คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 ท้องฟ้า สายรุ้ง และมดลี่
ตอนที่ 2
ท้องฟ้า สายรุ้ง และมดลี่
“ลี่”
“บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่ลี่”
ผมรู้ตัวว่ากำลังสะลึมสะลือ เสียงที่คุ้นเคยกับการเรียกชื่อแบบห้วนๆ ปลุกผมให้ตื่นแต่ยังไม่อาจลืมตาได้
“ตื่นเร็ว”
พลิกตัวหนีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเมื่อเสียงนั้นดังใกล้หูกว่าเดิม วันนี้วันหยุด อุตส่าห์ได้กลับมานอนบ้านทั้งทีก็อยากจะตื่นเที่ยงตื่นบ่ายกับเขาบ้าง เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง เหตุเพราะน้องเรนนี่สุดรักโทรมาชวนให้เล่นเกมด้วยกันยิกๆ ยื่นคำขาดไปไม่เกินเที่ยงคืนสุดท้ายเตลิดกู่ไม่กลับกันทั้งคู่
“ไปตลาดกัน”
“ไม่ไป”
“เร็ว เดี๋ยวเขาเก็บร้านกันหมด”
ตลาดที่ว่าชื่อสายหยุด เริ่มตั้งตอนตีห้าเริ่มเก็บร้านตอนสิบโมงเช้า นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมมันถึงชื่อนี่มา เพราะถ้าไปสายเขาก็หนีกลับบ้านกันหมดแล้ว
“ลี่”
อีกแล้ว เรียกชื่อห้วนๆ อีกแล้ว
“เรียกพี่ลี่”
“พี่ลี่ครับ”
สารภาพก่อนว่าหลังจากที่ถูกรบกวนการนอนมาสักพักผมก็ได้ตื่นเต็มตาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอไอ้เด็กน่ารักหยุดดื้อก็พร้อมจะดีดตัวออกจากที่นอน สะบัดผ้าห่มพลิกตัวกลับไปหาแล้วก็ต้องผงะเมื่อพบสายตาลูกหมาอ้อนของเด็กตัวเขื่อง
รู้ว่าทำยังไงผมจะใจอ่อนก็เอาใหญ่เลย
เรนนี่นั่งบนพื้นเอาคางเกยขอบที่นอนมองผมตาแป๋ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กคนนี้อายุครบยี่สิบปีแล้วแถมยังสูงตั้งร้อยแปดสิบเซนต์อีกต่างหาก แต่ในสายตาผมยังไงน้องชายคนนี้ก็ยังน่ารักตัวเล็กเท่า...
เท่าอะไรไม่รู้ ตอนนี้เช้าเกินไปยังคิดไม่ออกขอแปะไว้ก่อนแล้วกัน
“จะแปดโมงแล้วอ่ะ เรนอยากกินหมูทอดเจียงฮายเดี๋ยวหมดก่อน”
เหมือนโดนคอมโบความน่ารักโจมตี ใช้เสียงสองสามสี่ห้าแบบหนุ่มเหนือกับสายตาบ๊องแบ๊วที่นานๆ ทีจะได้เห็นสักครั้ง แต่เพื่อหมูทอดเจียงฮายแสนอร่อยเรนนี่ให้พี่มากกว่านี้ได้มั้ยคร้าบ
“มอร์นิ่งคิสก่อน”
“เยอะไปแล้วพี่ลี่ ฟันยังไม่แปรงเลย”
“โอเค รอเลย อาบน้ำแป๊บเดียว รอให้พี่จุ๊บๆ ได้เลย”
ผมถีบผ้าห่มส่วนที่ยังคลุมขาออกแล้วลุกพรวดเดินเข้าห้องน้ำ วันนี้ไม่เกิดอาการหน้ามืดแม้จะนอนน้อย พอปิดประตูห้องน้ำก็ได้ยินเรนนี่ตะโกนตามหลังมาว่า ‘ไม่ให้จูบหรอก’ เลยได้แต่ทำเป็นฮึดฮัดอยู่คนเดียวตอนบีบยาสีฟันใส่แปรง
