คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : วันที่ 1
วันที่ 1
เวลานัดคือหกโมงเช้า
ส่วนตอนนี้ตีห้าสิบนาที
ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาเช้าขนาดนี้แต่ถนนมันโล่งลุงไกรแกเลยเหยียบเต็มที่ ส่วนผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น
นั่งหาวเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ อยากจะยึดเก้าอี้แล้วนอนยาวๆ เหมือนพี่ฝรั่งฝั่งตรงข้ามบ้างก็เกรงใจ
ส่วนเพื่อนร่วมทริปอย่างน้องหมีได้ข่าวว่าเพิ่งออกจากบ้านอยู่เลย
เฮ้อ~
ชีวิต
สนามบินยามเช้ามันช่างเหงาหงอย
นั่งแก่วไถเฟซบุ๊กไถทวิตเตอร์จนไม่มีอะไรให้อ่านในที่สุดไลน์จากน้องหมีก็เด้งขึ้นมาเสียที
น้องหมี
: ถึงแล้วนะ พี่อินอยู่ตรงไหน
อิน
: ไปรอเคาน์เตอร์เช็คอินเลยก็ได้ เดี๋ยวเดินไปหา
น้องหมี
: เราเช็คอินเคาน์เตอร์ R ใช่ป่ะ
อิน
: ใช่
น้องหมี
: งั้นรอตรงนี้นะ
อิน
: โอเค
นัดแนะกันเรียบร้อยผมก็ลากกระเป๋าเดินไปหาน้องหมีที่เคาน์เตอร์
R น้องผมคนนี้น่ะสังเกตง่าย
มองไกลร้อยเมตรยังจำได้เลย ตัวสูงเกิน 180 ซม. ผิวขาวหน้าหล่อเหมือนนายแบบ
แม้จะแต่งตัวธรรมด๊าธรรมดาอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนส์ผู้หญิงก็พากันมองจนเหลียวหลัง
เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอ
แค่ผมเดินเข้าใกล้บริเวณจุดนัดหมายของเราก็เห็นแล้วว่าน้องมันอยู่ตรงไหน
นั่นไง
ยืนเต๊ะท่าเล่นมือถืออยู่ตรงนั้น
ผมลากกระเป๋าเดินไปยืนตรงหน้า
พอน้องหมีรู้ตัวว่ามีคนมาถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ยกมือเสยผมที่ปลกหน้าไปข้างหลังแล้วยิ้มให้ตาเป็นขีด
บอกได้คำเดียวว่าโคตรดูดี
ถ้าสาวๆ
ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ใกล้ๆ คงกรี๊ดกันสลบแน่ เงยหน้าขึ้นมาแบบหล่อๆ เสยผมแบบเท่ๆ แต่พอยิ้มแล้วดูน่ารักขึ้นมาทันที
น้องหมีเป็นผู้ชายที่สามารถปรับลุคได้สามแบบในเวลาสามวินาที
"มาถึงนานยัง"
น้องหมีถามด้วยเสียงทุ้มๆ ตามความใหญ่ของขนาดตัว
"สี่สิบนาทีที่แล้ว"
"จริงดิ
แล้วไมไม่บอก" พอรู้ว่าผมรอนานน้องมันก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่บอกแล้วมันจะช่วยอะไร
ในเมื่อตอนผมถึงสนามบินแล้วน้องหมีเพิ่งออกจากบ้าน
อีกอย่างเราทั้งสองคนก็มาถึงก่อนเวลานัดกันทั้งคู่
"ช่างเหอะ
ไปเช็คอินกัน" ผมบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจก่อนลากกระเป๋าไปต่อแถวเช็คอิน
ผ่านเข้ามาด้านในแล้วเราก็มานั่งรอกันหน้าเกท
ระหว่างเดินมาน้องหมีมันชวนผมคุยย้อนความหลังครั้งวัยเยาว์ตลอดทาง เพราะเราเจอหน้ากันไม่บ่อยเลยมีเรื่องให้คุยเยอะแยะเต็มไปหมด
แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ที่สุดคือส่วนสูงที่เพิ่มเอาๆ ของน้องมันมากกว่า
ทั้งที่ตอนเด็กตัวเล็กกว่าผมแท้ๆ มาโดนแซงเอาตอนไหนก็ไม่รู้ แถมแซงไปไกลด้วย
"ก็แค่กินทุกอย่างให้หมดแล้วนอนเยอะๆ แค่นั้นเอง"
และนี่ก็คือคำตอบของน้องหมี
ฟังแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้ม
ผมก็นอนเยอะนะ
ทุกวันนอนไม่เกินห้าทุ่มแต่ต้องตื่นตีห้าทุกวันเพื่อปั่นจักรยานไปจอดไว้หน้าหมู่บ้านแล้วนั่งรถตู้ไปทำงานซึ่งอยู่อีกฟากกับเขตบ้านผมเลย
นับเวลานอนก็หกชั่วโมง เพียงพอแล้วสำหรับผู้ใหญ่วัยเบญจเพส
ส่วนตอนเด็กผมหลับตั้งแต่สามสี่ทุ่ม เล่นกีฬาออกกำลังกายไม่ค่อยได้ทำเหมือนคนอื่นเขาเท่าไร
เพราะงั้น 172 ซม. ที่ได้มาผมว่ามันก็โอเคแล้ว
เวลาอยู่กับน้องหมีแล้วเหมือนผมเป็นฝ่ายรับฟังเสียงมากกว่า
ตั้งแต่เจอหน้ากันน้องมันก็พูดไม่หยุด ปกติผมไม่ใช่คนเงียบเท่าไรนะ แต่ก็นั่นแหละ
เจอคนพูดมากกว่าเลยต้องยอม
"พี่อินไปญี่ปุ่นครั้งแรกป่ะ"
แล้วคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะเจอก็หลุดออกมา
คุยกันเรื่องญี่ปุ่นมาก็เยอะแต่น้องหมีไม่เคยถามคำถามนี้กับผมเลย
ส่วนใหญ่จะปรึกษากันเรื่องที่เที่ยวมากกว่า
ซึ่งผมวางแผนไว้หมดแล้วก่อนจะรู้ว่าได้เพื่อนร่วมเพิ่มมาอีกคน
มีเอามาปรับใช้นิดหน่อยตอนน้องมันขอว่าอยากไปที่นั่นที่นี่แค่นั้น
"ไม่อ่ะ"
"จริงดิ" น้องหมีทำตาโต ดูจะตื่นเต้นมากที่ผมไม่ได้ไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
"อืม"
"ไปกี่ครั้งแล้ว"
"ก็...ครั้งที่สี่"
"โห!~ ไม่เห็นเคยบอก" ร้องแบบโอเวอร์แอคติ้งแถมเบิกตากว้างตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
นี่น้องหมีมันจบเอกการแสดงหรือไง
ผมไม่บ้าโซเชียล
ปกติไปเที่ยวเลยไม่ค่อยอัพรูปอัพเดทเหตุการณ์เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเท่าไร แต่ประเด็นที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปไหนก็คือหนึ่ง
เบื่อพวกฝากซื้อของ และสอง ผมไม่ได้ไปเที่ยวแบบคนอื่นเขาไง เลยชอบไปแบบเงียบๆ
ไปแค่ไม่กี่วัน รู้เฉพาะคนที่สนิทจริงๆ
ขนาดเพื่อนที่ทำงานบางคนยังไม่รู้เลยว่าผมไปญี่ปุ่น
"งี้ก็เที่ยวครบทั้งประเทศแล้วดิ"
"ไม่หรอก"
อยู่ๆ
ก็รู้สึกเหมือนความลับที่ปกปิดไว้กำลังจะถูกเปิดเผย
ผมไม่อยากบอกเลยว่าที่ผ่านมาไปญี่ปุ่นเพราะอะไร
แต่พลั้งปากพูดไปแล้วแถมน้องหมีมันยังทำหน้าอยากรู้ซะขนาดนี้ผมควรจะแถออกไปมหาสมุทรไหนดี
"ทำไมอ่ะ"
"ก็ไม่ทำไมอ่ะ"
"แล้วพี่อินไปที่ไหนมาแล้วบ้าง"
"โตเกียวแล้วก็..." ผมลากเสียงยาวเพราะมันนึกไม่ออก ความจริงคือนอกจากโตเกียวแล้วผมก็แทบไม่ได้ไปไหนอีกเลย
เพราะฉะนั้นคำตอบคือโตเกียวที่เดียวเท่านั้น
"แล้วก็..."
