คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 น้องผมตัวเท่านิ้วก้อย
ตอนที่ 1
น้องผมตัวเท่านิ้วก้อย
เด็กสมัยนี้น่ะโตเร็ว ตัวยืดเอาๆ เผลอแป๊บเดียวผมที่เกิดก่อนตั้งห้าปีต้องเงยหน้าคุยด้วยแล้ว แต่ไม่ว่าส่วนสูงจะนำหน้าผมไปไกลแค่ไหน น้องก็คือน้อง ยังเป็นเด็กน้อยที่น่ารักของผมไม่เปลี่ยนแปลงแม้วันนี้เด็กคนนั้นจะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วก็ตาม
“เรนนี่กินเหล้าครั้งแรก มึงอย่าให้น้องกินเยอะ” ผมปรามอีสกาย มันเป็นพี่สาวแท้ๆ ของน้องชายผม เราจัดงานวันเกิดเล็กๆ เพื่อฉลองอายุครบยี่สิบปีให้น้องเรนโบว์หรือน้องเรนนี่สุดที่รักที่คอนโดผม อันเป็นที่พักอาศัยของผมและน้องชายของผมเช่นกัน
“ครั้งแรกห่าอะไร มันแดกเป็นตั้งแต่สิบแปด”
“มึงมั่วอ่ะอีกาย”
“มึงนั่นแหละถูกภาพลักษณ์มันหลอกตา”
สกายมันเมาเลยพูดจามั่วซั่วหาความจริงไม่ได้ เรนนี่ของผมเคยกินเหล้าที่ไหน ผมเลี้ยงมากับมือประคบประหงมมาอย่างดี พี่สาวแท้ๆ อย่างมันที่ปล่อยปละละเลยจะไปรู้อะไร
“ถูกหลอกอะไร เรนนี่ออกจะน่ารักเป็นเด็กดี ใช่มั้ยคร้าบ” ผมหันไปขอความเห็นจากน้องชายของเราทั้งสองที่เอาแต่นั่งนิ่ง มองพี่สาวแท้ๆ สลับกับพี่ชายแอบอ้างที่เลี้ยงดูปูมาเสื่ออย่างดีแบบผม
“ลี่เมาแล้วนะ”
“ลี่เฉยๆ ได้ไงเรนนี่ ต้องเรียกพี่ลี่ ตบปากแล้วพูดใหม่เดี๋ยวนี้” ผมชี้หน้าบอก ไม่เคยสอนให้เรียกชื่อเฉยๆ แต่เด็กนี่ชอบเรียกผมแบบนี้ประจำ
เอ่อ...ผมหมายถึงน้องเรนนี่ตัวน้อยต่างหาก เด็กนี่อะไรกัน ตบปากตัวเองสิบทีเดี๋ยวนี้
“พี่ลี่”
“ดีมาก น้องเรนนี่ตัวเท่านิ้วก้อยของพี่”
“นิ้วก้อยอะไรของมึง อย่างไอ้เรนเนี่ยนิ้วโป้งตีนไททันลิงยังเล็กไป” อีพี่สาวสารเลว เปรียบเทียบน้องชายได้ส้นตีนมาก
“นิ้วก้อยในใจกู”
“ก็เรื่องของมึง”
“ก็เรื่องของกูไง”
“พอๆ”
เรนนี่ที่รักของผมยกมือห้ามด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ เป็นปกติของผมกับอีสกายที่ชอบทะเลาะกันโดยเฉพาะเวลามีแอลกอฮอล์ในร่างกายแบบนี้ แต่ผมกับมันไม่เคยตีกันนะ แค่เถียงกันให้พอเป็นสีสัน ชีวิตวัยทำงานมันเครียดต้องได้ปลดปล่อยกันบ้าง
“เรนนี่” ผมโผเข้าหาน้องชายตัวน้องของผมจนแว่นสายตาที่สวมอยู่บี้ติดมากับหน้า เรนนี่ดันหน้าผมออกด้วยความรักก่อนดึงแว่นออกให้ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะผมยังมองเห็นความน่ารักของเรนนี่ชัดเหมือนเดิม สายตาผมสั้นแค่สองร้อยเอง
