ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY STORY IS A LIE (P.1)

    ลำดับตอนที่ #16 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER FOURTEEN

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 612
      2
      4 มี.ค. 55

      


    MY STORY IS A LIE:: CHAPTER FOURTEEN

     

    อีก 3 วัน กับอีก 14 ชั่วโมง 24 นาที ก่อนถึงวันเกิดของเจนัว

    10:23 A.M.

    E & E Café 

     

    ใกล้วันเกิดของเจนัวเข้ามาทุกทีแล้ว... เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง!!

     

    เรื่องที่ฉันกังวลไม่ใช่เรื่องของขวัญ แต่เป็นเรื่องการเตรียมแผนที่จะเซอร์ไพรส์เขาในวันนั้นต่างหาก ฉันลองปรึกษาเรื่องนี้กับอีสเตอร์ดูแล้ว เขายินดีที่จะร่วมมือกับฉันเซอร์ไพรส์เจนัวในวันนั้นด้วย ซึ่งฉันคิดว่าจะใช้พื้นที่ของหาดS จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นที่นั่น

     

    “แล้วไอ้เหมรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”

     

    “ยัง ฉันยังไม่ได้บอกใครเลยนอกจากนาย เอาไว้ค่อยบอกพวกเขาอีกทีก็ได้” ฉันบอกก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษที่เพิ่งเขียนรายชื่ออุปกรณ์ที่จะให้จัดงานเลี้ยงในวันนั้นส่งให้เขา อีสเตอร์รับไปแล้วกวาดสายตาอ่าน สักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นถามฉัน

     

    “เธออยากได้อะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า?”

     

    “พอแล้วล่ะ ...จริงๆ แล้วฉันไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไงบ้าง แต่เจนัวก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผู้ชายคนอื่น เขาไม่ชอบของหวาน ไม่ชอบอะไรที่ดูหวือหวา ในขณะที่ฉันกลับตรงกันข้ามกับเขาทุกอย่าง ...ถ้าสามปีก่อนฉันกับเขาเราเข้าใจกันมากกว่านี้ เรื่องแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องยากเลยนายว่ามั้ย?”

     

    “แต่ก็ยังไม่สายเกินไปไม่ใช่เหรอ ถึงแม้จะกลับไปแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว แต่เธอก็สามารถทำวันนี้และปีต่อๆ ไปให้ดีได้นี่ จริงมั้ย?” อีสเตอร์พูดแล้วยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกต่างไปจากทุกครั้ง หรือเป็นเพราะคนยิ้มเองก็พยายามปิดความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ล่ะมั้ง รอยยิ้มของเขาถึงได้ดูแปลกไปกว่าเดิม

     

    และฉันก็ยิ้มตอบกลับไป

     

    คำถามที่ถึงแม้จะเคยได้คำตอบจากเขามาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้งยังดังก้องอยู่ในความคิดของฉันเสมอเวลาที่ได้สบตากับเขาแล้วเห็นแววตาคู่นั้น ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจ ไม่สิ บางอย่างฉันก็ไม่เข้าใจเขาจริงๆ นั่นแหละ และถึงแม้จะเข้าใจ ฉันก็คงทำอย่างเขาไม่ได้อยู่ดี...

     

    “แล้วนายล่ะ... จะทำยังไงต่อเรื่องพี่วิหยา”

     

    อีสเตอร์นิ่งไปนิดนึงก่อนจะตอบ

     

    “ฉันไม่มีสิทธ์คิดแบบนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ วูบหนึ่งที่ฉันเห็นแววตาคู่นั้นของเขาอ่อนล้าเต็มทน หากแต่ก็เป็นแค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นรอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาแทน “จะว่าไปเรื่องมันเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้ฉันรู้ว่าการที่เราปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปโดยไม่คิดจะทำเรื่องบางเรื่องที่อยากจะทำ มันจะทำให้ฉันเสียใจเหมือนอย่างตอนนี้ไง”

     

    “ทำไมจะไม่มีสิทธ์ นาย.... ”

     

