ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [INFINITE x Apink] My Memory เธอ... ในความทรงจำ

    ลำดับตอนที่ #3 : [ PART 3 ]

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 57




                         ไดอารี่ของฉันจบลงเมื่อถึงตอนที่ฉันรู้ข่าวว่ามยองซูถูกรถชน  ความทรงจำต่างๆของฉันย้อนกลับมาในหัวมากมาย เรื่องราวที่ฉันไม่อาจจะลืมได้ กว่าจะรู้ตัวว่าอ่านจบแล้วเวลาก็ปาเข้าไปเกือบจะสองทุ่ม ฉันเลยตัดสินใจลุกขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่เป็นเวลาร่วมช่วงโมงแล้ว พร้อมกับเอื้อมมือไปกดรีโมทปิดทีวีที่เผลอเปิดเอาไว้ตั้งแต่มาถึงบ้าน

    “พอได้แล้วนาอึน เลิกเศร้าได้แล้ว”

     
                         ฉันพูดกับตัวเองพลางส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดต่างๆในหัวให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินขึ้นไปอาบน้ำบนห้อง ฉันหวังว่าเมื่ออาบน้ำแล้วก็คงจะทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้างล่ะนะ แต่อยู่ๆฉันก็คิดถึงคำพูดของนัมจูและอูฮยอนโอป้าที่บอกกับฉันตอนมาส่งที่บ้าน



     
            
    “นาอึน แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม? นาอึน... นาอึนอา..” นัมจูที่นั่งอยู่ข้างๆอูฮยอนโอป้าทำหน้าที่คนขับรถร้องถามฉันที่นั่งอยู่เบาะหลัง

    “หือ.. อ่า.. ว่าไงนัมจู” ฉันร้องตอบนัมจูที่รู้ตัวอีกทีเธอก็เรียกฉันไปหลายรอบแล้ว

    “ฉันถามว่าเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม เรื่องมยองซูน่ะ” เธอถามฉันซ้ำอีกครั้ง

    “อื้ม ไม่เป็นอะไร” ฉันตอบพลางพยักหน้าช้าๆ

    “นาอึน พี่ว่าพี่เข้าใจนะว่าเธอรู้สึกยังไง แต่เธอต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้นะ” อูฮยอนโอป้ามองผ่านกระจกมองหลังแล้วบอกฉัน

    “ใช่นาอึน เธอยังไม่พวกเรานะ ฉันรู้ว่าเธอเสียใจ เธออย่าเป็นแบบนี้เลยนะ บางทีถ้ามยองซูรู้เขาอาจจะเสียใจได้นะ”

    “อ่า.. อื้อ... ฉันโอเค” ฉันเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคนผ่านกระจกมองหลังแล้วพยายามยิ้มเท่าที่จะยิ้มได้ “อ้า ถึงบ้านพอดีเลย
    ขอบคุณที่มาส่งนะนัมจู ขอบคุณนะคะโอป้า” ฉันรีบก้าวออกมาจากรถแล้วบอกทั้งสองคนที่หน้ารั่วบ้าน แต่ไม่รู้ทำไมทั้งๆที่ฉันพยายามจะยิ้มแล้วเหมือนน้ำตามันกำลังไหลออกมาซะอย่างงั้น นัมจูที่เห็นน้ำตาของฉันก็รีบลงมาจากรถทันที

    “นาอึน! ไม่เอาไม่ร้องนะ” เธอเข้ามากอดฉันไว้

    “ฮึก.. ฮึก.. นัมจูอา...” ฉันไม่สามารถเก็บมันเอาไว้ได้อีกแล้วจึงปล่อยน้ำตาให้มันไหลออกมาทั้งๆที่พยายามจะกลั้นมันไว้ตลอดทาง 

                       หลังจากฉันร้องไห้อยู่แบบนั้นฉันก็รู้ว่ามีมืออีกมือหนึ่งกำลังลูบเบาๆที่ไหล่ของฉัน มือของอูฮยอนโอป้านั่นเอง เมื่อโอป้าทำแบบนั้นฉันก็ยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปกว่าเดิม แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นเพียงยืนปลอบใจฉันอย่างเงียบๆที่มีแต่เสียงร้องไห้ของฉันเท่านั้น
                       




                        หลังจากที่ใช้เวลาไม่นานไปกับการอาบน้ำ ฉันเดินออกมานั่งที่เตียงแล้วเหลือบไปเห็นกล่องเก็บของ           ของมยองซูที่ปลายเตียงก่อนจะเปิดมันออกเพื่อดูสิ่งของที่อยู่ข้างใน

     
                       ฉันเปิดกล่องใบนั้นออกก็พบว่าข้างในมีหมวกหนึ่งใบที่ฉันยังจำได้ชัดเจนว่าคือหมวกที่ฉันให้เขาในวันเกิด สมุดไดอารีอยู่หนึ่งเล่มมันเป็นสีขาวสะอาดตาเหมือนกับกล่อง ฉันเลยหยิบไดอารีเล่มนั้นออกมาตั้งใจจะเปิดอ่านแต่ก็มีอะไรซักอย่างหล่นออกมาจากไดอารี่เล่มนั้น

    “รูปนี่….” รูปนั่นเองที่หล่นออกมา มันคือภาพถ่ายของมยองซูกับฉันที่ถ่ายด้วยกันเมื่อตอนมอต้น ฉันจำได้ว่ากว่าที่ฉันจะบังคับเขามาถ่ายได้นี่ยากแทบตายเลยล่ะ ฉันบังคับให้เขาชูสองนิ้วเหมือนกับฉันแต่เขาก็ไม่ยอมทำ เราเถียงกันอยู่แบบนั้นจนสุดท้ายในภาพก็เป็นว่าเขาวางมือไว้ที่หัวของฉันแล้วยิ้มกว้างด้วยท่าที่พอใจ ส่วนฉันก็ทำหน้าตาไม่พอใจใส่เขา

    “ตอนนั้นเอง” ฉันยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนนั้น แล้วก็เริ่มเปิดที่หน้าต่อไปเพื่ออ่านข้อความข้างในที่เขาเขียนไว้




     
         12 ก.ค. 2006

                   เมื่อวานเป็นวันเปิดเทอมวันแรกของการเรียนครับ ตอนนี้ผมเพิ่งจะขึ้นเกรดสี่ล่ะ ผมไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับการเลื่อนชั้นเรียนหรอกนะ ผมรู้แค่ว่าผมมีหน้าที่เรียนให้ดีเพื่อจะเข้าโรงเรียนมัธยมให้ได้เท่านั้นแหล่ะ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ผมก็ขอให้มันเป็นวันที่ดีของผมล่ะนะ
     
                   ผมมาโรงเรียนเหมือนกับการมาโรงเรียนอย่างทุกๆวัน แต่อยู่ๆตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าอาคารเรียนผมก็เห็นอะไรเข้าบางอย่าง ผมมองไปเห็นเด็กผู้หญิงคนนึงที่เหมือนจะไม่เคยเห็นมาก่อน เธอมองซ้ายมองขาวเหมือนกับกำลังจะหาทางไปไหนซักที่ ท่าทางเธอเหมือนกับเด็กหลงทางที่กำลังมองหาว่าจะต้องไปทางไหน อยู่ๆก็มีเด็กผู้ชายสองสามคนที่ท่าทางรีบร้อนวิ่งชนเธอเข้าอย่างจังจนเธอล้มลงกับพื้น

    “อ้ะ!” เสียงเล็กๆของเธอร้องขึ้นด้วยความตกใจ 

    “เห้ยๆๆ พวกนายน่ะ ชนเขาแล้วทำไมวิ่งหนีวะห้ะ มาขอโทษเดี๋ยวนี้เลยนะเฟ้ย!!” ผมที่เห็นเหตุการณ์อยู่เลยตะโกนเรียกไอ้พวกนั้นเพื่อให้มาขอโทษเธอแล้วรีบวิ่งมาดูว่าเธอเป็นไงบ้าง  “นี่เธอ เป็นอะไรไหมอ่ะ?” ผมนั่งลงตรงหน้าเธอก่อนจะถามเมื่อเห็นว่าเธอมีแผลเข้าให้แล้ว

