คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ฝันครั้งที่ 1
ฝันครั้งที่ 1
กลุ่มเพื่อนรักที่ห่างเหินกันไปนานพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติท่ามกลางเสียงอึกทึกโดยรอบ
ทุกคนต่างแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้พบเจอ การงาน ความรัก ครอบครัว
เว้นก็แต่เจ้าของวันเกิดที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา สายตาของเขาจับจ้องที่ใครคนหนึ่ง คนที่ทำให้แปลกใจไม่หาย
เพราะเหตุใดกันจึงเปลี่ยนไปได้เพียงนี้
"ไอ้เพื่อน อยากเป่าเค้กมั้ย"
เสียงเรียกจากขวัญทำให้เพื่อนละสายตาจากบุคคลที่จ้องมองอยู่ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
แต่เป็นเล็กที่พูดสวนขึ้นมาแทน
"ส่ายหน้าได้ไงวะ กูอุตส่าห์ไปซื้อมา ร้านซาซากิเลยนะมึง โหน่งเอาขึ้นมาดิ๊"
"แท่น แท้น" โหน่งหยิบเค้กที่วางอยู่บนตักขึ้นมาพร้อมทำเสียงประกอบ
"กูก็นึกว่าเค้กปอนด์" เก้ว่า
"เค้กมอคค่าชิ้นละสี่สิบบาท" เสริมด้วยนารอน
"เออน่า กินๆ ไป กูรู้เพื่อนมันชอบเหล้ามากกว่าของหวานเลยเอาไอ้นี่มาด้วย"
ถุงผ้าถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ เล็กยิ้มกริ่มเปิดของขวัญจริงๆ
ที่ตั้งใจเอามาฝากให้เพื่อนดู แล้วทุกคนก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างชอบใจ
งานนี้งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
มันถูกระบุชัดเจนบนบัตรเข้างาน
แต่มีหรือศิษย์ที่ขยันแหกกฎเป็นกิจวัตรจะยอมเชื่อฟังโดยง่าย
ในเมื่อในงานไม่เสิร์ฟเอามาเองก็สิ้นเรื่อง เป็นงานฉลองทั้งทีจะขาดสิ่งนี้ไปได้อย่างไร
เทียนเล่มเล็กปักบนเค้กราคาสี่สิบบาทให้เจ้าของวันเกิดเป่าพอเป็นพิธี
เพื่อนๆ ต่างพากันอวยพร
ใครพูดอะไรบ้างก็จับใจความไม่ค่อยได้นักเพราะแต่ละคนเสียงดังโวยวายเสียเหลือเกิน
ทว่ามีเพียงคำอวยพรเดียวที่เพื่อนได้ยิน
คำอวยพรจากคนที่เขาเอาแต่จับจ้องตั้งแต่ได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
"มีความสุขมากๆ นะ"
ก็แค่คำอวยพรธรรมดาๆ
ไร้ความพิเศษไร้ความหวือหวา แต่กลับมีความสุขกว่าครั้งไหนๆ ที่ได้ยิน
การแสดงบนเวทีจากนักเรียนรุ่นปัจจุบันเริ่มขึ้นพร้อมๆ
กับแอลกอฮอล์ที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย เพลงจังหวะแบบนี้ ดนตรีที่ทันสมัย
รวมถึงท่าเต้นอันพร้อมเพรียง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเพลงฮิตจากเกาหลี
ทำเอาความทรงจำครั้งวัยเยาว์ถูกขุดขึ้นมาจนพากันหัวเราะครื้นทั้งโต๊ะ
"มึงจำได้ป้ะ ไอ้ขวัญกับไอ้เพื่อน"
"เออแม่ง สมัยนั้นโคตรฮอต รุ่นน้องกรี๊ดกันกระจาย"
"พี่เพื่อนขา พี่ขวัญขา"
"ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ"
เจ้าของชื่อทั้งสองที่โดนแซวแสดงท่าทีออกมาแตกต่างกัน
ขวัญโวยวาย ในขณะที่เพื่อนเอาแต่ยิ้มจนเห็นลักยิ้มน้อยๆ ที่แก้มขวา
ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบก่อนสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งข้าม
ใช่...เขายังจำได้ดี
จำได้แม่น เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้สนิทสนมจนกลายเป็นเพื่อนกัน
ม.4 เทอม 2
มันเป็นเรื่องสมัยมัธยมปลาย
ผ่านมาเก้าถึงสิบปีเห็นจะได้ ตอนนั้นพวกเขาเรียนอยู่ ม.5
มีเพื่อนร่วมก๊วนทั้งหมดแปดคน ทุกคนไม่ได้สนิทกันมาตั้งแต่แรก
รวมแก๊งได้ยังไงก็ไม่แน่ใจนัก คับคล้ายคับคลาว่ามาจากการเต้นโคฟเวอร์วงเกาหลี
กิจกรรมยอดฮิตที่เพื่อนตาตี่คลั่งไคล้เสียเหลือเกิน
"ไปเต้นด้วยกันนะ ขาดอีกสองตำแหน่ง สาวกรี๊ดเยอะนะเว้ย"
"ไม่เอาอ่ะ เต้นไม่เป็น"
"ไม่เป็นไรฝึกได้"
"ไม่ดีกว่า"
บทสนทนานี้เป็นของขวัญกับเพื่อน
หนุ่มตาตี่กับหนุ่มหน้าตาดีขวัญใจรุ่นพี่รุ่นน้องรวมถึงเพื่อนร่วมห้อง ตอนนี้ขวัญกำลังจีบเพื่อนอยู่
จีบในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาเป็นแฟน
แต่จีบเพื่อชวนไปเข้าวงโคฟเวอร์แดนซ์เกาหลีที่ขวัญกับเพื่อนต่างโรงเรียนช่วยกันฟอร์มวงขึ้นมา
"มึงช่วยกูพูดหน่อยดิ" แล้วขวัญก็หันมาขอความช่วยเหลือจากหลง
หนุ่มอ้วนน้ำหนักเกือบร้อยกิโลที่ได้แต่กะพริบตามองปริบๆ
ก็ไอ้นักร้องที่เพื่อนพูดถึงกันอยู่เขารู้จักเสียที่ไหน
แล้วจะชักชวนให้น่าสนใจได้ยังไงในเมื่อเขายังไม่เข้าใจคำว่าโคฟเวอร์แดนซ์เลย
แต่คนใจดีอย่างหลงก็ยังช่วยเท่าที่จะช่วยได้
"ช่วยมันหน่อยนะ"
คนถูกชวนยิ้มบางๆ
จนเห็นลักยิ้ม ยิ้มแบบที่พวกรุ่นพี่รุ่นน้องชอบ ยิ้มแล้วตาหยีๆ
พาบรรยากาศรอบตัวสดใสไปหมด เพื่อนไม่ได้มีท่าทีรำคาญแต่คงลำบากใจอยู่ไม่น้อย
เพราะโดนขวัญตามตื้อมาเป็นอาทิตย์แล้ว
"เถอะนะๆ เดือนหน้าจะไปออดิชั่นแล้วคนยังไม่ครบเลย"
"เต้นวงอะไรนะ"
"ซุปเปอร์จูเนียร์"
"ไม่รู้จักอะ"
"ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวช่วยเอง"
เพื่อนเงียบเหมือนกำลังคิด
คนชวนก็พลอยลุ้นตามไปด้วย ใครก็อยากได้คนหน้าตาดีมาร่วมทีม เรื่องเต้นมันฝึกกันได้
จากที่สังเกตการณ์มาอยู่สักพัก สกิลการขยับร่างกายของเพื่อนเองก็ไม่เลวเท่าไร
