ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้องผมก็ตัวแค่นี้

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 ท้องฟ้า สายรุ้ง และมดลี่

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 63


    ตอนที่ 2

    ท้องฟ้า สายรุ้ง และมดลี่

     

    “ลี่”

    “บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่ลี่”

    ผมรู้ตัวว่ากำลังสะลึมสะลือ เสียงที่คุ้นเคยกับการเรียกชื่อแบบห้วนๆ ปลุกผมให้ตื่นแต่ยังไม่อาจลืมตาได้

    “ตื่นเร็ว”

    พลิกตัวหนีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเมื่อเสียงนั้นดังใกล้หูกว่าเดิม วันนี้วันหยุด อุตส่าห์ได้กลับมานอนบ้านทั้งทีก็อยากจะตื่นเที่ยงตื่นบ่ายกับเขาบ้าง เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง เหตุเพราะน้องเรนนี่สุดรักโทรมาชวนให้เล่นเกมด้วยกันยิกๆ ยื่นคำขาดไปไม่เกินเที่ยงคืนสุดท้ายเตลิดกู่ไม่กลับกันทั้งคู่

    “ไปตลาดกัน”

    “ไม่ไป”

    “เร็ว เดี๋ยวเขาเก็บร้านกันหมด”

    ตลาดที่ว่าชื่อสายหยุด เริ่มตั้งตอนตีห้าเริ่มเก็บร้านตอนสิบโมงเช้า นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมมันถึงชื่อนี่มา เพราะถ้าไปสายเขาก็หนีกลับบ้านกันหมดแล้ว

    “ลี่”

    อีกแล้ว เรียกชื่อห้วนๆ อีกแล้ว

    “เรียกพี่ลี่”

    “พี่ลี่ครับ”

    สารภาพก่อนว่าหลังจากที่ถูกรบกวนการนอนมาสักพักผมก็ได้ตื่นเต็มตาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอไอ้เด็กน่ารักหยุดดื้อก็พร้อมจะดีดตัวออกจากที่นอน สะบัดผ้าห่มพลิกตัวกลับไปหาแล้วก็ต้องผงะเมื่อพบสายตาลูกหมาอ้อนของเด็กตัวเขื่อง

    รู้ว่าทำยังไงผมจะใจอ่อนก็เอาใหญ่เลย

    เรนนี่นั่งบนพื้นเอาคางเกยขอบที่นอนมองผมตาแป๋ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กคนนี้อายุครบยี่สิบปีแล้วแถมยังสูงตั้งร้อยแปดสิบเซนต์อีกต่างหาก แต่ในสายตาผมยังไงน้องชายคนนี้ก็ยังน่ารักตัวเล็กเท่า...

    เท่าอะไรไม่รู้ ตอนนี้เช้าเกินไปยังคิดไม่ออกขอแปะไว้ก่อนแล้วกัน

    “จะแปดโมงแล้วอ่ะ เรนอยากกินหมูทอดเจียงฮายเดี๋ยวหมดก่อน”

    เหมือนโดนคอมโบความน่ารักโจมตี ใช้เสียงสองสามสี่ห้าแบบหนุ่มเหนือกับสายตาบ๊องแบ๊วที่นานๆ ทีจะได้เห็นสักครั้ง แต่เพื่อหมูทอดเจียงฮายแสนอร่อยเรนนี่ให้พี่มากกว่านี้ได้มั้ยคร้าบ

    “มอร์นิ่งคิสก่อน”

    “เยอะไปแล้วพี่ลี่ ฟันยังไม่แปรงเลย”

    “โอเค รอเลย อาบน้ำแป๊บเดียว รอให้พี่จุ๊บๆ ได้เลย”

    ผมถีบผ้าห่มส่วนที่ยังคลุมขาออกแล้วลุกพรวดเดินเข้าห้องน้ำ วันนี้ไม่เกิดอาการหน้ามืดแม้จะนอนน้อย พอปิดประตูห้องน้ำก็ได้ยินเรนนี่ตะโกนตามหลังมาว่า ‘ไม่ให้จูบหรอก’ เลยได้แต่ทำเป็นฮึดฮัดอยู่คนเดียวตอนบีบยาสีฟันใส่แปรง