    “เราพูดเรื่องอื่นกันเถอะ” เขาตัดบท

     

    “นายไม่ได้จะไปแย่งพี่วิหยาจากพี่กวิน นายไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา”

     

    “ผิดสิน้ำขิง วิหยาเป็นภรรยาของเขา ...และฉันก็เป็นคนอื่น” น้ำเสียงของอีสเตอร์และสีหน้าของเขาดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดในตอนที่พูด

     

    “นายเป็นเพื่อนเธอ” ฉันพูด พยายามจะสื่อว่าเขาไม่ใช่คนอื่น

     

    “..............” อีสเตอร์ผ่อนลมหายใจหนักๆ แทนคำตอบ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า... บางทีฉันอาจไม่ควรพูดว่าเขาเป็นเพื่อนเธอ เพราะมันอาจทำให้เขารู้สึกแย่กว่าเดิม

     

    “โทษที ฉันแค่อยากตอบแทนนายบ้างก็แค่นั้น อย่างน้อยก็ลองเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาหรือไม่ก็เป็นฝ่ายนั่งฟังนายระบายทุกข์บ้าง”

     

    อีสเตอร์มองฉัน ตอนนี้เขาไม่ได้ยิ้มเหมือนที่ฉันเคยเห็นจนชิน แต่มันเป็นใบหน้านิ่งๆ ที่ฉันไม่เคยเห็น

    “พอเรียนจบไฮสคลูเราสองคนก็ต่างแยกย้ายกันไป ตอนนั้นฉันยังคิดอยู่เลยด้วยซ้ำว่ายังไงก็คงได้เจอเธออีก แล้วพอถึงตอนนั้นฉันจะแก้ตัวที่ไม่ได้สารภาพว่าฉันคิดยังไงกับเธอ แต่พอมาเจอกันอีกทีเธอก็แต่งงานแล้ว... ความรู้สึกตอนที่เห็นแห้วนเพชรสวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ... มันจุกไปทั้งตัวเลย โลกทั้งโลกดูเคว้งคว้างไปหมด ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้ายังไง ตกใจ แปลกใจ หรือว่าเสียใจ ...แต่สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่ฝืนยิ้มแล้วถามเธอไปว่าแต่งงานแล้วเหรอ?” คำพูดท้ายประโยคกับแววตาและรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองที่ดูเหมือนจะเลือนลอยของเขา เป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่าถ้าพวกคุณได้เห็นมันเหมือนกับฉันในตอนนี้... คุณจะรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากฉันเลย

     

    ถ้าฉันเป็นเขา ตอนที่รู้ว่าพี่วิหยาแต่งงานแล้ว ฉันอาจจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนอย่างที่เขาเป็น แต่ที่แย่กว่านั้นและฉันจะทำในสิ่งที่ต่างไปจากเขาก็คือการที่ได้รู้ว่าเพื่อนสนิทของตัวเองพยายามปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอดทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอต่างหาก! เพราะถ้าเป็นฉัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องชกหน้าให้หายแค้นคนละหลายหมัด แต่ถ้าอย่างหนักก็คงเลิกคบไปเลย แต่อีสเตอร์กลับไม่ทำอย่างนั้นเลย เจนัวบอกว่าหลังจากที่รู้ความจริงแล้ว อีสเตอร์แค่ถามพวกเขาถึงเหตุผลที่พวกเขาทำอย่างนั้น

    สิ่งที่ทุกคนในตอนนั้นคงรู้สึกไม่ต่างกันเลยก็คือเสียใจ ถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่อีสเตอร์ บางทีความรู้สึกผิดอาจจะไม่มากมายขนาดนี้ และยิ่งเขาไม่ได้แสดงอาการโกรธเหมือนที่ควรจะเป็นทุกคนก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น

     

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้งทำไมนายไม่ตัดใจจากพี่วิหยาล่ะ ทำไมถึงยังรักเธอ ทำดีกับเธอทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่มีทางรักนาย  ...หรือว่านายกำลังหวังอะไรอยู่กันแน่?” ด้วยอารมณ์ชั่ววูบฉันถามออกไปอย่างลืมคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับคำถามแบบนั้น พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาจ้องหน้าฉันด้วยแววตาจริงจัง