Morning Kiss อะไรเล่าผมก็แค่แกล้งเด็กมันไปอย่างนั้นแหละ จูบของเรนนี่น่ะเก็บไว้ให้แฟนเถอะ พี่ชายคนนี้ขอแค่หอมแก้มนุ่มๆ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอนก็พอ
ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีกับการอาบน้ำแต่งตัว เดินควงกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ลงมาจากชั้นสองเพราะกลัวพาเรนนี่ไปซื้อหมูทอดเจียงฮายไม่ทัน ส่วนคนมาปลุกน่ะเหรอแม่ผมบอกว่าหนีกลับบ้านตัวเองไปแล้ว แถมยังฝากบอกด้วยว่าเตรียมตัวเสร็จเมื่อไรให้ไปตามที่บ้านอีกต่างหาก
ชักงงแล้วว่าสรุปใครขอร้องใครกันแน่
จูงมอเตอร์ไซค์ออกมาจอดรอหน้าบ้านก่อนเดินไปเกาะรั้วบ้านข้างๆ ยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกเรนนี่ก็ออกมาหา สกายที่ยังอยู่ในชุดนอนหน้ามันเยิ้มเดินตามออกมาพร้อมกับสั่งเป็นคุณนายว่าห้ามลืมซื้อไอ้นั่นไอ้นี่มาให้
“ถ้าจะสั่งเยอะขนาดนี้ไปด้วยกันเลยมั้ย”
“ดูสภาพกูด้วย”
ผมเมินหน้าหนี เห็นจนเบื่อไม่แล้วสภาพนี้ของมัน
เรนนี่ผู้น่ารักและเย็นชาเป็นบางครั้งดูไม่ได้สนใจการพูดคุยที่ไม่ได้สาระของพี่ๆ นัก เปิดประตูรั้วไม้เตี้ยๆ ออกมายืนข้างกันพร้อมหมวกกันน็อกในมือ
“ขับมั้ย” ผมยื่นกุญแจรถให้ ปกติไปตลาดด้วยกันเมื่อไรเรนนี่จะขอขับเองตลอด
“ไม่อ่ะ พี่ลี่ขับเลย” แต่วันนี้กลับมาแปลก
เรนนี่ว่ายังไงก็ว่าตามกัน พี่สายสปอยล์อย่างผมไม่ขัดใจน้องชายอยู่แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องไม่ดี
สกายเดินหนีเข้าบ้านไปนอนต่อแล้วระหว่างที่เราคุยกัน ผมโคลงหัวชวนไปขึ้นรถ สวมหมวกกันน็อกวาดขาขึ้นคร่อมฮอนด้าซูเปอร์คับสีขาวแสนคลาสสิก มีผู้โดยสารเป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยที่นั่งซ้อนท้ายแล้วหัวสูงเลยคนขับไปอีก
รถออกตัวยังไม่ทันเพิ่มความเร็วมากนักเอวผมก็ถูกรวบกอด สร้างความฉงนสงสัยว่าเหตุใดน้องเรนนี่ที่แต่ก่อนไม่เคยคิดจะกอดเอวผมถึงได้ทำแบบนี้ จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ ฉะนั้นคิดได้อย่างเดียวว่าน้องรักพี่ชายมากเลยอยากกอดก็แค่นั้น
ต้องใช่แน่ๆ
คิดแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว ผมจะปิดปากเงียบไม่ทักไม่แซวเดี๋ยวน้องมันเปลี่ยนใจ นานๆ ทีจะเด็กปากหนักชอบทำตัวซึนๆ คนนี้จะยอมทำตัวน่ารักโดยไม่ต้องบังคับ แต่จะให้ว่ากันตามจริงเรนนี่ก็น่ารักทุกการกระทำอยู่แล้วนั่นแหละ