    Morning Kiss อะไรเล่าผมก็แค่แกล้งเด็กมันไปอย่างนั้นแหละ จูบของเรนนี่น่ะเก็บไว้ให้แฟนเถอะ พี่ชายคนนี้ขอแค่หอมแก้มนุ่มๆ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอนก็พอ

     

    ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีกับการอาบน้ำแต่งตัว เดินควงกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ลงมาจากชั้นสองเพราะกลัวพาเรนนี่ไปซื้อหมูทอดเจียงฮายไม่ทัน ส่วนคนมาปลุกน่ะเหรอแม่ผมบอกว่าหนีกลับบ้านตัวเองไปแล้ว แถมยังฝากบอกด้วยว่าเตรียมตัวเสร็จเมื่อไรให้ไปตามที่บ้านอีกต่างหาก

    ชักงงแล้วว่าสรุปใครขอร้องใครกันแน่

    จูงมอเตอร์ไซค์ออกมาจอดรอหน้าบ้านก่อนเดินไปเกาะรั้วบ้านข้างๆ ยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกเรนนี่ก็ออกมาหา สกายที่ยังอยู่ในชุดนอนหน้ามันเยิ้มเดินตามออกมาพร้อมกับสั่งเป็นคุณนายว่าห้ามลืมซื้อไอ้นั่นไอ้นี่มาให้

    “ถ้าจะสั่งเยอะขนาดนี้ไปด้วยกันเลยมั้ย”

    “ดูสภาพกูด้วย”

    ผมเมินหน้าหนี เห็นจนเบื่อไม่แล้วสภาพนี้ของมัน

    เรนนี่ผู้น่ารักและเย็นชาเป็นบางครั้งดูไม่ได้สนใจการพูดคุยที่ไม่ได้สาระของพี่ๆ นัก เปิดประตูรั้วไม้เตี้ยๆ ออกมายืนข้างกันพร้อมหมวกกันน็อกในมือ

    “ขับมั้ย” ผมยื่นกุญแจรถให้ ปกติไปตลาดด้วยกันเมื่อไรเรนนี่จะขอขับเองตลอด

    “ไม่อ่ะ พี่ลี่ขับเลย” แต่วันนี้กลับมาแปลก

    เรนนี่ว่ายังไงก็ว่าตามกัน พี่สายสปอยล์อย่างผมไม่ขัดใจน้องชายอยู่แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องไม่ดี

    สกายเดินหนีเข้าบ้านไปนอนต่อแล้วระหว่างที่เราคุยกัน ผมโคลงหัวชวนไปขึ้นรถ สวมหมวกกันน็อกวาดขาขึ้นคร่อมฮอนด้าซูเปอร์คับสีขาวแสนคลาสสิก มีผู้โดยสารเป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยที่นั่งซ้อนท้ายแล้วหัวสูงเลยคนขับไปอีก

    รถออกตัวยังไม่ทันเพิ่มความเร็วมากนักเอวผมก็ถูกรวบกอด สร้างความฉงนสงสัยว่าเหตุใดน้องเรนนี่ที่แต่ก่อนไม่เคยคิดจะกอดเอวผมถึงได้ทำแบบนี้ จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ ฉะนั้นคิดได้อย่างเดียวว่าน้องรักพี่ชายมากเลยอยากกอดก็แค่นั้น

    ต้องใช่แน่ๆ

    คิดแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว ผมจะปิดปากเงียบไม่ทักไม่แซวเดี๋ยวน้องมันเปลี่ยนใจ นานๆ ทีจะเด็กปากหนักชอบทำตัวซึนๆ คนนี้จะยอมทำตัวน่ารักโดยไม่ต้องบังคับ แต่จะให้ว่ากันตามจริงเรนนี่ก็น่ารักทุกการกระทำอยู่แล้วนั่นแหละ