     

    “มันคล้ายๆ กับเวลาเราปาบอลใส่กำแพง เราทุกคนก็หวังว่ามันจะเด้งกลับมาหา ถ้าสมมุติเราปาไปแล้วมันหยุดอยู่กับที่เราต้องเหนื่อยเดินไปเก็บก็คงไม่มีใครอยากปามันเล่น คล้ายกับความรัก ตอนที่เราปาบอลแล้วหวังให้มันเดงกลับมาหาก็คงเหมือนกับตอนที่เรารักใครสักคนแล้วทำทุกอย่างเพื่อให้คนๆ นั้นหันกลับมารักเราตอบ ส่วนตอนที่บอลเด้งกลับเข้ามาหาตัวก็คงเป็นตอนที่เราได้รับความรักนั้นตอบกลับมา  แล้วถ้าเกิดบอลที่ปาไปหยุดอยู่กับที่ล่ะ... ฉันไม่ได้หวังให้วิหยารักฉันตอบหรอก เพราะความสุขของฉันไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่บอลเด้งกลับมา แต่มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันออกแรกปาต่างหาก”

     

    วันเกิดของเจนัว

    3:45 P.M.

     

    “มีอะไรอีกหรือเปล่า?” เจนัวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานเห็นฉันนั่งรออยู่เลิกขึ้นคิ้วถาม เขาคงแปลกใจ ก็นะ วันนี้ฉันไปหาเขาที่ห้องตั้งแต่ตอนเช้าเพื่ออวยพรวันเกิดจริงๆ กะจะไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่กำลังคิดหนักเรื่องแผนการในวันนี้นี่แหละ พอตอนเที่ยงก็ไปทานข้าวพร้อมกัน พอตกเย็นฉันก็มานั่งรออยู่อย่างนี้อีก แต่ประเด็นของฉันในตอนนี้มันอยู่ที่ว่าฉันจะหลอกให้เขาไปที่หาดSได้ยังไงมากกว่า

    อาจไม่เกี่ยวกับอะไรแต่วันนี้สูทที่เขาใส่เชิ้ตด้านในเป็นสีฟ้าอ่อนที่ฉันชอบด้วยนะ J

    ร่างสูงเดินเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวโตด้านในโต๊ะทำงาน เปิดแฟ้มเอกสารที่ถูกนำมาวางอยู่บนโต๊ะ แล้วใช้ปากกาเขียนลงไป

     

    “ไม่นี่ ปกติเวลาฉันมาหานายต้องมีอะไรด้วยงั้นเหรอ?” ฉันกอดอกแล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ถามเขาด้วยท่าทีสบายๆ  

     

    “ก็ประมาณนั้น” เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบก่อนจะก้มหน้าลงสนใจกับเอกสารต่อ “แต่ส่วนมากเธอชอบมาโวยวายเรื่องผู้หญิงคนอื่น”  

     

     เธอชอบมาโวยวายเรื่องผู้หญิงคนอื่น

     

    ฉันไปไม่ถูกหลังจากประโยคนี้ของเขา จู่ๆ ในใจก็นึกโมโหขึ้นมาซะงั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไปยุ่งกับยัยพวกนั้นฉันจะโวยวายเหรอ???

     

    “ตกลงเธอมีเรื่องอะไรกันแน่” เขาถามย้ำอีกครั้ง ใบหน้านิ่งยังคงก้มกวาดสายตาอ่านเอกสารในมือเหมือนเดิม

     

    “ฉันอยากไปนั่งรถเล่น แต่หาคนขับรถไม่ได้เลยมาชวนนาย” ฉันตอบห้วนๆ แตกต่างจากประโยคจริงที่อยากจะพูดลิบลับ คำพูดหวานๆ น่ะ ใช้กับเขาได้บางเวลาเท่านั้นแหละ!

     

    “ไปชวนไอ้อีสสิ บางทีเธออาจจะอยากไปกับมันมากกว่าฉันก็ได้”

     

    !!!!!!!!!!!!!!!!!