นิ่งคิดอยู่นานจนเกือบจะถอดใจอีกรอบลักยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนแก้มขวา
เพื่อนยิ้ม ขวัญกับหลงก็ยิ้ม พร้อมคำตอบที่ทำให้ต้องร้องเฮออกมาดังๆ
"ลองดูก็ได้"
"ขอบใจว่ะเพื่อน"
แล้วการตามจีบเพื่อนของขวัญก็จบลงด้วยประการฉะนี้
หลังจากหาคนได้ครบวงทั้งสองก็นัดแนะกันไปซ้อมเต้นแถวรังสิตเพราะเด็กในวงส่วนใหญ่อยู่แถวนั้น
หลงไม่ได้ตามไปด้วยแต่ขวัญชอบเอาข่าวคราวมาอัพเดตให้ฟังประจำ จนวันออดิชั่นเพื่อนๆ
ถึงได้ตามไปดู ผลที่ออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจนักแต่ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง
วงสมัครออดิชั่นเป็นร้อยวงผ่านแค่สิบกว่าวง
ถ้าวงน้องใหม่โนเนมผ่านเข้าไปได้คงเซอร์ไพรส์กันน่าดู
หลังจากผ่านงานออดิชั่นงานเดียววงที่อุตส่าห์รวมรวบกันมาเป็นเดือนก็แตกกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
ขวัญกับเพื่อนเลิกเต้น แต่กิจกรรมดังกล่าวก็ทำให้สนิทสนมกันมากขึ้น
จนรวมกลุ่มเพื่อนสองกลุ่มเข้าด้วยกัน กลุ่มเพื่อนมีสี่คน กลุ่มขวัญก็มีสี่คน
รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่แปดคนครองมุมซ้ายหลังห้องเรียน
แต่ถึงจะเลิกเต้นไปความโด่งดังของเพื่อนก็ไม่ได้ลดลงเท่าไร
แน่ล่ะ ก็ในเมื่อชื่อเสียงนั้นมีมาอยู่ก่อนแล้ว
หลังจากได้เปิดตัวให้ชาวโลกรู้จักมีแต่จะดังขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ความโด่งดังในระยะสั้นๆ และไม่ยั่งยืน
ความครื้นเครงในงานคืนสู่เหย้ายังคงดำเนินต่อไปจนเข็มนาฬิกาวนมาที่เลขสิบ
สติที่เคยครบถ้วนเริ่มขาดหาย ภาพที่เคยชัดก็เหมือนน้ำนิ่งที่มีคนปาหินลงไป
กว่าจะรู้ตัวว่าเมาก็ตอนของเหลวสีอำพันเหลืออยู่เพียงก้นขวด
"ไหวมั้ยเนี่ย" คนที่แทบไม่แตะแอลกอฮอล์เลยอย่างเล็กเอ่ยถาม
เขาต้องขับรถกลับเอง ผิดกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน รายนี้ไม่มีรถ
เลยคิดว่ากินได้เต็มที่จนหัวแทบจะตั้งไม่อยู่อยู่แล้ว
"ไหว"
"แต่กูว่าไม่ไหว กินคนเดียวจะหมดขวด มีมึงเมาอยู่คนเดียวเนี่ย"
"กูไม่เมา"
"คนเมาแม่งก็ชอบพูดแบบนี้"
คนโดนว่าฉีกยิ้มกว้างโชว์แก้มปุ๋มข้างขวา
แต่แล้วก็ปรับโหมดกะทันหันนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา พยายามครองสติที่เหลืออยู่น้อยนิด
ถ้าลองได้ล้มตัวสักหน่อยล่ะก็คงนอนยาวเป็นแน่ แต่ตอนนี้เขาอยากจะอ้วกมากกว่า