“พี่ลี่ไปนอน เดี๋ยวเรนพาไป”
“นอนอะไรกำลังสนุก” ถึงตอนนี้จะตีสามแล้ว ถึงเราจะมีกันแค่สามคน แต่เหล้ายังไม่หมด
“ถ้าอ้วกทิ้งไว้นี่เลยนะ”
“ไม่ต้องมาขู่พี่ เรนนั่นแหละอย่าอ้วก กินเยอะมั้ยนั่น ห้ามกินเยอะนะเดี๋ยวแฮงค์ อ้าว! อีสกาย มึงหนีหลับก่อนได้ไง” คุยกับเรนนี่อยู่ดีๆ หันมองเพื่อนอีกทีมันก็หลับไปแล้ว
“งั้นพี่ลี่ก็ไปนอน”
ตัวผมถูกหิ้วขึ้นพาดบ่าโดยไม่ถามความสมัครใจ อยากโวยวายแต่รู้สึกไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะต่อต้านได้ คิดว่าตัวใหญ่กว่าแล้วจะบังคับผมได้เหรอ ต่อให้สูงชะลูดเท่าต้นตาลโตนดเรนนี่ก็ยังเป็นเด็กน้อยน่ารักตัวเท่านิ้วก้อยของผมอยู่ดี
ตุบ
โธ่เอ๊ยไอ้เด็กน่ารักของพี่ วางกันซะแรงเชียวนะ
หลังสัมผัสความนุ่มของที่นอน ผมลืมตามองน้องชายผู้น่ารักที่ยืนอยู่ปลายเตียง เอ่ยขอบคุณเบาๆ อยู่ในใจก่อนหลับตาลงอีกครั้ง นึกถึงความน่ารักของเด็กที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่ยังเป็นทารกแบเบาะแล้วริมฝีปากก็แย้มยิ้มอย่างห้ามไม่ได้
วันนี้ก็เป็นเด็กดีเหมือนเดิมเลยนะ เชื่อฟังพี่ไม่กินเหล้าเยอะ น้องใครน่ารักจริงๆ
“พี่ลี่”
ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างหู ผมปรือตามองก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเมื่อถูกแสงสว่างรบกวน วันนี้วันหยุดจะกี่โมงแล้วก็ช่างผมจะนอนต่อ
“เรนจะออกไปข้างนอกแล้วนะ”
เสียงของผู้อาศัยอีกคนดังขึ้นอีกครั้ง ผมฝืนลุกขึ้นนั่ง รู้สึกมึนหัวนิดหน่อย ตายังลืมได้ไม่เต็มทีแต่ยังพอเห็นว่าคนที่ยืนข้างเตียงแต่งตัวหล่อขนาดไหน
“เรนนี่จะไปไหน”
“ไปหาเพื่อนไง คงกลับเย็นๆ”
หันมองนาฬิกาดิจิทัลบนหัวเตียง บอกเวลาเที่ยงสามสิบเจ็ดนาที
“รีบไปไหนเช้าขนาดนี้”
“เช้าอะไร จะบ่ายแล้ว”
“นัดเจอที่ไหนเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
หลังจากมีเวลาให้ตั้งสติอาการงัวเงียก็ค่อยๆ หายไป ความทรงจำเรื่องนัดหมายที่น้องชายเคยบอกไว้ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นมา ผมสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กระเถิบไปที่ปลายเตียงแล้วหย่อนขาลง เรนนี่สุดที่รักก็เดินมายืนขวาง เชยปลายคางผมให้เงยขึ้นมองหน้า เป็นการกระทำแปลกประหลาดที่ทำเอาผมชะงักค้างอย่างงงงวย
“อะไร”
“นอนต่อไปเลย เดี๋ยวเรนไปเอง”