    “……….” เธอส่ายหน้าแทนคำตอบผม

    “ไหงไม่พูด ฉันพูดกับคนอยู่นะไม่ไช่รูปปั้น เห้ย เลือดออกอ่ะ เอาขามานี่ซิ” ผมพูดออกไป ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะดุอะไรเขาหรอกนะ ก็เธอไม่พูดนี่นา เอาแต่ส่ายหน้า ใครจะไปรู้ว่าเจ็บตรงไหนรึเปล่าล่ะ

    “อาพา....” เธอพูดว่าเจ็บเสียงเบา เมื่อมองไปที่หัวเข่าของเธอก็เห็นว่าที่แผลเริ่มจะมีเลือดไหลซิบๆออกมา ผมเลยดึงขาของเธอมาใกล้ๆเพื่อจะได้ดูแผลของเธอได้

    “เจ็บหรอ”


         ฟวู่วววว 


                  ผมไม่รู้จะทำยังไงก็นึกออกว่าต้องทำแบบนี้ ผมเป่าเบาๆไปที่แผลของเธอ ก็เคยเห็นคุณแม่ทำแบบนี้ให้บ่อยๆตอนที่ผมหกล้มนี่นา เอ้อ ใช่สิ ผมมีพลาสเตอร์อยู่นี่นา ผมเลยรีบเอามันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วติดมันไปที่แผลของเธอ

    “ไม่เป็นไรแล้วนะ งั้นฉันไปก่อนล่ะ” ผมบอกเธอเมื่อแปะพลาสเตอร์นั้นเสร็จแล้วก่อนจะวางมือไว้บนหัวเธอเบาๆ เป็นการปลอบใจกลัวว่าเธอจะเจ็บ แล้วลุกเดินออกไป

    “Thank you so much” แต่เมื่อผมเดินออกไปไม่ไกลก็ได้ยินเสียงเล็กๆของเธอบอกขอบคุณผมเป็นภาษาอังกฤษ


    ^--^ 


                   ผมเลยหันไปยิ้มให้เธอแทนการบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเดินเข้าไปในอาคารเรียน ผมคิดว่าเสียงเล็กๆนั้น ผมจะจำมันให้ดีเลยล่ะ
     



     
             15 ก.ค. 2006
     
                 เมื่อวานวันที่เท่าไหร่แล้วนะของการเปิดเทอม ฮ่าๆๆ ผมไม่ค่อยจะจำมันได้หรอก ผมก็แค่มาโรงเรียนเหมือนกับทุกวันนั้นแหละ แต่ผมก็ว่ามันแปลกนะ จำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ไหมคนที่ผมไปช่วยเธอตอนโดนชนหกล้มอ่ะ เธออยู่ห้องเดียวกันกับผมล่ะ ที่สำคัญเธอนั่งข้างๆผมนี่เอง ผมแอบดีใจนะที่ได้เจอเธออีกครั้ง

    “เอ่อ มยองซู เราขอยืมยางลบหน่อยหน่อยสิ” นาอึนร้องเรียกผมตอนที่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในเครื่องเล่นเกมแบบพกพา

    “อื้อ หยิบสิในกล่องดินสอน่ะ” ผมบอกให้เธอหยิบจากกล่องดินสอที่อยู่บนโต๊ะเอง มือผมไม่ว่างหยิบให้เธอนี่นา

    “ขอบใจนะ” เธอพูดขอบคุณผมก่อนจะยื่นมันไปให้นัมจู  “อ่ะ เอาไปนัมจู” 

                 อ่า เอาไปให้ยัยนัมจูเรอะ เห้อ นาอึนนี่น้า เธอเป็นคนแบบนี้หรอเนี้ย ทำไมต้องไปทำตามคำสั่งยัยนั่นด้วย คิมนัมจู ยัยนั่นนั่งถัดไปจากนาอึนทางขวามือของผม ปกติที่ที่นาอึนนั่งน่ะมันจะว่างเพราะผมกับยัยนั่นเว้นเอาไว้ เราน่ะทะเลาะกันตั้งแต่ตอนไหนผมก็จำไม่ได้ แต่ไม่มีทางที่ผมจะพูดดีด้วยแล้วก็ไปนั่งใกล้เด็ดขาด ยัยนั่นน่ะปากดีจะตาย แถมยังขาลุยทำตัวไม่ใช่ผู้หญิงอีก น่าหมั่นไส้ชะมัด อยู่ห่างๆกันน่ะดีแล้ว แต่พอวันที่นาอึนเข้ามาที่ห้องคุณครูก็เลยให้เธอมานั่งตรงที่ว่างระหว่างเราทั้งสองคน ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ายัยนัมจูนั้นชัดๆ น่าเบื่อจะตาย
     



     
            11 ก.พ. 2007
     
                  เมื่อวานผมตั้งใจมาโรงเรียนแต่เช้าเลยล่ะ แต่ก็มาซะสายจนได้เพราะมัวแต่เข้าไปซื้อของในเมืองก่อนจะมาโรงเรียน วันนี้เป็นวันพิเศษกว่าทุกวันนะ ผมเดินเข้าโรงเรียนมาพร้อมกับถุงกระดาษในมือ ผมถือมันอย่างระมัดระวังเลยล่ะก็ของมันสำคัญนี่นา ต้องรอเวลาที่เหมาะสมสินะถึงจะเอาไปให้เธอได้ ก็วันนี้วันเกิดนาอึนน่ะสิ


    ... ช่วงพักเที่ยง ...


    “เฮ้ นาอึนไปกินข้าวกลางวันกันเถอะ” ยัยนัมจูเดินเข้ามาหานาอึนที่โต๊ะพร้อมกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน

    “อ้อ โอเคจ้า ไปกันๆ” 

    “นี่ นาอึน เธอลืมอะไรรึเปล่า” ผมเรียกเธอเอาไว้ตอนที่กำลังลุกเดินออกไป

    “หือ ลืมอะไรอ่ะ?” ‘ ‘

    “จำไม่ได้สินะ ไม่เป็นไรๆ ไปกินข้าวเถอะ” แหงล่ะ เธอจำไม่ได้

    “อ้าว แล้วนายไม่ไปกินด้วยกันหรอ” เธอถามผมที่เห็นผมนั่งอยู่ที่เดิม

    “ไปเหอะ ฉันรอเพื่อนน่ะ” 

    “อ้อ โอเค เจอกันนะ” เธอบอกก่อนเดินออกจากห้องไปพร้อมกับยัยนัมจู
     

    ..โรงอาหาร.


                ก่อนจะมาที่นี่ผมเดินไปหาดงอูกับโฮย่าฮยองเพื่อนรุ่นพี่ของผมที่สนิทกันเพื่อจะเอาของไปให้นาอึนเป็นเพื่อนผม

    “ฮยอง ไปกับผมหน่อยสิ” ผมเดินไปหาฮยองพร้อมกับคัฟเค้กในมือ

    “อะไรวะ เอาของไปให้ใครทำไมต้องให้เราสองคนไปเป็นเพื่อนเนี้ย ไม่กล้าหรือไง” ดงอูฮยองทักผม

    “เอ่อ นั้นดิ” แล้วโฮย่าฮยองก็ร้องถามผมอีกคน

    “นะๆฮยองนะ ถ้าไปเป็นเพื่อนผมผมจะเลี้ยงหนมเลยเอ้า” 

    “เอ้อ ไปก็ไปแต่เร็วๆหน่อยนะเว้ย ไปๆ” ดงอูฮยองบอกก่อนจะผลักโฮย่าฮยองให้ลุกขึ้นเดินไปกับผม


               นั่นไง นาอึนนั่งอยู่ตรงนั่น ผมสูดหายใจเข้าสองสามครั้งก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอ

    “หือ อะไรน่ะมยองซู?” นาอึนร้องถามผมเมื่อผมกับฮยองเดินมาถึงโต๊ะที่เธอนั่ง

    “ฉันว่าแล้วเธอต้องลืมแน่ๆไง อ่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ” ผมพูดก่อนยื่นคัฟเค้กสีชมพูเล็กๆที่ตั้งใจซื้อมาแต่เช้าให้ก่อนนะยืนเกาหัวตัวเองแก้เก้อ

    “อ่า ขอบคุณนะ” เธอยื่นมือมารับคัฟเค้กนั่นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “น่ากินจัง” ^//^

    “อ่อ อื้มๆ ดีใจที่เธอชอบนะ” เธอยิ้มแล้วก็มองมาที่ผม ผมจะทำไงได้นอกจากส่งยิ้มคืนไปให้เธอล่ะนะ