"เดี๋ยวมานะ" เพื่อนบอกก่อนค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืน
ภาพด้านหน้าโคลงเคลงคล้ายแผ่นดินไหวจนต้องหาหลักคว้าเอาไว้ เวียนหัวมวนท้อง
ไอ้สิ่งที่กินลงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็อยากจะออกมาเสียเหลือเกิน
"มึงจะไปไหน ห้องน้ำเหรอ" เล็กช่วยลุกขึ้นพยุง
แต่ดูท่าเพื่อนของเขาจะไม่สะดวกตอบนัก มือที่ยกขึ้นปิดปากกับสีหน้าพะอืดพะอมแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี
"กูว่าแม่งจะอ้วก"
"เล็กพามันไปห้องน้ำดิ๊"
สมาชิกบนโต๊ะต่างรู้คำตอบ
พากันโบกมือให้เล็กรีบพยุงเพื่อนออกไป
เพื่อนไม่ชอบเวลาเมาเหล้า
หรือถ้ากินก็ไม่ได้อยากกินให้เมาหนักนัก เวลาเมามันมึนหัวและทรมาน แต่พอได้กินแล้วก็ห้ามไม่อยู่ทุกที
ถ้าไม่เมาจนอ้วกก็จะไม่เลิกกิน สมัยเรียนมหา'ลัยเคยไปนั่งกินคนเดียวจนเมาเละกลับหอไม่ไหวอยู่หลายครั้ง
เดือดร้อนรูมเมทต้องมาหิ้วกลับไป บางครั้งมันทนไม่ไหวทิ้งให้นอนข้างทางก็มี
แต่นั่นมันเรื่องสมัยก่อน หากลองนับนิ้วดูเขาไม่ได้ดื่มหนักมาร่วมปีแล้ว
นานจนเกือบลืมไปว่าความทรมานตอนเมามันเป็นยังไง
ประคองมาจนถึงห้องน้ำเพื่อนก็พุ่งเข้าหาอ่างล้างมือที่อยู่ด้านหน้า
ปล่อยให้สิ่งที่มันพยายามจะออกมาทิ้งลงอ่างโดยมีเล็กคอยลูบหลังพร้อมบ่นไปด้วย
"ใครให้มึงกินเยอะขนาดนี้วะ"
...ก็พวกมึงไม่ใช่เหรอ
รินเอาๆ...
"กินเหมือนไม่เคยกิน"
...ก็ห่างมานานเหมือนกัน...
"ทั้งโต๊ะมีมึงเมาอยู่คนเดียวเนี่ย"
...มันก็มีเหตุผล...
"เออ แล้วจะให้ใครไปส่งมึงดีวะ กูไม่ได้อยู่เส้นนั้นแล้วนะ"
...รู้อยู่แล้ว...
"คงต้องให้ไอ้หลงไปส่ง"
เพื่อนกวักน้ำล้างปากล้างหน้าก่อนปิดก๊อก
พอยันตัวให้ยืนตรงก็เซอีกรอบจนเล็กต้องคว้าแขนเอาไว้แล้วส่ายหน้า
"ไป กลับบ้านได้แล้วมึง" แล้วเขาก็ถูกเล็กลากกลับไปที่โต๊ะ
งานยังไม่เลิกแต่โต๊ะนี้ถึงเวลาอันสมควรที่ต้องแยกย้าย
โหน่งกับแฟนสาวรุ่นน้อง เก้ ขวัญและเต้ยจะไปต่อกันที่อื่น ส่วนที่เหลือนั้นตรงกลับบ้าน
มีการตกลงแกมบังคับให้หลงไปส่งเพื่อนเพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน
ถึงจะไกลกันเป็นสิบกว่ากิโลก็ตาม
เล็กกับหลงช่วยกันพยุงเพื่อนไปขึ้นรถ
ก่อนพ่อลูกอ่อนจะขอตัวบึ่งรถกลับไปหาภรรยาที่บ้าน
เหลือไว้เพียงคนเมาที่นั่งหลับคอพับอยู่บนเบาะข้างคนขับ
ความเงียบสงัดกับบรรยากาศแปลกๆ ที่ยากจะรับมือ
ความห่างเหินมักทำให้บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลง
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองก็คงเช่นกัน
หลงดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้คนเมาก่อนขึ้นระจำที่นั่งตัวเอง
ออกรถขับไปตามทางเงียบๆ ไร้เสียงเพลงจากวิทยุคลื่นโปรดที่ชอบฟังขณะขับรถ
มีเพียงสมองที่กำลังทำงานอย่างหนัก เขาจะทำอย่างไรกับคนที่เมาไม่ได้สติดี
ครั้นปลุกมาคุยก็คงพูดไม่รู้เรื่องนัก จะพากลับบ้านที่เขาเคยไปแค่ไม่กี่ครั้ง
หรือพาไปนอนบ้านตัวเอง ทุกตัวเลือกล้วนเป็นสิ่งที่หลงคิดไม่ตก
เพราะบางสิ่งบางอย่างที่ยังค้างคา เพราะอดีตที่คล้ายจะจบไม่สวย
เพราะความคิดอันขัดแย้งสับสน เขาควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี
"หลง"
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังแทรกความเงียบขึ้นมา
คนที่เขาคิดว่าเมาหลับไปแล้วกำลังมองมาทางนี้
มองด้วยสายตาที่ใช้มองเขาตลอดเวลาที่อยู่ในงาน
"นึกว่าหลับ"
"ไม่ได้หลับ ปวดหัว"
"ก็เมาซะขนาดนี้"
"จะไปไหน"
"กลับบ้านไง"
"บ้านใคร"
คำถามจากเพื่อนทำให้หลงชะงักไปชั่วครู่
บ้านใครงั้นเหรอ เขาเองก็ยังไม่ได้คำตอบเหมือนกัน
"บ้านเพื่อนก็ได้ เดี๋ยวไปส่งที่บ้าน"
คำตอบกับสรรพนามที่ใช้เรียกทำให้คนเมาหลุดยิ้ม
มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน
น่าแปลกที่กับเพื่อนในกลุ่มต่างใช้สรรพนามแทนตัวว่ามึงกู แต่กับเขา
คนที่ไม่ได้คุยกันบ่อยนัก หลงกลับเรียกเขาด้วยชื่อเล่น
และแทบไม่มีสักครั้งที่คนคนนี้จะแทนตัวเองว่ากู
เพราะความห่างเหินที่มีมาตั้งแต่เรียนด้วยกันอย่างนั้นเหรอ
ไม่ใช่เสียหน่อย
"เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ"
คำพูดลอยๆ
คล้ายกับไร้ที่มาที่ไปทำให้หลงหันไปมองคนเมาก่อนกลับมาถนนใจถนนตรงหน้าที่ถูกรายล้อมไปด้วยความมืด
ที่นี่อยู่ชายขอบกรุงเทพฯ เป็นถนนเส้นยาวกว่ายี่สิบกิโลเมตรโดยที่ไม่มีไฟแดง
ไม่ถึงกับทันสมัยแต่ก็ใช่ว่าไม่มีความเจริญ
อย่างน้อยถนนเส้นนี้ก็เป็นถนนหกเลนที่มีตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร
และหมู่บ้านเล็กใหญ่ตลอดเส้นทาง
รถกระบะสี่ประตูทำความเร็วเกือบร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงวิ่งผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ
หลังจากเลี้ยวเข้ามาในถนนเส้นนี้ได้ไม่นาน เพื่อนผงกหัวขึ้นมองตาม
เขาไม่ได้อยากจะชมสวนตอนกลางคืน แต่มองเลยเข้าไปยังสถานที่ที่อยู่หลังสวน
"เลยบ้านแล้ว"
"จำได้เหรอ"
"จำได้ดิ แล้วหลงจำบ้านเราได้เปล่า"
"ได้มั้ง"
"ทำไมมั้ง...อุ้บ!"
