ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY STORY IS A LIE (P.1)

    ลำดับตอนที่ #14 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER TWELVE

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 54


     

    MY STORY IS A LIE:: CHAPTER TWELVE

     

    อีก 1 สัปดาห์ 3 วัน 18 ชั่วโมง กับอีก 20 วินาที ก่อนถึงวันเกิดของเจนัว

     

    [ตกเป็นข่าวใหญ่ในขณะนี้เลยนะคะ สำหรับน้องลิลินนางแบบสาวสุดฮอตอันดับต้นๆ ของวงการนางแบบไทยที่จู่ๆ ก็มีคนปล่อยภาพหลุดของเธอที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มกับชายปริศนาที่หน้าตาละม้ายคลายพี่ชายคนละแม่ของเธอที่ผับแห่งหนึ่ง หลังจากที่ภาพหลุดออกไปนางแบบสาวยังไม่ยอมออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ กับนักข่าว....]

     

    “สมน้ำหน้า...”  ฉันว่าก่อนจะกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไปช่องอื่น แอบสะใจหน่อยๆ กับข่าวเมื่อกี้นะ ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนทำก็เหอะ  ก็ว่าทำไมช่วงนี้ยัยนี่ถึงหายไปจากวงโคจร ...ต้องขอบคุณคนที่ปล่อยรูปจริงๆ น่าจะตบรางวัลให้สักแสน J


     

    ติ๊ด


     

    “พึมพำอะไรอยู่คนเดียว หรือว่ามีความสุขเกินจนเป็นบ้าไปแล้ว -___-” พี่เหมเจ้าเก่าคนเดิมพูดแขวะพลางทำหน้าเซ็งเดินมาทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาอีกตัว




     

    “แหงสิ เมื่อวานขิงเพิ่งไปกินข้าวข้างนอกกับเจนัวมา แถมวันนี้ยังมีนัดไปดูหนังกันตอนเย็นอีก โอ้ย... จะสำลักความสุขตายอยู่แล้วเนี่ย -O-” ฉันว่า



     
     

    “ชิ!” พี่เหมทำเสียงชิชะอยู่ในลำคอแล้วใช้มือผลักหัวฉันอย่างหมั่นไส้



     

     

    “ถ้าพี่ว่างนักทำไมไม่ออกไปหาหม่อนไหมล่ะ ปล่อยให้คู่หมั่นคอยวิ่งไล่ตามอยู่อย่างนี้เดี๋ยวเกิดตอนจะแต่งงานเธอเล่นตัวไม่ยอมแต่งขึ้นมาขิงจะหัวเราะให้ดู”

     



     

    “เรื่องของพี่ ขิงอย่ายุ่ง”




     

    เฮอะ... ดูพูดเข้า!




     

    “ขิงอยากยุ่งตายล่ะ! เพราะสงสารหม่อนไหมหรอกถึงพูด”



     

    “เฮอะ เอารีโมตมานี่เลย”



     

    “อะไรเล่า ยังจะมาแย่งน้องอีก นิสัยเสียจริงๆ เลย!



     

    “แล้วใครบอกว่าพี่นิสัยดี เอามานี่”



     

    =[]=!!” ฉันง้างปากพะงาบๆ คิดคำด่าพี่ชายตัวเองไม่ออก แล้วในวินาทีต่อมารีโมตที่เคยอยู่ในมือก็ถูกมือหนาของพี่เหมคว้าเอาไป แล้วกดเปลี่ยนช่องทีวีทันที


    ถ้าจะสุภาพบุรุษขนาดนี้ล่ะก็นะ =______=!!



     

    “เมื่อกี้เสียงรถเข้ามาต้องเป็นคุณพ่อแน่ๆ คอยดูเถอะ ขิงจะฟ้องคุณพ่อ” ฉันว่าแล้วลุกขึ้นยืน จะเดินออกไปหาเจ้าของเสียงรถที่เพิ่งขับเข้ามา แต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องนี้ พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่เดินเข้ามาพร้อมกัน

     

    ...คุณพ่อมากับนายหนานเฟย!!!



     

    “นาย!



     

    “ครับผม J” เขาตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มกวนๆ “สวัสดีครับคุณเหมันต์”




     

    “สวัสดีครับ” พี่เหมกล่าวตอบอย่างสุภาพ




     

    “เดี๋ยวขิงพาคุณหนานเฟยออกไปเดินเล่นในสวนก่อนไป พ่อมีเรื่องจะพูดกับพี่ชายเราซะหน่อย” คุณพ่อหันมาพูดกับฉันที่ยืนนิ่งค้างตั้งแต่เห็นหน้านายหนานเฟยนั่น


     

    คงไม่ต้องบอกหรอกใช่มั้ยว่าฉันไม่ชอบเค้า L

     


     

    “แล้วทำไมต้องเป็นขิงด้วยล่ะคะ! ให้เด็กในบ้านไปไม่ได้เหรอ?”




