ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY STORY IS A LIE (P.1)

    ลำดับตอนที่ #19 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER SEVENTEEN

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 576
      4
      9 ก.ย. 55



    MY STORY IS A LIE::CHAPTER SEVENTEEN

     

    ...สองปีต่อมา

     

    “สวัสดีค่ะคุณเขม ...อุ๊ยต๊าย นี่หนูน้ำขิงหรือคะ? แหม ยิ่งโตก็ยิ่งสวยนะคะเนี่ย สวยไม่แพ้คุณอรแม่ของแกเลย ..ว่าแต่วันนี้หนุ่มๆ ไม่ได้มาด้วยหรือคะ?” คุณหญิงอะไรสักอย่างที่ฉันเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นใครในองค์กรของพ่อจีบปากจีบคอถาม ฉันยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาทแล้วยืนอยู่ข้างคุณพ่อนิ่งๆ

     

    “มาครับมา สงสัยคงจะยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของงาน ...แล้ววันนี้คุณหญิงสุรางค์มาคนเดียวหรือครับ?”

     

    “แหม... ก็สามีดิฉันน่ะสิคะ บอกว่าติดงานด่วนมาไม่ได้จริงๆ งานนี้ดิฉันเลยต้องฉายเดียว”

     

    “งั้นหรือครับ แล้วคุณหญิง....”

     

    พอเห็นว่าบทสนทนาของคุณพ่อและคุณหญิงเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ ฉันเลยกระซิบบอกคุณพ่อว่าขอตัวเดินออกมาจากตรงนั้นถึงแม้ว่าในงานทั้งงานฉันจะไม่รู้จักใครเลยก็เถอะ ไม่สิ บางคนก็คุ้นหน้า อย่างผู้หญิงที่อยู่ในชุดราตรียาวรัดรูปสีแดงตรงนั้น ...เธอเป็นลูกสาวเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ฉันเจอเธอบ่อยเหมือนกัน ...หมายถึงตามงานเลี้ยงสังสรรค์แบบนี้น่ะนะ

     

    งานวันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ฉันต้องออกมากับคุณพ่อด้วยเหตุผลเดิมๆ ที่ว่าฉันควรจะพบปะผู้คน เข้าสังคม และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้ว คุณพ่อบอกกับฉันอย่างนั้นหลังจากที่ฉันปิดรับทุกอย่างอยู่เป็นปี ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ... ในเมื่อหัวใจของฉันมันไม่ต่างอะไรไปจากก้อนเนื้อที่หยุดเต้นไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว..

     

    “สวัสดีครับคุณน้ำขิง J”  เสียงทักดังขึ้นจากทางด้านหลัง และพอหันกลับไปดูฉันก็พบกับเจ้าของเสียงที่ยืนยิ้มยื่นแก้วเครื่องดื่มส่งมาให้

     

    “อ่อ... สวัสดีค่ะคุณเลโอ” ฉันรับแก้วเครื่องดื่มมาแล้วรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายถูกนิ้วยาวๆ นั่นแตะถูกมืออยู่ดี ฉันลืมสังเกตไอ้หมอนี่ไปได้ยังไงนะ ให้ตายสิ ฉันเกลียดขี้หน้าเขาชะมัด! มือไวปากไวจนน่าเกลียด!

     

    ฉันเคยเจอเขาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง จะพูดให้ถูกเลยก็คือฉันเจอนายคนนี้บ่อยมากต่างหาก! ยิ่งช่วงหลังๆ มานี่เขาโผล่ไปก่อกวนฉันถึงที่บ้านบ่อยๆ ด้วย ฉันรู้แค่ว่าเขาเป็นลูกชายของลูกค้ารายใหญ่ของคุณพ่อ นอกจากนั้นฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายคนนี้อีกเลย และก็ไม่อยากรู้ด้วย แล้วก็อีกอย่างนะ

     

    ...ถ้าเขายังไม่เลิกมองฉันด้วยสายตาพิสวาสขาดใจดิ้นแบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ฉันจะตบให้ลูกกะตาเขาล่วงออกมาเลยจริงๆ ด้วย!