หลงเหล่มองคนเมาที่จู่ๆ
ก็ทำหน้าพะอืดพะอมขึ้นมา หลังจากอ้วกไปแล้วรอบหนึ่งอาการเพื่อนก็เหมือนจะดีขึ้น แต่จะปล่อยให้มาอ้วกบนรถแบบนี้ไม่ดีแน่
"ไหวเปล่า ให้จอดก่อนมั้ย"
คนเมาส่ายหน้า
หลับตาเอนหัวพิงเบาะก่อนสงบปากสงบคำไม่พูดอะไรอีก อาการแบบนี้เดาได้ไม่ยาก
คงจะฝืนสังขารมากไป
ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง
รถแล่นไปตามถนนเส้นตรง แถวนี้ยิ่งดึกยิ่งเงียบ อันที่จริงตอนกลางวันก็ไม่ได้คึกคักเท่าไรนอกจากมีงานเทศกาลตามวัดตามห้างสรรพสินค้า
หรือไม่ก็บ้านใดบ้านหนึ่งจัดงานแต่งงานบวช
เลยมาไกลจนเกือบถึงสำนักงานเขต
หลงก็เลี้ยวรถเข้าซอยของหมู่บ้านหนึ่งบนถนนเส้นนี้ หมู่บ้านที่เขาเคยมาสมัยมัธยมแค่ไม่กี่ครั้งแต่กลับจำเส้นทางได้ขึ้นใจ
บ้านหลังไหน เลขที่เท่าไร ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก
บ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีอ่างบัวตั้งอยู่หน้าบ้านก็เช่นกัน
"ถึงบ้านแล้ว" หลงเขย่าไหล่ปลุกเพื่อนให้ตื่น
คนเมางัวเงียลืมตาขึ้นมองไปนอกรถด้วยสีหน้ามึนงง
บ้านเลขที่นี้มีอ่างบัวหน้าบ้านหลังนี้คือบ้านเพื่อนแน่นอนหลงจำได้แม่น
แม้ไฟในบ้านจะปิดทุกดวงกระทั่งหน้าบ้านก็ตาม
"ถึงแล้ว"
"ไปส่งในบ้านหน่อย" คนเมาร้องขอพลางปลดเข็มขัด
เปิดประตูจะก้าวลงจนหลงต้องคว้าแขนเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้กระโดดลงสองขาลงไปแบบนี้มีหวังหัวทิ่มแน่
รถกระบะมันสูงไม่เหมือนรถเก๋ง
"รอก่อน นั่งเฉยๆ นี่แหละ"
ดึงแขนเพื่อนให้กลับมานั่งที่เดิมได้หลงก็ดับเครื่อง
ปลดเข็มขัดเปิดประตูเดินอ้อมไปประตูอีกฝั่งก่อนช่วยพยุงเพื่อนลงมา
"ขอบใจ" เท้าแตะพื้นทรงตัวได้ก็ยิ้มโชว์ลักยิ้ม เดินเอียงอย่างคนทรงตัวไม่อยู่ไปหน้าประตูรั้วใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะหากุญแจเจอ
และอีกหลายนาทีกว่าจะเข้าบ้านได้สำเร็จ
ไฟในบ้านเปิดสว่างเพื่อนก็เซไปล้มตัวนอนบนโซฟา
คนเป็นแขกเลยต้องช่วยปิดประตูให้พลางมองสำรวจภายในบ้านที่การตกแต่งดูจะต่างจากเมื่อหลายปีก่อนค่อนข้างมาก
แต่ที่สะดุดตาหลงที่สุดเห็นจะเป็นรูปวาดหมีโคล่าที่ใส่กรอบตั้งอยู่บนชั้นวางทีวี
"ไม่มีใครอยู่"
แต่ก่อนจะได้รำลึกความหลังอะไรมากไปกว่านี้เจ้าของบ้านก็ขัดจังหวะขึ้นมา
เพื่อนยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางตบที่ว่างข้างๆ บนโซฟา
"มานั่งก่อน"
หลงมองอย่างช่างใจ ไม่มีข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธ
ใช่ว่าไม่อยากอยู่ แต่บางอย่างที่ยังติดค้างในใจบอกให้เขารีบกลับจะดีกว่า
"รีบกลับเหรอ คุยกันก่อนดิ ไม่ได้เจอตั้งนาน"
ทว่าเมื่อถูกเอ่ยชวนอีกรอบขาเจ้ากรรมดันก้าวเข้าไปหาอย่างห้ามไม่ได้
