไม่กลัวว่าผมจะพาไปเสยเสาธงที่อยู่กลางวงเวียนเลยสักนิด
ขวาก็ขวา ผมหมุนพวงมาลัยมาทางขวาแล้วปล่อยให้รถไหลไปเรื่อยๆ แล้วมันก็วนรอบวงเวียนจริงๆ ด้วยความที่พื้นที่มันเล็กใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ครบรอบวง
“แค่นี้เองเหรอ”
“ก็แค่นี้แหละ”
ทำไมง่ายจัง
ปล่อยรถให้วนอยู่ในวงเวียนเพลินๆ แต่พอเข้ารอบที่สามก็ชักจะไม่เพลิน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่บนเครื่องเล่นในสวนสนุกที่กำลังเหวี่ยงเราไปรอบๆ หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปละก็อ้วกพุ่งแน่ๆ
“มึนหัวแล้วอ่ะ”
“ผมก็มึน”
“งั้นพอเถอะเนอะ”
เราหันมายิ้มแหยให้กันก่อนผมจะตีรถเลี้ยวออกจากวงเวียน ต้องขอคุณครูพักเบรกหยิบยาดมขึ้นมาดมให้ชื่นใจ คนสอนก็ไม่มีเตือนไม่มีห้ามกันเลย
“ไม่บอกว่ามันจะมึน”
“ก็เห็นอยากลอง”
“ห้ามก็บ้างก็ได้”
ครูใหม่หัวเราะเหมือนชอบใจที่ได้แกล้งลูกศิษย์ แต่ก็เอาเถอะ ผมชอบเวลาได้เห็นเขี้ยวทั้งสองข้างสองเขา มองแล้วทำให้โลกนี้ดูสดใสขึ้นเยอะแม้ตอนนี้ฝนจะตกฟ้าจะครึ้มก็ตาม
หลังจากได้ลองเล่นวงเวียนคุณครูก็พาผมขึ้นสะพานแล้วฝึกทบทวนท่าที่ต้องใช้สอบ เผลอแป๊บเดียวเวลาของเราก็ใกล้จะสิ้นสุดลงอีกแล้ว แถมดูท่าว่าจะไม่ได้ไปเดินตลาดแล้วด้วยเพราะฝนตกหนักเหมือนโกรธใคร
“ตกหนักเลย” พึมพำให้คุณครูได้ยินตอนกำลังวนรอบสุดท้าย
“เหมือนโดนแกล้งเลยไม่ได้กินเห็ดซักที”
“นั่นดิ”
ทำไมความรักของผมถึงได้ดูมีอุปสรรคตั้งแต่เริ่มแบบนี้ หรือเป็นเพราะเข้าช่วงมรสุมพอดี
คุณครูให้ผมจอดรถหน้าอาคารแล้วไล่ลงจะได้ไม่ต้องวิ่งฝ่าฝน คืนกุญแจรถให้เขาก็ขับมันเข้าไปจอดในลานจอดแล้ววิ่งฝ่าฝนมาแทน ช่างเป็นผู้ชายที่แสนดีแต่ไม่ห่วงตัวเองเลยจริงๆ
“ทำไมไม่ให้ขับไปจอดตรงนั้นตั้งแต่แรก”
“เดี๋ยวคุณเปียกไง”
“แล้วใหม่ก็เปียกแทน”
“นิดเดียวเอง”
“เราเป็นปลาเปียกฝนน้ำได้”
“แต่อย่าเปียกน้ำฝนเลยเดี๋ยวไม่สบาย เข้าข้างในกัน” ทำเป็นยิ้มขำผมก่อนแตะหลังให้เดินเข้าไปในข้างด้วยกัน นับเป็นการแตะเนื้อต้องตัวกันครั้งแรกในรอบแปดปี
สแกนนิ้วออกจากระบบเสร็จผมก็รู้สึกเศร้าอีกครั้ง โทรหาพี่เพนนีแล้วนั่งรออยู่ข้างในโดยมีครูใหม่นั่งรอเป็นเพื่อน ส่วนใหญ่เป็นการบ่นเรื่องเห็ดเข็มทองที่ไม่มีดวงได้ไปกินสักที ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างอยากไปเดินตลาดกับผมหรือเปล่า
ก็แค่หาข้ออ้างให้ความหวังตัวเองเท่านั้น
คุยกันไปสบตาบ้างหลบตาบ้างเพราะผมไม่สามารถวางสายตาไว้ที่คุณรักแรกตลอดเวลาได้ กลัวว่าจะมีอาการให้เขาสงสัย มองแล้วเอาแต่ยิ้มเหมือนเป็นบ้า เลยต้องเออๆ ออๆ ชมนกชมไม้ไปเรื่อย จนไปสะดุดกับโปสเตอร์ของโรงเรียนที่แปะอยู่ข้างประตู