     

     

    04:55 P.M.

    “อากาศดีจัง.....” ฉันพึมพำพลางกางแขนออกรับลมที่ปะทะเข้ากับร่าง เจนัวที่นั่งขับรถอยู่ฝั่งคนขับหันมามองฉันผ่านแว่นตากันแดดสีชาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจถนนข้างหน้าต่อ

    แสงแดดยามเย็นอ่อนๆ ทำให้ฉันไม่กลัวผิวเสียมากนัก สายลมที่ปะทะผ่านเข้ามาทำให้เส้นผมปลิวสยายไปตาแรงลม รู้สึกได้ถึงกลิ่นอ่อนๆ ของน้ำทะเลที่เริ่มลอยเข้ามาแตะจมูก

     

    ใกล้จะถึงแล้วสินะ....

     

    ก่อนออกมาฉันโทรถามอีสเตอร์เรื่องความพร้อมของสถานที่แล้ว แผนที่เราวางกันไว้คือระหว่างที่ฉันเดินเล่นบนทรายหาดกับเขา อีสเตอร์จะเป็นคนถือเค้กเดินเข้ามาให้ และพวกแอมแปร์จะรออยู่ที่งานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นบริเวณชายหาดของโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ กัน

     

    “ทำไมถึงอยากมาที่นี่” เจนัวถามขึ้นเรียบๆ เขาละสายตาจากถนนหันมามองฉัน

     

    “ก็แค่อยากมา วันเกิดนายทั้งที นายน่าจะยิ้มซะบ้างนะ” ฉันบอก

     

    “เดี๋ยวก็เห็นเองแหละ” เขาพูด

     

    แล้วเราสองคนก็ต่างนั่งเงียบ ฉันเสมองออกไปข้างทางซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ไม่อยากให้เขาเห็นเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ตัวซะก่อน

    ผ่านไปกว่าสิบนาทีรถของเจนัวก็แล่นมาจอดอยู่ริมถนนที่พอมองลงไปจะเป็นพื้นต่างระดับเห็นหาดทรายสีขาวและท้องทะเล ฉันบอกให้เขาจอดรถทิ้งไว้ทีนี่ก่อนจะเดินนำหน้าลงไป ไม่นานนักร่างสูงก็เดินตามมา

     

    “นาฬิกาที่ฉันให้เป็นของขวัญเมื่อตอนเช้านายชอบมันหรือเปล่า?” ฉันชวนเขาพูด ตอนนี้แสงดวงตะวันสีส้มกำลังลาลับขอบฟ้าแล้ว เราสองคนเดินมาถึงพื้นหาดทรายที่มองเห็นท้องทะเลได้ชัด และมันก็ใกล้ถึงจุดตำแหน่งที่ฉันนัดกับอีสเตอร์เอาไว้แล้วด้วย เหลือแค่ฉันส่งสัญญาณเมื่อไหร่เขาจะเดินออกมาทันที

     

    “อืม ก็ดี” เขาตอบ สายตามองตรงออกไปข้างหน้า

     

    “มีคำอื่นที่โรแมนติกกว่านี้มั้ย?” ฉันแกล้งชักสีหน้าถามเขาอย่างไม่พอใจ เจนัวไม่ได้ตอบอะไร แต่ฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ จากเขา

     

    “ตกลงว่ามีหรือไม่มี???” ฉันถามย้ำ หยุดเดินแล้วกอดอกจ้องหน้าคนตัวสูงกว่า

     

    “มี” เจนัวตอบเรียบๆ ฉันเผลอยิ้มออกมาหลังจากที่ได้ฟังคำตอบสั้นๆ ของเขา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

     

    “ถ้างั้นก็พูดมาสิ ฉันจะลองฟังดู ถ้าไม่โรแมนติกล่ะน่าดู!” ฉันขู่เขา เจนัวมองฉันยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปข้างหน้าต่อ

     

    “หยุด! นายหยุดเดินเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ฉันร้องบอกแล้วรีบวิ่งไปดักข้างหน้า “ไหนล่ะ คำที่บอกว่าโรแมนติกกว่าที่นายพูดเมื่อกี้? นายยังไม่ได้พูดเลย”  

     

    ...เป็นอีกครั้งที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มของเจนัว เขายิ้มแล้วมองหน้าฉัน ก่อนจะก้มลงมากระซิบที่ข้างหูด้วยคำพูดที่ทำเอาฉันนิ่งแข็งไปทั้งตัว ก่อนจะเดินต่อไปข้างหน้าและทิ้งฉันให้ยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น

     

    แต่งงานกันมั้ย?