ยอมให้ทุกครั้ง ไม่เคยจะขัดใจได้เลยสิน่า
เพื่อนยิ้มตาเยิ้มตามแบบฉบับคนเมา
คล้ายคนไม่มีสติแต่ก็เหมือนรับรู้ทุกสิ่งอย่าง
ระหว่างเขาสองคนมีเรื่องราวที่กลุ่มเพื่อนไม่เคยรับรู้เกิดขึ้น
เรื่องราวบางอย่างที่ทำให้เพื่อนคนนี้หนีไปไกลถึงเชียงใหม่ ปิดกั้น ไร้การติดต่อ
มันดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเพื่อนในกลุ่มเพราะนิสัยที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับผู้คนเป็นทุนเดิม
อารมณ์ติสท์ชอบทำอะไรคนเดียว แต่หลงรู้ รู้ว่าที่เพื่อนหายหน้าหายตาไปกว่าเจ็ดแปดปีเป็นเพราะอะไร
คงเพราะอยากจะตัดให้ขาด...ตัดขาดจากหลงคนนี้
ออกจากวังวนที่รู้ว่าแม้พยายามแค่ไหนมันก็ยังคงไร้ค่าเหมือนเดิม
"ผอมลงเยอะเลยนะ"
เพื่อนทักขึ้น เป็นความเปลี่ยนแปลงแรกที่เห็นในตัวหลงตั้งแต่อยู่ในงาน
คนที่เคยน้ำหนักร่วมร้อยกิโลผ่านไปแปดปีที่ไม่ได้เจอหน้ากลับเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้
หากเดินสวนกันในที่สาธารณะเขาคงไม่คิดว่าเพื่อนคนนี้คือหลง
เจ้าของท่อนแขนจ้ำม่ำนุ่มนิ่มที่เขาชอบ
"อืม ก็ลดมาเรื่อยๆ"
"มีแฟนเหรอ"
"เปล่า"
"ไม่น่าเชื่อ"
จากคนที่เคยพูดมากจนเพื่อนหลับเวลานี้หลงกลับนึกคำต่อบทสนทนาไม่ออก
ความรู้สึกผิดยังฝังลึกอยู่ในใจ แม้ความจริงมันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้สึกก็ตาม
แล้วเพื่อนล่ะรู้สึกอะไรบ้างไหมในตอนนี้ ตอนที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง ไม่เจ็บ
ไม่โกรธเคืองอะไรบ้างเลยหรือ
หรือเพราะเวลามันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้
มันช่วยทำให้ลืมอดีตเลวร้ายไปหมดแล้ว
รอยยิ้มกับลักยิ้มที่ใครๆ
ต่างชื่นชอบยังเป็นเอกลักษณ์ที่น่าจดจำไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อนขยับตัวเข้ามาใกล้
ย่นระยะห่างให้น้อยลงอีกนิดในขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงนั่งตัวแข็งทื่อ มองท่อนแขนของตัวเองที่มีเพียงกล้ามเนื้อไร้ไขมันนุ่มๆ
อย่างเมื่อแปดปีก่อนถูกเพื่อนจับขึ้นมา
"ไม่น่าหนุนแล้วว่ะ"
และสิ่งที่ได้ฟังก็ทำให้หลงเจ็บในใจอย่างบอกไม่ถูก
แขนถูกปล่อยให้วางลงข้างตัวเหมือนเดิม
หลงยิ้มแหย สบตากับเพื่อนที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยตลอดแปดปี หน้าตา ส่วนสูง ผมที่ชี้โด่เด่ไม่ค่อยเป็นทรง
รอยยิ้มและลักยิ้มข้างขวาที่เขาเองก็ชอบมอง กับความแปลกเฉพาะตัวอีกข้อ การเริ่มต้นพูดอะไรสักอย่างโดยไร้หัวข้อและที่มาที่ไป
"ทำไงดีวะ"
"ทำ...อะไร"
หลงถามอย่างไม่แน่ใจนัก แต่เหมือนคนเมาไม่ได้คิดจะตอบอย่างตรงไปตรงมา
"ผอมลงแล้ว"
"..."