"จำไม่ได้แล้ว ไหนเอาแผนเที่ยวที่ให้ปริ๊นมาดูดิ๊" เลือกมหาสมุทรแถออกไปไม่ได้ผมก็เบี่ยงประเด็นมันซะเลย
แบมือไปตรงหน้าน้องหมีขอแผนการท่องเที่ยวที่ผมใช้เวลาร่วมเดือนในการหาข้อมูลและจัดเรียงแต่ให้น้องมันเป็นคนพิมพ์เข้าเล่มมาให้
น้องหมีก็แสนว่าง่าย
ออกปากขอปุ๊บรีบเปิดกระเป๋าหยิบให้ปั๊บ เรื่องที่คุยกันอยู่เมื่อกี้ก็ลืมๆ
มันไปแล้วขึ้นหัวข้อใหม่กันเถอะ
พอเบี่ยงเบนประเด็นได้ผมก็ชวนน้องหมีคุยเรื่องที่เที่ยวในแผนการเดินทางไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง
แล้วน้องมันก็เหมือนจะลืมประเด็นการไปญี่ปุ่นที่เดียวซ้ำๆ ของผมไปเลย
ห้าชั่วโมงกับอีกห้าสิบนาทีเราสองคนก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะโดยสวัสดิภาพ
ผมเดินงัวเงียตามหลังน้องหมีไปเรื่อยๆ
ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงสายพานรับกระเป๋า เห็นผมเดินทางบ่อยๆ
ก็เถอะความจริงไม่ค่อยถูกโรคกับเครื่องบินเท่าไร แต่เพราะความอยากเลยต้องมา
ถึงไม่ชอบนั่งเครื่องบินยังไงก็ต้องมา
ที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยสองชั่วโมง
ตอนนี้จึงเป็นเวลาสี่โมงครึ่ง หลังจากได้กระเป๋าเราก็นั่งรถไฟเข้าเมืองตรงไปยังโรงแรมที่สถานีอิเคะบุคุโระ
ทิ้งสัมภาระเอาไว้แล้วจะได้ออกไปตะลุยโตเกียวในยามค่ำคืนกัน
ลากกระเป๋าใบโตด้วยความทุลักทุเลมาถึงสถานีอิเคะบุคุโระได้สองกระเหรี่ยงจากเมืองไทยก็งงเป็นไก่ตาแตก
ถึงผมจะมาโตเกียวบ่อยก็เถอะแต่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก สถานีใหญ่แถมคนเยอะเลยต้องรีบพากันไปหลบมุมเสาแล้วหยิบแผนเที่ยวที่ทำไว้มากางดู
"ออกทาง west" น้องหมีบอกแล้วชี้ป้ายให้ผมดูเราถึงได้ลากกระเป๋าไปกันต่อ
ทางออกที่พวกเราต้องออกนั้นไกลมาก
เดินผ่านร้านอาหารผมก็ได้แต่มองตามตาละห้อย มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น