    “เห้ย มยองซู นาอึนแกสองคนจะจ้องหน้ากันอีกนานป่ะ ฉันปวดฉี่ว่ะ ไปยังๆ” อยู่ๆดงฮูฮยองก็สะกิดแขนผม ที่บอกให้ผมเร็วๆก็แบบนี้เองสินะ - -

    “อ้าว เออๆ ไปก็ได้ฮยอง ไปก่อนนะนาอึน” ผมเห็นดงอูฮยองที่กำลังยืนบิดอยู่แบบนั้นเลยหันมาบอกนาอึนก่อนจะเดินออกมา ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอชอบมันมากแค่ไหน แต่ผมก็ตั้งใจจะให้มันเป็นของขวัญวันเกิดล่ะนะ




    “แหม อะไรวะมยองซู แกชอบนาอึนอ่ะดิ ฮ่าๆ” โฮย่าฮยองที่เดินอยู่ข้างๆผมอยู่ๆก็พูดออกมาแล้วดึงผมเข้าไปหา

    “เห้ย ไม่ใช่นะฮยอง ก็นาอึนเพื่อนผมไง ซื้อเค้กให้วันเกิด เพื่อนกัน” 

    “เอ้าหรอ ฮ่าๆๆ เพื่อนกันนี่เอง” โฮย่าฮยองพูดไปขำไป ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา แปลกตรงไหน

                 ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ทำไมถึงอยากจะซื้อของขวัญวันเกิดให้เธอขึ้นมา แต่ผมคิดว่าที่ผมทำไปไม่เสียหายนะ รอยยิ้มนั้น ผมชอบแฮะ....
     



     
             14 มี.ค. 2007
     
                  เมื่อวานเป็นวันเกิดของผมล่ะ หลังจากเมื่อสองสามวันก่อนผมไปบ่นๆกับพวกฮยองว่าอยากได้หมวกใบใหม่ เลยจะลากเข้าในเมืองซื้อของเป็นเพื่อนกันซักหน่อยแต่อยู่ๆพวกฮยองก็หายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อวานก่อนโดยเฉพาะโฮย่าฮยองที่ชอบหายอยู่เรื่อย เลยผมก็เลยต้องกลับบ้านซะตั้งแต่หัววัน แต่ก็พอดีเมื่อไปถึงบ้านนาอึนก็โทรมาบอกให้ผมไปเจอที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน เอ มีอะไรหรือเปล่านะ ปกติไม่เคยจะนัดผมออกมานี่นา พอวางสายเสร็จผมก็รีบออกมาเลยเผื่อเธอจะมีเรื่องรีบร้อนอะไรให้ผมช่วย ปรากฏว่าผมต้องไปยื่นรอเธอเกือบห้านาทีกว่าเธอจะมาถึง

    “อะไรกัน คนนัดแท้ๆทำไมมาช้า แถมวันนี้วันเกิดฉันนะ ยังต้องให้มารออีก” ผมพูดจิกกัดเธอตามประสาแล้วทำหน้ามุ่ยใส่ให้เธอรู้ว่าผมมารอเธอนานแล้ว ฮ่าๆ ผมแกล้งเธอไปงั้นแหล่ะ

    “ขอโทษทีนะที่มาช้า ก็ตั้งใจเอาของขวัญมาให้เจ้าของวันเกิดนี่ไงเล่า ยังจะมาบ่นฉันอีก” เธอว่าพลางชูถุงกระดาษที่ถือมาด้วยให้ผมดู “อ่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ” แล้วยื่นถุงใบนั้นมาให้ผม

    “ฮ่าๆๆ ฉันก็ล้อเธอเล่นไปงั้นแหล่ะ ขอบใจนะ” ผมหัวเราะเสียงดังแล้วยื่นมือไปรับถุงกระดาษที่มีของขวัญอยู่ข้างใน “แกะเลยได้ป่ะ?”

    “อื้อ แกะสิ ไม่รู้นายจะชอบหรือเปล่านะ” แล้วผมก็ลงมือแกะมันเมื่อได้รับอนุญาตจากคนให้

    “หือ หมวกนี่.. เธอรู้ได้ไงว่าฉันกำลังอยากได้พอดีเลย” ผมเปิดกล่องหยิบหมวกออกมาแล้วพลิกกลับไปกลับมาสำรวจไปทั่วทั้งใบแล้วก็เอามันใส่ เธอรู้ได้ยังไงนะว่าผมอยากได้มัน ผมดีใจมากๆเลยล่ะกับของขวัญที่เธอให้ผมมาแต่ก็ทำเป็นไม่ตื่นเต้นไว้ก่อน ผมไม่อยากเสียงฟอร์มนะถ้าให้เธอรู้ว่าถูกใจขนาดไหน   “ยองวอนฮี.. อะไรคือยองวอนฮีหรอ?” ผมถอดหมวกออกก่อนจะอ่านตัวหนังสือตรงหน้าหมวก

    “ก็ตลอดไปไง เป็นเพื่อนกันตลอดไปอะไรแบบนั้นน่ะ” ตลอดไปงั้นหรอ... “นายชอบไหม?”

    “อื้อ ชอบสิ ขอบใจจริงๆนะ” ^---^
             
                       ผมบอกขอบคุณเธอแล้วเอาหมวกมาใส่อีกรอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้
     



     
              20 เม.ย. 2008
     
                 เมื่อวานเป็นวันที่ผมโมโหที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย ผมกับนาอึนโดนล้อทั้งวันเลยอ่ะดิ บอกว่าเราชอบกันบ้างล่ะ เป็นแฟนกันบ้างล่ะ ถ้าพวกนั้นจะพูดกับผมคนเดียวก็ไม่น่าโมโหเท่าไหร่หรอกนะ แต่นี่กลับเอาไปพูดกับนาอึนด้วยน่ะสิ  แล้วไหนจะชอบพูดเวลาอยู่ด้วยกันอีก พูดบ้าอะไรกันพวกนั้น ผมบอกไปตั้งกี่ครั้งกี่หนก็ไม่ยอมหยุด พูดปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้วว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน พวกนั้นมันเห็นว่าผมชอบไปแกล้งหยอกนาอึนมั้งถึงคิดไปแบบนั้น ก็มันน่าแกล้งนี่นา คนอะไรน่าแกล้งซะมัดเลย      

              ระหว่างคาบพักเรียนผมนั่งอยู่ในห้องไม่ได้ไปไหน ผมอารมณ์บูดจากเมื่อวานนั่นแหล่ะ อยู่ๆซอลลี่เพื่อนข้างห้องก็เดินเข้ามาหาผม

    “คือ เอ่อ.. มยองซู นายช่วยเขียนเฟรนชิปให้เราหน่อยได้หรือเปล่า” เธอบอกก่อนจะยื่นเฟรนชิปของตัวเองให้

    “อ่า ได้สิ” 

    “งั้นเฟรนชิปของนายล่ะ ให้ฉันเอาไปเขียนได้หรือเปล่า?” เธอถามถึงเฟรนชิปของผม อ้อ จะแลกกันเขียนสินะ

    “ขอโทษทีนะซอลลี่ พอดีเพื่อนเราเอาไปเขียนน่ะ เอาไว้เราเขียนของเธอเสร็จแล้วจะเอาของเราไปให้เขียนนะ” ผมบอก
    เธอไปแบบนั้นความจริงก็อยากเอาให้เธอไปนะแต่มันไม่ได้อยู่กับผมจริงๆนี่สิ 

    “อ่อ ไม่เป็นไรจ่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ” เธอเดินออกไป อ่า คงจะผิดหวังน่าดูแฮะ



    “เธอจะก้มหน้าก้มตาเขียนอีกนานไหม เขียนนานแล้วนะทำไมยังไม่เสร็จอีก ไม่อยากให้ซอลลี่เอาไปเขียนหรือไง” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าซอลลี่เดินออกจากห้องไปแล้ว ก่อนขยับเก้าอี้พาตัวเองมานั่งฝั่งตรงข้ามนาอึนพลางยื่นเฟรนชิปที่เพิ่งได้รับจากซอลลี่มาให้เธอ

    “ก็ยังเขียนไม่เสร็จไง จะให้ยังไงล่ะ แล้วนี่อะไร?” เธอถามผมแต่ก็รับเฟรนชิปเล่มนั้นไปทำท่างงๆ

    “เอาไปเขียนให้หน่อยสิ ขี้เกียจอ่ะ” ผมพูดก่อนจะนั่งพิงพนักเก้าอี้ของตัวเอง

    “ซอลลี่เอามาให้นายเขียนไม่ใช่หรอ แล้วนายจะเอามาให้ฉันทำไมเล่า” นาอึนบอกก่อนวางเฟรนชิปเล่มนั้นลงบนโต๊ะแล้วเริ่มเปิดดูทำท่าทางเหมือนกับจะเขียนมัน

    “ก็เธอรู้เรื่องฉันดีที่สุดไม่ใช่หรอ ให้เธอเขียนน่ะถูกแล้ว....” 

