ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อยากจีบให้ติด...คุณรักครั้งแรก

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 จะจีบคุณรักแรกแล้วนะ

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 63


    ตอนที่ 2

    จะจีบคุณรักแรกแล้วนะ

     

                    วันที่สองกับการเรียนขับรถ

    วันนี้ผมมาก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ตื่นเต้นอยากเจอคุณครูก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกเหตุผลเป็นเพราะคนมาส่งต้องรีบไปทำธุระ ถ้ามาช้ากว่านี้จะไม่ทันการเอา แถมยังบ่นทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า 'เห็นประโยชน์ของการขับรถหรือยัง' ก่อนจากไป ทั้งที่ปัญหามันอยู่ที่ขนส่งสาธารณะของประเทศห่วยแตกมากกว่า ถ้าขนส่งดีและทั่วถึงผมก็ไม่จำเป็นต้องขับรถเป็นเสียหน่อย

                    จริงมั้ย

                    เข้ามานั่งรอในออฟฟิศก็เจอเพื่อนที่เรียนชั่วโมงเดียวกันนั่งรออยู่แล้ว เรายิ้มให้กันแต่ไม่ได้พูดคุย ต่างคนต่างหยิบมือถือขึ้นมาเล่น จนกระทั่งใกล้บ่ายสามโมงนักเรียนของชั่วโมงก่อนก็ทยอยกลับเข้ามา รวมถึงคุณครูของผมด้วย

                    “รอแป๊บนึงนะคุณปลาทอง”

                    “อืม”

                    ผมพยักหน้ารับรอยยิ้มนั้นที่ทำให้ใจสั่นไหว ไม่อยากจะบอกเลยว่าเมื่อคืนแอบฝันถึงเรื่องเก่าๆ ของเราสมัยเรียน ตอนที่ได้นั่งข้างกัน ตอนที่คุณรักแรกช่วยสอนวิชาเลขข้อที่ผมไม่เข้าใจ ส่วนผมก็ช่วยเขาทำงานวิชาสังคมจนโดนอาจารย์จับได้แถมยังโดนว่ากลางห้องเรียนด้วย ถ้าเป็นคู่นักเรียนชายหญิงเพื่อนต้องคิดว่าแอบกิ๊กกันอยู่แน่ๆ แต่เพราะเป็นผู้ชายที่นั่งข้างกันเลยรอดตัวไป แม้ตอนนั้นผมจะมีใจให้เขาแล้วก็ตาม

                    นั่งรอไม่นานครูใหม่ก็กวักมือเรียกผมไปสแกนนิ้ว จากนั้นเขาก็ยื่นกุญแจรถให้พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้เห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง

                    “คุณปลาทองไปสตาร์ตรถรอเลยนะ เดี๋ยวผมตามไป”

                    เอาแต่เรียกว่า ‘คุณปลาทอง’ จนคนอื่นเข้าใจชื่อผมผิดไปหมดแล้วมั้ง แต่ถามว่าคิดจะแก้ไหม บอกเลยว่าไม่ แบบนี้แหละมันดูพิเศษดี

                    รับกุญแจมาแล้วผมก็เดินไปหารถฝึกซ้อมที่จอดอยู่ในลาน จำได้แม่นเพราะมีคันเดียวที่เป็นกระบะ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วตั้งสติ ทบทวนบทเรียนของเมื่อวานจากนั้นก็สตาร์ทรถ พอเครื่องยนต์ติดก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เปิดแอร์รอคุณครูมาสอนบทเรียนใหม่ ตื่นเต้นที่จะได้อยู่ข้างๆ คุณครูมากกว่าต้องขับรถเสียอีก

                    ปล่อยให้ผมนั่งใจเต้นอยู่ในรถคนเดียวไม่นานนักครูใหม่ก็ตามมา เปิดประตูเข้ามานั่งได้ก็ยิ้มแฉ่ง หยิบเอกสารนู่นนี่มาเขียนพร้อมทั้งชมลูกศิษย์คนเก่งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยจนตัวลอย

                    “จำที่สอนไปเมื่อวานได้หมดเลยนะเนี่ย เก่งมาก”

                    “ชมเหมือนสอนเด็กเลย”

                    “กับคนที่ไม่เคยจับรถมาก่อนแบบคุณน่ะเก่งมากแล้ว ดีนะที่ไม่ความจำสั้นเหมือนปลาทอง”

                    “เอ้า หลอกด่า”

                    “หยอกเล่น อย่าซีเรียสนะ ถ้าไม่โอเคตรงไหนบอกผมได้”

                    “ได้ครับคุณครู”

                    ผมยิ้มให้แล้วก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี อยู่ๆ เขาก็ปรับเป็นโหมดจริงจัง ลักษณะการพูดไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก ทำเอานึกถึงหน้านิ่งๆ กับสายตาดุๆ ที่คอยพูดกับผมตลอดว่า ‘ใครแกล้งคุณปลาทองบอกผมได้นะ’ เป็นเพื่อนที่คอยผดุงความยุติธรรมให้ตลอดเพราะผมเป็นพวกไม่สู้คนเลยชอบถูกเพื่อนแกล้งแหย่เล่นเอาสนุก

                    พอนึกถึงวันเก่าๆ แล้วชวนให้ยิ้มไม่หุบทุกที

                    “วันนี้พร้อมลุยแล้วใช่มั้ย”

                    อาจเป็นเพราะความสดใสของผมเป็นเหตุคุณครูถึงได้ถามประโยคนี้ออกมา บอกเลยว่าผมพร้อมมาก แค่ได้อยู่ข้างๆ คุณรักแรกก็พร้อมจะพุ่งชนทุกสิ่ง เตรียมเงินไว้จ่ายค่าต้นไม้กับซ่อมรถแล้ว

                    “พร้อม”

                    “โอเค งั้นวันนี้เราจะออกไปวิ่งถนนข้างโรงเรียนกัน”

                    “ฮะ”

                    “ตรงนั้นไง ไปเลย” ครูใหม่ชี้ให้ผมดูซอยข้างโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมานักเพราะมันถูกขนาบข้างด้วยทุ่งนา

                    “จะดีเหรอ”

                    “มีเราอยู่ไม่ต้องกลัว”

                    แค่ประโยคเดียวกำลังใจผมก็พุ่งขึ้นเต็มหลอด เหยียบคลัตช์เข้าเกียร์แล้วเดินหน้า เลี้ยวขวาออกจากประตูโรงเรียนได้แบบไม่มีอะไรมากั้นและไร้ซึ่งความกลัว พลังแห่งรักนี่น่ากลัวจริงๆ

                    แต่...

                    “เบาๆๆ”

                    คุณครูต้องแตะเบรกให้เพราะความรักมันบังตาทำให้ผมลืมมองเสาไฟที่อยู่ซ้ายมือ ทำเอาใจเต้นตุบๆ เพราะเงินที่เตรียมมามีไม่พอค่าตั้งเสาไฟใหม่

                    “ตกใจหมดเลย”

                    “ใจเย็นๆ หมุนขวาอีกหน่อย ทีนี้คืนพวงมาลัย ดูหน้ารถให้ตรงแล้วเหยียบคันเร่งเลย”

                    ตลอดเวลาที่ฝึกในสนามผมไม่ได้ใช้คันเร่งเลย แค่เข้าเกียร์หนึ่งแล้วปล่อยให้รถไหลไปเรื่อยๆ พอได้เหยียบคันเร่งแล้วรู้สึกว่ารถเบาขึ้นเยอะ

                    “ทีนี้เหยียบคลัตช์แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์สอง ค่อยๆ ปล่อยคลัตช์แล้วเหยียบคันเร่งต่อเลย”