อ้อมแขนคล้ายออกเมื่อมาถึงตลาดโดยสวัสดิภาพ เราตรงไปที่ร้านหมูทอดเจียงฮายเป็นอันดับแรก มาทันกระทะสุดท้ายที่เพิ่งทอดเสร็จอย่างฉิวเฉียด สั่งมาสามชุดเผื่อสกายมันด้วย เสร็จแล้วก็ต้องไปซื้อของกินให้มันต่ออีก ฝากซื้อเหมือนจะเก็บตัวอยู่บ้านสักหนึ่งสัปดาห์
พูดถึงสกายแล้วผมก็อิจฉามันเหมือนกันที่ได้ทำงานอยู่บ้านไม่ต้องเทียวตะลอนไปกลับที่ทำงาน แม้มันจะชอบมาหาผมบ่อยๆ เพราะขี้เกียจอยู่บ้านก็เถอะ เราสามคนรวมเรนนี่ที่กำลังเรียนปีสามเรียนสถาปัตย์มหา’ ลัยเดียวกัน ผมทำงานเป็นนักออกแบบแสงหรือ Lighting Designer หลังเรียนจบผมเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้ ส่วนสกายพอเรียนจบทำงานประจำได้ปีกว่าก็ออกมาเป็นฟรีแลนซ์สร้างงานศิลปะขาย รับจ้างวาดรูปบ้าง เพ้นท์แก้วหรือจานกระเบื้องก็มี เรียกได้ว่ามีงานอะไรให้ก็ทำหมด หรือถ้าสนใจอะไรใหม่ๆ มันก็ไปขวนขวายมาทำจนได้เช่นกัน
เป็นมนุษย์ที่น่าทึ่งคนหนึ่งเลย
“ไม่ซื้อไอ้นี่เหรอ”
ผมมองตามมือที่ชี้ไปยัง ‘ไอ้นี่’ ของน้องชายสุดที่รัก มันคือขนมผิงละลายติดเพดานปากที่ผมชอบซื้อกินบ่อยๆ ส่วนวันนี้ลืมสนิทไม่ได้อยู่ในลิสต์ความอยาก แต่เล่นทักจนแม่ค้ายิ้มให้ขนาดนี้จะไม่ซื้อก็ไม่ได้อีก
“เขาเรียกขนมผิง”
“ขนมผิง” ไอ้เด็กน่ารักพูดตาม ยิ้มร้ายกาจเหมือนรู้ว่าผมไม่อยากกินแต่ต้องซื้อเพราะเกรงใจแม่ค้าแน่ๆ
“เอาหนึ่งถุงครับ”
ผมแยกเขี้ยวใส่หลังจากเดินผ่านร้านขนมไทยมา อยากเอาถุงขนมพาดเด็กแถวนี้จริงๆ
“ช่วยกินด้วย”
“ถุงนิดเดียวเอง”
“ทีหลังถามทัก”
เรนนี่ไม่ยอมรับปาก หยิบหมูทอดขึ้นมากินเดินลอยหน้าลอยตา หมั่นไส้อยากจะยกมือฟาดแต่ไอ้เด็กน่ารักยื่นหมูทอดป้อนเข้าปากให้เสียก่อน
เป็นแบบนี้ใครจะตีลง
เดินมาจนเกือบสุดเขตตลาดผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนสมัยเรียนมัธยมขายของอยู่ที่นี่ก็ตอนเห็นมันในระยะสายตา เดินรีบก้าวตรงดิ่งเข้าไปหาสั่งปาท่องโก๋กับซาลาเปาอย่างละสิบบาทเป็นการอุดหนุนเพื่อน
“ไม่เจอนาน เป็นไงบ้างวะ” ไอ้ปองถามขณะคีบของที่สั่งใส่ถุงให้ ผมกับมันเรียนด้วยกันตอนม.ปลาย แม้ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันก็เฮฮาไปด้วยกันได้อยู่
“ก็ทำงานเรื่อยๆ มึงอ่ะ”
“เหมือนเดิม วันธรรมดาทำงาน เสาร์อาทิตย์ช่วยที่บ้านขายของ เหนื่อยฉิบหาย”