     

    “วันนี้คุณน้ำขิงสวยมากเลยครับ” 

     

    “ขอบคุณค่ะ” ฉันกัดฟันตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

     

    “ถ้าไม่รังเกียจ...”

     

    “ขอโทษนะคะ ...แต่ดิฉันเกรงว่าจะใช่”

     

    “หะ? เมื่อกี้คุณน้ำขิง...”

     

    ไม่ได้... ยังไงก็ต้องรักษาหน้าคุณพ่อ ...อดทนเข้าไว้น้ำขิง!

     

    “อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ พอดีเมื่อกี้ฉันพึมพำอะไรนิดหน่อย” ฉันตอบไปอย่างนั้นก่อนจะเบือนหน้าหนีเขาอย่างเบื่อหน่าย  พี่เหมกับพี่คิมยืนอยู่อีกด้านของงานทางฝั่งที่ติดกับประตู ตอนนี้คุณพ่อไปนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว ส่วนที่นั่งข้างๆ ก็คงจะเป็นพวกนักธุรกิจด้วยกัน

     

    “อืม....ฉันรู้ ...พอเถอะ เลิกหนีกันสักที ...ฉันเหนื่อยที่จะต้องวิ่งหนีพวกมันแล้ว ...ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ...ฉันจะไม่ยอมหนีไปไหนอีก” สายตาของฉันหยุดนิ่งอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง ...อาจเป็นเพราะเรายืนอยู่ไกลกันไม่มากฉันเลยพาลได้ยินเสียงการสนทนาโทรศัพท์เมื่อครู่ไปด้วย กลุ่มเส้นผมสีดำยาวระต้นคอถูกมัดต่ำไว้ข้างหลังร่างสูงในชุดสูทยัดโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันหน้ามาประสานสายตาเข้ากับฉันพอดี....

     

    “คุณน้ำขิงครับ

     

    “.............”

     

    “คุณน้ำขิง?”

     

    “..............”

     

    “เฮ้ คุณได้ยินผมมั้ย? –O-;

     

    ปึก!

     

    ฉันละสายตาจากเขากลับมามองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอปัดมือของนายเลโอที่เมื่อกี้ยกขึ้นโบกอยู่ตรงหน้าออก

     

    “ฉัน...ขอโทษ” ฉันพึมพำบอกออกไป หากแต่สายตากลับมองผ่านไหล่ของเขาไปยังผู้ชายอีกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ร่วมไปถึงสายตาของเขาด้วย ...เพราะอย่างนั้นเราถึงได้ประสานสายตากันอีกครั้ง รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าคม เขาก้มศีรษะให้ฉันเล็กน้อย

     

    อยู่ๆ หัวใจของฉันก็รู้สึกเต้นแรง ตอนที่จ้องกลับสายตาคู่นั้นไป... ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อฉันเห็นเป็นภาพใบหน้าของใครบางคนที่ฝั่งลึกอยู่ในความทรงจำขึ้นทับซ้อนกับใบหน้าของเขา

     

    ....เจนัว

     

    ฉันกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาเพราะคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป... แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม!

     

    ...ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าที่เหมือนกับเจนัวราวกับแกะ!!

     

    “เจนัว” ฉันพึมพำเรียกชื่อ เขา อย่างลืมตัว หัวใจที่เต้นแรงทำให้ฉันที่รู้สึกสับสนอยู่แล้วเป็นทุนเดิมเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความรู้สึกโหยหาถาโถมเข้ามามากซะจนฉันเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี ...กลัวว่าตัวเองจะหลุดทำอะไรบ้าๆ

     

    พรึบ!

     

    อยู่ๆ ไฟในห้องโถงที่จัดงานก็พากันดับลงอย่างกะทันหัน ทิ้งช่วงระยะไม่นานนักเสียงปืนก็ดังสะนั่นขึ้น จากเสียงฮือฮาในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องแตกตื่น เสียงปืนยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความมืดที่มีผู้คนในงานวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอย่างชุลมุน (คงรวมนายเลโอที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้อยู่ด้วย) ฉันยกชายกระโปรงที่ยาวลากพื้นของตัวเองขึ้น เดินหันซ้ายหันขวามองความมืดรอบตัวอย่างไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน

     

    พุบ!

     

    “ว้าย!!!

