คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : MY STORY IS A LIE:: CHAPTER THIRTEEN
MY STORY IS A LIE:: CHAPTER THIRTEEN
1 สัปดาห์ กับอีก 15 ชั่วโมง 38 นาที ก่อนถึงวันเกิดของเจนัว
เมื่อหลายวันก่อนฉันบอกกับเจนัวว่าอยากไปพบคุณปู่ของเขา เพราะตั้งแต่คบกันมาฉันยังไม่เคยได้พบท่านเลยสักครั้ง และที่สำคัญที่สุด ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองในฐานะว่าที่หลานสะใภ้เลย ตอนที่ฉันบอกเขาไปแบบนั้น เจนัวทำหน้านิ่งไปเกือบหนึ่งหน้าที่จนฉันแอบหวั่น แต่คุณรู้มั้ยว่าเขาตอบฉันมาว่ายังไง?
‘ถ้าได้เจอคุณปู่แล้ว เธออาจเปลี่ยนใจไม่อยากเป็นหลานสะใภ้ของท่านก็ได้’
แต่ถึงเขาจะตอบกลับมาแบบนั้นฉันก็ยังยืนยันเจตนาที่ยังอยากจะพบท่านอยู่ดี ถึงแม้จะแอบไม่ค่อยหมั่นใจก็เถอะ (เพราะฉันได้ยินมาว่าคุณปู่ของเจนัวท่านเป็นคนที่ดุมาก) เจนัวเลยบอกว่าวันนี้ตอนบ่ายจะมารับฉันไปพบคุณปู่ด้วยกัน
แต่ว่าคุณเชื่อพวกเรื่องลางสังหรณ์กันหรือเปล่า? อย่างเช่นถ้าเกิดจู่ๆ ตาซ้ายกระตุกก็แสดงว่าวันนั้นทั้งวันจะโชคร้ายน่ะ -____-
ในประเด็นของฉันมันไม่ใช่ตาซ้ายกระตุกหรอก แต่เป็นเพราะการได้เจอหน้าคนที่ตัวเองไม่ชอบตั้งแต่หัววันต่างหากล่ะที่ฉันถือว่าเป็นลางไม่ดีเอาซะเลย!
“มาทำไม?” ฉันทักนายหนานเฟยห้วนๆ ตีสีหน้าเบื่อหน่ายใส่ ส่วนหมอนั่นก็ยิ้มตอบกลับมาก่อนตอบ
“พ่อคุณชวนผมมา J”
คุณพ่อ? -_____-
“งั้นก็เชิญตามสบาย!” ฉันกระแทกเสียงใส่ในท้ายประโยค แล้วก้าวเท้าเดินอกมาจากห้องรับแขก ตอนแรกฉันคิดว่าจะนั่งรอเจนัวมารับอย่างสบายๆ ใจอยู่แล้วเชียว แต่พอเห็นหมอนี่โผล่มาแบบนี้ หมดกันความสบายใจ!
“มีนัดกับแฟนคุณหรือไง?” เสียงคำถามลอยๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“เรื่องของฉัน!” ฉันหันขวับกลับไปมองเขาตาขวาง
“ผมก็ยังไม่ได้พูดซะหน่อยนี่ว่าเป็นเรื่องของผม J”
“ไอ้บ้า!”
“ครับ ว่าไง? J”
“นายเป็นพวกโรคจิตหรือไงถึงได้ชอบกวนประสาทคนอื่นนัก!?”
“ไม่นี่ ผมปกติดีทุกอย่าง คุณก็เห็น” เขายังคงตอบกลับมาหน้าซื่อ ไม่ทุกข์ร้อนอะไร ในขณะที่ฉันเริ่มจะหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว จนอยากจะตบหน้าเขาสักฉาดแล้วตามด้วยน้ำสักแก้วให้หายโมโห
“เลิกกวนประสาทฉันสักที!!”