"ที่นี่สอนมอไซค์ด้วยเหรอ"
"อืม เพิ่งเปิด คุณขับมอไซค์เป็นมั้ย"
"ไม่เป็นอะ เคยพยายามจะลองแล้วไม่รอด" เหมือนผมเป็นปรปักษ์กับยานพาหนะทุกชนิดยกเว้นจักรยาน เคยพยายามจะหัดขับแล้วแต่เพราะมีเรื่องฝังใจที่ก้าวผ่านมันไม่ได้สักที
"สนใจเรียนมั้ย เดี๋ยวสอนให้"
"ไม่ดีกว่า"
"หรือว่ายังกลัวอยู่"
สบตาคนพูดที่ดึงเอาความทรงจำวัยเด็กของผมออกมา ยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้งั้นเหรอ
เช้าวันที่ฝนตกหนัก
"ไม่เท่าเมื่อก่อนแลว"
อุบัติเหตุที่ทำให้ผมกลัวการซ้อนมอเตอร์ไซค์ และกลัวการใช้ชีวิตบนท้องถนนไปชั่วขณะหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงเหตุการณ์รถล้มที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนักก็ตาม
"โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีรถใหญ่ตามหลังมา"
"โชคดีด้วยที่ใหม่อยู่ตรงนั้น"
เช้าที่ฝนตกพ่อขับรถไปส่งที่โรงเรียนอย่างเคย ตั้งใจรีบไปส่งรีบกลับขณะที่ฝนยังลงเม็ดไม่มากนัก บ้านกับโรงเรียนก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการไปกลับ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าจู่ๆ ฝนห่าใหญ่ก็สาดลงมา แม้ใส่เสื้อกันฝนแต่สายน้ำจากฟ้าก็ทำให้รองเท้านักเรียนเปียกชุ่ม ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์เลวร้ายตามมาอีก
ฝนตกถนนลื่น รถเสียหลักล้มหน้าประตูโรงเรียน ตัวผมหลุดออกจากรถไถลไกลสามสี่เมตร ส่วนพ่อถูกรถทับไว้ สร้างความตกใจให้แก่ผู้ที่กำลังสัญจรไปมา
รวมถึงเขาที่กำลังจะเดินเข้าโรงเรียนพอดี
“โคตรตกใจเลย คุณกระเด็นไปอย่างไกล”
“ลุกขึ้นได้รีบไปดูพ่อก่อนเลย ดีนะไม่เป็นอะไร”
“ลุกแบบไม่ห่วงตัวเองเลยด้วย”
“ก็มันตกใจ”
แขนกับขาผมเต็มไปด้วยแผลถลอก วันนั้นเลยต้องหยุดเรียนไปโรงพยาบาลแทน แถมวันต่อมายังไม่สบายอีก หยุดเรียนยาวๆ ไปเลยสามวัน จึงกลายเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่กล้าซ้อนมอเตอร์ไซค์และไม่ค่อยชอบฤดูฝนเท่าไรนัก
“ช่วงนั้นผมต้องนั่งคนเดียว เหงามาก”
“อย่ามาโม้ ได้ข่าวว่ามีเพื่อนมานั่งด้วย”
คนถูกจับได้หลุดขำ คุณรักแรกไม่ได้บอกผมหรอกว่ามีเพื่อนในกลุ่มย้ายที่มานั่งด้วย เป็นเพื่อนผมเองที่คอยรายงานสถานการณ์เพราะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงคนที่นั่งเรียนข้างกันตลอดปี แต่เพื่อนคนนั้นหลังจบม.ปลายมันก็ไปเรียนที่กรุงเทพฯ และได้งานทำที่นั่น พักหลังมานี้นานๆ ทีจะได้คุยกันบ้าง คิดแล้วก็อยากไปรายงานสถานการณ์ความรักของผมเหมือนกัน
รอไม่นานนักพี่เพนนีก็มา เพราะหน้าอาคารรถจอดเต็มครูใหม่เลยขอยืมร่มของพี่ธุรการเดินไปส่งผมที่รถ ระยะทางสั้นๆ ที่ได้อยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน เสียดายจนอยากโทรบอกให้พี่เพนนีจอดรถให้ไกลกว่านี้อีกสักหน่อย