    ฉันเผลอร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ถูกมือหยาบของใครบางคนฉุดให้นั่งลงบนพื้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงลูกกระสุนแหวกผ่านอากาศออกจากปลายกระบอกไปในระยะใกล้จนน่าใจหาย!

     

    ปัง!

     

    ฉันเผยอริมฝีปากหอบหายใจอย่างช็อกๆ เพราะเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทันและเริ่มติดขัด ...แสดงว่าคนที่ฉุดฉันให้นั่งลงเมื่อกี้เป็นคนยิงสินะ!

     

    พระเจ้าช่วย...

     

    ปัง!

     

    เสียงปืนจากอีกฝั่งยิงสวนกลับมา ฉันยกมือขึ้นปิดหูพร้อมกับหลับตาแน่นปี๋ ได้ยินเสียงสบถแว่วๆ ที่จับใจความอะไรไม่ได้เลย

     

    “คุณ... ไม่หนีหรือไง??” เสียงถามลนๆ ดังขึ้นตอนที่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาย่อตัวลงข้างๆ ...ฉันขมวดคิ้วมุ่น ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ  

     

    “...........”

     

    “จะ...เจนัว...”

     

    ปัง!

     

    “ว้าย!

     

    “วิ่งหนีไปหาที่หลบสิคุณ!” เขาหันกลับมาสั่งเสียงดังหลังจากเบี่ยงตัวออกจากที่หลบยิ่งสวนอีกฝ่ายกลับไปแล้ว ฉันมองเขาแล้วนิ่งงัน สมองยังสั่งการอะไรได้ยากเหลือเกิน ...ยิ่งพอได้เห็นหน้าเขาใกล้ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นในความมืดก็ตาม

     

    ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่าฉันไม่ได้ฝันไป ...นอกจากผู้ชายคนนี้จะมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเจนัวแล้ว เขายังทำให้ฉันประหลาดใจอีกด้วยว่า

     

    เขาเป็นใครกันแน่!!

    .

    .

    .

     

    ขิงขอแวะไปหาอีสเตอร์ก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวยังไงเราค่อยไปเจอกันที่บ้าน

    ฉันบอกกับคุณพ่อและพี่เหมอย่างนั้นตอนที่เราเดินออกมาจากในงานเลี้ยง พี่เหมทำท่าจะค้านเพราะฉันขอขับเอารถของพี่คิมออกไปคนเดียว ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ไม่ค่อยดีขึ้นจนทำให้งานเลี้ยงต้องเลิกกลางคัน แต่พอพี่คิมส่งกุญแจรถให้ทุกอย่างก็เลยเข้าทางฉัน

     

    ฉันยังไม่ได้บอกพี่เหมเรื่องผู้ชายที่ฉันเจอในงาน... พอหลังจากที่ผู้ชายคนนั้นสั่งไปให้ฉันหนี ฉันก็วิ่งออกมาจากตรงนั้นโดยไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปมองอีก ผ่านไปกว่าสิบนาทีสถานการณ์จึงคลี่คลาย เจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมเข้ามาตรวจสอบ ก่อนที่ตำรวจจะตามเข้าในเวลาติดๆ กัน

     

    ฉันอยากเล่าเรื่องนี้ให้อีสเตอร์ฟังก่อน... อีสเตอร์น่าจะเป็นคนเดียวที่ฉันสามารถพูดเรื่องนี้ด้วยได้โดยที่ไม่โดนด่าหาว่าบ้า เขาเป็นผู้รับฟังที่ดีเสมอ และฉันก็หวังว่าเขาจะมีความคิดเห็นที่แชร์กับฉันได้

     

    พอเดินมาถึงลานจอดรถชั้นG ฉันก็กวาดตามองหารถออดี้คันสีขาวของพี่คิมทันที ก่อนจะไปสะดุดสายตาหยุดอยู่ที่ร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงประตูรถคันหนึ่งพูดโทรศัพท์อยู่

     

    “พวกมันรู้ได้ยังไง ไม่.... ฉันไม่รู้ แต่ถึงรู้ ฉันก็จะมาอยู่ดี ...ฉันบอกนายไปแล้ว....” น้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงออกมาดูเคร่งเครียด ก่อนที่เขาจะหันมาเห็นฉันเข้าพอดี “....เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ”

     

    ฉันสะดุ้ง กลืนน้ำลายลงคอ แล้วแสร้งเดินมองหารถของตัวเองต่อเหมือนกับว่าไม่รู้ ไม่เห็น และไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ก็เป็นอันต้องหยุดกึกเพราะเสียงพูดลอยลมของเขา!