“ไม่ง่วงแล้ว” ผมหันหน้าหนี ดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วก็หน้ามืดเซลงไปนั่งบนเตียงอีกครั้ง
“เป็นอะไร”
เมื่อลืมตาขึ้นอีกทีเรนนี่ก็ลงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าผม มองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยจนอยากจะหอมหัวแรงๆ สักที
“หน้ามืดนิดหน่อย”
“ก็บอกแล้วไงให้นอนต่อ”
“แค่ลุกเร็วเฉยๆ ไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรก็ไม่ต้องไปส่ง มีงานที่พี่ลี่ต้องเคลียร์อีกเยอะเลย เรนนัดเพื่อนไว้บ่ายโมง ไปนะเดี๋ยวสาย” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องเอนหนี ยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปปล่อยให้ผมนั่งเคว้งคว้างอยู่คนเดียว
ยีผมตัวเองแรงๆ ก่อนล้มตัวลงนอน บิดขี้เกียจอยู่สองสามครั้งก่อนเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งใช้เป็นสถานที่ฉลองวันเกิดอายุครบยี่สิบปีของเรนนี่เมื่อคืน สภาพห้องที่เห็นทำให้ผมเข้าใจคำว่า ‘มีงานที่พี่ลี่ต้องเคลียร์’ ในทันที
ทำไมห้องมันเละขนาดนี้ได้วะเนี่ย
บนโต๊ะเต็มไปด้วยซองขนมที่กินหมดบ้างเหลือทิ้งบ้าง เศษขนมเกลื่อนกลาดบนพื้นเหมือนมีหนูมาวิ่งเล่น สภาพเค้กที่กินเหลือก็เละตุ้มเป๊ะ กระป๋องเบียร์ของสกายวางเกลื่อน ขวดเหล้า มิกเซอร์ และแก้วของผมยังวางอยู่ที่เดิม ก่อนไปนอนเป็นยังไงตื่นมาเช้านี้สภาพห้องยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ถอนหายใจใส่ความรกที่ต้องเคลียร์ก่อนมองหาเพื่อนร่วมงานฉลองอีกคนที่ยังนอนอืดอยู่บนโซฟา ต้องขอบคุณเรนนี่สุดน่ารักที่อุตส่าห์แบกผมไปนอนบนเตียงและทิ้งพี่สาวตัวเองไว้ตรงนี้
ผมหันหลังให้เศษซากงานฉลองและปล่อยเพื่อนสาวให้นอนหลับอย่างสบายใจต่อไป ตอนนี้เหม็นตัวเองสุดๆ จนทนไม่ไหว กลิ่นเหล้าติดตัวหึ่งชวนให้สงสัยว่าเมื่อคืนเรนนี่ทนนอนด้วยกันหรือเปล่า หรือว่าลากผ้าห่มลงไปนอนข้างเตียง
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยก็นั่งเป่าผมหน้าพัดลม จิ้มมือถือเข้าไปดูไอจีสตอรี่ที่เรนนี่ตอบกลับคำอวยพรของเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง และคนรู้จัก ซึ่งหนึ่งในนั้นมีของผมรวมอยู่ด้วย
รูปคู่ในชุดนอนกับคำอวยพรที่ยาวเหมือนเรียงความ แต่ได้หัวใจกลับมาแค่ดวงเดียว
จะคิดเสียว่านี่คือหัวใจของเรนนี่ที่แบกรับความรักของผมเอาไว้แล้วกัน