                 เห็นเธอทำท่าเตรียมจะเขียนลงไปผมก็เลยพูดออกมา ใช่ ผมพูดแบบนั้นน่ะถูกแล้ว ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมน่ะคิดว่านาอึนเธอรู้เรื่องเกี่ยวกับผมไปซะทุกอย่างเลย บางทีอาจจะรู้มากกว่าตัวผมเองซะด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวันเกิด ไหนจะสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบ จนบางครั้งเธอก็จะเป็นคนเตือนให้ผมทำนั่นทำนี่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็เคยคิดนะว่าถ้าเราเกิดแยกจากกันขึ้นมาผมจะทำยังไง

    “หือ....” นาอึนเงยหน้าจากเฟรนชิปขึ้นมามองที่ผม แต่อยู่ดีๆก็ก้มหน้างุดทำท่าเปิดเฟรนชิปไปเรื่อยๆแบบนั้นอ่ะ

    “คึคึ.....” ผมมองออกไปที่หน้าต่างพลางหัวเราะออกมา เห็นนะท่าทางของเธอน่ะ มันดูน่ารักจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เลยไง
     



     
              17 ก.ค. 2009
     
                      เมื่อวานผมไปโรงเรียนวันแรกล่ะ แต่ในฐานะเด็กมัธยมนะ ตอนนี้เราก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่อีกขั้นนึงแล้ว ผมเลยต้องตั้งใจเรียนมากขึ้นไปอีกกว่าเมื่อก่อน มันเป็นแบบที่เราต้องการเลยนะ ผม นาอึน แล้วก็ยัยนัมจูได้มาอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันอีกครั้ง นอกจากนั้นผมก็ยังได้ตามรุ่นพี่ตัวแสบของผมจากโรงเรียนเก่ามาที่นี่อีกด้วย ทั้งซองกยูฮยอง    อูฮยอนฮยอง โฮย่าฮยอง ดงอูฮยอง แล้วไหนจะแก๊งเพื่อนสาวของนาอึนอีกทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่หมดเลย สามปีต่อจากนี้คงจะเป็นปีที่มีความสุขของพวกเราล่ะนะ  
                 
                      มอต้นปีหนึ่งคราวนี้ผมได้อยู่ห้องเดียวกันกับซองยอลที่อยู่คนละห้องตอนประถมแล้วก็ฮายองอีกคน คือห้องสอง ส่วนนาอึนกับยัยนัมจูอยู่ห้องสาม เราถูกจับแยกกันซะแล้วแฮะงั้นอ่ะ 

    "ทำหน้ามุ่ยอะไรแต่วันน่ะนาอึน" ผมตั้งใจเดินผ่านห้องของนาอึนเพื่อจะแวะทักเธอเพราะที่นั่งของเธออยู่ติดกับหน้าต่างริมทางเดินพอดิบพอดี

    “ก็ไม่มีอะไรนี่ ว่าแต่นายจะไปไหน” -3- 

    “ไม่มีอะไรได้ไง ดูทำหน้าเข้า นี่แหน่ะ” หน้ากับคำพูดใช่อย่างเดียวกันที่ไหนผมเลยใช้นิ้วตีดที่หน้าฝากของเธอเบาๆ

    “อื้อ! อะไรของนายเล่า เจ็บนะ” เธอร้องเสียงดังแล้วเอามือปัดไปมาตรงหน้า

    “ฮ่าๆๆ ไม่แกล้งแล้วน่า จะไปหาของกิน ไปด้วยกันป่ะ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ ตลกชะมัด

    “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวอ้วน นายไปเหอะ” เธอยกมือลูบหน้าฝากตัวเองปอยๆพลางใช้อีกมือดันแขนผมที่ท้าวอยู่ตรงขอบหน้าต่างให้เดินออกไป

    “โอเคๆ งั้นฉันจะกินเผื่อนะ………..” 

              ผมตั้งใจพูดมันออกไปบางส่วนเท่านั้น ผมเลือกที่จะไม่พูดมันออกไปเพราะผมกลัวว่าจะทำหน้าไม่ถูกแฮะถ้าพูดคำนั้น ผมจะบอกเธอได้ยังไงว่าที่ผมมาหาเธอน่ะ ...เพราะว่าผมคิดถึงเธอ...
     



     
             15 พ.ค. 2010
     
                 เรียนพละ!! เย้ๆๆ ผมชอบมันจัง รอการเรียนวิชานี้มาตั้งปีนึงแหล่ะ เราจะได้เรียนพละกันตอนมอต้นปีสองล่ะครับ ผมน่ะชอบเล่นกีฬา ดังนั้นการเรียนพละมันคือความสุขของผมเล้ย ^0^

    “อ้าวนักเรียน วันนี้พอแค่นี้ แยกย้ายได้” 

    “ขอบคุณค่า/ขอบคุณครับ” อาจารย์ปล่อยพวกผมก่อนตะโกนเรียกให้ห้องสามที่ยืนอออยู่ตรงประตูโรงยิมให้เข้ามาข้างใน

    “นักเรียนห้องต่อไปรีบเข้ามาๆ ครูมีเวลาไม่มากนะ เร็วๆ อย่าไปยืนออประตู” ห้องสาม ห้องนาอึนนี่

    “วันนี้เรียนบาส ตั้งใจเข้าล่ะนาอึน” ผมหยุดพูดกับเธอก่อนที่เดินสวนกันก่อนออกจากโรงยิมไป กีฬา นาอึนเล่นกีฬาไม่เป็นนี่หว่า... ผมพูดกับตัวเอง


       ปี๊ดดดดดดดดดดด   


                เสียงนกหวีดบอกเริ่มเกมการแข่งขัน ผมได้ยินมันแล้วล่ะหลังจากเดินออกมาได้แค่หน้าโรงยิม

    “ซองยอล นายไปก่อนนะเดี๋ยวฉันตามไป” ผมตะโกนบอกมันที่เดินนำผมออกไปแล้ว

    “เออๆ รีบตามมานะโว้ยย” .


       ตู้มมมม!!!  โครมมมม!!!
     

              นั่นคือเสียงที่ผมได้ยินพอดีกับการเปิดประตูโรงยิมเข้ามาของผม พร้อมกับเห็นนาอึนที่ล้มลงกับพื้น

    “นาอึน!! นาอึน เธอได้ยินไหมเนี้ยยย”  ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเธอแล้วพาไปที่ห้องพยายาลทันที
     
     
    … ห้องพยาบาล ...


    “มยองซู นาอึนฟื้นแล้ว” นัมจูร้องบอกผมที่ยืนอยู่ห่างๆ

    “อืออออ เกิดอะไรขึ้นหรอ” 

    “ก็เธอน่ะโดนวิ่งชนตอนแข่งบาสอ่ะดิ” นัมจูบอกนาอึนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    “เล่นไม่เป็นแล้วยังจะเล่นอีก ไม่รู้ตัวเองหรือไงว่าเธอกับกีฬาน่ะเป็นสิ่งที่ควรอยู่ห่างกันมากที่สุด” ผมพูดเสียงเข้มเมื่อเดิน
    เข้าไปใกล้ๆเธอ

    “ก็ทำไงได้อ่า อาจารย์เป็นคนจัดตำแหน่งนี่นา” 

    “ปฏิเสธไม่เป็นหรือไง” - -  แล้วผมก็พูดสวนขึ้นไปโดยไม่ฟังที่เธอกำลังจะพูด

    “อ่า ก็มันเกิดไปแล้วนี่ นายจะมาดุฉันทำไมเล่า คนเจ็บอยู่นะ” -3-

    “ดี คราวหลังจะได้ไม่เล่นแบบนี้อีก ห้ามเล่นเลยนะ” ผมดุเธอไม่ให้ทำแบบนี้อีก

    “รู้แล้วน่า ทำไมต้องทำเสียงเข้ม ทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วยเล่า” -3- 

    “อย่าหัดทำให้คนเค้าเป็นห่วงให้มากนักได้ไหม...... ฉันไปและ” อ่า.. ผมพูดแบบนั้นไปได้ไงนะ เห้ยยยย พูดแบบนั้นไปได้ไงวะ

                   ผมไม่ได้ยินหรอกนะว่าสองคนนั่นจะพูดถึงผมว่ายังไง แต่ผมอายตัวเองชะมัดเลยที่หลุดพูดคำนั้นออกไป โอ้ยย แกจะบ้าไปแล้วมยองซู ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนั้นที่หน้าห้องพยาบาล แต่.. ผมก็รู้สึกแบบที่พูดไปจริงๆนะ ฮึ้ยยย แกเป็นอะไรว้ามยองซูเอ๊ย...
     