    อ้อมแขนคล้ายออกเมื่อมาถึงตลาดโดยสวัสดิภาพ เราตรงไปที่ร้านหมูทอดเจียงฮายเป็นอันดับแรก มาทันกระทะสุดท้ายที่เพิ่งทอดเสร็จอย่างฉิวเฉียด สั่งมาสามชุดเผื่อสกายมันด้วย เสร็จแล้วก็ต้องไปซื้อของกินให้มันต่ออีก ฝากซื้อเหมือนจะเก็บตัวอยู่บ้านสักหนึ่งสัปดาห์

    พูดถึงสกายแล้วผมก็อิจฉามันเหมือนกันที่ได้ทำงานอยู่บ้านไม่ต้องเทียวตะลอนไปกลับที่ทำงาน แม้มันจะชอบมาหาผมบ่อยๆ เพราะขี้เกียจอยู่บ้านก็เถอะ เราสามคนรวมเรนนี่ที่กำลังเรียนปีสามเรียนสถาปัตย์มหา’ ลัยเดียวกัน ผมทำงานเป็นนักออกแบบแสงหรือ Lighting Designer หลังเรียนจบผมเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้ ส่วนสกายพอเรียนจบทำงานประจำได้ปีกว่าก็ออกมาเป็นฟรีแลนซ์สร้างงานศิลปะขาย รับจ้างวาดรูปบ้าง เพ้นท์แก้วหรือจานกระเบื้องก็มี เรียกได้ว่ามีงานอะไรให้ก็ทำหมด หรือถ้าสนใจอะไรใหม่ๆ มันก็ไปขวนขวายมาทำจนได้เช่นกัน

    เป็นมนุษย์ที่น่าทึ่งคนหนึ่งเลย

    “ไม่ซื้อไอ้นี่เหรอ”

    ผมมองตามมือที่ชี้ไปยัง ‘ไอ้นี่’ ของน้องชายสุดที่รัก มันคือขนมผิงละลายติดเพดานปากที่ผมชอบซื้อกินบ่อยๆ ส่วนวันนี้ลืมสนิทไม่ได้อยู่ในลิสต์ความอยาก แต่เล่นทักจนแม่ค้ายิ้มให้ขนาดนี้จะไม่ซื้อก็ไม่ได้อีก

    “เขาเรียกขนมผิง”

    “ขนมผิง” ไอ้เด็กน่ารักพูดตาม ยิ้มร้ายกาจเหมือนรู้ว่าผมไม่อยากกินแต่ต้องซื้อเพราะเกรงใจแม่ค้าแน่ๆ

    “เอาหนึ่งถุงครับ”

    ผมแยกเขี้ยวใส่หลังจากเดินผ่านร้านขนมไทยมา อยากเอาถุงขนมพาดเด็กแถวนี้จริงๆ

    “ช่วยกินด้วย”

    “ถุงนิดเดียวเอง”

    “ทีหลังถามทัก”

    เรนนี่ไม่ยอมรับปาก หยิบหมูทอดขึ้นมากินเดินลอยหน้าลอยตา หมั่นไส้อยากจะยกมือฟาดแต่ไอ้เด็กน่ารักยื่นหมูทอดป้อนเข้าปากให้เสียก่อน

    เป็นแบบนี้ใครจะตีลง

    เดินมาจนเกือบสุดเขตตลาดผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนสมัยเรียนมัธยมขายของอยู่ที่นี่ก็ตอนเห็นมันในระยะสายตา เดินรีบก้าวตรงดิ่งเข้าไปหาสั่งปาท่องโก๋กับซาลาเปาอย่างละสิบบาทเป็นการอุดหนุนเพื่อน

    “ไม่เจอนาน เป็นไงบ้างวะ” ไอ้ปองถามขณะคีบของที่สั่งใส่ถุงให้ ผมกับมันเรียนด้วยกันตอนม.ปลาย แม้ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันก็เฮฮาไปด้วยกันได้อยู่

    “ก็ทำงานเรื่อยๆ มึงอ่ะ”

    “เหมือนเดิม วันธรรมดาทำงาน เสาร์อาทิตย์ช่วยที่บ้านขายของ เหนื่อยฉิบหาย”