ไล่ดูสตอรี่ไปเรื่อยๆ ก็เจอรูปที่สกายอวยพรน้องชาย กับคำตอบกลับยาวกว่าของผมที่ชวนให้อิจฉา แต่มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว สกายมันเลี้ยงน้องได้ดีและเรนโบว์ก็รักมันมาก แล้วก็มีผมที่พยายามยัดตัวเองเข้าไปเป็นหนึ่งในครอบครัวนั้น เพราะเกิดเป็นลูกคนเดียวเลยอิจฉาที่ไม่มีน้องชายกับเขาบ้าง
ชีวิตน่าเศร้าเพราะพ่อเสียชีวิตตอนผมสามขวบ อยากมีน้องก็มีไม่ได้ ทุกวันนี้แม่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวไม่คิดจะรักใครทั้งที่ผมไม่เคยปิดกั้นเลยหากแม่คิดจะมีรักใหม่ แต่เพราะรักและผูกพันมากจึงยากที่จะลืมพ่อได้ลง เป็นความรู้สึกที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน
ไล่ดูสตอรี่จนครบก็โยนมือถือทิ้งไว้บนเตียงแล้วเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น หยิบแว่นตาที่วางอยู่บนโต๊ะมาเช็ดเลนส์ก่อนใส่ มองสกายที่ยังไม่ยอมตื่นและปล่อยให้มันนอนต่อโดยไม่คิดปลุก จากนั้นก็เริ่มลงมือเก็บกวาดห้องนั่งเล่น สร้างมลพิษทางเสียงจากเศษถุง กระป๋องเบียร์ และขวดแก้วจนในที่สุดมันก็ตื่นขึ้นมาเอง
“เสียงดัง” หน้ายับหมดสภาพ ขยับปากบ่นทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“ลุกมาช่วยกูเก็บเลย”
“ไอ้เรนอ่ะ”
“ออกไปหาเพื่อนแล้ว”
“ล้างหน้าแป๊บ” มันบอกก่อนลุกไปเข้าห้องน้ำ แถมยังเตะกระป๋องเบียร์ที่ผมกำลังจะเก็บจนกระเด็นไปอีก
เอาเป็นว่าผมจะไม่ถือสาเพราะมันยังงัวเงียอยู่ก็แล้วกัน
กว่าจะสกายจะออกมาจากห้องน้ำผมก็เก็บกวาดเสร็จพอดี คำว่าล้างหน้าของมันหมายถึงธุระทุกอย่างที่สามารถจัดการได้ในห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แถมยังเอาชุดน้องชายมาใส่โดยไม่ดูขนาดตัวของตัวเอง หลวมโพรกขนาดนี้มันจงใจให้คนมองเข้ามาว่าเอาชุดผัวมาใส่แน่ๆ มาถึงมันก็ทิ้งตัวบนโซฟาทำตัวเป็นคุณนาย บ่นหิวข้าวทั้งที่ยังไม่ได้ออกแรงทำอะไร
เราลงไปหาอะไรกินที่ร้านข้าวตามสั่งใกล้คอนโด สกายมันแวะมาที่นี่บ่อยจนรู้จักเขาไปทั่ว ส่วนใหญ่จะแวะมาหาน้องชายที่เอาฝากให้ผมเลี้ยงระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยเพราะอยู่ใกล้และเดินทางสะดวก ผมเองก็ได้ที่ทำงานไกลบ้านจึงตัดสินใจมาซื้อคอนโดไว้ที่นี่ กลับบ้านแต่ละทีก็หอบเรนนี่กลับด้วยกัน