"หน้าตาก็ดีแล้ว"
"..."
"แบบนี้ก็..."
ประโยคถูกเว้นจังหวะเอาไว้
ระยะห่างที่น้อยลงอยู่แล้วถูกย่นให้ใกล้ยิ่งขึ้นเมื่อเพื่อนขยับเข้าหา คล้ายกับถูกสะกดไม่ให้ขัดขืน
หลงนั่งนิ่งเหมือนโดนเชือกมัดเอาไว้ สบตา สัมผัสลมหายใจ
และฟังเสียงที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมา
"จีบได้แล้วใช่มั้ย"
ริมฝีปากถูกปิดไม่ให้ตอบ
มันคือบัญชาจากเพื่อนว่าห้ามปฏิเสธ สัมผัสนุ่มที่เข้ามาฉวยโอกาสทีเผลอ แนบแน่น
โหยหา แต่ไม่โลภมากจนเกินพอดี จูบแทนความคิดถึง แทนความรู้สึก
แทนให้กับทุกอย่างที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทิ้งให้ได้รู้สึกอบอุ่นเพียงชั่วครู่ก็ผละออกมา
หลงมองการกระทำสุดบ้าบอของเพื่อนด้วยอาการตกตะลึง
หากเป็นคนอื่นเขาคงประเคนหมัดหนักๆ ให้สักที แต่เพราะเป็นเพื่อนคนนี้ เพราะสมองถูกสั่งให้ยั้งมือและทำเพียงแค่มองดู
ไม่ต้องเอ่ยถามหรือทักท้วงใดๆ เพราะคำตอบที่อยากรู้มันแน่ชัดอยู่แล้ว
คนเมาเอนหลังนอนหลับตาพิงโซฟา
สังขารที่อุตส่าห์อดทนฝืนไว้มาได้ไกลเพียงเท่านี้
ทิ้งให้หลงอยู่ในความเคว้งคว้างกลางห้องนั่งเล่นที่ไม่คุ้นเคย กับคนที่จะเรียกว่าคุ้นเคยหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจนัก
แต่ตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่เขายังแน่ใจ
เพื่อนที่ชื่อเพื่อน
แปดปีกับสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ความรักที่เคยมีให้กับเขาคนนี้ก็เช่นเดียวกัน
----------- ติดตามตอนต่อไป
-----------
มันก็จะย้อนไปย้อนมาแบบนี้นะคะ คำเตือนว่ามีทุกตอน
ตอนนี้กระจ่างแล้วว่าใครจีบใคร
แต่โพสิชั่นน้านเราทำให้สับสนอีกหรือเปล่า ฮา
ที่จริงอยากให้ #หลงเพื่อน อยู่นะคะ ใช้แท็กนี้ก็ได้นะ เราชอบ
ที่จริงเรื่องนี้ตั้งใจจะลงต่อจากเหวี่ยงซบแล้วค่ะ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขียนได้แค่บทนำ
แล้วก็ดองไว้ซะปีกว่าๆ เลยตั้งใจว่าต้องเอามาเขียนให้จบได้แล้วล่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
ความคิดเห็น