     

    “แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์มันเสียมารยาทนะครับคุณผู้หญิง”

     

    “ฉันเปล่านะ!” ฉันหันกลับไปมองเขาแล้วรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

     

    “ก็เห็นๆ อยู่” เขายักไหล่

     

    “เมื่อกี้ฉันหยุดมองหารถของตัวเองต่างหาก ไม่ได้แอบฟัง!

     

    “งั้นเหรอ แล้วในงานเมื่อกี้ล่ะ ...ที่คุณเอาแต่จ้องผมจนลืมคู่ควงของตัวเองน่ะ” เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูง ก้าวเท้าเดินเข้ามาหาฉันช้าๆ นัยน์ตาพราวไปด้วยแววขี้เล่นแตกต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง!! “อย่าบอกนะว่าคุณไม่ได้ตั้งใจจะมองผม” จบคำพูดเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว พอเห็นฉันยืนเม้นปากแน่นไม่ตอบและเบือนหน้าหนีเขาก็จู่โจมโน้มหน้าเข้ามากระซิบถามใกล้ๆ อย่างจงใจแกล้ง

     

    “ว่าไงครับคุณผู้หญิง J

     

    ใบหน้าของเขายังคงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ปล่อยลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนต้นคอของฉันเหมือนจะหยอกล้อ ฉันหลับตาแน่น พยายามจะคิดว่าเขาไม่ใช่คนๆ นั้น ที่ฉันคุ้นเคย แต่เป็นคนอื่นที่ฉันเพิ่งได้เจอและไม่รู้จัก

     

    ไม่ใช่เจนัว ...ไม่ใช่

     

    ฉันยกมือขึ้นผลักเขาให้ออกห่าง รู้สึกได้เลยว่าตัวเองหายใจหอบถี่

     

    ...แค่คิดว่าเขาคือเจนัว หัวใจของฉันก็เต้นรัว รู้สึกหนักหน่วง อยากจะร้องไห้ออกมาเสียดื้อๆ 

     

    “ทำไมไม่หนี บางทีผมอาจเป็นผู้ร้ายก็ได้ ...ในเมื่อในงานเลี้ยงเมื่อกี้คุณก็เห็นว่าผมทำอะไร” ใบหน้าคมกระตุกยิ้มมุมปากถาม ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา....

     

    “แล้วนายเป็นใคร.....นายไม่ใช่เจนัว... ไม่ใช่...ใช่มั้ย?” ฉันรู้ว่ามันเป็นคำถามที่โง่และอาจจะไม่มีคำตอบ แต่จะให้ฉันทำยังไง... ฉันทำตัวไม่ถูกแล้วจริงๆ มีความคิดมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมดจนเรียงลำดับไม่ถูก มีเสียงตะโกนดังขึ้นซ้ำๆ บอกว่าเจนัวตายไปแล้ว แล้วผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันในตอนนี้ล่ะ? เขาเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับเจนัว หรือว่าไม่เลย...

     

    ถ้าถามว่าฉันกลัวเขามั้ย.... บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ ฉันไม่ได้คิดถึงในจุดนั้นเลย

     

     เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เจ้าของของมันไม่ได้หยิบมันออกมาดูหรือว่ากดรับ ร่างสูงมองฉันด้วยรอยยิ้มกริ่มก่อนจะทิ้งคำพูดไว้แค่สั้นๆ  แล้วเดินกลับไปขึ้นรถของตัวเองขับออกไป

     

    ....หาคำตอบสิ

     

    แม้ว่ารถของเขาจะลับจากสายตาไปแล้ว แต่ฉันก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างนั้น ...หาคำตอบอย่างนั้นเหรอ.... หมายความว่ายังไง ...ผู้ชายคนนี้เขาเป็นใครกันแน่?