ผมบอกไปหรือยังนะว่าผมกับสกายเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ถ้าให้เปรียบเทียบคงคล้ายๆ กับเรื่องแฟนฉัน ครั้งหนึ่งเคยหลงผิดคิดอยากมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับมันอยู่เหมือนกัน แล้วก็ตระหนักได้ในเวลาอันรวดเร็วว่าไม่น่าไปกันรอด สุดท้ายเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทมาจนถึงตอนนี้
“เรนมันบอกจะกลับกี่โมงนะ” สกายถามระหว่างนั่งรอข้าวที่สั่งไป มองมันที่อยู่ในชุดของน้องชายแล้วเหมือนเห็นเรนนี่ย่อส่วนยังไงก็ไม่รู้ หากพูดถึงเรื่องหน้าตาสองพี่น้องคู่นี้มีความคล้ายกันมากเลยทีเดียว
“เห็นบอกเย็นๆ”
“ป่านนี้คุณนายทำเค้กเสร็จแล้วมั้ง”
“รู้มั้ยนั้นว่าลูกชายจะกลับกี่โมง”
“มันบอกแม่ไปแล้วมั้ง”
คุณแม่บ้านนี้เขาชอบทำขนม จะโอกาสพิเศษหรือไม่พิเศษก็มีมาให้กินอยู่เรื่อยๆ ชอบลองอะไรใหม่ๆ หรือไม่ก็เมนูที่กำลังฮิตในช่วงนั้น ลูกๆ เลยได้อานิสงส์ไปเต็มๆ ลูกชายโมเมอย่างผมก็ด้วย
“แป๊บเดียวเรนมันยี่สิบแล้วอ่ะ โคตรเร็ว”
“มันก็โตเหมือนพวกเรานี่แหละ แต่ยิ่งโตยิ่งยืดเหมือนไม่ใช่ลูกบ้านกู” เป็นเรื่องน่าแปลกที่ครอบครัวนี้ไม่มีใครตัวสูงเลยสักคน อย่างพ่อของสกายก็ร้อยเจ็ดสิบกว่า แต่ลูกชายแตะร้อยแปดสิบไปแล้ว
“บางทีอาจจะเป็นลูกบ้านกูก็ได้”
“มึงนี่ก็ขยันเคลมน้องชายกูจัง”
“พูดซะเสีย”
“หรือไม่จริง”
“กูก็รักของกูมั้ยอ่ะ รักเหมือนน้องชายแท้ๆ” ความปรารถนาอยากมีน้องชายมันแรงกล้า ในเมื่อมีเองไม่ได้ก็ต้องแย่งน้องชายเพื่อนเอา
สกายทำเป็นขำออกจมูก มันเบือนหน้าใส่ผมเหมือนมีเรื่องน่าขำ ก็จริงที่ว่าผมไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่เรนนี่มันก็รักผมมากนะโว้ย ไม่อย่างนั้นไม่ยอมย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรอก
ข้าวที่สั่งไว้มาเสิร์ฟประเด็นเรื่องน้องชายก็ถูกหยุดไว้แค่นั้น กินเสร็จขึ้นห้องไปนอนต่อ รอเวลาน้องชายตัวเท่านิ้วก้อยของผมโทรให้ไปรับ และเดินทางกลับบ้านพร้อมกัน
แวะรับเรนนี่ที่สยามตอนห้าโมงเย็น ผมส่งสองพี่น้องที่หน้าบ้านก่อนเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้านตัวเอง จากนั้นก็พาแม่ไปงานวันเกิดน้องชายข้างบ้านด้วยกัน แขกมาร่วมงามครบก็ปิดไฟเป่าเทียนบนเค้กและอธิษฐาน ตบท้ายด้วยการป้ายครีมเค้กบนจมูกเจ้าของวันเกิดก่อนจะเปิดไฟ
“พี่ลี่” เด็กน้อยของผมทำหน้างอ แตะครีมที่เปื้อนปลายจมูกมาดูก่อนเช็ดมันกับเสื้อ แน่นอนว่าโดนแม่ดุไปตามระเบียบ
“ไม่เอาของกินไปเช็ดเสื้อผ้าสิเรน”
งานฉลองเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมหยิบทิชชูมาเช็ดจมูกให้เรนนี่ภายใต้สายตาหมั่นไส้ของพี่สาวที่กำลังเคี้ยวขนมตุ้ยๆ วันนี้ทั้งวันเหมือนผมมีชีวิตอยู่เพื่อฉลอง กิน และนอนเท่านั้น
กินจนอิ่มก็ได้เวลาแกะของขวัญจากคนที่รัก เรนนี่ได้ชุดใหม่ครบเซตเพราะทุกคนเตี๊ยมกันไว้ว่าจะซื้ออะไรให้บ้าง ผมให้เสื้อ สกายให้กางเกง พ่อให้รองเท้า แม่ให้กระเป๋า ส่วนแม่ผมให้หมวกแก๊ป ชุดเท่ๆ ที่ผมกับสกายเป็นคนเลือกให้
เจ้าเด็กน้อยของผมยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นของขวัญแต่ละชิ้น เอ่ยคำขอบคุณด้วยสีหน้าน่ารักน่าชัง ถูกยุให้ใส่ก็แต่งให้ดู ผมหยิบมือถือขึ้นมารัวชัตเตอร์จนเมมโมรีเกือบเต็ม ถ้าทำโทรศัพท์หายขึ้นมาคนเก็บได้ต้องคิดว่าเรนนี่เป็นเจ้าของเครื่องแน่ๆ
ถึงเวลางานเลี้ยงเลิกราเค้กยังเหลืออยู่นิดหน่อย ผมตักใส่จานชวนเด็กน้อยไปนั่งชิงช้าไม้ตรงสวนเล็กๆ ติดรั้วบ้านผม อยากใช้เวลาร่วมกันอีกสักนิดก่อนวันสำคัญจะผ่านพ้นไป
“สุขสันต์วันเกิดนะ”
“พูดรอบที่ล้านได้แล้ว”
โดนประชดใส่แต่ผมไม่โกรธ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ฉีกยิ้มกว้างให้ การกระทำที่มักทำให้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ผงะและถอยหนีทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น
“ไม่ถอยหนีแล้วเหรอ”
“ทำไมต้องถอย”
“ก็ทุกทีชอบถอย”
“เหรอ” พูดแล้วก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ กลายเป็นผมเองที่ต้องขยับหนี
“เอาคืนเหรอ”
ริมฝีปากของคนที่กำลังสบตาเหยียดยิ้ม เจ้าเด็กน้อยขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเหมือนอยากเอาคืนคดีทั้งหมดที่ผมเคยก่อไว้ แต่ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอก
นิ้วจิ้มครีมเค้กในจานที่ถืออยู่แล้วป้ายไปที่จมูก เรนนี่ชะงักก่อนถอยกลับไปนั่งตัวตรง ทำให้ผมหยุดการโจมตีของเจ้าเด็กน้อยตัวเท่านิ้วก้อยไว้ได้สำเร็จ
“เรนจำตอนเด็กๆ ที่เคยถูกแกล้งตอนวันเกิดได้มั้ย”
“จำได้ดิ”
“วันนั้นมีเด็กร้องไห้ด้วย”
“เพราะมีพี่ใจร้ายแกล้งทะเลาะกันแล้วทิ้งน้องไว้กลางทางไง”