     

    “ไม่ได้ รีบไปเร็ว วันนี้คุณหนานเฟยเค้าจะขอให้เราพาไปเที่ยวที่อื่นด้วย”





     

    “คุณพ่อ!!


     

    สุดท้ายฉันก็ต้องพาอีตานั่นมาเดินเล่นในสวนจนได้ ร่างสูงเดินตามหลังฉันโดยที่ไม่พูดอะไร ส่วนฉันเองก็เดินนำหน้าเขาโดยไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปมองเขาแม้แต่น้อย!



     

    “คุณจะรีบเดินไปไหนเนี่ย” เสียงร่างสูงถามดังมาจากข้างหลัง ฉันหยุดชะงักเท้าก่อนจะหันกลับไปมองเขาตาขวาง พอเห็นสายตาของฉันเขาจึงละความสนใจจากกล้องโปรที่ถืออยู่ในมือทันที




     

    “ฉันมีแฟนแล้ว” ฉันพูดแล้วกอดอกยืนจ้องหน้าเขา




     

    “อะไรของคุณ จู่ๆ มาบอกผมทำไม?” เขาทำหน้างง แล้วถามฉันกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ!




     

    “ฉันอยากบอก นายจะทำไม รู้แล้วก็กลับบ้านนายไปได้ล่ะ แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก! เพราะฉันไม่ชอบหน้านาย แล้วก็ไม่มีวันชอบด้วย!” ฉันพูดเสียงดัง ในขณะที่เขากลับทำหน้ากลั้นหัวเราะแบบสุดๆ



     

    แบบนี้มันหมายความว่ายังไงฮะ!!!


     

     

    “นี่คุณ ผมว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนนะ ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำเลย แล้วดูสิ คุณเล่นพูดมาเป็นชุดเลย”

     


     

    “แล้วนายจะทำไม!?”

     


     

    “ก็ไม่ทำไม ผมก็แค่จะบอกว่าผมไม่เคยสนใจเรื่องที่คุณจะมีแฟนแล้วหรือไม่มี ที่จริงคุณไม่ต้องเสียเวลาบอกผมเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงยังไงผมก็คิดกับคุณเหมือนเดิม J

     


     

    “เหมือนเดิม?! นายหมายความว่ายังไง!!


     

     

    “ก็ผมชอบคุณไง”


     

     

    “ชอบฉัน! ทั้งๆ ที่ฉันบอกว่าไม่ชอบหน้านายเนี่ยนะ!?”




     

    “เฮ้ ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยนี่คุณ ผมก็แค่บอกว่าชอบ ยังไม่ได้บอกว่ารักซะหน่อย จะโวยวายไปทำไม เดี๋ยวคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมาได้ยินคิดว่าผมทำมิดีมิร้ายคุณก็แย่กันพอดี” เขาพูดหน้าตาเฉยก่อนจะยกกล้องที่ตัวเองละความสนใจมาเมื่อครู่ขึ้นถ่ายรูปฉัน!

     



     

    “หยุดเลยนะ! ฉันไม่ให้ถ่าย!!



     

     

    “แต่ผมถ่ายไปแล้ว ดูสิ คุณดันขยับตัวซะก่อน ภาพออกมาน่าเกลียดมากเลย” เขาพูดแล้วหันภาพมาให้ฉันดู

     


     

    ขอสงบสติอารมณ์ก่อนนะ....

     

     

    อีตานี่นี่มันยังไง =______=!!!

     



     

    “ฉันไม่สนใจนายแล้ว!! นายจะถ่ายนกถ่ายปลาอะไรในสวนนี้ก็เชิญ แต่ฉันขอตัว!!!

     



     

    “ที่บอกว่าจะไม่สนใจผมแล้ว งั้นแสดงว่าเมื่อกี้คุณสนใจผมเหรอ?” เขาหันมาถามแล้วยิ้ม ฉันหยุดชะงักเท้าที่กำลังเดินกึก ก่อนจะหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่คนพูดทันที “อย่ามองผมแบบนั้นสิ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนคุณอยากจะกินผมเข้าไปทั้งตัวเลยรู้มั้ย J” รอยยิ้มซุกซนผุดขึ้นบนใบหน้าทะเล้น  น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกสนุกที่ทำให้ฉันโกรธได้!



     

     

    “ไอ้บ้า!!



     

    “ครับ ว่าไง? J



     

    !!!!!!!


     

    ฉันกำมัดแน่น นึกอยากจะชกหน้าเขาสักหมัดให้หงายคว่ำลงไปนอนกับพื้น แต่ก็ทำไม่ได้ตามที่คิดจึงทำได้แค่จ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้



     

    ขอยอมรับตรงๆ เลยว่าตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอใครที่กวนประสาทฉันได้เท่านายนี่มาก่อนเลย!!!!