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

    [นี่ถ้าคุณรับโทรศัพท์ผมช้าไปอีกวินาทีเดียวผมจะตามไปหาคุณถึงที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย!]

    “ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่เป็นอะไร กำลังจะกลับ”

    [คุณXXXไม่ลองมาเป็นผมบ้างล่ะครับจะได้รู้ว่าผมรู้สึกยังไง นี่ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาเราจบเห่แน่!]

     “หยุดบ่นสักทีเถอะน่า แล้วก็ช่วยหาข้อมูลให้หน่อย ...ผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อสองปีก่อน ถ้ากลับไปถึงแล้วได้เลยก็ดี”

    [คุณXXX จะเอาไปทำไมครับ? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!]

    “ฉันอยากคุยกับเพื่อนสนิทมากกว่า ไม่ใช่คุณทนายสันติ เพราะงั้นก่อนฉันกลับไปถึงก็เก็บแว่นของนายใส่กระเป๋าซะ”

    [ผมไม่ใช่จิ้งจกนะครับ จะได้เปลี่ยนสีได้เร็วขนาดนั้น]

    “ฉันก็นึกว่าใช่ซะอีก เห็นนายชอบทำบ่อยๆ”  

    [ผมจะระวังตัวไม่ให้ล้ำเส้นของทนายอีก คุณเองก็กรุณาอย่าล้ำเส้นของตัวเองเหมือนกัน แฟร์ๆ]

    “เรื่องนั้นค่อยพูดกันทีหลัง อีกห้าทีฉันจะไปถึง ...หวังว่าตอนนั้นผมจะได้ข้อมูลที่ต้องการนะครับคุณสันติ”

    [Yes, sir]

    “หึ...น่ารักมากครับ~ J

     

     

     



















     

     

     

    Talk To U 

    สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นก้อยต้องขอบอกกับทุกคนก่อนว่าดีใจมากๆ เลยค่ะ
    ที่ได้กลับมาเจอกับทุกคนในหน้านี้อีก 555+ คือแบบก้อยหายไปนานมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าห้าเดือนที่ผ่านมาก้อยจะไม่ได้อัพนิยายเลยสักตอน ขี้เกียจเอาโล่เลยเหอะ =____=  แต่กว่าจะได้อัพตอนนี้อุปสรรค์ก็เยอะใช่เล่นเลยค่ะ เพราะตอนแรกกะจะเขียนบทโศกของน้ำขิงต่ออีกสักตอนแล้วค่อยเริ่มบทใหม่ พอเขียนไปประมาณสี่ห้าหน้า (ใช้เวลาประมาณสองถึงสามสัปดาห์) ก็เกิดงานงอกที่ว่าจู่ๆ ไฟล์ที่เก็บก็หาย ก้อยงงมาก คือแบบคอมโดนไวรัสเหรอ หรือว่าอะไรยังไง สุดท้ายก็นอยด์ไปนานมาก เรียกได้ว่าทิ้งทุกอย่างเลยค่ะ ณ ตอนนั้นนะ จนกระทั้งเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาที่นักอ่านเข้าไปทวงในเพจเฟสบุค ก้อยเลยฮึดขึ้นมาได้ ต้องขอบคุณน้องคนนั้นมากเลยค่ะ J 

    สำหรับเนื้อหาในตอนนี้เปลี่ยนไปจากพล็อตหลักที่เคยคิดไว้นิดหน่อย แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงค่ะ
    ว่าแต่เป็นไงกันบ้างเอ่ย พระเอกของเรา เปิดตัวมาได้แบบลึกลับเกินไปหรือเปล่าคะ เล่นไม่บอกชื่อซะด้วย 555+ 
    ถ้าอยากรู้ว่าเขาจะเป็นใครกันแน่ก็ต้องรอติดตามกันไปเรื่อยๆ ค่ะ เอาเป็นว่าแล้วตอนหน้าก้อยจะหิ้วอิมเมจของหนุ่มXXXกับคุณทนายสันติมาฝากนะคะ สุดท้ายแล้วก้อยต้องขอขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะ ที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ บอกตรงๆ ว่าก้อยเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะแต่งมาได้จนถึงจุดนี้ แล้วเจอกันในตอนหน้าค่ะ J

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×