                    ผมทำตามที่คุณครูบอกทุกขั้นตอน แต่ตาชอบมองคันโยกระหว่างเปลี่ยนเกียร์จนครูใหม่ต้องคอยประคองพวงมาลัยให้ตลอด

                    “คุณต้องไปฝึกเปลี่ยนเกียร์โดยไม่มองนะ ตาต้องคอยดูหน้ารถไว้ ประคองพวงมาลัยดีๆ ไม่งั้นชนแน่”

                    “ครับ”

                    ได้ยินเสียงขำเบาๆ ตอนผมตอบรับ เห็นเป็นคุณครูไงเลยเผลอพูดเพราะใส่ แต่ปกติผมกับเขาไม่ค่อยได้พูดจาหยาบคายใส่กันอยู่แล้ว เพราะไม่ได้สนิทกันมาตั้งแต่แรกพอถูกจับมานั่งด้วยกันเลยเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย แต่หลังจากเราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นก็ไม่เคยพูดหยาบใส่กันอยู่ดี ครั้งหนึ่งคุณรักแรกหลุดอุทานคำหยาบใส่ผมแล้วก็รีบขอโทษ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ควรเก็บมาใส่ใจเลยสักนิด นี่จึงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมตกหลุมรักเขา

                    ผมพยายามตั้งสมาธิกับทางข้างหน้าไม่คิดว่อกแว่กถึงเรื่องอดีตของคนข้างๆ ที่ชวนให้เคลิ้มฝัน ผ่อนคันเร่งเมื่อถึงทางโค้ง วนรถกลับไปกลับมาจนหมดชั่วโมงแรกก็วนกลับเข้าโรงเรียนเอารถไปจอดแล้วพักเบรกกันก่อน

                    “คุมรถเก่งขึ้นเยอะเลยนะ”

                    คุณครูก็ชมเก่งชมเกินเลเวลเหมือนกัน เมื่อกี้เกือบเสยถังขยะเลยนะ

                    “พอรถเร็วแล้วเหมือนพวงมาลัยมันเบาขึ้นเลย”

                    “ใช่ เวลารถอยู่ในความเร็วหักพวงมาลัยนิดเดียวมันก็ไปแล้ว”

                    เรานั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าออฟฟิศระหว่างพัก เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียวก็จะหมดเวลาของเราในวันนี้ สองชั่วโมงช่างเป็นเวลาที่แสนสั้น หรือเพราะผมกำลังมีความสุขจังหวะชีวิตจึงเหมือนถูกเร่งให้เร็วขึ้น คิดแล้วก็อยากจะลงเรียนต่ออีกสักสิบชั่วโมง

                    “ไปต่อเลยมั้ย”

                    “อื้ม”

                    ชั่วโมงหลังเป็นการฝึกท่าสอบอีกสองท่า มีจอดเทียบฟุตพาทกับถอยหลังเข้าซอง ซึ่งผมบอกเลยว่าถ้าจอดเทียบฟุตพาทนั้นคือศัตรูตัวฉกาจ ฝึกอยู่ครึ่งชั่วโมงทำสำเร็จโดยที่คุณครูไม่ต้องคอยให้คำแนะนำแค่รอบเดียว ถึงอย่างนั้นครูใหม่ก็ดูไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก

                    “ไม่ต้องเครียด”

                    แต่ผมเครียดไปแล้วครับคุณครู

                    ความรู้สึกเศร้าสร้อยเมื่อต้องลาจากหลังจบชั่วโมงเรียนเกิดขึ้นอีกครั้ง เราบอกลากันและผมเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อนเช่นเดียวกับเมื่อวาน แล้วก็มายืนเคว้งคว้างนึกโมโหตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมไม่พูดอะไรออกไปสักอย่างทั้งที่ความรู้สึกที่มีตอนนี้เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วแท้ๆ