     

      

     

    E & E Café

    ตอนบ่ายฉันมาหาอีสเตอร์ที่ร้าน แน่นอนว่าในช่วงเช้าฉันหงุดหงิดเรื่องนายหนานเฟยนั่น เอาเถอะ อย่าไปคิดถึงหมอนั่นเลย แค่นี้ฉันก็อารมณ์เสียจะแย่อยู่แล้ว เพราะอะไรน่ะเหรอ...


     

    ก็เพราะคุณพ่อสั่งให้ฉันพาอีตานั่นไปเทียวต่อไง!?


     

    ฉันค้านหัวชนฝาว่ายังไงก็ไม่ยอมไปเด็ดขาดแล้วก็หนีออกมานี่แหละ -____-

     

     

    “เธอก็เลยเกลียดหน้าเขา?” อีสเตอร์ถามพลางขมวดคิ้วมุ่น เดินเอาน้ำปั่นมาเสริฟให้ฉันก่อนเจ้าตัวจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

     



     

    “ใช่สิ จะไม่ให้เกลียดได้ยังไง แค่คิดถึงหน้าหมอนั่นฉันก็หงุดหงิดขึ้นมาแล้วเนี่ย!

     



     

    “ไม่เอาน่า ไหนวันนี้บอกว่าจะไปดูหนังกับเจนัวไง” อีสเตอร์ยิ้มมุมปากถามก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เคยบึ้งตึงของฉันเปลี่ยนไปเป็นยิ้มเขินๆ แทนหลังจากที่ถูกเขาถาม

     



     

    “อือ... ตอนแรกฉันก็แค่ลองพูดลอยๆ  ไม่คิดว่าเจนัวจะสนใจ เพราะว่าเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว จนกลายเป็นความรู้สึกเก้อเขินกันยังไงก็ไม่รู้”



     

    ฉันพูดแล้วยิ้ม... รู้สึกเหมือนตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ตื่นเต้นมากขนาดนี้ ก็แค่ไปดูหนังเองนี่น้ำขิง มันก็เป็นเรื่องปกติของคู่รักไม่ใช่เหรอ???



     

     

    “ก็ดีแล้วนี่ ทั้งเธอแล้วก็ไอ้เจจะได้มีความสุขกันสักที” รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยิ้มมาทำให้ฉันรู้สึกอดเห็นใจเขาขึ้นมาอีกไม่ได้

     

     

    อีสเตอร์ทำให้ฉันหันมองกลับมาดูความรักของตัวเองกับเจนัว แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องราวของฉันนั้นหากเทียบกับเขาแล้วคงเทียบไม่ติดแน่ๆ



     

    ....ฉันโชคดีกว่าเขา



     

    มันเลยเป็นเสมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้ฉันอยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองเพื่อความรักครั้งนี้ดูบ้าง เหมือนที่เขาทุ้มทั้งใจรักผู้หญิงคนหนึ่งทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีหวังแต่ก็ขอเพียงเพื่อได้ทำเพื่อเธอเท่านั้น....

     



     

    “ขอบคุณนะอีสเตอร์ที่นายทำให้ฉันยิ้มได้อยู่ตอนนี้” ฉันพูดแล้วยิ้มบางๆ ให้กับเขา ร่างสูงยิ้มตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่างที่ฉันได้ยินไม่ถนัดนักออกมา

     



     

    “เห็นทีแผนของเรย์คงต้องเก็บเข้าตู้แล้วล่ะ J



     

     

    “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ เรย์ทำไมเหรอ?”

     



     

    “ไม่มีอะไรหรอก ...ก็แค่เรื่องตลกที่พูดในวงเหล้าน่ะ ว่าแต่เธอจะนั่งรอเจนัวอยู่นี่จนถึงตอนเย็นเลยหรือว่าจะไปที่ไหนฆ่าเวลาก่อนหรือเปล่า”

     



     

    “ไม่รู้สิ นี่ก็เพิ่งจะเที่ยงกว่าๆ เอง นายว่าฉันแต่งตัวเป็นยังไงบ้างอ่ะ ธรรมดาเกินไปหรือเปล่านี่ฉันรีบออกมายังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย -___-



     

     

    “แค่นี้ก็น่ารักแล้ว” อีสเตอร์ตอบพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆ มองฉัน รอยยิ้มล้อเลียนผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ เพียงแต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาก็เท่านั้น

     



     

    “ส่ายหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไงยะ -__-+” ฉันถามทำตาเขียวปัดใส่อีกคน ซึ่งสิ่งที่ได้ตอบกลับมาก็คือเสียงหัวเราะเบาๆ และแววตาที่มองฉันอย่างเอ็นดูของเจ้าของเสียงหัวเราะ

     


     