“งั้นคุณก็นั่งอยู่คุยเป็นเพื่อนผมจนกว่าผมจะหายเบื่อสิ แล้วผมจะไม่กวนประสาทคุณอีกเลย J”
พอเขาตอบกลับมาแบบนั้นฉันเลยตั้งท่าจะสวนกลับอีกทันที แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว บางทีการลองพูดกับเขาดีๆ อาจจะทำให้เขาเลิกกวนประสาทฉันก็ได้ -________-
“นายบอกว่านายชอบฉันใช่มั้ย?”
“อืม ก็ชอบ” เขาตอบพลางไหวไหล่
แต่ว่าที่ตอบมาว่า ก็ชอบ นี่หมายความว่ายังไง?!
...ไม่เอาน่าน้ำขิง ใจเย็นๆ เข้าไว้!
“ฉันมีเวลาถึงแค่สิบเอ็ดโมง จะนั่งคุยอยู่เป็นเพื่อนนายก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่านายจะต้องเลิกกวนประสาทฉัน และก็ห้ามมาให้ฉันเห็นหน้าอีกด้วย!” ฉันยื่นข้อเสนอย้อนรอยเขาบ้าง
นายหนานเฟยฉีกยิ้มกวนๆ ก่อนจะตอบกลับมา
“...ผมว่าคุณต้องเป็นพวกหลงตัวเองน่าดูเลย”
อ...ไอ้หมอนี่!!
“แต่เอาเถอะ ยังไงเราก็คงไม่ได้เจอกันอีกอยู่แล้ว เอาเป็นว่าผมรับข้อเสนอของคุณแล้วกัน”
“แสดงว่านายจะกลับฮ่องกงแล้วเหรอ?”
“อืม” เขาพยักหน้าตอบ
“ก็ดี ฉันจะได้สบายใจซะที” ฉันพึมพำ
“ว่าไงนะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ฉันตอบก่อนจะยิ้มแบบจริงใจให้เขาเป็นครั้งแรก แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม “ว่าแต่ ทำไมนายถึงจะกลับไปล่ะ?”
ถามไปงั้นแหละ -*-
“ผมก็คิดถึงแฟนผมบ้างสิครับคุณ -O-” เขาว่า
“แฟน? นายมีแล้ว??”
“ครับ มีแล้ว คุณพ่อคุณไม่ได้บอกเหรอว่าผมกำลังจะแต่งงานเร็วๆ นี้”
ช๊อคเข้าไปอีก.....
มีแฟนแล้วยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่กำลังจะแต่งงานแล้วด้วย!! ให้ตายสิ แล้วที่เขาบอกว่าชอบฉันมันไม่ได้แปลว่าเขากำลังนอกใจแฟนหรอกเหรอ?!
“งั้นที่นายบอกว่าชอบฉัน ก็แสดงว่านายนอกใจเธอน่ะสิ!”
“เฮ้ๆ คุณพูดแบบนี้ผมก็เสียหายแย่สิครับ ที่ผมบอกว่าชอบคุณ มันไม่ได้แปลว่าผมคิดอะไรลึกซึ้งกับคุณอย่างที่คิดแบบคนรักเสียหน่อย -O-;”
“แก้ตัวชัดๆ” ฉันว่าเขา
“ผมพูดจริงๆ คุณก็มีแฟนแล้วนี่ ทำไมผมจะต้องนอกใจผู้หญิงที่ผมรักแล้วไปแย่งผู้หญิงของคนอื่นด้วยล่ะ?”
...นั่นสินะ สรุปว่าหมอนี่ไม่ได้นอกใจแฟนแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรกับฉันทั้งนั้น ทั้งหมดมันเป็นความเข้าใจผิดที่ฉันคิดไปเองล้วนๆ เลยงั้นสินะ!