                    ชอบเขาอีกครั้งแล้วขนาดนี้จะไม่ทำอะไรเลยหรือไง

                    ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดีคุณรักแรกก็เดินออกมา ในหัวผมกำลังประมวลคำถาม จะรั้งให้อยู่ด้วยกันยังไงดีให้อีกฝ่ายยอมตกลง

                    “ใหม่กลับบ้านเลยเหรอ”

                    “ใช่”

                    “รีบมั้ยอ่ะ ไปเดินเล่นตลาดกันมั้ย” ใจเต้นตูมตามตั้งแต่เปล่งพยางค์แรก ลุ้นตัวโก่งแต่ต้องทำเป็นยิ้มไว้และเตรียมตัวเตรียมใจตั้งรับคำปฏิเสธ

                    แต่คุณรักแรกไม่เคยใจร้ายกับผมเลยสักครั้ง

                    “ไปดิ”

                    เยส! กรีดร้องอยู่ในใจ ส่วนการแสดงออกทางสีหน้านั้นต้องนิ่งเอาไว้ก่อน

                    “วันนี้พี่สาวไม่มารับเหรอ”

                    “ยังไม่ได้โทรอ่ะ ลองชวนใหม่ก่อน ถ้าใหม่ไม่ว่างค่อยโทรให้มารับ”

                    “งั้นเดี๋ยวกลับจากตลาดผมพาไปส่งบ้านเลยก็ได้”

                    เคยเห็นเวลาคนต้องกลั้นยิ้มสุดกำลังมั้ย ตอนนี้ผมกำลังเป็นแบบนั้น ต้องแอบหันหนีไปแป๊บหนึ่ง ผ่อนลมหายใจเข้าออกและพยายามบังคับริมฝีปากไม่ให้ยิ้มกว้างจนเกินไปเดี๋ยวจะถูกสงสัยเอา

                    “ไปกัน”

                    รถครูใหม่จอดอยู่ข้างรถที่ผมใช้ฝึกขับพอดี ฮอนด้าซีวิคสีดำที่ดูเหมือนจะไม่ได้ผ่านการล้างมานาน เจ้าของรถยิ้มแหยบอกไม่ค่อยมีเวลาเพราะต้องสอนหกวัน วันหยุดหนึ่งเดียวที่มีเลยเอาไว้นอน

                    อยู่ในรถกันสองต่อสองมาเป็นชั่วโมงแต่พอได้สลับตำแหน่งมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถในรถคุณรักแรกก็ทำเอาจินตนาการพรั่งพรู เขินจนหน้าร้อนนึกไปถึงอนาคตว่าถ้าได้นั่งตรงนี้ในอีกสถานะหนึ่งจะเป็นยังไง แต่ต้องรีบเบรกความคิดตัวเองเอาไว้เพราะแม้กระทั่งบอกออกไปว่าชอบยังไม่กล้าเลย

                    “เป็นคนนั่งสบายใจกว่าอีก” ผมบอกเมื่อรถออกตัว

                    “รอขับเป็นก่อนเดี๋ยวก็สบายใจเอง”

                    หันมายิ้ม มองถนน แล้วหมุนพวงมาลัย คนที่ขับรถได้ดูมีความสามารถและเพิ่มความเท่ได้ในระดับหนึ่ง ผมเองก็อยากเท่ได้แบบคุณรักแรกเหมือนกัน เขาทำให้ดูเหมือนว่าการควบคุมเครื่องจักรขนาดใหญ่นี้เป็นเรื่องง่าย มือที่จับพวงมาลัยกับเข้าเกียร์ เท้าที่คอยเหยียบคันเร่งและเบรก ไหนจะต้องคอยเปิดไฟนู่นนี่ที่ผมยังตื่นตูมกับมันอยู่ ฉะนั้นผมจึงมักชื่นชมทุกคนที่ทำในสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ แม้เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการขับรถก็ตาม

                    “ใหม่เก่งเนอะ”

                    “หืม เก่งอะไร”

                    “ขับรถเก่ง”