    ขอเถอะ! ฉันอายุยี่สิบสี่แล้วนะ -____-



     

    “เดี๋ยวฉันไปหาหนังสือมาให้เธอนั่งอ่านฆ่าเวลาดีกว่า J” อีสเตอร์ไม่ตอบคำถามแต่พูดอีกเรื่องแล้วลุกขึ้นเดินออกไป ฉันมองตามแผนหลังร่างสูงก่อนจะยกแก้วน้ำปั่นทรงสูงขึ้นดื่มแล้วก็อดอมยิ้มออกมากับตัวเองไม่ได้เมื่อขึ้นอะไรบางอย่างได้

     


     

    ก็คนอย่างฉันเคยไม่มั่นใจเรื่องการแต่งตัวจนต้องถามคนอื่นซะเมื่อไหร่ล่ะ?!

     


     

    ครืด~ ครืด~ ครืด~



    ฉันปลายตามองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะก่อนจะรีบกดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาว่าเป็นใคร ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะลังเลไม่กล้ากดรับแน่

     



     

    “ฮัลโหล เจนัว!



     

     

    [วันนี้ฉันติดงานด่วนคงไปดูหนังด้วยไม่ได้แล้ว ....ขอโทษนะ] เสียงปลายสายบอกกล่าวอย่างเรียบๆ แต่สำหรับคนฟังที่วาดฝันไว้แล้วกลับรู้สึกผิดหวังจนแทบทำอะไรไม่ถูกเลย...

     

     

    ฉันต้องตอบกลับนายว่ายังไงล่ะเจนัว? ฉันขอร้องให้นายทิ้งงานมาหาฉันได้มั้ย?

     

     

    เพล้ง!

     

     

    เสียงแก้วน้ำปั่นที่ตกลงกระแทกกลับพื้นดึงสติที่กำลังเบลอไปชั่วขณะของฉันให้กลับมาก่อนจะพยายามข่มเสียงที่เริ่มสั่นให้เป็นปกติแล้วตอบกลับปลายสายไป

     


     

    “อืม ไม่เป็นไร” ...ซะที่ไหนกัน



     

     

    ฉันต่อประโยคข้างหลังในใจก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองเป็นฝ่ายตัดสายเขาทิ้งไปแล้ว...

    ฉันไม่ได้ระแวง... เพียงแต่ไม่อยากเชื่อ  บางทีเขาอาจจะติดงานด่วนจริงๆ ก็ได้ ฉันต้องเชื่อใจเขา... แต่ทั้งๆ ที่อยากจะเชื่อในใจมันกลับคิดระแวงและไม่อยากเชื่อคำพูดของเขาเลยสักนิด และที่สำคัญมันมีความรู้สึกน้อยใจปนมากับความระแวงนั่นด้วย...

     


     

    “เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันได้ยินเสียงแก้ว...” ท้ายประโยคของอีสเตอร์ขาดหายไปเพราะคงเห็นต้นตอของเสียงที่ว่าแล้ว “เกิดอะไรขึ้น” เขาถามแล้วเดินเขามาใกล้ในมือถือหนังสือเล่มหนาเพื่อเอามาให้ฉันอ่านฆ่าเวลารอนัดของเจนัว ด้านหลังมีพนักงานหญิงเดินตามมา



     

     

    “เปล่า... ฉันแค่เผลอทำมันหลุดมือน่ะ” ฉันตอบก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงตรงหน้าเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้น “ขอโทษนะ ...เดี๋ยวฉันเก็บให้เอง”

     



     

    “เธอลุกขึ้นดีกว่า เดี๋ยวจะโดนเศษแก้วบาดเข้า” เขาว่าแล้ววางหนังสือไว้บนโต๊ะ “น้ำขิง...”

     

     

    “ฉันไม่เป็นไร” ฉันเงยหน้าขึ้นมองอีกคนในขณะที่มือก็เก็บเศษแก้วที่แตก แต่พอหันหน้ากลับมามองในมือของตัวเองอีกทีก็เห็นเลือดสีแดงค่อยๆ ซึมออกมาซะแล้ว ฉันปล่อยเศษแก้วในมือลงกับพื้น

     



     

    “เจ็บหรือเปล่า?” อีสเตอร์รีบเข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้น



     

     

    “ไม่เป็นไร”

     



     

    “เอ่อ... เดี๋ยวตรงนี้ดิฉันเก็บเองค่ะ คุณอีสพาคุณน้ำขิงไปนั่งที่โซฟาด้านนู้นก่อนเถอะนะคะ แล้วเดี๋ยวกิ่งจะไปเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้” พนักงานที่เดินตามหลังอีสเตอร์มายกมือขึ้นอาสา

     



     

    “อืม ฝากด้วยนะกิ่ง” เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินพาฉันไปนั่งที่โซฟามุมห้อง

     



     

    “ฉันไม่เป็นไร นายไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นหรอก” ฉันบอกตอนที่อีสเตอร์ฉันพามานั่งลงที่โซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องโถง

     


     

    “แต่เธอทำหน้าไม่ค่อยดีเลย มีอะไรหรือเปล่า เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย” เขาถามพลางใช้กระดาษทิชชูเช็ดเลือดในมือให้


     

     

    “เจนัวโทรมาบอกว่ามีงานด่วน ...คงไปดูหนังด้วยกันไม่ได้แล้ว” ฉันตอบเสียงเบาหวิว


     

     

    “เธอ....”