ฉันละสายตาที่จ้องจับผิดเขา ส่วนเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาที่ฉันยัดเหยียดให้เพราะความเข้าใจผิด
“แล้วนายจะกลับไปวันไหนล่ะ”
“ก็คงอีกสักวันสองวันน่ะ ผมยังทำธุระไม่เสร็จ”
“งั้นเหรอ” ฉันว่าก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือ เพิ่งจะสิบโมงกว่าๆ เอง แฮะ ทำไมเวลามันเดินช้าอย่างนี้นะ แต่จะว่าไปฉันยังไม่ได้เตรียมใจหรือท่องบทอะไรเลยนะ อุตสาห์นอนท่องทั้งคืน -___-
“วันนี้คุณมีนัดพิเศษมากๆ เลยนี่ ...เกี่ยวข้องกับญาติผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายด้วย” จู่ๆ นายหนานเฟยก็พูดขึ้นมา ฉันขมวดคิ้วจ้องหน้าเขาทันที
หมอนี่รู้ได้ยังไง??
“ตกใจที่ผมรู้ขนาดนั้นเลยเหรอ? ” เขากระตุกยิ้มมุมปากทันที เมื่อเห็นว่าฉันมีสีหน้าแปลกใจที่เขารู้
“นายรู้ได้ยังไง?”
“ผมยังสามารถบอกอนาคตหรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคนๆ นั้นได้อีกนะ เพียงแค่สัมผัสมือของอีกฝ่าย คุณจะลองมั้ยล่ะ? J” เขาว่า
“จะหลอกแต๊ะอั๋งฉันล่ะสิ ขนาดเมื่อกี้นายยังไม่ได้จับมือฉัน นายยังพูดถูกเลย แล้วฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าจู่ๆ นายจะรู้เรื่องนี้เอง คุณพ่อบอกนายใช่มั้ย??“
“ในตัวของคนเล่ามักจะมีคนสองคนอยู่ในนั้น คนแรกคือฉากหน้า หรือก็คือคุณ ส่วนคนที่สองคือฉากหลัง หลบซ่อนอยู่ภายใต้จิตสำนึกและความรู้สึก แต่ถ้าจะพูดให้ถูก นั่นแหละคือตัวตนจริงๆ ของคุณ ...และเมื่อกี้ที่ผมรู้ก็เป็นเพราะเขาไม่ใช่พ่อคุณ J”
“พูดอย่างกับนายเป็นพวกหมอผีหรือพวกที่มีจิตสัมผัสอย่างแหละ -____-”
“ไม่เชิง มันเป็นแค่ความสามารถที่ผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ และไม่ชอบด้วย เลยไม่ค่อยได้ใช้น่ะ อีกอย่าง ถึงแม้ทุกคนจะอยากรู้เรื่องอนาคตของตัวเองกันแค่ไหน แต่ถ้าหากต้องรับรู้เรื่องร้ายที่ต้องเกิดขึ้นกับตัวเองด้วยแล้ว ต่างก็ไม่มีใครอยากเสี่ยงกันทั้งนั้น...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงท้าฉัน “คุณกล้ามั้ยล่ะ? J”
‘คุณกล้ามั้ยล่ะ?’
ฉันสบตากับนายหนานเฟยแล้วจ้องหน้าเขานิ่งๆ พยายามอ่านใจเขา หากแต่ฉันกลับมองอะไรจากแววตาคู่นั้นไม่ออกเลย
....แววตาของเขานิ่งเฉยเหมือนไร้ความรู้สึก หากแต่ริมฝีปากกลับขยับผุดยิ้ม
อะไรกัน... ผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่?! ฉันเดาไม่ออกเลยจริงๆ!
“ว่าไงครับ?” เขาถามซ้ำอีกครั้งก่อนจะยื่นมือมาเป็นเชิงขอมือฉัน
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่านายจะแน่สักแค่ไหน” ทั้งๆ ที่ในใจยังสับสนถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ แต่สุดท้ายฉันก็ยื่นมือไปวางบนฝ่ามือของเขาที่ยื่นมารออยู่ก่อนแล้ว
“คุณกำลังกลัวผม” เขาพูดขึ้นทันทีที่สัมผัสมือของฉันได้
“ฉันไม่ได้กลัว” ฉันรีบแย้ง แต่ในใจกลับต้องยอมรับว่าเขาพูดถูก
ใช่... ลึกๆ แล้วฉันรู้สึกอย่างนั้นจริง แต่ไม่ได้กลัวอะไรแบบนั้น ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองกลัวอะไรจากผู้ชายคนนี้กันแน่
“ปากแข็ง” เขาว่า
“นี่นาย!” ฉันขึ้นเสียงแล้วทำท่าจะชักมือออกจากฝ่ามือของเขา แต่หนานเฟยก็รีบจับมือฉันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“โอเคๆ ผมไม่กวนแล้วก็ได้” เขาพูดยิ้มๆ ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง แต่ก็ยังถามฉันด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ตอนนี้คุณมีเรื่องไหนที่อยากรู้หรือเปล่า?”