แต่ด้วยสัมภาระที่ติดตัวมาเลยต้องอดไว้ก่อน
เอากระเป๋าไปโยนทิ้งที่โรงแรมเมื่อไรผมจะแวะมันทุกร้านที่อยากกินเลย
เดินมาจนถึงทางออก
บันไดเลื่อนพามาโผล่บนทางเดินแล้วก็พากันงงอีกรอบ
"ไปไหนต่อนะ" น้องหมีหันซ้ายหันขวาก่อนหันมาถามผม
"เขาบอกให้ตรงไป เจอร้านยาแล้วเลี้ยวซ้าย" บอกรายละเอียดที่หามาได้ไป
ปกติผมไม่เคยหาข้อมูลอะไรแบบนี้เลย
สามครั้งที่ผ่านมาคือมากับแก๊งเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันแถมเป็นผู้ตามตลอด
อารมณ์แบบเดินตามอย่างเดียว เขาพาไปไหนก็ไป พอต้องมานำเองแบบนี้เลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
"ตรงไป งั้นก็ข้ามถนนใช่มั้ย" ถามแล้วก็หันมาทำหน้ามึนใส่ผม
อยากจะตอบกลับไปดังๆ
ว่า 'ไม่รู้โว้ย!
มาครั้งแรก' แต่ก็ทำได้เพียงแค่ทำหน้ามึนตอบกลับไปบ้าง
"มั้ง"
สุดท้ายก็เป็นอันสรุปว่าเราจะข้ามถนน
เพราะโผล่ออกจากทางขึ้นสถานีก็เจอทางม้าลายอยู่ตรงหน้าเลย ฉะนั้น
ตรงไปก็เท่ากับข้ามถนนไปล่ะมั้งนะ
แล้วไหนล่ะร้านยา
เดินลากกระเป๋าด้วยความลำบากยากเย็นมาจนจะสุดทาง
ข้างหน้ามีถนนตัดผ่านตามด้วยกำแพงผมก็ยังไม่เจอร้านยาสักร้าน
ไหนข้อมูลบอกเดินไม่ไกลแต่นี่มันโคตรไกล ไกลมากด้วย
"มาถูกทางป่ะเนี่ย" ไม่ถามเปล่ามีการหัวเราะเยาะ
ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าตรงไปคือข้ามถนนน่ะไอ้น้องหมี
ก่อนจะได้เที่ยวต้องลุ้นว่าจะหาโรงแรมเจอหรือเปล่าด้วยใช่มั้ย
"เปิดแมพดูดิ๊"
"พี่ไม่เปิดอ่ะ"
อุตส่าห์โยนไปให้แล้วยังจะโยนกลับมาอีก
ถ้าดูเป็นคงทำเองไปแล้ว
จุดบอดเรื่องการท่องเที่ยวของผมอีกอย่างคือเดินตามแมพไม่เป็น
งงทิศ ไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหน เปิดดูแล้วไม่ช่วยอะไรรอบนี้ที่มาเองเลยเน้นการหาข้อมูลแน่นๆ
แทน แต่ตอนนี้ข้อมูลแน่นแค่ไหนก็คงไม่ช่วยอะไรเหมือนกัน ในเมื่อหลงทางไปแล้ว
ซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าการมีน้องหมีมาด้วยมันอาจจะดีก็ได้
ถ้าไม่นับเรื่องตรงไปเท่ากับข้ามถนนเมื่อกี้น่ะนะ
"แบร์นำนะ" ให้ผมเปิดผมก็เปิดแต่ยื่นมือถือไปให้น้องหมีดูเอง
น้องมันทำหน้างงนิดหน่อยแต่ก็ยอมรับไปถือไว้โดยดี
อย่าให้พี่เดินนำเลยไอ้น้อง
จากที่ควรจะถึงโรงแรมอาจจะพาเดินกลับสนามบินเลยก็ได้
สุดท้ายด้วยความสามารถของหมียักษ์ก็ทำให้พวกเรามาถึงโรงแรมได้สำเร็จ
ซึ่งทางที่เดินไปก่อนหน้านี้ก็เหมือนเป็นการสำรวจย่านนี้เล่นๆ ว่าง่ายๆ
คือไปเดินอ้อมมาเกือบครบทั้งย่านแล้วนั่นแหละ
โรงแรมที่ผมจองไว้เป็นโรงแรมเล็กๆ
และราคาถูกมาก เจ้าหน้าที่ก็สุดแสนจะเงียบขรึม จ่ายเงินให้กุญแจห้องเป็นอันจบข่าว ไม่มีการแนะนำใดๆ
ต่อทั้งสิ้น เช็คอินเรียนร้อยผมกับน้องหมีก็ลากกระเป๋าเข้าลิฟต์กดชั้นสามตามหมายเลขห้องบนกุญแจที่ได้มา
"โคตรแคบ" ประตูลิฟต์เปิดออกปุ๊บน้องหมีก็บ่นปั๊บ
จะว่าไปทางเดินมันก็แคบจริงๆ
นั้นแหละ กระเป๋าใบเดียววางก็เต็มแล้ว ยิ่งคนตัวใหญ่อย่างกับหมีขั้วโลกอย่างน้องมันไปยืนคือคับเต็มทางเดินไปหมด
เห็นแล้วก็ขำ
"ไม่ต้องมาหัวเราะ ใครให้จองที่นี่เนี่ย" ปากบ่น คิ้วขมวด
พร้อมทั้งลากกระเป๋าไปด้วยความทุลักทุเล
"อย่ามาบ่น ตอนจองก็เอาให้ดู"
"ใครจะไปรู้ว่าทางเดินจะแคบขนาดนี้"
"นอนในห้องไม่ได้นอนตรงทางเดิน"
น้องหมียู่หน้าใส่ผม
หยุดบ่นแล้วลากกระเป๋าเงียบๆ ไปยังห้องพักที่อยู่สุดทางเดิน
เปิดประตูห้องเข้ามา
เปิดสวิตช์ไฟเรียบร้อย อย่างแรกที่ผมมองหาคือเตียงนอน เตียงใหญ่กว่าติดริมหน้าต่างส่วนเตียงเล็กติดผนังห้องอีกด้าน
และนี่คือความประหลาดของโรงแรมนี้ที่สองเตียงมันขนาดไม่เท่ากัน
แม้จะต่างกันแค่ครึ่งฟุตก็ตาม
ผมกับน้องหมีมองหน้ากัน
เป็นใครก็อยากนอนเตียงใหญ่ใช่ไหม
ถ้าว่ากันตามหลักความจริงน้องหมีมันตัวใหญ่กว่าก็สมควรได้เตียงใหญ่ไป แต่ใครสน
"อิน..."