    ไอ้ปองคีบซาลาเปาไปบ่นไป แม่มันก็เหลือบมอง ผมก็ยกมือไหว้ฉีกยิ้มให้ จนวางที่คีบเงยหน้ายื่นถุงมาให้มันก็ทำหน้าตกใจเพราะเพิ่งเห็นเรนนี่ที่เดินตามมาทีหลัง

    “น้องมึงสูงขึ้นอีกแล้วป้ะวะ”

    พบประชากรอีกหนึ่งคนที่ต้องเงยหน้าคุยกับเรนนี่ ทุกครั้งที่มาตลาดผมพาน้องแวะมาที่ร้านมันประจำ แต่ครั้งล่าสุดที่มาก็สองเดือนก่อน เพราะงานเยอะจนบางสัปดาห์ก็ไม่มีเวลาบวกกับความขี้เกียจ

    “แค่เดือนสองเดือนมันจะไปสูงขึ้นอะไรขนาดนั้น”

    “หรือกูเตี้ยลง”

    “ตลก”

    “โคตรอิจฉาเลยว่ะ ทั้งสูงทั้งหล่อ”

    คนโดนชมยิ้มรับ ผมเองก็ภูมิใจ แม้ในสายตาของพี่ชายคนนี้เรนนี่จะตัวเล็กน่ารักเหมือนซาลาเปาทอดหอมๆ กรอบๆ มีรสหวานนิดๆ ก็ตาม

    “ขายดีมึง กูไปละ”

    บอกลาก่อนเดินจากมาพร้อมถุงซาลาเปาปาท่องโก๋และแบงก์ยี่สิบที่กำไว้ในมือ กระทั่งกลับมาถึงรถผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมจ่ายเงินไอ้ปอง แล้วมันก็ดันไม่ทวงด้วย

    เดี๋ยวค่อยแวะไปทักในเฟซบุ๊กแล้วโอนให้ทีหลังแล้วกัน

     

    หากถามว่าตอนนี้ชีวิตผมมีอะไรบ้างก็คงตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่ามีแม่ งาน แล้วน้องเรนนี่สุดที่รักซึ่งสำคัญไม่แพ้ใคร แม้ในทุกช่วงชีวิตผมจะพ่วงอีสกายผู้เป็นเหมือนดั่งน้อยหน่าตัวปลอมมาด้วยตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไปที่ไหนก็มักมีมันเข้ามาร่วมวงด้วยเสมอ ตัวอย่างเช่นเวลาพักผ่อนในวันหยุดที่ผมถูกมันใช้เรนนี่หลอกล่อให้มาช่วยเพ้นท์กระถางต้นไม้ ทั้งที่ปลูกใส่กระถางปกติก็ได้แต่มันไม่ทำ

    เรื่องมากจริงๆ

    บ้านเราสองครอบครัวรั้วชิดมีความแตกต่างอยู่มากเรื่องของการตกแต่ง บ้านผมจะเป็นโทนครีมขาวน้ำตาลให้บรรยากาศอบอุ่น ต่างกับบ้านข้างๆ ที่เหมือนหลุดเข้ามาในสวนขนาดย่อม เฉลียงบ้านมีซุ้มไม้เลื้อย รอบบ้านประดับประดาด้วยไม้ประดับสีสวย ด้านข้างมีสนามหญ้าเล็กๆ ที่ผมกับเรนนี่มานั่งกินเค้กด้วยกันตรงชิงช้าไม้เมื่อคืน เป็นมุมหันเข้าหาบ้านผมและอยู่ตรงกับห้องนอนของผมพอดี แต่ห้องนอนที่ตรงกันบนชั้นสองดันเป็นห้องของสกายเสียได้

    “แคคตัสก็ต้นแค่เนี้ย มึงจะเพ้นท์ทำไมวะ” บ่นไปงั้นแต่มือผมยังจุ่มสีระบายบนกระถางไม่หยุด เหลือบมองสกายที่ยังอยู่ในชุดนอนแม้ตอนนี้จะบ่ายคล้อยแล้วก็ตาม

    “ชีวิตมึงมีความน่ารักบ้างมั้ยเนี่ย”

    “เรนนี่ไงความน่ารักในชีวิตกู”