     

    สั้นๆ ง่ายๆ ห้วนๆ แบบนี้เลยเหรอ?

    ...หรือว่าฉันจะฟังผิดไป?

    ทั้งที่ยังไม่แน่ใจและสับสน แต่น้ำตาฉันก็เริ่มซึมขึ้นมาแล้ว และยิ่งพอคำพูดของเขาดังขึ้นซ้ำอีกครั้งในหัว น้ำตามากมายก็ไหลออกมาเต็มทั้งสองแก้ม

     

    จู่ๆ กลุ่มผู้ชายหน้าคุ้นที่ประกอบไปด้วย พี่เหม อีสเตอร์ เรย์ แอมแปร์ และราฟ ก็เดินเข้ามาจากมุมใดมุมหนึ่งของหาด ฉันมองพวกเขางงๆ อย่างไม่เข้าใจ

     

    นี่มันเรื่องอะไรกัน?

     

    พี่เหมเป็นคนเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าฉัน ในมือถือกล่องกำมะหยี่สีแดงอยู่แล้วยื่นมันให้ฉัน สีหน้าดูไม่ค่อยเหมือนคนที่เต็มใจจะทำสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะไม่ยิ้มแล้วยังทำหน้าบึ้งด้วย

     

    “ของขวัญของไอ้เจ มันให้เอามาให้”

     

    “พี่เหม...”

     

    “กล่องแหวน... ถ้าอยากแต่งก็เอาไป แต่ต้องวิ่งไปหาคนใส่เอาเอง” ตอนที่พี่เหมพูด เขามองหน้าฉันแค่ตอนที่พูดประโยคสุดท้ายเท่านั้น ฉันเลื่อนสายตามองอีสเตอร์ที่ยืนอยู่ข้างพี่เหม เขายิ้มให้ฉัน แอมแปร์ก็เหมือนกัน ราฟยักคิ้วให้ ส่วนเรย์แยกเขี้ยวใส่

    ฉันร้องไห้หนักมากว่าเดิม มองกล่องแหวนสีแดงในมือของพี่เหมที่ถูกยื่นมาอยู่ตรงหน้า ถ้าฉันรับแหวนมาก็แสดงว่าฉันตอบตกลงแต่งงานกับเขา แต่ถ้าไม่รับก็แสดงว่าไม่แต่ง ฉันเงยหน้าขึ้นมองพี่เหมอีกครั้งอย่างลังเล ทว่าคราวนี้พี่เหมกลับยิ้มให้ฉันจางๆ เป็นนัยว่าต่อให้ฉันจะตัดสินใจยังไง เขาก็จะยอมรับในการตัดสินใจของฉันด้วย

    ฉันยิ้มก่อนจะจับกล่องแหวนออกมาจากมือพี่เหมแล้วโผเข้ากอดร่างนั้นไว้แน่น พี่เหมกอดตอบฉันเบาๆ พลางบอก “พี่ดีใจถ้าจะได้เห็นขิงมีความสุข” ฉันพยักหน้ารับเบาๆ ในอ้อมกอดนั่น แล้วพูดกับพี่เหม“ขอบคุณค่ะ...ฮึก...ขอบคุณค่ะพี่เหม...”

    .

    .

    .

    .

     

    5:50 P.M.