“เจอกันพรุ่งนี้ ต้องออกถนนใหญ่กันแล้วนะ”
เผลอแป๊บเดียวผ่านมาแล้วสามวัน เหลือเวลาอีกไม่นานให้ผมได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกและรวบรวมความกล้า ในเมื่อตั้งใจจะจีบย่อมต้องบอกความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ เตรียมใจให้พร้อมกับการเปลี่ยนรักแรกให้กลายเป็นรักปัจจุบันที่ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์เป็นจริงได้มากแค่ไหน
“คนนี้น่ะเหรอครูแก” ขึ้นรถมาพี่เพนก็ถาม เมื่อกี้มีเวลาได้ทักทายกันไม่นานนัก
“ใช่ ชื่อใหม่ เพื่อนม.ต้นอ่ะพี่จำได้มั้ย”
“เพื่อนแกพี่จำได้แค่เพลิน ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วล่ะ”
“ทำงานอยู่กรุงเทพฯ นู่น”
ได้ดิบได้ดีทำงานเป็นนักการตลาด ล่าสุดได้ข่าวว่ากำลังจะแต่งงานกับแฟนที่เป็นนางพยาบาลปลายปีนี้ เพลินมันแวะชวนผมด้วยแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเอายังไงเพราะผมไม่รู้จักใครในสังคมใหม่ของมันเลย
เอาเป็นว่าคืนนี้ลองทักไปหาสักหน่อยดีกว่า
กลับมาถึงได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านก่อนกินข้าวแล้วก็ปลีกวิเวกขึ้นห้องนอน ผมทักไปหาเพลินเพื่อนสนิทสมัยมัธยมทิ้งไว้ตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ผ่านไปจนสี่ทุ่มกว่ามันถึงจะตอบกลับมา
ก่อนจะได้เข้าเรื่องต้องมีการบ่นเรื่องสัพเพเหระกันก่อน เพลินมันบ่นเรื่องงานมายาวเหยียด ว่าหัวหน้าให้ผมฟังแล้วก็ขู่ด้วยว่าจะลาออก จากนั้นก็ตบมุกเองว่าถ้าออกแล้วจะเอาอะไรแดก เหมือนวันนี้มันเครียดต้องการที่ระบาย และผมก็กลายเป็นผู้โชคดีของมันพอดี
‘ไม่ไหวก็กลับมาอยู่บ้านดิ’
ผมลองเสนอทางเลือก แล้วเพลินมันก็พิมพ์กลับมายาวเหยียดอีกรอบจนอยากโทรคุยมันจะได้ไม่เมื่อยมือ
‘ก็อยากกลับอยู่หรอกแต่กลับไม่ได้แล้วมึงซื้อบ้านอยู่กับแฟนที่นี่แล้ว ว่างๆ มึงมาเยี่ยมได้นะหรือนัดกันไปเที่ยวสักทริปก่อนกูสละโสดมั้ย ไม่ได้เจอกันนานแล้วเนี่ย เออได้ข่าวว่าไปเรียนขับรถ’
เครื่องหมายขึ้นว่ากำลังพิมพ์ผมก็ไม่กล้าขัด เพลินมันก็ส่งมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็วกเข้าจุดประสงค์ที่ผมทักมาหาวันนี้เสียเอง ที่มันรู้น่าจะเป็นเพราะโพสต์สมัครเรียนขับรถของโรงเรียนที่ผมแชร์เพื่อเอาส่วนลดแน่ๆ
‘ไปเรียนมาได้สามวันแล้ว ละมึงรู้มั้ยใครเป็นคนสอนกู’
‘จะไปรู้ได้ไงวะ’
รู้ว่ามันไม่รู้หรอกแต่ก็ถามไปงั้นให้ดูน่าตื่นเต้น
‘ใหม่ สุภาษิตอ่ะมึง รักแรกของกูสมัยม.สาม’
‘ถามจริง’
‘เออ ของจริงเลย ตกใจแบบทำตัวไม่ถูก’