ไอ้ปองคีบซาลาเปาไปบ่นไป แม่มันก็เหลือบมอง ผมก็ยกมือไหว้ฉีกยิ้มให้ จนวางที่คีบเงยหน้ายื่นถุงมาให้มันก็ทำหน้าตกใจเพราะเพิ่งเห็นเรนนี่ที่เดินตามมาทีหลัง
“น้องมึงสูงขึ้นอีกแล้วป้ะวะ”
พบประชากรอีกหนึ่งคนที่ต้องเงยหน้าคุยกับเรนนี่ ทุกครั้งที่มาตลาดผมพาน้องแวะมาที่ร้านมันประจำ แต่ครั้งล่าสุดที่มาก็สองเดือนก่อน เพราะงานเยอะจนบางสัปดาห์ก็ไม่มีเวลาบวกกับความขี้เกียจ
“แค่เดือนสองเดือนมันจะไปสูงขึ้นอะไรขนาดนั้น”
“หรือกูเตี้ยลง”
“ตลก”
“โคตรอิจฉาเลยว่ะ ทั้งสูงทั้งหล่อ”
คนโดนชมยิ้มรับ ผมเองก็ภูมิใจ แม้ในสายตาของพี่ชายคนนี้เรนนี่จะตัวเล็กน่ารักเหมือนซาลาเปาทอดหอมๆ กรอบๆ มีรสหวานนิดๆ ก็ตาม
“ขายดีมึง กูไปละ”
บอกลาก่อนเดินจากมาพร้อมถุงซาลาเปาปาท่องโก๋และแบงก์ยี่สิบที่กำไว้ในมือ กระทั่งกลับมาถึงรถผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมจ่ายเงินไอ้ปอง แล้วมันก็ดันไม่ทวงด้วย
เดี๋ยวค่อยแวะไปทักในเฟซบุ๊กแล้วโอนให้ทีหลังแล้วกัน
หากถามว่าตอนนี้ชีวิตผมมีอะไรบ้างก็คงตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่ามีแม่ งาน แล้วน้องเรนนี่สุดที่รักซึ่งสำคัญไม่แพ้ใคร แม้ในทุกช่วงชีวิตผมจะพ่วงอีสกายผู้เป็นเหมือนดั่งน้อยหน่าตัวปลอมมาด้วยตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไปที่ไหนก็มักมีมันเข้ามาร่วมวงด้วยเสมอ ตัวอย่างเช่นเวลาพักผ่อนในวันหยุดที่ผมถูกมันใช้เรนนี่หลอกล่อให้มาช่วยเพ้นท์กระถางต้นไม้ ทั้งที่ปลูกใส่กระถางปกติก็ได้แต่มันไม่ทำ
เรื่องมากจริงๆ
บ้านเราสองครอบครัวรั้วชิดมีความแตกต่างอยู่มากเรื่องของการตกแต่ง บ้านผมจะเป็นโทนครีมขาวน้ำตาลให้บรรยากาศอบอุ่น ต่างกับบ้านข้างๆ ที่เหมือนหลุดเข้ามาในสวนขนาดย่อม เฉลียงบ้านมีซุ้มไม้เลื้อย รอบบ้านประดับประดาด้วยไม้ประดับสีสวย ด้านข้างมีสนามหญ้าเล็กๆ ที่ผมกับเรนนี่มานั่งกินเค้กด้วยกันตรงชิงช้าไม้เมื่อคืน เป็นมุมหันเข้าหาบ้านผมและอยู่ตรงกับห้องนอนของผมพอดี แต่ห้องนอนที่ตรงกันบนชั้นสองดันเป็นห้องของสกายเสียได้
“แคคตัสก็ต้นแค่เนี้ย มึงจะเพ้นท์ทำไมวะ” บ่นไปงั้นแต่มือผมยังจุ่มสีระบายบนกระถางไม่หยุด เหลือบมองสกายที่ยังอยู่ในชุดนอนแม้ตอนนี้จะบ่ายคล้อยแล้วก็ตาม
“ชีวิตมึงมีความน่ารักบ้างมั้ยเนี่ย”
“เรนนี่ไงความน่ารักในชีวิตกู”
ยิ้มกว้างให้ไอ้เด็กที่ทำเป็นส่ายหน้าใส่ วาดรูปหอยทากได้น่ารักเหมือนคนวาดจริงๆ
“เบื่อจะเถียงเรื่องนี้กับมึง”