     


     

    “ทั้งๆ ที่นานๆ ที จะเข้าใจกันได้และได้ใช้เวลาอยู่ด้วย แต่เขาก็กลับเห็นงานสำคัญกว่า ไม่สิ ไม่แน่ว่าโทรมาบอกฉันว่าติดงานด่วนแต่กลับแอบไปปลอบใจยัยนั่นก็ไม่รู้” ฉันพูดไปถึงยัยลิลินและเผลอกำมืออีกข้างไว้แน่น...


     

    จริงด้วยสิ... เขาต้องไปหายัยนั่นแน่!!

     

    พอคิดได้แบบนี้ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามาเต็มไปหมด



     

     

    “น้ำขิง” อีสเตอร์เรียกชื่อฉันคล้ายต้องการจะเตือนสติไม่ให้ฉันคิดมากไปก่อน

     



     

    “ฉันจะไปหาเจนัวที่บริษัท ถ้าเขาติดงานจริงฉันจะกลับ แต่ถ้าไม่ ...ฉันจะอาละวาดให้ดู!” ฉันพูดแล้วชักมือที่ถูกอีสเตอร์จับไว้อยู่ออกก่อนจะลุกขึ้นยืน ร่างสูงรีบลุกขึ้นตามจับแขนฉันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

     



     

    “อย่าใจร้อนได้ไหม เธออยากให้ทุกอย่างพังแล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิมงั้นเหรอ”

     



     

    “แต่ฉัน...!

     



     

    “เชื่อใจคนที่เธอรักเหมือนที่เธอเชื่อใจตัวเองบ้างสิน้ำขิง... ” สายตาจริงจังของคนพูดทำให้ฉันยอมสงบลง คำพูดใจร้อนที่เตรียมจะพูดออกมาถูกกลืนลงคอทันที



     

     

    “ฉันพยายามแล้ว ...แต่ฉันทำไม่ได้” ฉันพูดพลางจ้องตอบกลับแววตาสุขมของอีสเตอร์ที่มองมา



     

     

    “เธอทำได้น้ำขิง” เขาพูด “แค่สงบสติอารมณ์ก่อน”

     




     

    “..............”

     

     


     

    “น้ำขิง...” อีสเตอร์ทอดเสียงยาว แฝงทั้งความเหนื่อยอ่อนและเอ็นดู



     

     

    “...ฉันทนไม่ได้จริงๆ ถ้าต้องนั่งอยู่เฉยๆ ทั้งๆ ที่ในใจกลับร้อนรนคิดระแวงเขาอยู่แบบนี้”

     



     

    “เธอทำได้แต่เธอไม่ทำต่างหาก”



     

     

    “ฉัน...”



     

     

    “รู้อะไรมั้ย เธอตัดสินไปแล้วน้ำขิง แววตาของเธอมันฟ้องว่าเธอตัดสินไปแล้วว่าเจนัวโกหก เพราะอย่างนั้นต่อให้ความจริงจะเป็นยังไง ...เจนัวก็คือคนโกหกอยู่ดี” อีสเตอร์พูดแทรกขึ้นก่อนที่ฉันจะทันได้พูดอะไร




     

    ฉันจ้องมองแววตาของอีสเตอร์กลับ หากแต่ว่าสุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาเขาเสียเอง




     

    สิ่งที่อีสเตอร์พูดมาไม่ต่างอะไรไปจากปลายมีดที่เฉียบคมเลย นั่นสินะ...เขาพูดถูก ฉันตัดสินไปแล้ว ตัดสินทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริง และถึงต่อให้จะรู้ได้ เจนัวก็คือคนโกหกในความคิดของฉันอยู่ดี... ทำไมนะน้ำขิง เธอตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอจะเชื่อใจเขา และจะเชื่อทุกคำที่เขาพูดน่ะ...