"แบร์นอนเตียงเล็กเอง" ผมยังไม่ทันพูดน้องหมีก็พูดขัดขึ้นมา มีการหันมายิ้มตาหยีให้ก่อนลากกระเป๋าเข้าไปไว้ฝั่งเตียงตัวเอง
ยอมให้ขนาดนี้ผมก็น้อมรับแต่โดยดี
ตั้งแต่เด็กแล้วที่เวลาเถียงกันทะเลาะกันน้องหมีมักจะยอมให้ผมตลอด
ทั้งที่ผมซึ่งเป็นพี่ควรจะยอมให้มากกว่า
แม้ตัวจะสูงขึ้น
แม้จะห่างกันมานาน แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี
นิสัยข้อนี้ของน้องหมีก็ยังน่ารักสำหรับผมเหมือนเดิม
ดูเป็นพี่ที่เอาเปรียบน้องชะมัด
ตามตารางที่ผมวางไว้คือหลังจากเก็บของที่โรงแรมเรียบร้อยเราจะออกไปหาข้าวเย็นกินกัน
ไม่ได้ระบุว่าจะไปที่ไหน อารมณ์แบบไปหาเอาดาบหน้า เจออะไรน่ากินก็กิน
และจากการเดินวนย่านนี้มาแล้วหนึ่งรอบทำให้ตัวเลือกผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ต่อให้อยู่เป็นเดือนก็คงกินไม่ครบทุกร้าน
"จะกินแถวนี้มั้ย หรืออยากไปที่อื่น" ผมถามลองเชิง
อันที่จริงก่อนจะรู้ว่าได้น้องหมีเป็นเพื่อนร่วมทริปผมมีแผนอยู่แล้วว่าจะไปที่ไหน
ก่อนมาก็เช็คตารางเรียบร้อยและคิดว่าจะไม่พลาดแน่ๆ ใจหนึ่งก็อยากไปใจหนึ่งก็ไม่อยากเพราะน้องหมี
ความชอบของคนเรามันเหมือนจะซะที่ไหน
เกิดพาไปแล้วน้องมันไม่เอ็นจอยขึ้นมาจะพาลเอาผมเซ็งไปด้วย
"แถวนี้ก็ได้ หรือพี่อินมีที่ไหนแนะนำมั้ย เอาที่ไม่มีในแผนนะ"
"ที่จริงก็มีอยู่ที่นึง" เสริมอีกนิดว่าเป็นย่านที่มีในแผนแต่ไม่คิดว่าจะพาไปเพราะอยากจะไปคนเดียว
เฮ้อ!
แล้วผมจะบอกน้องมันทำไมวะ
เกริ่นซะน่าไปขนาดนี้น้องหมีมันเลยทำหน้าตาอยากรู้เข้าไปใหญ่
"ที่ไหน"
"อากิบะ"
"ฮะ" พูดชื่อย่อก็ไม่เข้าใจ มาทำหน้างงใส่ผมอีก
มาเที่ยวนี่ศึกษาอะไรมาบ้างมั้ยเนี่ย
"อากิฮาบาระ"
"มันมีในแผนไม่ใช่เหรอ"
"ก็ไปส่วนที่ไม่ได้อยู่ในแผนไง"
ได้ยินแบบนี้น้องหมีก็ทำหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที
แต่พาไปแล้วน้องมันจะชอบหรือเปล่า ผมกับน้องมันชอบอะไรคนละสไตล์กันด้วย
"มันแพงนะ กินเสร็จอาจจะไม่อิ่มก็ได้" พูดดักไว้ก่อน ที่ที่ผมอยากไปคือไปเอาความสุขใจล้วนๆ
เป็นความชอบส่วนบุคคลจริงๆ
แต่สำหรับน้องหมีแล้วดูเหมือนเรื่องเงินจะไม่ใช่ปัญหา
"ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มดิ จ่ายได้น่า มาเที่ยวต้องเอาให้คุ้ม"
ถ้าพาไปก็เท่ากับว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของผมซึ่งน้อยคนนักที่รู้อาจจะถูกเปิดเผย
ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก แต่กับน้องหมี เด็กที่เคยเดินตามผมต้อยๆ
มีผมเป็นที่พึ่งเดียวในตอนนั้น หลังจากห่างหายจากกันไปเกือบสิบปีมารู้ว่าตอนโตรสนิยมผมกลายเป็นแบบนี้ความนับถือมันจะยังหลงเหลืออยู่ไหม
"สรุปพี่อินจะพาไปไหน"
ผมยังไม่ตอบในทันที
มองหน้าน้องมันแล้วยิ้มแห้งๆ หรือบางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
"บอกมาเร็วๆ"
มาถึงญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องไปที่แบบนี้ดิถึงจะถูก
จริงมั้ย
"เมดคาเฟ่"
TBC.
ตอนแรกมาแล้วเป็นยังไงกันบ้าง
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยน้า
ตอนหน้าจะพาไปเมดคาเฟ่กัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ความคิดเห็น