     
               2 ส.ค. 2011

                   มอต้นปีสาม ใช้แล้วครับปีสุดท้ายแล้วสำหรับมอต้น เวลามันผ่านไปเร็วมากนะครับ ไม่ทันไรผมกับเพื่อนก็ต้องแยกกันอีกแล้ว ความจริงผมก็อยากที่จะเรียนต่อมอปลายที่เดียวกับทุกคนนะ แต่นี่ซักพักแล้วล่ะที่คุณพ่อเสนอแนวทางให้ผม ท่านบอกนี่เป็นทางเลือกที่ดีซึ่งจะทำให้ผมมีโอกาสที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโซลได้ง่ายขึ้น ท่านเลยให้ผมลองสอบเข้าที่นั่นดู ตอนแรกผมก็แค่จะลองไปสอบดูเท่านั้น แต่เมื่อวันประกาศผลออกมากลับกลายเป็นว่าผมสอบติดที่นั่นจนได้ แล้วผมก็คงจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนนั้นในปีหน้า

    “นั่งหน้ามุ่ยอีกแล้วนะนาอึน” ผมเดินเข้าไปหานาอึนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนในสวนที่ประจำของพวกเรา “ไม่สบายหรือไง”

    “เปล่า.. ไม่ได้เป็นอะไร” เธอส่ายหน้าบอกผม

    “แต่หน้าเธอมันไม่บอกแบบนั้นนะ มีอะไรก็พูดมาสิ จะเก็บไว้คนเดียวทำไม” 
           
                   ผมบอกนาอึนเมื่อเห็นเธอทำหน้าแบบนั้น ผมรู้ว่าทุกครั้งที่เธอมีสีหน้าแบบนี้มักจะมีอะไรให้คิดอยู่ในใจแน่ๆ แล้วต้องเป็นเรื่องที่เธอกังวลใจด้วย ผมมักจะพูดแบบนี้ออกอยู่บ่อยๆเพราะให้เธอเล่าให้ผมฟังซึ่งมันจะช่วยให้เธอสบายใจขึ้นได้

    “อ่า... คือว่า ฉันมีเรื่องจะถามนาย” เธอพูดอย่างติดๆขัดๆ

    “อื้อ ว่ามาสิ”

    “นาย.. จะเรียนต่อมอปลายที่เดียวกันกับฉันไหม?” 

    “เรื่องนี้สินะที่ทำให้เธอทำหน้ายุ่งแบบนี้” ผมยิ้มบางๆให้เธอเมื่อรู้ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เธอกลุ้มใจแบบนี้ มันเป็นเรื่องของผมเอง แล้วผมก็เป็นต้นเหตุให้เธอต้องกังวลใจสินะ…

    “....” นาอึนพยักหน้าแทนคำตอบ


     ครื้ดดดดดด


    “เดี๋ยวนะนาอึน” ผมกำลังจะตอบคำถามที่เธอถามผมแต่จู่ๆก็มีโทรศัพท์เข้ามา “ครับ.. ครับ.. แล้วผมจะรีบไป ครับ.. สวัสดีครับ” สายจากอาจารย์ที่โทรตามให้ผมเข้าไปพบ

    “นายจะไปไหนน่ะ?” เธอร้องถามผม

    “นาอึน... ฉันคงจะเรียนต่อมอปลายโรงเรียนเดียวกับเธอไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ” 
           
                   ผมหันหลังให้เธอก่อนตัดสินใจบอกเหตุผลที่เธอต้องการจะรู้ ผมคิดว่าถ้าผมบอกเธอไปต่อหน้าเธอก็คงจะทำหน้าไม่ถูกอีกอย่างผมคงทนเห็นเธอทำหน้าแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ 

    “อ้อ..... อื้ม... ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปเถอะ” 

    “ฉันไปก่อนนะ” แล้วผมก็เดินออกมาจากตรงนั้นทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่อยากจะเดินออกมาเลยก็ตาม
     



     
              9 มิ.ย. 2012

                   วันแรกของการเรียนก็เริ่มขึ้น กับที่ใหม่ๆ โรงเรียนใหม่ๆ แล้วก็เพื่อนใหม่ๆ เป็นความโชคดีของผมเองด้วยที่เป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ไม่ยากทำให้ผมก็มีเพื่อนได้เร็วเหมือนกัน ที่นี่โรงเรียนมัธยมปลายประจำเขตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งเลยครับ โรงเรียนแห่งนี้เต็มไปด้วยนักเรียนหัวกะทิ ทั้งด้านวิชาการและกีฬา แต่ที่ผมเข้ามาที่นี่ได้ก็ไม่ได้เก่งหรือดีเด่อะไรขนาดนั้นนะครับ ฟลุ๊คล่ะมั้ง ผมว่าต้องใช่แน่ๆ

                    โต๊ะของผมอยู่ที่ริมหน้าต่างครับ ผมชอบนี่ตรงนี้นะมันให้ความรู้สึกเหมือนตอนเรียนประถมเลยล่ะ ผมเลยมองไปข้างๆที่มีนักเรียนหญิงห้องเดียวกันกับผมนั่งอยู่ แต่ผมกลับรู้สึกคิดถึงใครบางคนขึ้นมา เธอนั่งที่ตรงนั้นข้างๆผมเป็นเวลาหลายปี ใช่ครับ ผมคิดถึงเธอ ... ซนนาอึน...
     
                    หลังเลิกเรียนเพื่อนในกลุ่มเห็นผมเบื่อๆล่ะมั้งครับกับการเรียนวันแรกก็เลยชวนผมเข้าไปเที่ยวในเมืองเป็นการคลายเครียด ผมก็เลยไม่ปฏิเสธพวกนั้นก็ผมเบื่อจริงๆนี่นา แต่จู่ๆผมก็เห็นใครบางคน คนที่ผมคิดถึงเมื่อกลางวันตอนนี้เธอยืนอยู่ใกล้ๆกับร้านหนังสือ ผมว่าใช่เธอนะไม่มีทางที่ผมจะจำเธอไม่ได้ เธออยู่ในชุดนักเรียนของโรงเรียนมัธยมใกล้ๆนี้ เธอดูแปลกไปจากเดิมเล็กน้อยด้วยผมที่มัดไปด้านหลังความยาวเพิ่มกว่าเมื่อก่อนแต่ที่สะดุดตาก็คือผมหน้าม้าที่ตอนนี้มันยาวซะจนจะแทงตาเธออยู่แล้ว ผมเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นเลยชวนเพื่อนให้เดินไปใกล้ๆเธอ แต่ก็ต้องทำเป็นว่ามองไม่เห็นก่อนจะเดินผ่านเธอไป
       

          0 0   
       

                   ผมเห็นนะว่าเธอกำลังจ้องมองมาที่ผมอยู่ แต่ผมก็ทำได้แค่เดินผ่านไปแล้วทำเป็นว่าไม่เห็นเธอ ความจริงแล้วในใจผมดีใจจะตายอยู่แล้ว ผมเลี้ยวไปทางซอยที่อยู่ซ้ายมือไปซักระยะก่อนจะขอแยกย้ายกับเพื่อนอย่างรีบร้อนแล้วบอกมันว่ารีบกลับบ้านก่อนจะวิ่งกลับไปทางเดิม แต่ผมก็ไม่เห็นนาอึนอยู่แถวๆที่เดิมที่ผมเดินผ่านเธอมาเลย ผมมองไปทางไหนก็ไม่เห็นเลยตัดสินใจเดินไปดูตามร้านต่างๆแถวนั้นเผื่อว่าเธอจะแวะเข้าไป
             