     

     

    “เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว....” อีสเตอร์พูด น้ำเสียงและแววตาตาคล้ายจะตำหนิของเขาทำให้ฉันถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมา “อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเพราะความเคยชิน ในเมื่อเธอคิดจะแก้ไขแล้วก็อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำทุกอย่างพังอีกเลยนะน้ำขิง”

     



     

    11.22 P.M

    สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไปหาเจนัวที่บริษัท แต่กลับเปลี่ยนแผนมานั่งรอเขาอยู่ที่คอนโดฯ แทน ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองคงนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ แต่ฉันกลับนั่งรอเขาอยู่ที่นี่มาแล้วตั้งแปดชั่วโมง

    ตลอดเวลาที่ฉันพยายามข่มความคิดที่จะไม่ไว้ใจเจนัว คำพูดของอีสเตอร์ก็ยังคงดังก้องอยู่ให้หัวเสมอ 

     

    เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว... อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเพราะความเคยชิน ในเมื่อเธอคิดจะแก้ไขแล้วก็อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำทุกอย่างพังอีกเลยนะน้ำขิง

     

     

    รู้อะไรมั้ย เธอตัดสินไปแล้วน้ำขิง แววตาของเธอมันฟ้องว่าเธอตัดสินไปแล้วว่าเจนัวโกหก เพราะอย่างนั้นต่อให้ความจริงจะเป็นยังไง ...เจนัวก็คือคนโกหกอยู่ดี



     

    ใช่... ฉันตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่เชื่อเขา ไม่ใช่เพิ่งตอนนี้แต่มันตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้วด้วยซ้ำ มันเลยเป็นคล้ายความเคยชินที่บีบให้ฉันเชื่อแบบนั้นและแก้ไขได้ยาก....




     

    มาถึงตอนนี้มีหลายครั้งที่ฉันก็รู้สึกผิดต่อเขาและอยากขอโทษกับทุกสิ่งที่เคยทำลงไป หากแต่ไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปเมื่อคิดถึงภาพที่เขามีผู้หญิงคนอื่น แต่ ณ จุดนั้นฉันจะพยายามไม่กลับไปคิดถึงอะไรอีกแล้ว เพราะจะกลายเป็นการหาเรื่องทะเลาะกับเขาอีก เพราะงั้นตอนนี้ เวลานี้ ฉันจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น ไม่สิ ต้องพูดว่าฉันจะพยายามไม่คิดอะไรทั้งนั้นมากกว่า เข็มนาฬิกายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ฉันก้มมองโทรศัพท์ในมือครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้เหตุผล



     

    แกรก



     

    เสียงประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงของเจนัวที่เดินเข้ามาข้างใน ฉันรีบลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาเขา มีคำถามมากมายที่อยากจะถามอยู่เต็มหัวไปหมด แต่พอเห็นหน้าเขาแล้วฉันก็ลืมคำถามพวกนั้นไปเสียหมด กลายเป็นความรู้สึกคล้ายอยากจะร้องไห้เข้ามาแทน แต่ก็ยังอดกลั้นไม่แสดงมันออกมาให้เขาเห็น

     



    “วันนี้ฉันเหนื่อย ไม่อยากทะเลาะด้วย” เสียงทุ้มกล่าว แววตาและสีหน้าอ่อนล้าเต็มทน ฉันเม้มปากแน่น อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่าฉันทำให้เขาเหนื่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอ?


     

     

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่ลังเลที่จะสวนเขากลับด้วยคำพูดที่แสบสัน แต่เพราะว่าตอนนี้ฉันคิดที่จะ เปลี่ยนตัวเองแล้ว คำพูดเหล่านั้นจึงต้องถูกเก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุดในเส้นหยักสมอง




     

    ฉันอมยิ้มบางๆ พลางเอื้อมมือไปคลายปมเนกไทให้เขาโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า แต่ถ้าให้ฉันทายเขาต้องทำหน้างงมากแน่ๆ



     

    ฉันเคยคิดว่าอยากทำแบบนี้ให้เขา... แต่ก็ไม่เคยได้ทำมันเลยสักครั้งจนกระทั้งวันนี้ แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากทำไม่แพ้ไปกว่ากันเลย... พอคลายปมเนกไทเสร็จฉันก็เขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ  พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่เคยคิดไว้แต่ไม่มีโอกาสได้พูดมันสักที

     


     

    “เหนื่อยมากมั้ย? เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้นะ” ฉันพูดแล้วฝืนส่งยิ้มบางๆ ให้เขา ก่อนจะเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมารินใส่แก้วแล้วยกไปให้เจนัวที่ตอนนี้เดินไปนั่งอยู่ที่โซฟาแล้ว เขารับแก้วน้ำไปจิบก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะรับแขก ร่างสูงไม่ได้มีสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้ แต่เป็นใบหน้านิ่งๆ ที่บ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของใบหน้าไม่ได้ต่างหาก ฉันยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น

     



    บรรยากาศในห้องเงียบสนิทมีเพียงเสียงผ่อนลมหายใจหนักๆ ของเขาเท่านั้นที่ฉันได้ยินชัดเจน ร่างสูงนั่งนิ่งราวกับว่าเขาเองก็รอให้ฉันเป็นฝ่ายพูดอะไรขึ้นมาก่อนเหมือนกับฉันที่รอให้เขาเป็นคนทำลายความเงียบเหล่านี้ ฉันเผลอเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ทั้งกลัวว่าพูดไปแล้วเขาจะไม่เข้าใจ เลยตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไปดีกว่า




     

    พอคิดได้แบบนี้แล้วฉันควรจะกลับเลยหรือเปล่าในเมื่อเขาก็กลับมาแล้วนี่ จะอยู่ต่อก็คงจะทำให้เขาเหนื่อยใจไปอีกสินะ...