เราไม่ได้มองหน้ากันยามพูด ดวงไฟริมทางกลางท้องฟ้าดำมืดกลายเป็นที่พักสายตา เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ต้องยิ้มรู้สึกผิด วันนั้นหลังเลิกเรียนผมกับสกายวางแผนเซอร์ไพรส์วันเกิดน้องชายโดยการแกล้งทะเลาะกันแล้วปล่อยให้เรนนี่เดินกลับบ้านเองจากหน้าปากซอย แต่ปรากฏว่าเด็กน้อยร้องไห้จ้า แผนที่จะเอาเค้กออกมาเซอร์ไพรส์ตอนน้องเดินกลับมาถึงบ้านเลยล้มไม่เป็นท่า กลายเป็นว่าผมต้องวิ่งกลับมาเอาเค้กที่บ้านขณะที่สกายคอยปลอบเรนนี่ที่ร้องไห้ไม่หยุด ขนาดเห็นเค้กก็ยังไม่หยุดร้องจนผมกับสกายต้องกอดกันให้ดูว่าคืนดีกันแล้ว เป็นวันเกิดอายุครบสิบขวบที่ทำให้ผมรักเด็กคนนี้มากขึ้นเป็นเท่าตัว
จากวันนั้นก็ผ่านมาสิบปีพอดี
“เรนนี่รักพี่มากดูออก”
เด็กน้อยของผมหลุดขำ หันมาสบตาทำหน้าหล่อใส่ แต่ครีมเค้กที่ผมป้ายติดปลายจมูกอีกฝ่ายไว้ดึงความสนใจจากหน้าหล่อๆ ไปหมด
“ไม่เช็ดเค้กออกเหรอ”
“เช็ดให้หน่อยดิ” บอกแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาหา พอโตเป็นหนุ่มก็ไม่กลัวจะถูกผมโจมตีแล้วสินะ
น้องขอทั้งทีมีหรือผมจะขัด ยื่นมือไปหมายเช็ดครีมที่เปื้อนออกให้ แต่แล้วทำไมเรนนี่สุดน่ารักถึงได้จับข้อมือทำไว้ เกิดความฉงนสงสัยอยู่ในใจ ทว่ายังไม่ทันได้ถามอะไรครีมเค้กบนปลายจมูกนั้นก็เปลี่ยนมาอยู่บนแก้มผม
ช็อก!
ผมกะพริบตาปริบ มองเรนนี่ที่เพิ่งขโมยหอมแก้มผมไป มันเรียกว่าหอมแก้มได้มั้ยหรือควรเรียกว่าโดนเอาคืนดี ปกติน้องไม่เคยทำแบบนี้ ทุกทีขอหอมแก้มทีไรต้องดันหน้าผมออกตลอด แล้วทำไมครั้งนี้ถึง...
“อยากหอมแก้มก็ไม่บอก มานี่เลย”
ถึงจะอะไรก็ช่างแต่ผมขอเอาคืนหน่อยเถอะ
วาดแขนล็อกคอเป้าหมายไว้ไม่ให้หนี แต่ไอ้เด็กนี่ เอ๊ย! น้องเรนนี่ของผมนั้นแรงเยอะไม่สมกับตัวเล็กๆ เท่านิ้วก้อยเลยสักนิด ดันหน้าผมทีเดียวก็แทบหงายหลัง ต้องให้ออกแรงวิ่งไล่ชวนออกกำลังรอบดึก
ไม่ได้หอมแก้มคืนผมไม่ยอมกลับบ้านแน่ๆ บอกไว้ก่อนเลย
“มานี่เลย” คว้าตัวได้ผมก็แนบปากลงบนแก้มนุ่มนิ่ม ขอขี้โกงนิดหน่อยเรนนี่คงไม่ว่ากัน
“ไม่เล่นแล้ว” พอโดนเอาคืนว่าหน้างอ
“ก็ใครล่ะเริ่มก่อน”
“ลี่จูบอ่ะไม่ได้หอม”
“พี่ลี่”
“นั่นแหละ พี่ลี่จูบไงไม่ได้หอม”
“เหมือนๆ กันแหละ”
“ไม่เหมือน”
ทำหน้าจริงจังเถียงกลับแบบที่ผมต้องอมยิ้ม ตัวโตแค่ไหนเวลางอแงก็ยังเป็นเด็กน้อยเหมือนเดิม
“ไปอาบน้ำนอนไป พี่จะกลับบ้านแล้ว ฝากเก็บจานเค้กด้วยนะ”
“ไรอ่ะ”
“โทษฐานที่ปล่อยให้พี่เก็บห้องคนเดียว ไปนะ” ตบไหล่บอกลา เดินออกจากรั้วบ้านโดยมีน้องชายสุดที่รักเดินมาส่ง
เป็นวันเกิดน้องชายที่ผมมีความสุขจริงๆ
tbc
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ความคิดเห็น