    ฉันเดินตามเจนัวมาเรื่อยๆ บนหาดทรายตามรอยเท้าของเขาที่ทิ้งเอาไว้ให้เห็น ตอนนี้แสงตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ฉันมองเห็นร่างสูงยืนอยู่ไกลๆ ก่อนจะรีบออกแรงวิ่งเข้าไปใกล้ พอไปถึง เพียงแค่ได้เห็นหน้าเขาหันมามอง บ่อน้ำตาของฉันก็แตกอีกรอบ อยากเข้าไปกอด แต่ก็เปลี่ยนใจและยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งแทน ฉันปั้นหน้าหยิ่งๆ ก่อนจะพูดขึ้น

     

    “ทำไมต้องให้ฉันเดินตามมาไกลขนาดนี้ด้วย! มืดก็มืดๆ!” ฉันทำเป็นต่อว่าเขาเสียงดัง ทั้งที่ในความจริงแล้วไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยด้วยซ้ำตลอดทางที่เดินมาหาเขาที่นี่

     

    “ฉันก็ไม่ได้บังคับให้เธอเดินตามมานี่” เขาตอบหน้านิ่ง น้ำเสียงฟังดูเป็นปกติจนน่าหมั่นไส้ ฉันเม้มปากอย่างขัดใจและอึดอัดที่เขาไม่ยอมเริ่มพูดเรื่องนั้นขึ้นก่อนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนซะเองว่า

     

    “ก็ถ้าไม่ตามมาก็ไม่ได้แต่งงานน่ะสิ ...เจ้าบ่าวก็ดันทิ้งแหวนไว้แต่ยังไม่ได้ใส่ให้ซะด้วย” พอพูดจบคำหน้าฉันก็ร้อนวูบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ฉันเบือนหน้าหนีเขา อายก็อาย แต่พอคิดว่าถ้าฉันยังเป็นฉันคนเดิม เรื่องนี้คงจบไม่สวยแน่

     

    “งั้นเหรอ...” เขาพูด ก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอด น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอีกครั้ง ฉันกอดตอบเขาแน่น พูดไม่เป็นศัพท์อยู่หลายคำในอ้อมกอดนั่น

     

    “ขอแต่งงานทั้งที หัดยิ้มซะบ้างสิ” เขาพูด มันเป็นคำพูดที่ฉันเคยพูดกับเขาตอนที่อยู่บนรถระหว่างมาที่นี่แต่เขากลับเอามาย้อนฉันซะเอง ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา เราทั้งคู่ผละออกจากกัน เจนัวกุมมือทั้งสองข้างของฉันที่ถือกล่องแหวนอยู่เอาไว้ก่อนจะถาม

     

    “ที่พูดตอนนั้นโรแมนติกพอหรือยัง?”

     

    ฉันยิ้มกว้างกับคำถามของเขา ก่อนจะขยับมือออกจากฝ่ามืออุ่นที่กุมไว้ ถ้าเทียบกับคำขอแต่งงานที่เคยได้ยินมา คำขอแต่งงานของเขาเป็นคำขอแต่งงานที่ห่วยที่สุดในโลกเลย แต่สำหรับฉันมันโรแมนติกเกินกว่าคำขอแต่งงานทุกคำที่เคยได้ฟังหรือได้ยินมาซะอีก...

     

    “จะโรแมนติกกว่านี้ถ้า....” ฉันพูดก่อนจะเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “นายพูดมันซ้ำอีกครั้งแล้วสวมแหวนให้ฉัน” พอฉันพูดจบคำเจนัวก็ยิ้ม ฉันส่งกล่องแหวนให้ เขารับมันไปก่อนจะพูดซ้ำคำเดิมที่ฉันอยากฟังอีกครั้ง 

     

    “แต่งงานกันมั้ย?”