     

    “ฉันกลับก่อนดีกว่า นายเหนื่อยคงอยากพักผ่อน...” ฉันพูดแล้วหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกขึ้นมาสะพาย รู้สึกจุกแน่นอยู่ในอกพร้อมๆ กับที่น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาเอ่อคลอ




     

    ...เธออ่อนแอเกินไปแล้วน้ำขิง




     

    แต่เขาเองก็ใจร้ายเกินไปแล้วที่ไม่พูดอะไรสักคำเลยแบบนี้น่ะ ฉันก็แค่หวังว่าเขาจะพูดอะไรบ้างก็เท่านั้นเอง อย่างน้อยพูดอะไรก็ได้ เขาไม่รู้เลยสินะว่าตลอดเวลาแปดชั่วโมงที่ฉันนั่งรอเขาอยู่ที่นี่มันทรมานแค่ไหนน่ะ... ฉันมองเขาที่ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่อีกครั้ง ก่อนจะตัดใจหันหลังเดินออกมา จู่ๆ ความรู้สึกห่างเหินก็ถาโถมเข้ามา ความไม่แน่ใจเริ่มต้นขึ้น

     


    เขารักฉันหรือเปล่า?





     

    ตึก... ตึก... ตึก...




     

    หัวใจข้างในเต้นแรงขึ้นมากับคำถามที่ถูกตั้งขึ้นตรงกันข้ามกับขาทั้งสองข้างที่เริ่มหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ ความรู้สึกมากมายถาโถมเขามาจนฉันเริ่มสับสน ...เขาเคยบอกรักฉันแล้วนี่ เขาต้องรักฉันสิ แต่ว่านั้นมันก็ตั้งแต่ตอนที่เราคบกับแรกๆ



     

    แล้วตอนนี้ล่ะ? เขาเคยบอกว่ารักแต่ก็ไม่ได้แปลว่าตอนนี้จะยังรักอยู่นี่?



     

    พรึบ


     

    !!!!




    ขาทั้งสองข้างของฉันที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักทันทีเพราะจู่ๆ ก็ถูกฝ่ามือหนาดึงเข้าไปโอบกอดจากทางด้านหลัง

     



     

    “อย่าเงียบแล้วเดินหนีไปอย่างนี้ได้มั้ย อย่างน้อยต่อว่าฉันอย่างที่เธอเคยทำก็ได้ ฉันไม่ชินเลยที่เธอเงียบไปอย่างนี้” เสียงทุ้มของเจ้าของอ้อมแขนกระซิบบอกข้างหู

     



     

    ฉันยืนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับถูกสาป น้ำตาเริ่มเอ่อล้นไหลออกมาจนได้ ความรู้สึกแปลกใจและเสียใจปะปนกันไปหมด

     



     

    ...เขากำลังทำให้ฉันสับสนอีกแล้ว

     


     

    “ฮึก.... นายหายไปไหนมา ไปทำงานจริงๆ ใช่มั้ย? ฮึก ...ไม่ได้ไปหาผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย? ...ฮือ” พอได้ยินคำพูดของอีกคนคำถามที่คิดว่าจะไม่ถามสุดท้ายก็ถูกถามออกไปจนได้ ถึงแม้จะกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจและกลายเป็นทะเลาะกันไปอีกแต่ก็ห้ามปากไว้ไม่ได้อีกแล้ว ร่างสูงคลายอ้อมแขนลงพอที่จะทำให้ฉันพลิกตัวหันไปเผชิญหน้ากับเขาได้ ยิ่งพอได้สบตาเขาตรงๆ น้ำตามากมายก็ยิ่งไหลพรั่งพรูออกมา





     

    “วันนี้จู่ๆ คุณปู่ก็กลับมาจากอิตาลี ทั้งบริษัทเลยวุ่นวายกันไปหมด รามทั้งฉันด้วย” เขาอธิบายเหตุผลพลางใช้นิ้วโป้งขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ฉัน ไม่ได้มีสีหน้าโกรธหรือรำคาญเหมือนอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ ถึงแม้แววตาที่มองมาจะไม่ได้อ่อนโยนมากมาย แต่ทว่าแค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ฉันร้องไห้ได้แล้ว....