“เมื่อไหร่นายจะเลิกกวนประสาทฉัน”
คนถูกถามฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมก่อนตอบ
“เสียใจด้วยครับ เพราะจะไม่มีวันนั้นแน่นอน J” ไม่พูดเปล่าแต่นายหนานเฟยยังยิ้มกวนๆ อีก จนฉันอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขา
“นาย....!”
“คำถามข้อนี้ผมตอบไปแล้ว ยังมีอะไรที่อยากจะถามอีกหรือเปล่า?” เขาไม่สนใจกับท่าทีไม่พอใจของฉันมากนัก ก่อนจะดึงประเด็นกลับมาเรื่องเดิมต่อ
ฉันนิ่งไปหลังจากที่ถูกเขาถามซ้ำอีกครั้ง มีเรื่องอะไรที่อยากถามอีกมั้ยน่ะเหรอ...
“ฉันกับคุณปู่ของเจนัว ...ท่านจะชอบฉันมั้ย?” ฉันถามเสียงเบา ก็แปลกที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเชื่อเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้
ถึงแม้มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบ้าๆ ไร้สาระที่หมอนี่แกล้งอำฉัน แต่ถ้าหากคำตอบที่ได้กลับมาเป็นเรื่องดี ...บางทีมันอาจจะเป็นลางดีก็ได้นี่
“ทุกอย่างวันนี้จะผ่านไปด้วยดี....” เขาตอบสีหน้าเรียบๆ สายตามองต่ำลงหยุดอยู่ที่มือของเราที่จับกันอยู่ สีหน้าที่เคยเรียบเฉยแต่ทว่าตอนนี้กลับเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอๆ กับที่ฉันเริ่มรู้สึกได้ถึงแรงบีบจากฝ่ามือใหญ่
คิ้วเข้มขมวดติดกันเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่าง ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มกวนๆ อยู่ ทว่าบัดนี้กลับเหลือเพียงความซีดเผือด นายหนานเฟยนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นหลายนาที บางครั้งแววตานิ่งๆ นั่นก็สั่นคลอน เหมือนกับว่าเขามองเห็นอะไรบางอย่าง...
ฉันไม่กล้าเอ่ยถามอะไรออกไป ทั้งๆ ที่ในใจนั้นอยากถามเขาเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น? จนกระทั้งเขาเป็นฝ่ายปล่อยมือฉันออกและก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับฉัน
เพราะแววตาจริงจังที่มองมาหรือเปล่านะ ฉันถึงได้รู้สึกหวาดกลัวคำที่อีกคนจะพูดออกมาเหลือเกิน
“................” หนานเฟยมองฉันเหมือนลำบากใจเกินกว่าจะพูดคำใดออกมาได้ สีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีนักของเขาเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้เลยว่าบางทีเรื่องที่ฉันกลัวอาจจะเป็นจริง
ความเงียบงันที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรไปจากเงามืดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ฉันเลย
ทั้งๆ ที่บอกว่าตัวเองไม่ได้เชื่อเขา หากแต่ตอนนี้ฉันกลับไม่มีอะไรยืนยันกับตัวเองได้เลยว่าฉันไม่ได้เชื่อคำพูดของเขา!
“กำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นสินะ....” ฉันพูดขึ้นมาลอยๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรสักคำ นอกจากมองฉันด้วยสายตาคู่เดิม
“..............” เขายังคงเงียบ ในขณะที่ฉันเองก็เริ่มกลืนก้อนสะอึกลงคอ
ให้ตายสิ.... กำลังเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย!!
“โอเค ...ถ้ามันเลวร้ายมากจนนายบอกไม่ได้ มันคงดีกว่าถ้าฉันไม่รู้อะไรเลย” ...และมันคงดีกว่านี้ถ้าฉันไม่ยื่นมือไปให้เขาตั้งแต่แรก!!
“ผมกับคุณจะไม่ได้เจอกันอีก...” เขาพูดออกมาหลังจากที่เงียบไปนาน ตอนนี้เขาที่อยู่ตรงหน้าฉันไม่เหมือนนายหนานเฟยที่ฉันเคยเจอมาก่อน
ทั้งสุขม... และเยือกเย็น
ดูยังไงก็เหมือนไม่ใช่เขา...
“แต่จำคำพูดของผมเอาไว้นะน้ำขิง ...ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณต้องผ่านมันไปให้ได้ ..แล้ววันนึงคุณจะได้พบกับเขาอีกครั้ง”
1:24 P.M.
‘...ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณต้องผ่านมันไปให้ได้ ...แล้ววันนึงคุณจะได้พบกับเขาอีกครั้ง’
ฉันไม่เข้าใจคำพูดของนายจริงๆ นายหนานเฟย...
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงคนที่ขับรถอยู่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ ตอนนี้ฉันกำลังจะไปพบคุณปู่ของเจนัวกับเขาน่ะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าความตื่นเต้นมากมายหายไปไหนหมด หรืออาจเพราะถูกความสับสนและมึนงงจากคำพูดของนายหนานเฟยเข้ามาแทนที่ก็ไม่รู้ คำพูดของเขาที่บอกให้ฉันจำเอาไว้น่ะ
แต่ฉันไม่เข้าใจมันเลยสักนิด!
“หะ... ป...เปล่า ไม่เป็นไร เจนัว...” ฉันหันไปตอบ ท้ายประโยคเรียกชื่อเขา คิดจะบอกเรื่องที่ค้างอยู่ในใจ แต่พอเห็นอีกคนหันกลับมามองก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีฉันอาจไม่ควรบอกเขา
“?”
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก” ฉันพูดออกไปอย่างนั้นก่อนจะรีบเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถแทน ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรจริงๆ
บางที ...มันอาจจะเป็นแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ได้
8:35 P.M.
E & E Café
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่กลุ่มเพื่อนเสือตัวร้ายมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายที่ร้านของอีสเตอร์ เริ่มจากเจ้าของร้านที่เพิ่งกลับเข้ามาถึง ต่อด้วย แอมแปร์ เรย์ ราฟาเอลตามลำดับ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเจนัวกับเหมันต์ที่เข้ามาพร้อมกัน
“พวกแกไปไหนกันมาวะ ไหงถึงมาพร้อมกัน” แอมแปร์เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นถาม
“ฉันไปส่งน้ำขิงที่บ้านมา เจอไอ้เหมกำลังออกมาพอดี เลยมาพร้อมกัน” เจนัวตอบหลังจากที่เดินไปนั่งลงที่โซฟาอีกตัวพร้อมๆ กับเหมันต์
“เฮ้ย... จริงดิ O_O?” แอมแปร์ทำตาโตถามอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นักกับสิ่งที่ได้ยิน เจนัวบอกว่าไปส่งน้ำขิงที่บ้าน ก็แสดงว่าต้องออกไปไหนด้วยกันมาก่อน แต่ว่าสองคนนี้เนี่ยนะไปไหนด้วยกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ทั้งสองคนเพิ่งคบหากันเขาจะไม่แปลกใจเลย แต่หลังๆ มาใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าสองคนนี้ทะเลาะกันหนักแค่ไหน อย่าว่าแต่จะออกไปไหนด้วยกันสองคนเหมือนคู่รักคู่อื่นเลย แค่จะคุยกันดีๆ โดยไม่ต้องประชดประชันกันก็ยากแล้ว
“เออ เห็นยัยขิงบอกว่าไอ้เจพาไปหาปู่มันมานี่ เมื่อวานตอนวิ่งมาบอกฉันกับพี่คิม ยัยนั่นดีใจแทบลั่นบ้าน ฉันยังงงอยู่เลย ไม่รู้จะดีใจอะไรกันหนักกันหนา ก็แค่มันจะพาไปหาปู่มันแค่เนี้ย -_____-“ เหมันต์พูดพลางคิดไปถึงน้องสาวที่ปานนี้คงกำลังนั่งอมยิ้มมีความสุขอยู่ที่บ้าน
แต่ก็จะว่าไปมันก็ดีแล้วนี่ น้องสาวของเขาไม่ได้มานั่งร้องไห้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และที่สำคัญดูเธอมีความสุขขึ้นมาก แค่นี้คนเป็นพี่ชายก็พอใจแล้ว
“แล้วแกคิดยังไงถึงได้พาน้ำขิงไปหาคุณปู่แกวะ?” แอมแปร์ยังคงตั้งคำถามต่อ “แล้วท่านว่ายังไงบ้าง?”