ผมก็เบื่อจะเถียงเรื่องนี้กับมันเหมือนกันนั่นแหละ ผิดตรงไหนที่ผมชอบสีขาวและอะไรง่ายๆ แค่มีน้องเรนโบว์อยู่ด้วยชีวิตผมก็เหมือนสีรุ้งแล้ว
จุ่มพู่กันปาดสีลงบนกระถางเป็นสายรุ้งเจ็ดสี ใต้สายรุ้งนั้นมีมดตัวน้อยๆ เดินอยู่ มดลี่คือความหมายของชื่อผม เอาจริงผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นมด เป็นเบอร์รี่ เชอร์รี่ หรือแบตเตอรี่ไม่ได้เหรอ พอถามแม่ก็ได้คำตอบว่ามดลี่เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อต้นไม้และระบบนิเวศมากนะ จากนั้นผมเลยไม่เซ้าซี้อยากรู้ที่มาที่ไปของชื่อตัวเองอีก
ผมหมุนกระถางใบเล็กไปมาหลังเพ้นท์เสร็จเพื่อชื่นชมความสวยงามของมัน มดตัวเล็กจ้อยใต้สายรุ้งและท้องฟ้าอันกว้างขวาง สองพี่น้องดูเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ผิดกับตัวผม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาในเมื่อเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขบ้างไม่สงบบ้าง เพราะบางเวลาท้องฟ้าก็เกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ฝนฟ้าพายุซัดโหมกระหน่ำจนน่าเหนื่อยใจ ทว่าฟ้าหลังฝนก็ยังมีสายรุ้งพาดผ่านเสมอ
ฟังดูดีชะมัด
สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจเกี่ยวกับสองพี่น้องคู่นี้คือชื่อที่เหมือนถูกตั้งสลับกัน พี่สาวชื่อสกาย ที่ผมและเพื่อนๆ เรียกกันสั้นๆ ว่ากาย ฟังดูมาดแมนแฮนด์ซัม น้องชายชื่อเรนโบว์ ผมเรียกว่าเรนนี่ฟังดูน่ารักขี้อ้อน ซึ่งจะว่าไปแล้วปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่การตั้งชื่อหรอก แต่อยู่ที่การเรียกของผมเองมากกว่า
วางกระถางใบที่เพ้นท์เสร็จเรียบร้อยแล้วหยิบใบใหม่ขึ้นมาเพ้นท์ต่อ ครั้งนี้ผมเขียนชื่อตัวเองกับเรนนี่และมีหัวใจอยู่ตรงกลาง แคคตัสที่ถูกปลูกในกระถางใบนี้ต้องเติบโตอย่างดีด้วยความรักของเราสองพี่น้อง
“ไอ้ลี่ วาดอะไรของมึงเนี่ย” สกายที่เดินอ้อมหลังมาดูผลงานของผมโวยวาย ใช้แรงงานเพื่อนแล้วยังจะเรื่องมากอีกนะมึงเนี่ย
“เอ้า ก็วาดรูป ไม่มีธีมนี่ กูจะวาดอะไรก็ได้”
“เรนนี่รักพี่ลี่เนี่ยนะ”
“ก็ความจริง” ผมหันไปขอความเห็นจากเรนนี่ แต่น้องกลับส่ายหน้าใส่
“กูละปวดหัว”
“เอาเนี่ยเสร็จพอดี จะให้ทำอะไรอีก”
กระถางถูกเพ้นท์จนครบหมดแล้ว ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนเท้าเอวรอรับคำสั่งจากเพื่อนรัก จะใช้อะไรอีกก็ว่ามาเลย
“เสร็จแล้วมึงขอบคุณมาก ที่เหลือกูจัดการเอง”