                  แล้วผมก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านหนังสือร้านหนึ่ง ใช่แล้ว นาอึนอยู่ที่นี่ ผมยืนมองเธอจากข้างนอกร้านมันใกล้มากเลยนะระหว่างผมกับเธอมีเพียงแค่กระจกของร้านเท่านั้นที่กั้นเราสองคนไว้ นานเท่าไหร่แล้วเธอผมไม่ได้เจอเธอ ไม่ได้อยู่ใกล้ๆเธอแบบนี้ ผมเลือกที่จะไม่เข้าไปหาเธอ เธอหยิบหนังสืออะไรซักอย่างออกมาดูด้วยท่าทางสนใจเอามากๆก่อนจะนั่งลงกับพื้นแล้วเริ่มอ่านมัน จู่ๆผมก็คิดอะไรได้บางอย่าง จำได้ว่าระหว่างทางแถวๆนี้มีร้านขายเบเกอรี่ดูแล้วน่าอร่อยอยู่ร้านนึงล่ะ ไม่เป็นอะไรหรอกมั้งที่จะเอาไปฝากเธอ ผมคิดกับตัวเองก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ร้านนั้น
             
                 เดินมาไม่ไกลผมก็พบร้านว่านั่น ผมรีบเดินเข้าไปทันทีเพราะกลัวว่าเมื่อกลับไปที่ร้านหนังสือแล้วนาอึนอาจจะกลับบ้านไปก่อนแล้วก็ได้

    “รับอะไรดีคะ” พนักงานร้านถามผมเมื่อผมเข้าไปใกล้ๆกับตู้โชว์มีขนมต่างๆที่เรียงรายอยู่ในนั้น

    “ผมอยากได้คัฟเค้กครับ” 

    “ทางนี้เลยค่ะ” แล้วพนักงานก็พาผมไปยังอีกมุมนึงของร้านที่มีคัฟเค้กมากมายอยู่ในตู้ ว้าว.. ขนาดผมเป็นผู้ชายนะผมยังตะลึงกับความสวยของมันเลยล่ะ มันน่ารักจนยากที่จะเอาไปกิน ฮ่าๆๆ นาอึนต้องชอบแน่ๆ

    “ผมเอาอันนั้นสองอันฮะ อันนี้อีกอัน แล้วก็สตรอเบอร์รี่ชีสเค้กตรงนั้นอีกชิ้นฮะ” ผมชี้ไปที่คัฟเค้กสีชมพู แล้วก็คัฟเค้กรสช็อคโกแลตก่อนที่พนักงานจะเอาไปใส่กล่องให้ผม

    “ขอบคุณนะครับ” ผมโค้งให้พนักงานก่อนจะจ่ายเงินแล้วรับกล่องขนมมา หวังว่านาอึนจะชอบมันนะ


                  หลังจากซื้อของเสร็จแล้วผมก็เดินเร็วๆมาที่ร้านหนังสือ ผมวิ่งไม่ได้ซะด้วยสิเพราะกลัวว่าเค้กในกล่องมันจะเละเอาได้ พอดีกับที่ร้านหนังสือกำลังจะปิด ผมเห็นพนักงานเดินเข้าไปหานาอึนก่อนเธอจะรีบลุกแล้วเดินออกมาจากร้าน ผมก็เลยจะต้องหลบอยู่แถวๆนั้น พอมองนาฬิกาข้อมือตัวเองก็พบว่ามันเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เธอกลับบ้านดึกแบบนี้ประจำเลยหรือไงนะ ผมคิดอยู่กับตัวเองแต่เมื่อมองไปที่นาอึนผมเห็นเธอกำลังใส่หูฟังก่อนจะออกเดินจากหน้าร้านเพื่อกลับบ้าน ผมไม่รบกวนเธอดีกว่าแฮะ เดินตามเธอไปห่างๆแบบนี้ก็แล้วกัน


     
                   한순간에 빠져 버린다는 그 말을 믿어요
    ฮัน ซุน กา เน ปา จยอ บอ ริน ดา นึน คือ มา รึล มี ดอ โย
    ฉันเชื่อในคำพูดที่ว่า สามารถตกหลุมรักได้เพียงชั่วครู่
     
    분명히 운명 같은 사랑 이야기 
    พุน มยอง ฮี อุน มยอง กัท ทึน ซา รัง อี ยา กี
    เรื่องราวความรักนี้ ราวกับชะตาที่กำหนดไว้
     
    하루가 너무 멀다 하고 그립다 말하고 싶은
    ฮา รุ กา นอ มู มอล ตา ฮา โก คือ ริบ ตา มัล ฮา โก ชิบ พึน
    ฉันอยากจะบอกว่าคิดถึง ในแต่ละวัน ที่ช่างยาวนาน
     
     
    너에게빠졌나 봐 love is you
    นอ เอ เก ปา จยอซ นา บวา love is you
    ฉันตกหลุมเธอแล้วแน่เลย love is you
     
     
    새빨간 스웨터도 너무 잘 어울린 남자
    เซ ปัล กัน ซือ เว ทอ โด นอ มู ชัล รอ อุล ริน นัม จา
    ช่างเป็นผู้ชายที่เหมาะกับ เสื้อสเวทเตอร์สีแดงมากเลย
     
    그대 손만 잡고 있어도 왠지 모르게 포근해서
    คือ เด ซน มัน จับ โก อิซ ซอ โด เวน จี โม รือ เก โพ กึน แฮ ซอ
    ได้จับมือกับเธอ ก็รู้สึกอิ่มเอมยังไงไม่รู้
     
    나에게는 오직 너야
    นา เอ เก นึน โอ จิก นอ ยา
    ฉันนั้น มีแค่เธอ
     
     
    아니 평생 오직 너야
    อา นี พยอง เซง โอ จิก นอ ยา
    ไม่สิ จะมีแค่เธอไปตลอดชีวิต
     
    특별한 넌 season of love 
    ทึก พยอล ฮัน นอน season of love
    season of love เธอที่แสนพิเศษ…..  

     
     
                ผมเดินตามเธอออกมาแล้วเว้นระยะห่างไว้ซักพัก เหมือนกับผมกำลังเดินตามเสียงของเธอยังไงยังงั้นเลยล่ะ คงจะเป็นเพราะเธอกำลังฟังเพลงมันเลยทำให้ผมได้ยินเสียงเล็กๆของเธอร้องคลอไปตลอดทาง 


    “เอ๊ะ..” 

              อยู่ๆเธอก็หันกลับมามองข้างหลัง ผมกำลังเดินตามเธออยู่เลยต้องหาที่หลบแถวๆนั้นเพื่อไม่ให้เธอเห็น ผมคงเดินใกล้เธอไปแล้วล่ะ เมื่อมองไม่เห็นใครเธอก็เลยหันกลับไปแล้วออกเดินต่อ 


    “ใครน่ะ!.. ” 


             เดินยังไม่ทันเกินห้าก้าวเธอก็หันกลับมาอีก ผมก็เลยต้องหาที่หลบอีกครั้ง


     “ไม่อยู่แล้วววว”


             ผมว่าผมทำให้เธอกลัวเข้าแล้วล่ะ เธอเลยตัดสินใจวิ่งเข้าบ้านไปเลย เธอหยุดหากุญแจบ้านที่อยู่ในกระเป๋าก่อนจะรีบไขเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ผมเดินมาหยุดที่หน้าบ้านของเธอนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ให้ขนมที่ซื้อมาเลยแฮะ เอางี้ก็แล้วกัน
       

        ออดดดดด
       

              ผมรีบแขวนถุงขนมไว้ที่ประตูรั้วก่อนจะรีบหาที่หลบแถวๆนั้น


    “เห อะไรเนี้ย” นาอึนหยิบถุงขนมมาดูก่อนจะเปิดออก แต่อยู่ๆเธอก็ทำตาโตที่เห็นอะไรบางอย่างก่อนจะร้องออกมา “นี่มันคัฟเค้กนี่ หรือว่า...” เธอเงยหน้าจากคัฟเค้กนั่นแล้วมองไปทั่วๆแถวนั้น ถ้าผมคิดไม่ผิดผมว่าเธอจำได้นะว่าเป็นผม   แต่เธอคงมองไม่เห็นผมหรอก เพราะผมก็ไม่ได้ออกไปปรากฏตัวให้เธอเห็นซะด้วยสิ ผมมองดูเธอจนแน่ใจว่าเธอกลับเข้าบ้านไปแล้วก่อนจะออกมาจากที่ซ่อน มองไปที่บ้านหลังนั้น... บ้านที่ซักวันผมจะมาหาเธอที่นี่แล้วเข้าไปหาเธอให้ได้ 
     



