ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อเปิดประตูสู่โลกอีกหนึ่งใบ
ฉันเชื่อว่าคุณเคยทำสิ่งนี้ และในบางครั้งก็ต้องทำ! หนึ่งในหลายๆ ครั้งที่คุณต้องเคยเขียนประวัติแนะนำตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วรูปแบบการเขียนประวัติส่วนตัวจะเป็นแบบเดิมๆ คล้ายๆ กัน นั่นคือ ชื่อ สกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ที่อยู่ การศึกษา ซึ่งไม่น่าสนใจและดึงดูดคนอ่านเท่าไรนัก แต่ในส่วนนี้จะเป็นความเรียง ทำให้มีความน่าสนใจ มีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งขึ้น เป็นเหมือนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
ประวัติของแต่ละคนก็เหมือนโลกหนึ่งใบที่ต่างกัน การที่เราเล่าเรื่องของตัวเองก็เหมือนเปิดประตูสู่โลกใบเล็กๆ ของเรา ให้คนอื่นเข้ามาเรียนรู้ เข้ามาทำความรู้จักตัวตน ในโลกใบเล็กๆ ของฉันได้เก็บเรื่องราว ความทรงจำ เอาไว้มากมาย ซึ่งสามารถหยิบบางส่วน บางเรื่องราว มาแบ่งปันให้คุณร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของฉันได้ ในกระดาษแผ่นนี้และแผ่นต่อๆ ไป
สวัสดีค่ะ ฉันมีนามว่า กรณ์แก้ว หรือจะเรียกว่า ‘แก้ว’ ก็ได้ เกิดเมื่อวันที่ 11 เดือน 1 ปี 2533 เป็นสาวราศีกึ่งธนูกึ่งมังกร เกิดและเติบโตที่กรุงเทพฯ อาศัยอยู่ย่านถนนนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม (ซึ่งห่างไกลจากมหาวิทยาลัยมาก) ครอบครัวน้อยๆ ของฉันมีแม่ ที่คอยรักและห่วงใย มีพี่ ป้า น้า อา และยาย (น้อยหรือนี่?)นอกจากนั้นยังมีเจ้าหมาจอมยุ่งอีก 4 ชีวิต ที่คอยแย่งขนมนมเนย และคอยส่งเสียงกวนโสตประสาทอยู่ด้วย แต่ถึงอย่างไรฉันก็รักเจ้าตัวยุ่งทั้ง 4 นี้มาก
ตัวฉันนั้นจบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 ปัจจุบันเรียนอยู่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขาวิชานิเทศศาสตร์ เอกวารสารและหนังสือพิมพ์ ปี 2
เมื่อวันเวลาผันผ่านจากลูกพระเกี้ยวสู่ลูกพระพิฆเณศ เติบโตขึ้นอีกก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นประตูสู่การเริ่มต้น...
เริ่มต้นเรียนรู้... สิ่งใหม่ๆ ชีวิตในแง่มุมต่างๆ
เริ่มต้นเรียนรู้... รู้จักเพื่อนๆ ค้นหาคนที่ใช่ กลุ่มที่รู้ใจ ที่พร้อมจะก้าวเดินไปกับเรา
เริ่มต้น... เก็บเกี่ยวมิตรภาพดีๆ ความทรงจำที่ประทับใจ จากสิ่งรอบตัว
เริ่มต้น... สร้างประสบการณ์ที่ต่าง ที่แปลกใหม่ไปจากเดิม
เริ่มต้น... ฝึกความอึด ความอดทนให้มากขึ้น และที่สำคัญ
เริ่มต้นเรียนรู้... เส้นทางในกรุงเทพไปกว่าครึ่ง ทั้งจด และจำสายรถเมล์ ทางที่ต้องผ่านลงสมองน้อยๆ ของฉัน (ซึ่งมันเยอะมาก เพราะกว่าจะได้มาอยู่บางรักก็ต้องระเหเร่ร่อนไปมา ทั้งท่าพระ ตลิ่งชัน)
อย่างที่บอกประตูนี้เป็นประตูสู่การเริ่มต้น ประตูสู่การศึกษาเรียนรู้ การสั่งสอน และสั่งสมประสบการณ์ ความรู้ เพื่อก้าวไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จในอนาคต
“สำหรับฉันมันเป็นอะไรที่สอนให้รู้จักหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งแง่มุมทั้งชีวิต มันสอนให้ฉันรู้จักคิดมากขึ้น ชีวิตคนเรายังต้องเรียนรู้และเริ่มต้นอะไรอีกมาก เช่นเดียวกับทางเดินอันยาวไกลที่ต้องดำเนินต่อไป ฉันเคยอ่านคำคมจากหนังสือนิยายของสำนักพิมพ์แจ่มใสที่ว่า ‘การเดินทางไกลหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก’ก็จริงของเขานะฉันว่า ก้าวแรกคือการเริ่มต้นอะไรหลายๆ อย่าง...”