กระถางทั้งหมดถูกวางผึ่งแดดผึ่งลมไว้เพื่อรอให้สีแห้ง พักดูหนังและทานของว่างที่ซื้อมาจากตลอดเมื่อเช้า จากนั้นเราช่วยกันเก็บกระถางแคคตัสที่ยังไม่มีแคคตัสทั้งหมดใส่กล่องและยกไปไว้ในห้องเก็บของรอวันที่สกายมันจะย้ายต้นอ่อนลงกระถาง เลือกซื้อต้นที่โตแล้วมาเลี้ยงก็ไม่ได้ต้องได้ลงมือทำเองตั้งแต่เพาะเมล็ด ผมละนับถือมันจริงๆ
“เรนขอกระถางนี้นะ” ระหว่างที่กำลังทยอยเก็บใส่กล่องเรนนี่ก็ยกกระถางใบหนึ่งโชว์ให้ดู
มันถือกระถางท้องฟ้า สายรุ้ง และมดลี่
“อยากเอาไปปลูกที่คอนโด ได้มั้ย”
“ได้ดิ เดี๋ยวพี่เอาต้นอ่อนลงให้ หรือจะเอาต้นที่โตแล้ว” สกายอนุญาต รับกระถางมาถือไว้
“ต้นอ่อนก็ได้”
“เค”
พี่สาวรับคำก่อนเดินจากไปเตรียมของให้ตามที่ขอ เหลือแค่ผมกับน้องชายนั่งเก็บกระถางกันสองคน
“นึกยังไงอยากปลูกแคคตัส”
“ที่ห้องจะได้มีอะไรเขียวๆ บ้างไง”
แม้ในใจจะค้านว่าแค่แคคตัสต้นเดียวมันจะมีพื้นที่สีเขียวได้สักแค่ไหนแต่ผมจะไม่ขัด ใจอยากหาอะไรมาปลูกอยู่เหมือนกันแต่เพราะบางช่วงของการทำงานผมจะยุ่งมากจนไม่มีเวลาเหลือ ถ้าดูแลได้ไม่ดีก็ไม่อยากเอามันมาวางตั้งไว้แบบทิ้งๆ ขว้างๆ แต่ถ้าเป็นแคคตัสน่าจะพอดูแลได้อยู่
“เรนชอบกระถางที่พี่ลี่วาดนะ มันเหมาะจะเอาไปตั้งในห้องดี”
มือที่จับกระถางหยุดขยับได้สักพักแล้ว ผมมองน้องชายที่อยู่ๆ ก็พูดเรื่องซึ่งๆ ขึ้นมาอย่างภูมิใจ ไม่รู้สิ มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ใจผมกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา พอโตขึ้นก็เริ่มกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจมากขึ้นสินะ
“เรนดูแลมันได้ใช่มั้ย”
“คิดว่านะ”
“ต้องตอบว่าดูแลได้ดิ”
“พี่ลี่ก็ต้องช่วยเรนดูด้วย”
“แคคตัสมันคงดูแลไม่ยากมั้ง”
“แต่ถ้าเราทำมันตายต่อไปก็อย่าได้คิดปลูกอะไรอีกเลย”
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เราช่วยกันเก็บกระถางและยกไปไว้ในห้องเก็บของ เมื่อกลับมาที่เดิมแคคตัสในกระถางลายท้อง สายรุ้ง และมดลี่ก็วางอยู่บนโต๊ะ
ได้สมาชิกมาเพิ่มแล้วห้องที่ขาดสีเขียวของเราสองคงดูสดใสขึ้นได้บ้าง
วันจันทร์ตรวจแบบ
หลังจากให้ของขวัญวันเกิดตัวเองเป็นการเอ้อระเหยลอยชายอย่างเต็มที่เรนนี่ก็มาหาผมที่บ้านตอนสองทุ่ม อาบน้ำหอมฉุยเหมือนเตรียมมาปักหลัก แบกโน้ตบุ๊กมาพร้อมก่อนขอเปิดรถผมเพื่อหยิบแมสโมเดลที่ยัดไว้ในรถผมตั้งแต่เย็นวันศุกร์ตอนแวะไปรับที่มหา'ลัย
ผมเองก็ลืมทักน้องเรื่องงานไปเลย