                    “ขับไม่เก่งเป็นครูไม่ได้นะ”

                    “เท่ด้วย”

                    “ชมเอาอะไร”

                    “ชมจากใจ” ด้วยความชื่นชมและนึกรัก

                    “เดี๋ยวคุณก็เก่ง”

                    “แต่ฝึกแค่สิบชั่วโมงไม่น่าจะขับได้”

                    “จบแล้วก็ต้องฝึกเองเรื่อยๆ”

                    “ไม่มีคนดูให้อ่ะดิ”

                    เรื่องจริงไม่จ้อจี้ที่ว่าไม่มีคนดูให้เพราะทุกคนที่บ้านผมวันๆ ห่วงแต่ปลาทองในบ่อ จะมีเวลาหน่อยก็ช่วงตะวันตกดินที่ไม่น่าจะเหมาะกับการฝึกขับรถสำหรับมือใหม่อย่างผม

                    “แต่ถ้ามีปัญหาโทรมาที่โรงเรียนได้ตลอดนะ”

                    “อืม” พยักหน้าตอบทำเป็นซึมนิดหน่อย คุณรักแรกจะสังเกตได้ไหมว่าผมกำลังพยายามหลอกล่อเขาให้ก้าวเข้ามาในชีวิตของผมอยู่

                    ช่วยตอบว่า ‘เดี๋ยวผมสอนนอกรอบให้ก็ได้ทีเถอะ’

                    “ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น ถ้ามีปัญหาโทรหาได้ แบบถอยรถเข้าบ้านไม่ได้อะไรแบบนี้”

                    “จะมาให้เหรอ”

                    “ถ้าว่างนะ”

                    มีความหวังขึ้นมานิดหน่อยแม้ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นก็ตาม ถ้าผมถอยรถเข้าบ้านไม่ได้คงโดนพี่เพนนีไล่ลงแล้วขึ้นมาขับเอง ซึ่งตรงนี้นับว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เพราะสิ่งที่ผมกลัวคือการขับออกถนนใหญ่เส้นทางไกลๆ คนเดียวมากกว่า

                    แต่ไหนๆ โอกาสก็มาแล้วทั้งที

                    “งั้นขอเบอร์ไว้หน่อยดิ”

                    “เมมนะ”

                    หยิบมือถือขึ้นมาอย่างไม่รอช้า จิ้มตัวเลขตามที่อีกคนบอกแล้วบันทึกชื่อไว้ว่า ‘คุณรักแรก’ ต้องป้องหน้าจอทำตัวเอียงๆ บังไว้ไม่ให้คนที่ขับรถอยู่เหล่มาเห็น ไม่อย่างนั้นคงโป๊ะแตกตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มจีบ

                    ผมบอกไปหรือยังนะว่าตัดสินใจจะจีบคุณรักแรกแล้ว

                    รถเคลื่อนไปตามความคล่องตัวของการจราจรบนท้องถนน ตลาดที่ชวนไปอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก เปิดขายทุกวันตั้งแต่บ่ายสามจนถึงสองทุ่ม ผมแวะมาที่นี่บ่อยๆ โดยการปั่นจักรยานเพราะเป็นยานพาหนะเดียวที่ผมขี่ได้ อีกอย่างฟาร์มปลาทองมั่งมีทรัพย์ไม่ได้อยู่ห่างจากตลาดมากนัก เลยไปนิดหน่อยเข้าซอยประมาณห้าร้อยเมตรก็ถึง

                    มือถือผมแผดเสียงร้องทันทีเมื่อรถจอดสนิท พี่เพนนีโทรมา คงสงสัยว่าทำไมผมไม่โทรหาสักทีทั้งที่เลยเวลาเลิกเรียนมาได้สักพักแล้ว ผมเองก็ลืมแม้กระทั่งทักไลน์ไปบอก

                    [ยังไม่เลิกเรียนอีกเหรอ]