“ก็ไม่ว่าไง” เจนัวตอบก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วเครื่องดื่มจากอีสเตอร์ “ขอบใจ”
“ไม่ว่าไง ...หมายความว่ายังไง? -____-”
“แล้วแกจะถามเซ้าซี้มันทำไมวะไอ้แอมป์ แค่ดูหน้ามันแกก็เดาคำตอบออกแล้วไม่ใช่หรือไง” ราฟาเอลว่าก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ปลายตาไปมองเจนัวที่นั่งคงนั่งขรึม เพราะสีหน้าของเจนัวก็ดูสบายๆ ไม่ได้เคร่งขรึม แค่นี้ก็พอจะเดาเรื่องอะไรหลายๆ อย่างออกโดยไม่ต้องถามเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ
“เออ เดาออก แล้วก็เคยเดาหลายครั้งแล้วด้วย แต่ไม่เห็นมันจะตรงเลยสักที ครั้งล่าสุดก็ตอนที่นั่งคุยกันเรื่องแผนของไอ้เรย์ พอตอนนี้เป็นไงล่ะ ...วางแผนโน่นนี่ไว้เป็นตุเป็นตะ สุดท้ายไอ้เจกับยัยน้ำขิงดีกันเฉย คราวนี้โชคชะตาเล่นตลกอะไรอีกวะ???”
“แต่ฉันว่าคงไม่ใช่เพราะโชคชะตาหรอกมั้ง ...ใช่มั้ยอีสเตอร์?” เรย์ที่นั่งไข้วห้างกอดอกอยู่อีกฝั่งพูดขึ้นเรียบๆ หากแต่ท้ายประโยคแววตาคมกลับเลื่อนไปหยุดอยู่ที่อีสเตอร์
“ไม่รู้สิ” คนถูกถามว่าพลางกระตุกยิ้มก่อนจะจ้องตอบกลับแววตาคมของเรย์ “...ฉันไม่ใช่โชคชะตานี่”
Talk To U
สวัสดีค่ะ :D หายหน้าหายตาไปนานมากเลยจริงๆ ก้อยต้องขอโทษด้วยนะคะ
มันคงเริ่มมาจากที่ก้อยกลับมานั่งย้อนอ่านคอมเม้นเก่าๆ แล้วเห็นว่ามีหลายเสียงบอกให้ก้อยใช้พล็อตเก่า
บวกกับความเสียดายด้วย ก้อยก็เลยคิดว่าจะแต่งแบบเดิมดีกว่า คราวนี้ก็สนุกกันแน่
เพราะอีกไม่กี่ตอนข้างหน้าคงมีเรื่องให้หลายคนตกอกตกใจกันแน่แท้
ป.ล. เดี๋ยวพรุ่งนี้มาแก้คำผิดนะจ้ะ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ง่วงมากกก _
ความคิดเห็น