"นึกว่าแก้แบบเสร็จแล้ว" บอกขณะก้าวขึ้นบันได ผมถือโน้ตบุ๊ก เรนนี่คือโมเดลกับสะพายถุงย่ามใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์
"เหลืออีกนิดหน่อย"
"ทำไมไม่ให้สกายมันช่วยอ่ะ"
"ยังจำที่เรียนมาได้อยู่เหรอคนนั้น"
"ไปว่ามัน เกียรตินิยมอันดับสองนะนั่น"
อย่างสกายถึงมันจะดูหยาบคายไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนหัวดีและขยันมาก สังเกตได้จากการที่มันหานู่นหานี่มาทำตลอด เรื่องความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่เป็นสองรองใคร สมัยเรียนก็มีมันนี่แหละที่คอยช่วยเหลือผมตลอด
"แต่พี่กายไม่ได้ทำงานด้านนี้แล้วไง ให้พี่ลี่คอยช่วยดูให้ดีกว่า"
ถึงเวลาทำงานผมก็ปล่อยให้เรนนี่ใช้สมาธิกับมันไป นี่เป็นโปรเจกต์ที่สองของวิชาดีไซน์ในเทอมหนึ่ง เหลือตรวจแบบอีกห้าครั้งก็จะถึงไฟนอล แต่โดยปกติแล้วเวลาทำงานเรนนี่ไม่ค่อยได้ขอความช่วยเหลืออะไรจากผมมากนัก ที่บอกว่า 'ให้พี่ลี่ช่วยดู' ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น
เด็กสมัยนี้ยิ่งโตยิ่งปากแข็ง คิดถึงอยากอยู่ด้วยกันก็ไม่บอกออกมาตรงๆ
ใช้เวลาไม่นานงานที่บอกว่าใกล้เสร็จก็เสร็จสิ้น ผมว่ามันต้องอยู่ที่เก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์แล้วแน่ๆ ถึงได้เร็วขนาดนี้
"นึกว่าจะได้โต้รุ่ง"
"ก็บอกแล้วไงว่าใกล้เสร็จแล้ว เรนไม่กวนพี่ลี่จนต้องนอนดึกหรอก" พูดไปก็เก็บข้าวของไป เพิ่งจะสี่ทุ่มผมไม่นอนง่ายๆ หรอก
ขามาแลดูยิ่งใหญ่จนนึกว่าจะปักหลักค้างคืน แต่พอเก็บของเสร็จแล้วก็ยังไม่ยอมเดินไปไหน ยืนทำหน้าซื่อรอให้ผมเดินไปส่งอยู่แน่ๆ
"เดี๋ยวพี่ไปส่งหน้าบ้าน"
"ไม่ต้องอ่ะ"
ปฏิเสธเร็วเสียจนผมเกือบสะดุดขาตัวเองล้ม โตแล้วนี่นะ อายุครบยี่สิบแล้ว เดินกลับบ้านเองได้
"เรนจะค้างที่นี่"
ก่อนจะเฉลยออกมา
โน้ตบุ๊กที่ปิดแล้วกับข้าวของที่ขนขึ้นมาก็ยังวางแหมะอยู่ที่เดิมทำไมผมถึงมองไม่ออกกันนะ
เด็กน้อยขาดพี่ชายคนนี้ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ พี่สาวหัวเน่าก็คือสกายนี่เอง อยากเปิดหน้าต่างไปตะโกนเรียกมันแล้วหัวเราะเยาะจริงๆ
tbc
ตอนแรกกะว่าจะตั้งชื่อตอนว่า น้องผมตัวเท่า... ทุกตอนเลยค่ะ
แต่ของตอนนี้เราชอบชื่อนี้มากกว่าเลยเปลี่ยนแล้วกัน
จะให้ น้องผมตัวเท่า... ทุกตอนก็ไม่น่ารอด กลัวคิดไม่ออก ฮ่าๆๆๆๆ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
ความคิดเห็น