    ยิ้มกว้างให้ไอ้เด็กที่ทำเป็นส่ายหน้าใส่ วาดรูปหอยทากได้น่ารักเหมือนคนวาดจริงๆ

    “เบื่อจะเถียงเรื่องนี้กับมึง”

    ผมก็เบื่อจะเถียงเรื่องนี้กับมันเหมือนกันนั่นแหละ ผิดตรงไหนที่ผมชอบสีขาวและอะไรง่ายๆ แค่มีน้องเรนโบว์อยู่ด้วยชีวิตผมก็เหมือนสีรุ้งแล้ว

    จุ่มพู่กันปาดสีลงบนกระถางเป็นสายรุ้งเจ็ดสี ใต้สายรุ้งนั้นมีมดตัวน้อยๆ เดินอยู่ มดลี่คือความหมายของชื่อผม เอาจริงผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นมด เป็นเบอร์รี่ เชอร์รี่ หรือแบตเตอรี่ไม่ได้เหรอ พอถามแม่ก็ได้คำตอบว่ามดลี่เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อต้นไม้และระบบนิเวศมากนะ จากนั้นผมเลยไม่เซ้าซี้อยากรู้ที่มาที่ไปของชื่อตัวเองอีก

    ผมหมุนกระถางใบเล็กไปมาหลังเพ้นท์เสร็จเพื่อชื่นชมความสวยงามของมัน มดตัวเล็กจ้อยใต้สายรุ้งและท้องฟ้าอันกว้างขวาง สองพี่น้องดูเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ผิดกับตัวผม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาในเมื่อเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขบ้างไม่สงบบ้าง เพราะบางเวลาท้องฟ้าก็เกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ฝนฟ้าพายุซัดโหมกระหน่ำจนน่าเหนื่อยใจ ทว่าฟ้าหลังฝนก็ยังมีสายรุ้งพาดผ่านเสมอ

    ฟังดูดีชะมัด

    สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจเกี่ยวกับสองพี่น้องคู่นี้คือชื่อที่เหมือนถูกตั้งสลับกัน พี่สาวชื่อสกาย ที่ผมและเพื่อนๆ เรียกกันสั้นๆ ว่ากาย ฟังดูมาดแมนแฮนด์ซัม น้องชายชื่อเรนโบว์ ผมเรียกว่าเรนนี่ฟังดูน่ารักขี้อ้อน ซึ่งจะว่าไปแล้วปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่การตั้งชื่อหรอก แต่อยู่ที่การเรียกของผมเองมากกว่า

    วางกระถางใบที่เพ้นท์เสร็จเรียบร้อยแล้วหยิบใบใหม่ขึ้นมาเพ้นท์ต่อ ครั้งนี้ผมเขียนชื่อตัวเองกับเรนนี่และมีหัวใจอยู่ตรงกลาง แคคตัสที่ถูกปลูกในกระถางใบนี้ต้องเติบโตอย่างดีด้วยความรักของเราสองพี่น้อง

    “ไอ้ลี่ วาดอะไรของมึงเนี่ย” สกายที่เดินอ้อมหลังมาดูผลงานของผมโวยวาย ใช้แรงงานเพื่อนแล้วยังจะเรื่องมากอีกนะมึงเนี่ย

    “เอ้า ก็วาดรูป ไม่มีธีมนี่ กูจะวาดอะไรก็ได้”

    “เรนนี่รักพี่ลี่เนี่ยนะ”

    “ก็ความจริง” ผมหันไปขอความเห็นจากเรนนี่ แต่น้องกลับส่ายหน้าใส่

    “กูละปวดหัว”

    “เอาเนี่ยเสร็จพอดี จะให้ทำอะไรอีก”

    กระถางถูกเพ้นท์จนครบหมดแล้ว ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนเท้าเอวรอรับคำสั่งจากเพื่อนรัก จะใช้อะไรอีกก็ว่ามาเลย

    “เสร็จแล้วมึงขอบคุณมาก ที่เหลือกูจัดการเอง”