     

    ถึงแม้จะคิดว่ามันห่วย แต่พอได้ยินมันซ้ำจากปากของเขา หัวใจของฉันก็เต้นรัวจนนับจังหวะไม่ถูก

     

    “อือ...” ฉันพยักหน้ารับพลางพูดเสียงสั่นแล้วยื่นมือให้เขา

     

    ความรู้สึกตอนที่เขาสวมแหวนเพชรให้ทุกอย่างดูดำเนินผ่านไปเร็ว ทั้งๆ ที่ฉันอยากให้เวลาตอนนี้ช้าลงเพื่อจะได้ซึมซับความรู้สึกนี้อีกสักนิด เจนัวก้มลงประทับริมฝีปากบนแหวนที่ตอนนี้สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของฉัน แล้วจู่ๆ ร่างสูงก็อุ้มร่างฉันขึ้นจากพื้นโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ฉันร้องวี้ด สองแขนโอบรอบคอเขาไว้แน่นเพราะกลัวตกลงไป

     

    “เล่นน้ำกันหน่อยมั้ย?” เขาถามแล้วไม่รอฟังคำตอบของฉัน ร่างสูงก้าวขายาวๆ ลงน้ำไปเรื่อยๆ จนน้ำลึกถึงช่วงเอว ฉันโอบรอบคอเขาไว้แน่น เพราะคิดว่าเขาต้องโยนฉันลงแน่ๆ แต่สิ่งที่เขาทำกลับต่างจากที่ฉันคิดโดยสิ้นเชิง เขาอุ้มฉันเดินต่อไปอีกจนน้ำสูงถึงหน้าอกจึงปล่อยฉันลง ร่างสูงจับมือทั้งสองข้างของฉันขึ้นแนบแก้มของเขาก่อนจะพูด

     

    “ฉันไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง และจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ...แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ ฉันอยากดูแลเธอไปจนถึงวันนั้น...”

     

    คำพูดที่ขาดหายของเขาถูกริมฝีปากบางของฉันดูดกลืนไป... รู้สึกร้อนวูบไปทั่วร่างทั้งที่มีน้ำทะเลโอบอยู่รอบตัวเราทั้งสองคน  ฉันผละริมฝีปากออกก่อนจะจูบซ้ำเบาๆ ที่ริมฝีปากของเขาอีกครั้งแล้วโอบรอบคอของอีกคนรั้งให้ก้มหน้าลงมาสบตากันใกล้ๆ ก่อนจะบอกกับเขาด้วยคำพูดที่ไม่มีคำไหนจะชัดเจนมากที่สุดเท่าคำนี้อีกแล้ว...

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    “ฉันรักนาย...เจนัว”

     

     

     

























    Talk To U

    สวัสดีค่ะ  หายไปนานนับปีจริงๆ กลับมาคราวนี้ก้อยรู้สึกใจหายแล้วก็ลังเลที่สุด เพราะเนื้อเรื่องมันเริ่มจะเข้าที่เข้าทางขึ้นมาอีกสักนิดแล้ว ก้อยกลัวว่าจะแต่งออกมาได้ฉาบฉวยเกินไป เลยหายหัวไปนานมากๆ ยอมรับเลยว่าแต่งวันละบรรทัดสองบรรทัดเท่านั้นเอง เพิ่งจะได้นั่งแต่งจนจบตอนก็เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมา

    สำหรับตอนหน้าหากไม่มีอะไรติดขัดเนื้อหาอาจจะยืดออกไปอีกสักตอน เพื่อให้ทุกคนได้ซึมซับกับความรักของทั้งคู่กันอีกสักนิด ซึ่งก้อยเองก็ยังไม่ได้แพลนไว้เลยว่าจะออกมาเป็นยังไง –O-; แต่ ณ ตอนนี้ก้อยเชื่อว่ามีกูรูนักอ่านหลายคนเดาพล็อตเรื่องออกแล้วแน่ๆ ว่าจะเป็นยังไงกันต่อ เพราะก้อยเองก็สปอยเอาไว้เยอะมากเหมือนกัน สำหรับคนที่เดาออกแล้ว ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ อยากให้อยู่ตามอ่านกันไปเรื่อยๆ ก่อน เพราะหลังจากผ่านช่วงตอนนั้นไปแล้ว คงมีอะไรให้ลุ้นกันอีกแน่ 

    สุดท้ายแล้ว ก้อยขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจกันมาโดยตลอด ขอบคุณที่คอยติดตามกันมาเสมอ นักเขียนที่ขาดคุณสมบัติมากมายและขาดความรับผิดชอบคนนี้ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ ค่ะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×