     

    “ฮึก... ฮือ”





     

    “.............” ร่างสูงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เหมือนกับที่ฉันเองก็พูดอะไรไม่ออกเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น เจนัวใช้มือเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาให้ฉันอย่างเบามือก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอดไว้อีกครั้ง แล้วจึงพูดขึ้น





     

    “รู้มั้ย ตอนที่ฉันกลับมาแล้วเจอเธอนั่งรออยู่ ฉันคิดว่าเธอต้องโวยวายแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ เธอกลับไม่โวยวายหรือต่อว่าอะไรฉันสักคำ”



     

     

    “ก็ฉันกลัวว่าเราจะทะเลากันอีกนี่ ฮึก... กลัวไปหมด ฮือ... กลัวนายบอกว่ารำคาญด้วย  ฮึก... ฮือ” ฉันพูดแทบไม่เป็นภาษา แต่ก็เถียงเขาไม่ได้ว่าเมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น

     



     

    “ฉันใจร้ายมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ร่างสูงถามพลางผลักฉันออกจากอ้อมกอดเบาๆ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องฉันนิ่ง แต่แววตานั้นเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นแววตาเปื้อนยิ้มจางๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ฉันยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะกระโดดกอดคอเขาไว้แน่น เจนัวจึงโอบรอบเอวฉันไว้ก่อนจะถามต่อ





     

    “ให้กอดขนาดนี้แล้วยังใจร้ายอยู่มั้ย?”  




     

    ฉันยิ้มกว้างกับคำถามของเขา น้ำตายังไหลออกมาไม่หยุด แค่เห็นรอยยิ้มของเขาความกลัวทุกอย่างก็หายไปจนหมด แต่ยังมีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่มั่นใจและอยากได้ยินมันจากเขาอีกครั้งจึงตอบคำถามไปว่า

     

     

    “ใจร้าย”

     

     

    “แล้วไม่ใจร้ายต้องทำยังไง?”

     

     

    “ตอบคำถามฉันก่อน”


     

     

    “ถามมาสิ”

     



     

    “นายรักฉันมั้ย?”

     


     

    “ทำไมถึงถาม?” เจนัวถามกลับ

     



     

    “เพราะฉันรักนาย แต่ไม่รู้ว่านายรักใคร”

     



     

    “งั้นก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ฉันรักผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท เป็นคนใจร้อน ชอบคิดมาก ไม่ชอบไว้ใจใคร ขี้วีน ขี้หึง เวลาโมโหจะชอบร้องไห้แล้วก็ทุบตีฉันทุกครั้ง และก็เป็นผู้หญิงที่ฉันคิดว่าในชีวิตนี้คงหาไม่เจออีกแล้ว เพราะว่ามีอยู่แค่คนเดียวในโลก ...ผู้หญิงคนนั้นใช่เธอหรือเปล่าน้ำขิง?”



     

     

    ผู้หญิงคนนั้นใช่เธอหรือเปล่าน้ำขิง?



     

     

    ใช่หรือเปล่าน้ำขิง?

     


     

    อือ...” ฉันตอบก่อนจะปล่อยโฮออกมาหนักยิ่งกว่าเดิม หัวใจข้างในเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ สองแขนที่โอบรอบคอเขาอยู่รัดแน่นยิ่งกว่าเดิมซะอีก




     

    ถ้าฉันเป็นผู้หญิงที่มีอยู่แค่คนเดียวในโลกเหมือนที่เขาพูดถึง เขาก็เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกเหมือนกันที่ทำให้ฉันร้องไห้ได้ทุกครั้งเพราะเขา

     




     

    ใช่มั้ยเจนัว?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Talk To U

    สวัสดีค่ะ  ก่อนอื่นเลยก้อยต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่อัพช้ามากกว่ากำหนดที่บอกไปตั้งสองวัน!! =[]=;;

    มันมีเหตุคือตอนแรกก้อยแต่งจบไปแล้ว แต่กลับมานั่งแก้ไปแก้มา เฮ้ย มันเริ่มไม่ใช่แล้ว อารมณ์ของตัวละครมันไม่น่าจะเป็นงี้ สุดท้ายเลยแก้ใหม่มันทั้งตอนเลย -___-++

    ไม่อยากจะบอกว่าขนาดแก้แล้วก้อยยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่อยู่ดี แต่งเอง สร้างอิมเมจเองแต่ก้อยกลับสับสนกับตัวละครที่ก้อยสร้างขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งน้ำขิงหรือเจนัว

    น้ำขิงยังพอๆ จะเข้าใจอยู่บ้าง แต่เจนัวเนี่ย ก้อยเดาอารมณ์ไม่ออกเลย =___=!!

    ถ้าอ่านกันไปแล้วเกิดสับสนก้อยต้องขออภัยด้วยนะคะ YY

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×