    กระถางทั้งหมดถูกวางผึ่งแดดผึ่งลมไว้เพื่อรอให้สีแห้ง พักดูหนังและทานของว่างที่ซื้อมาจากตลอดเมื่อเช้า จากนั้นเราช่วยกันเก็บกระถางแคคตัสที่ยังไม่มีแคคตัสทั้งหมดใส่กล่องและยกไปไว้ในห้องเก็บของรอวันที่สกายมันจะย้ายต้นอ่อนลงกระถาง เลือกซื้อต้นที่โตแล้วมาเลี้ยงก็ไม่ได้ต้องได้ลงมือทำเองตั้งแต่เพาะเมล็ด ผมละนับถือมันจริงๆ

    “เรนขอกระถางนี้นะ” ระหว่างที่กำลังทยอยเก็บใส่กล่องเรนนี่ก็ยกกระถางใบหนึ่งโชว์ให้ดู

    มันถือกระถางท้องฟ้า สายรุ้ง และมดลี่

    “อยากเอาไปปลูกที่คอนโด ได้มั้ย”

    “ได้ดิ เดี๋ยวพี่เอาต้นอ่อนลงให้ หรือจะเอาต้นที่โตแล้ว” สกายอนุญาต รับกระถางมาถือไว้

    “ต้นอ่อนก็ได้”

    “เค”

    พี่สาวรับคำก่อนเดินจากไปเตรียมของให้ตามที่ขอ เหลือแค่ผมกับน้องชายนั่งเก็บกระถางกันสองคน

    “นึกยังไงอยากปลูกแคคตัส”

    “ที่ห้องจะได้มีอะไรเขียวๆ บ้างไง”

    แม้ในใจจะค้านว่าแค่แคคตัสต้นเดียวมันจะมีพื้นที่สีเขียวได้สักแค่ไหนแต่ผมจะไม่ขัด ใจอยากหาอะไรมาปลูกอยู่เหมือนกันแต่เพราะบางช่วงของการทำงานผมจะยุ่งมากจนไม่มีเวลาเหลือ ถ้าดูแลได้ไม่ดีก็ไม่อยากเอามันมาวางตั้งไว้แบบทิ้งๆ ขว้างๆ แต่ถ้าเป็นแคคตัสน่าจะพอดูแลได้อยู่

    “เรนชอบกระถางที่พี่ลี่วาดนะ มันเหมาะจะเอาไปตั้งในห้องดี”

    มือที่จับกระถางหยุดขยับได้สักพักแล้ว ผมมองน้องชายที่อยู่ๆ ก็พูดเรื่องซึ่งๆ ขึ้นมาอย่างภูมิใจ ไม่รู้สิ มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ใจผมกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา พอโตขึ้นก็เริ่มกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจมากขึ้นสินะ

    “เรนดูแลมันได้ใช่มั้ย”

    “คิดว่านะ”

    “ต้องตอบว่าดูแลได้ดิ”

    “พี่ลี่ก็ต้องช่วยเรนดูด้วย”

    “แคคตัสมันคงดูแลไม่ยากมั้ง”

    “แต่ถ้าเราทำมันตายต่อไปก็อย่าได้คิดปลูกอะไรอีกเลย”

    ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

    เราช่วยกันเก็บกระถางและยกไปไว้ในห้องเก็บของ เมื่อกลับมาที่เดิมแคคตัสในกระถางลายท้อง สายรุ้ง และมดลี่ก็วางอยู่บนโต๊ะ

    ได้สมาชิกมาเพิ่มแล้วห้องที่ขาดสีเขียวของเราสองคงดูสดใสขึ้นได้บ้าง

     

    วันจันทร์ตรวจแบบ

    หลังจากให้ของขวัญวันเกิดตัวเองเป็นการเอ้อระเหยลอยชายอย่างเต็มที่เรนนี่ก็มาหาผมที่บ้านตอนสองทุ่ม อาบน้ำหอมฉุยเหมือนเตรียมมาปักหลัก แบกโน้ตบุ๊กมาพร้อมก่อนขอเปิดรถผมเพื่อหยิบแมสโมเดลที่ยัดไว้ในรถผมตั้งแต่เย็นวันศุกร์ตอนแวะไปรับที่มหา'ลัย