     
             1 ก.ค. 2013
     
                    หลังจากที่วันนั้นผมเจอกับนาอึนเข้าโดยบังเอิญผมก็เลยโทรไปเล่าให้ซองกยูฮยองฟังแล้วบอกว่าผมอยากจะเจอเธอ ฮยองก็เลยจะจัดการให้ผมเจอกับนาอึนโดยบอกว่าจะวางแผนกับอึนจีนูน่าให้เราสองคนได้เจอกัน แต่ผมก็สงสัยว่านูน่ามาเกี่ยวอะไรด้วย ซองกยูฮยองก็พูดด้วยท่าทีอึกอักแล้วบอกผมแบบเขินๆว่าทั้งสองคนกำลังคบกัน ผมล่ะตกใจจริงๆว่าไปแอบปิ๊งกันตั้งแต่ตอนไหน ผมเลยโวยวายฮยองไปชุดใหญ่ว่าทำไมไม่บอกผม โมโหนัก -*-

                   เมื่อเช้าอึนจีนูน่าโทรมาบอกผมว่านัดนาอึนให้แล้ว ให้ไปเจอนาอึนที่ลานน้ำพุเวลาสี่โมงเย็น ผมก็เลยรีบเตรียมตัวตั้งแต่เช้าเลยล่ะ ผมคิดไว้ว่าวันนี้แหล่ะผมจะบอกกับเธอไปเลยว่าผมคิดยังไง เผื่อถ้าช้าไปกว่านี้ผมอาจจะไม่มีโอกาสบอกเธอก็ได้ ผมเลยขึ้นไปบนห้องแล้วหยิบกล่องเก็บไดอารี่ของผมออกมาจากบนหลังตู้คิดว่าผมจะเอามันให้นาอึน เพราะผมคิดว่าถ้าผมบอกความในใจของผมไปแล้วผมก็ไม่มีความลับอะไรกับเธออีก แล้วผมก็หยิบแผ่นซีดีที่ผมอัดไว้ตั้งแต่เมื่อวานใส่ไปที่หน้าสุดท้ายของไดอารี่ด้วย ถ้าให้ผมพูดทั้งหมดด้วยตัวเองต่อหน้าเธอ ผมคงเขินจนพูดไม่ออกแน่ๆเลยล่ะ
                  



     
                   แล้วไดอารี่ของมยองซูก็จบลงแค่นั้น นี่คงจะเป็นการเขียนครั้งสุดท้ายของเขาก่อนจะออกมาเจอฉัน ฉันอ่านมันจนจบแต่น้ำตาที่เริ่มไหลมาตั้งแต่เปิดไดอารี่เล่มนี้ก็ไม่ได้หยุดไหลเลย ที่ผ่านมาฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาคิดยังไงกับฉัน เขาไม่เคยพูดมันเพียงแค่แสดงออกมา แต่เป็นฉันเองที่ไม่เคยรู้อะไรเลย 
    ฮึก.. ฮืออ......... 

              ทำไมฉันโง่ขนาดนี้นะ ฉันเองก็ไม่เคยคิดจะบอกเขาเลยซักครั้งว่าฉันคิดยังไง จนตอนนี้ไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะบอกไป 


        ฮึก.. ฮึก....


             ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่มันไหลรินแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแล้วเปิดไปที่ไดอารี่หน้าสุดท้ายก็พบเข้ากับแผ่นดีวีดีแบบที่เขาเขียนบอกไว้ในไดอารี่ ก่อนจะเดินเอามันไปใส่ในเครื่องเล่นดีวีดี ที่หน้าแผ่นมีข้อความเขียนเอาไว้ด้วย 
    ...ให้นาอึน...
             
              ฉันนั่งลงที่หน้าทีวีซักพักหนึ่งวีดีโอก็เล่นขึ้นมา ในวีดีโอปรากฏเตียงนอนหลังหนึ่งบนเตียงมีกล่องสีขาวสะอาดตาวางอยู่บนนั้น ใช่แล้วมันเหมือนกันกับกล่องไดอารี่ของมยองซูนั่นเอง แล้วจู่ๆเจ้าของวีดีโอนี้ก็เดินเข้ามาที่หน้ากล้องก่อนจะนั่งลงที่เตียง เขาจ้องมองมาที่กล้องซักพักก่อนจะเริ่มพูดอะไรซักอย่างออกมา


    “นาอึน.. หวัดดี เธอจำฉันได้ไหม มยองซูไง ไม่เจอกันนานเลยนะ..”


            เขายิ้มให้กล้องเหมือนกับว่ากำลังพูดกับฉันตรงหน้า ฉันพูดอะไรไม่ออกเลยได้แต่นั่งฟังเขาเงียบๆแบบนั้น


    “นานแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน เธอคงจะโกรธฉันมากเลยสินะที่ไม่ได้อยู่เรียนที่เดียวกันกับเธอ ที่ฉันทิ้งเธอไป...”


           เขายังคงจ้องมองมาที่กล้องแต่ภายในตาของเขากลับกำลังสั่นเทาเล็กๆ น้ำตา... น้ำตาที่แห้งไปแล้วของฉันอยู่ๆก็ไหลออกมา


    “ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจนะที่ฉันย้ายไปเรียนที่อื่น แต่ก็เอาเถอะ เธอคงโกรธฉันไปแล้วฉันก็ไม่ว่าอะไรเธอหรอกนะ แต่เธอรู้ไหมความจริงฉันไม่ได้อยากไปเลย ฉันอยากอยู่กับเธอนะ อยากจะเรียนจบไปพร้อมๆกันกับเธอ...”


    “อื้อ เข้าใจแล้ว ฉันไม่ได้โกรธนาย” อยู่ๆฉันก็พูดตอบเขาไปเหมือนว่าเขากำลังอยู่ตรงหน้าฉันจริงๆ


    “ความจริงวันพรุ่งนี้ไม่ใช่วันแรกที่เราพบกับในรอบเกือบสองปีหรอกนะ เธอจำได้ไหม วันที่เธอไปร้านหนังสือไง วันที่เธอเห็นฉัน ฉันเองก็เห็นเธอนะ ถึงเธอจะคิดว่าฉันมองไม่เห็นเธอก็ตามอ่ะนะ แล้วตอนที่เธอเดินกลับบ้านฉันเองนี่แหล่ะที่เป็นคนเดินตามเธอไป ฉันคงทำให้เธอกลัวใช่ไหม ฉันขอโทษนะ _ _ อ้อ ขนมเค้กชอบไหม ฉันตั้งใจซื้อไปฝากเธอเลยนะ ฉันจำได้ว่าเธอชอบนี่นา หรือฉันจำผิด ฮ่าๆๆๆ”


    “อีตาบ้า ฮึก.. ฮึก.. ฉันกลัวแทบตายนึกว่าเป็นพวกโรคจิต”  ฉันร้องว่าเขาที่อยู่ในจอทีวี “ฮึก.. ฮึก.. อื้อ.. นายคิดถูกแล้ว เค้กพวกนั้นฉันชอบมันมากๆเลย...”