                    กดรับระหว่างก้าวลงรถเสียงพี่สาวก็ดังมาก่อนผมจะพูดทักทายออกไปเสียอีก

                    “เลิกแล้วอยู่ตลาด”

                    [เอ้า มาได้ไง]

                    “ก็นั่งรถมาไง”

                    [ขึ้นสองแถวมาเหรอ]

                    แถวบ้านผมมีรถสาธารณะสายเดียวคือสองแถวสีแดงที่นานๆ จะมาสักคัน

                    “เปล่า มากับเพื่อน”

                    [เพื่อนที่ไหน]

                    แล้วพี่เพนนีจะมาซักไซ้อะไรผมตอนนี้ก็ไม่รู้

                    “เพื่อนสมัยม.ต้น พอดีเขาเป็นครูสอนขับรถปอนด์อ่ะ”

                    [ไม่เห็นเล่าให้ฟัง เออเนี่ยพี่อยู่ตลาดพอดี]

                    “ฮะ”

                    [แม่ให้มาซื้อของก็เลยมาเดินเล่นรอแกไง อยู่ตรงไหนเดี๋ยวพี่เดินไปหา]

                    ทำไมทุกอย่างต้องเหมาะเจาะขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ คุณรักแรกก็ยืนรอผมคุยโทรศัพท์ ถ้าพี่เพนนีโผล่มาตอนนี้ละก็เขาต้องขอแยกตัวออกไปก่อนแน่ๆ แต่ผมเป็นคนชวนเขามาเดินเล่นด้วยกันจะให้ทิ้งไปง่ายๆ ได้ไง

                    “ปอนด์จะเดินกับเพื่อนก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวโทรหาแล้วนะ”

                    [เคๆ]

                    ขอบคุณที่ยอมกันง่ายๆ นะพี่สาว

                    ตกลงกันได้ผมก็วางสาย เสียใจนิดหน่อยที่วันนี้คุณรักแรกจะไม่ได้ไปส่งที่บ้านแล้ว

                    “พี่สาวเราอยู่ตลาดนี่แหละ ใหม่ไม่ต้องไปส่งเราแล้วนะ”

                    “อ๋อ โอเค”

                    เราใช้เวลาเดินเล่นด้วยกันไม่นานเพราะตลาดที่นี่ไม่ได้ใหญ่มาก ผมแนะนำให้เขาซื้อเห็ดเข็มทองทอด ร้านที่คิวยาวที่สุดในตลาดและเป็นร้านโปรดของผม แต่พอถึงคิวกลายเป็นว่าเห็ดเข็มทองหมดพอดีเพราะเป็นเมนูใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม แต่ละคนซื้อทีละสามสี่ถุงเหมือนซื้อเผื่อไว้กินสามสี่วันเราเลยได้ซื้อหนังไก่ทอดเป็นการปลอบใจ

                    ช่างไม่มีดวงเลยจริงๆ

                    “เป็นร้านที่แปลกดีเนอะ ขายเห็ดกับหนังไก่” คุณรักแรกว่า กินหนังไก่ไปพลางระหว่างเดินกลับไปที่รถ ในมือถือขนมอีกสองสามอย่างที่บอกว่าซื้อกลับไปฝากที่บ้าน

                    “ไว้วันหลังมาแก้ตัว”

                    “พรุ่งนี้มั้ย เห็นแล้วอยากลองกิน หนังไก่เขาก็อร่อยดี”

                    “เอาดิ” ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด ผมแค่ลองถามหว่านไปเผื่อจะชวนมาด้วยกันได้อีกแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

                    เดินกลับมาถึงรถก็ต้องโบกมือลา เขาบอกผมว่า ‘เจอกันพรุ่งนี้’ ก่อนจะขับรถออกไปพร้อมกับเคี้ยวหนังไก่ตุ้ยๆ อยู่ในปาก

                    เจอกันพรุ่งนี้ครับคุณรักแรก

     

    tbc

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×