    ผมเองก็ลืมทักน้องเรื่องงานไปเลย

    "นึกว่าแก้แบบเสร็จแล้ว" บอกขณะก้าวขึ้นบันได ผมถือโน้ตบุ๊ก เรนนี่คือโมเดลกับสะพายถุงย่ามใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์

    "เหลืออีกนิดหน่อย"

    "ทำไมไม่ให้สกายมันช่วยอ่ะ"

    "ยังจำที่เรียนมาได้อยู่เหรอคนนั้น"

    "ไปว่ามัน เกียรตินิยมอันดับสองนะนั่น"

    อย่างสกายถึงมันจะดูหยาบคายไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนหัวดีและขยันมาก สังเกตได้จากการที่มันหานู่นหานี่มาทำตลอด เรื่องความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่เป็นสองรองใคร สมัยเรียนก็มีมันนี่แหละที่คอยช่วยเหลือผมตลอด

    "แต่พี่กายไม่ได้ทำงานด้านนี้แล้วไง ให้พี่ลี่คอยช่วยดูให้ดีกว่า"

    ถึงเวลาทำงานผมก็ปล่อยให้เรนนี่ใช้สมาธิกับมันไป นี่เป็นโปรเจกต์ที่สองของวิชาดีไซน์ในเทอมหนึ่ง เหลือตรวจแบบอีกห้าครั้งก็จะถึงไฟนอล แต่โดยปกติแล้วเวลาทำงานเรนนี่ไม่ค่อยได้ขอความช่วยเหลืออะไรจากผมมากนัก ที่บอกว่า 'ให้พี่ลี่ช่วยดู' ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น

    เด็กสมัยนี้ยิ่งโตยิ่งปากแข็ง คิดถึงอยากอยู่ด้วยกันก็ไม่บอกออกมาตรงๆ

    ใช้เวลาไม่นานงานที่บอกว่าใกล้เสร็จก็เสร็จสิ้น ผมว่ามันต้องอยู่ที่เก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์แล้วแน่ๆ ถึงได้เร็วขนาดนี้

    "นึกว่าจะได้โต้รุ่ง"

    "ก็บอกแล้วไงว่าใกล้เสร็จแล้ว เรนไม่กวนพี่ลี่จนต้องนอนดึกหรอก" พูดไปก็เก็บข้าวของไป เพิ่งจะสี่ทุ่มผมไม่นอนง่ายๆ หรอก

    ขามาแลดูยิ่งใหญ่จนนึกว่าจะปักหลักค้างคืน แต่พอเก็บของเสร็จแล้วก็ยังไม่ยอมเดินไปไหน ยืนทำหน้าซื่อรอให้ผมเดินไปส่งอยู่แน่ๆ

    "เดี๋ยวพี่ไปส่งหน้าบ้าน"

    "ไม่ต้องอ่ะ"

    ปฏิเสธเร็วเสียจนผมเกือบสะดุดขาตัวเองล้ม โตแล้วนี่นะ อายุครบยี่สิบแล้ว เดินกลับบ้านเองได้

    "เรนจะค้างที่นี่"

    ก่อนจะเฉลยออกมา

    โน้ตบุ๊กที่ปิดแล้วกับข้าวของที่ขนขึ้นมาก็ยังวางแหมะอยู่ที่เดิมทำไมผมถึงมองไม่ออกกันนะ

    เด็กน้อยขาดพี่ชายคนนี้ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ พี่สาวหัวเน่าก็คือสกายนี่เอง อยากเปิดหน้าต่างไปตะโกนเรียกมันแล้วหัวเราะเยาะจริงๆ

     

    tbc

    ตอนแรกกะว่าจะตั้งชื่อตอนว่า น้องผมตัวเท่า... ทุกตอนเลยค่ะ

    แต่ของตอนนี้เราชอบชื่อนี้มากกว่าเลยเปลี่ยนแล้วกัน

    จะให้ น้องผมตัวเท่า... ทุกตอนก็ไม่น่ารอด กลัวคิดไม่ออก ฮ่าๆๆๆๆ

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×