    “อ่า คือ.. ฉันว่าเธอคงอ่านไดอารี่ของฉันหมดแล้วล่ะนะ ไม่งั้นคงไม่ได้เปิดวีดีโอของฉันดูแล้วด่าฉันอยู่แบบนี้หรอก คือฉันคงไม่กล้าอ่ะที่จะบอกความรู้สึกนั้นกับเธอตรงๆ ฉันก็เลยอัดวีดีโอนี้บอกเธอแทน ฉันก็ไม่รู้นะว่าฉัน เอ่อ... ฉัน.. ฉันชอบเธอตั้งแต่ตอนไหน ฉันไม่รู้จะบอกเธอยังไงดีแฮะ ตอนนั้นเราก็ยังเด็กฉันก็เลยคิดว่าคงจะเป็นเพราะเราสนิทกันมากก็เลยไม่ได้คิดอะไร แต่พอตอนที่เราโดนล้อว่าเป็นแฟนกัน ฉันเห็นพวกนั้นไปล้อเธอ ฉันกลัว.. กลัวว่าฉันจะเป็นต้นเหตุทำให้เธอร้องไห้ ทำให้เธอโดนล้อ ฉันก็เลยบอกทุกคนไปว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ แต่พอบอกไปแบบนั้น ฉันรู้สึกเจ็บแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ นั่นล่ะมั้งที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าชอบเธอ แล้วตอนที่ฉันให้เธอเขียนเฟรนชิปของเด็กผู้หญิงที่เอามาให้ฉันน่ะ รู้ไหมทำไมฉันถึงเอาให้เธอเขียนแทนที่ฉันจะเขียนเอง เพราะฉันรู้น่ะสิว่าเธอรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉันทั้งหมด แล้วเธอก็เป็นคนที่รู้ดีที่สุดด้วย รู้ดีกว่าตัวฉันเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเลือกเอาให้เธอเขียน... แล้วตอนที่เธอเล่นบาสจนบาดเจ็บอีก เธอก็รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับกีฬา เธอก็ยังจะเล่นมันอีก เธอรู้ไหมตอนที่ฉันเห็นเธอล้มลงกับพื้นโดยที่ฉันไม่สามารถช่วยเธอไม่ให้บาดเจ็บได้ ฉันรู้สึกแย่ขนาดไหน ฉันทำได้แค่พาเธอไปที่ห้องพยาบาลเท่านั้น.. แต่เธออย่าโกรธฉันเลยนะที่ฉันพูดกับเธอไปแบบนั้น เพราะฉันเองเป็นห่วงเธอมากจริงๆ...”


             ฉันได้แต่นั่งเงียบฟังทุกอย่างที่เขาพูดอย่างตั้งใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะทำเพื่อฉันมากมายขนาดนี้ เขาเป็นห่วงฉันมากกว่าใครๆ 


    “ต่อจากนี้เธอตั้งใจฟังที่ฉันจะพูดดีๆนะ..... ฉันอยากจะบอกเธอชัดๆอีกครั้ง ความในใจของฉัน.... ฉันอยากจะบอกว่าฉันชอบเธอ ชอบเธอมานานแล้ว ชอบเธอมากแต่เพราะฉันคิดว่าฉันกับเธอยังไงก็ต้องมีวันที่เหมาะสมที่ฉันจะสามารถจะบอกคำนี้กับเธอได้ด้วยตัวเอง ฉันเลยไม่เคยคิดที่จะบอกเธอเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันขอโทษนะที่บอกเธอช้าไป ฉันขอโทษนะที่ตลอดเวลาฉันดูแลเธอให้ดีกว่านี้ไม่ได้ ฉันหวังว่าถ้าเธอดูวีดีโอนี้แล้ว เราจะเจอกันอีกครั้งแล้วฉันอยากจะฟังจากปากเธอนะว่าเธอคิดยังไงกับฉัน ฉันอยากจะฟังคำนั้นจากเธอจริงๆ แล้วฉันก็จะบอกว่าฉันชอบเธออีกครั้งต่อหน้าเธอด้วยเหมือนกัน และถ้าเธอคิดเหมือนกันกับฉัน วันต่อๆไปเราอาจจะเลิกเป็นเพื่อนกันก็ได้ เพราะฉันจะขอเธอเป็นแฟนยังไงล่ะ...”


              รอยยิ้มสดใสของเขาที่ฉันไม่ได้เห็นมานานแล้วตอนนี้ได้ปรากฏอยู่บนจอทีวีที่เขาพูดจบเมื่อบอกว่าจะขอฉันเป็นแฟน... 


    “ฮึก... ฮึก.... ทำไมเราไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้นะมยองซู ฉันจะบอกนายเหมือนกันว่าฉันคิดยังไง ฉันเองก็ชอบนายมยองซู ชอบนายมาตลอด ชอบนายมากๆเลยด้วย ฮึก... ฉันเองก็ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกให้นายรู้เลย มยองซู... นายได้ยินฉันไหม ฮืออออออ” ฉันร้องบอกเขาทั้งๆที่รู้ว่าเขาจะไม่มีทางได้ยิน


    “นาอึน เธออย่าโกรธซองกยูฮยองกับอึนจีนูน่าเลยนะที่นัดเธอออกไปแล้วต้องให้เธอรอนาน ฉันเองเป็นคนขอร้องให้นัดเธอออกมาเพราะฉันเองอยากเจอเธอมากเลย เธออย่าไปโกรธพวกเขาเลยนะ...”

               เขายิ้มไปหัวเราะไปขอร้องให้ฉันไม่โกรธพวกพี่ๆที่ช่วยกันวางแผน


    “อะ อื้อ ฉันจะไม่โกรธพวกเขา…”


    “ฉันหวังว่าหลังจากนี้ฉันมีอะไรจะพูดให้เธอฟังเยอะเลย งั้นเธอรอฟังฉันพูดต่อจากนี้นะ ฉันสัญญาจะพูดให้เธอฟังทุกวันเลยล่ะ เรื่องอะไรที่เธออยากรู้ฉันจะบอกเธอให้หมดเลย สัญญาด้วยว่าไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ทิ้งเธอไปไหนอีก...”

              เขาชูนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าเพื่อเป็นการสัญญา


    “ฮึก.. ฮืออออ มยองซู” ฉันร้องไห้อย่างหนักเมื่อเห็นเขาทำแบบนั้น สัญญาไม่มีวันที่เขาจะรักษามันไว้ได้อีกต่อไป สัญญาที่ฉันต้องการมากที่สุดแต่มันก็ไม่อาจเป็นไปได้


    “ฉันไม่รู้นะว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เธออย่าลืมฉันนะ ฉันคงเสียใจมากๆเลยถ้าเธอลืมฉันน่ะ Y^Y  ฮ่าๆๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ ฉันจะไปหาเธอก่อนที่เธอจะมาหาฉันซะอีก บ๊ายบาย~ ”


                  เขาโบกมือให้กล้องด้วยท่าทางสดใส ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วพูดโดยไม่มีเสียง ฉันอ่านปากของเขารู้ว่าเขาพูดว่าอะไร ...ฉันชอบเธอนะ... ก่อนที่กล้องจะถูกปิดลง

                   ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแบบนั้น กอดไดอารี่ของเขาเอาไว้ในอ้อมกอด น้ำตาก็ไหลไม่ยอมหยุด ฉันยังคงทำใจไม่ได้ที่เขาจากไปแบบนี้ ถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะกลับไปบอกเขาว่าฉันชอบเขามากแค่ไหน และจะไม่ยอมให้เขาจากฉันไปแบบนี้แน่ๆ



                     ฉันเดินออกไปเปิดประตูกระจกก่อนจะออกไปที่ระเบียง มองไปบนฟ้าแล้วพูดกับเขาในใจ เขาที่อยู่บนนั้น....


     
    มยองซู... ฉันสัญญา






    ว่าฉันจะไม่ลืมนาย นายจะอยู่ในความทรงจำ...  















    ของฉันตลอดไป...










































    ......................................................................
    จบลงไปแล้วกับฟิคเรื่องที่สองของไรท์เตอร์ค่ะ
    พล็อตเรื่องนี้สำหรับไรท์เตอร์เศร้านะคะ
    แต่ไม่รู้ว่าพอเขียนลงไปแล้วทุกคนจะเศร้าไปกับเนื้อเรื่องหรือเปล่า
    แนวดราม่า ไรท์เตอร์คิดว่าอาจจะไม่ใช่แนวที่ทุกคนชอบกันเท่าไหร่
    เพราะบางคนอาจจะชอบแนวน่ารักกุ๊กกิ๊ก ออกแนวสดใสซะมากกว่า
    แต่เรื่องนี้ไรท์เตอร์ก็พยายามแต่งออกมาอย่างสุดความสามารถเลย
    อาจมีส่วนไหนที่ยังไม่ถูกต้องหรือต้องแก้ไข ให้อภัยกันด้วยน๊า
    ไรท์เตอร์จะปรับปรุงแก้ไขเผื่อมีโอกาสในเรื่องต่อไปนะคะ

    สุดท้าย 
    ขอบคุณที่อ่านฟิคเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
    ไรท์เตอร์คิดว่าข้อคิดที่อยากจะฝากไว้ในเรื่องนี้อาจจะทำให้ทุกคนรู้นะคะ
    ถ้ามีอะไรจะบอกกับคนสำคัญ อย่าอายที่จะพูดมันออกไปนะ
    ก่อนที่จะไม่มีโอกาสที่จะพูดออกไปเนอะ ^^
    แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่า~~
                
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×