‘แล้วใหม่มันว่าไงบ้างวะ ก่อนหน้านี้มันอยู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ’
‘ก็ตกใจหน่อยๆ มั้ง ตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน เห็นบอกว่าเบื่อกรุงเทพฯ เลยกลับมาอยู่บ้าน’
‘เอาแล้วไง ตกหลุมรักอีกมั้ยวะ โตแล้วมันหล่อนะ’
หล่อขึ้นจริงแถมยังแสนดีเหมือนเดิม จึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผมที่จะตกหลุมรักเขาอีกครั้ง
‘มึงคิดว่าไง’
‘ไม่เหลือ มึงแพ้ทางมัน แพ้แบบสุดๆ’
‘เออ ก็ตามนั้น’
กับเพลินแล้วไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องปิดบัง บอกออกไปยังดีกว่าเสียอีก เพราะมันเป็นเพื่อนคนเดียวที่รู้ความลับนี้และคอยให้กำลังใจผมมาตลอด
‘บอกมั้ยวะครั้งนี้ ใหม่มันมีแฟนยัง’
‘เห็นบอกว่ายังนะ’
‘ต้องสู้แล้วป้ะวะ เหี้ย โรแมนติกสัด’
‘มึงต้องใจเย็น’
ดูท่าว่าคนที่ตื่นเต้นว่าผมก็ไอ้เพลินนี่แหละ สมัยเรียนมันคอยหาโอกาสให้ผมกับคุณรักแรกอยู่ด้วยกันอยู่หลายครั้ง ไม่ได้พยายามเร้าหรือให้บอกรักแต่พยายามทำให้ผมมีความสุขกับรักที่ดูเหมือนจะไม่มีทางสมหวังได้ในครั้งนั้น รวมถึงคอยปลอบโยนกันเมื่อสุดท้ายแล้วรักครั้งแรกไม่ได้จบลงสวยงามอย่างที่อยากให้เป็น
เป็นความทรงจำวัยเด็กอันล้ำค่าที่ผมไม่มีวันลืม
‘กูไม่รู้ว่าใหม่จะโอเคมั้ยถ้าพูดออกไป แต่ก็ตั้งใจว่าจะบอกวันสุดท้ายที่สอบเสร็จ ถ้าใหม่ไม่โอเคคงตัดขาดกันไปเลย’
ปิดฉากรักแรก ปล่อยให้เป็นเพียงความทรงจำที่มีค่าตลอดกาล
‘อย่าเพิ่งคิดมาก ใหม่ไม่ใช่พวกโลกแคบกูเชื่อแบบนั้น’
‘กูก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน’
เวลาหนึ่งปีที่ได้สนิทสนมกันพิสูจน์ให้ผมเห็น แม้นั่นจะเป็นเสี้ยวเล็กๆ ที่ผมได้รู้จัก แต่ก็เป็นเสี้ยวเล็กๆ ที่แสดงถึงตัวตนเปิดกว้างของผู้ชายคนนี้ แล้วเวลาแปดปีที่ผ่าน เสี้ยวเล็กๆ ที่เปิดกว้างอยู่แล้วนั้นจะไม่กลายเป็นประตูที่พร้อมเปิดรับทุกสิ่งเลยอย่างนั้นเหรอ
เราพูดคุยกันถึงเรื่องอดีตอีกนิดหน่อยเพลินมันก็ขอตัวไปนอน เป็นผู้ชายอนามัยที่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่นอนเกินเที่ยงคืนเด็ดขาด มันบอกว่าต้องหัดแบ่งเวลาเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เดี๋ยวแก่ตัวไปร่างกายจะแย่เอา เพราะฉะนั้นผมเองก็ต้องรีบนอนเหมือนกัน
ออกจากหน้าจอแชตของเพลินกดเข้าหน้าจอแชตของคนที่เพิ่งกลายเป็นบทสนทนาของผมกับเพื่อนรักเมื่อครู่ ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะส่งไปดีมั้ย พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายรอบจนสุดท้ายเลือกที่จะส่งสติกเกอร์รูปคนนอนหลับไปแทน
ฝันดีนะคุณรักแรก
พร้อมกับบอกคำนี้ในใจ
tbc
ความคิดเห็น