การที่เลือกเรียนทางด้านนิเทศนั้น เพราะว่าฉันรักในการถ่ายภาพ หนังสือ ความอิสระ และการท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง โดยเฉพาะธรรมชาติอันงดงาม ป่าเขาลำเนาไพร ทะเลยามรุ่งอรุณ และยามอาทิตย์อัสดง เวลาได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ ได้เห็นภาพที่ตัวเองถ่ายออกมาสวยจะทำให้รู้สึกมีความสุข หัวใจพองโต ในอนาคตการที่ฉันจะทำงานพร้อมกับถ่ายภาพ และท่องไปในที่แปลกใหม่ไปด้วยนั้น ก็คงจะเป็นงานทางด้านนิเทศนี่แหละที่ฉันเห็นว่า ใช่เลย นั่นละ มันคือตัวของฉัน นอกจากจะได้ทำงาน เที่ยว และถ่ายภาพแล้ว ที่สำคัญยังได้อยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ‘หนังสือ’ อีกด้วย
นอกจากจะรักในการถ่ายรูป ท่องเที่ยว หนังสือแล้ว ฉันยังหลงใหลในเสน่ห์ของตัวอักษร บุคลิก และเรื่องราวของตัวละครด้วย จะเรียกว่าหลงเสน่ห์การอ่านนิยายจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นแนวโรแมนติก ย้อนยุค หรือแฟนตาซีก็ตาม (แอบบอกว่าขอยกเว้น แนวสยองขวัญกับฆาตกรรมไว้หน่อยก็แล้วกัน) ฉันได้พบได้ประทับใจกับมิตรภาพแสนดีที่ทำให้หัวใจอิ่มเอม จากตัวอักษรที่ร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องราว ถ่ายทอดออกมาเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ให้ฉันร่วมรับรู้ไปด้วย ทั้งตัวละครที่ออกมาทักทายหัวใจผู้คน ทำให้ได้เสียงหัวเราะ รอยยิ้มประดับที่สองแก้ม และแต้มที่หัวใจผู้อ่านอย่างฉัน นอกจากนั้น ‘หนังสือ’ ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด สำหรับฉันอีกด้วย หนังสือจะเป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยเคียงข้างยามว้าเหว่ คอยปลอบเมื่อยามเศร้า คอยสร้างความเพลิดเพลินยามอารมณ์ดี จะคอยสร้างเสียงหัวเราะและแต่งแต้มความสุขให้เกิดขึ้น
ปกติชีวิตส่วนใหญ่ของฉันดำรงอยู่และหมดไปกับการอ่านหนังสือพร้อมน้ำเปล่าแก้วโปรด วันๆนอกจากเรื่องเรียนแล้ว ฉันยังวนเวียนอยู่แถวๆ ร้านหนังสือ (คิดๆ ดูแล้วเหมือนวิญญาณเลย) และเปิดเว็บไซต์หาข่าวเกี่ยวกับหนังสือ จะเรียกว่าเข้าขั้นบ้าเลยก็ว่าได้ ไม่มีวันไหนที่ฉันจะไม่พกหนังสือนิยายติดตัว อย่างน้อยขอให้มีติดอยู่ในกระเป๋าสักเล่ม ไว้อ่านเวลาว่าง(ว่างนิดหน่อยก็ยังจะอ่าน) เวลานั่งรถ นั่งเรือ ถ้าไม่ได้อ่านก็ไม่ว่ากัน มีติดกระเป๋าแล้วมันอุ่นใจดี
อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าโลกของตัวหนังสือเป็นโลกที่สร้างความสุข มอบมิตรภาพที่ดีงาม คอยอยู่เคียงข้าง และแสนวิเศษเพียงไร
“ขอบคุณ...ที่ทำให้ฉันได้รู้”
ในตอนนี้มีสิ่งที่ฉันอยากทำอยู่หลายอย่าง ทั้งการเรียนถ่ายรูป ภาษาญี่ปุ่น การวาดรูปลงสีตัวการ์ตูนทางคอมพิวเตอร์ ฉันอยากรู้หลักการการถ่ายรูป เทคนิคต่างๆ อยากฝึกฝนให้เก่งขึ้น ถ่ายภาพให้ได้สวยยิ่งขึ้น เพราะเมื่อได้มองภาพที่ตัวเองถ่ายแล้วจะมีความสุขที่สุดเลยล่ะ
“ทุกอย่างเริ่มต้นจากการเรียนรู้ แต่มันจะไม่จบลงไปเลยหรอกนะ เรายังต้องเรียนรู้ ฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ เพื่อพัฒนาตนเองต่อไป จงอย่ายิ่งทะนงว่าตนเก่ง หรือเลิศเลอมาจากไหน การที่อะไรจะสำเร็จได้นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน และการอดทนเป็นสำคัญ”
ส่วนการที่ฉันอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นก็เพราะต้องการอ่านการ์ตูนภาษาญี่ปุ่นได้รู้เรื่อง และอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น (อยากตามรอยการ์ตูนนั่นเอง คิดได้เน๊อะคนเรา)ที่นั่นมีงานเทศกาลหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งดอกไม้ไฟ การชมสวน โดยเฉพาะในช่วงที่มีดอกซากุระบาน ฉันอยากไปดูเวลาที่ทั้งสวนเต็มไปด้วยดอกซากุระบานสะพรั่ง อยากชื่นชมกลิ่นอายบรรยากาศที่สวยงาม อ่อนโยนนี้นัก รวมทั้งถ่ายรูปในมุมต่างๆ เก็บไว้ในความทรงจำด้วย นอกจากนั้นฉันอยากลงสีการ์ตูนดิจิตอลเป็น เพราะเวลาที่เห็นหน้าปกนิยายแล้วชอบ เกิดอาการปิ๊งๆ ในหัวใจ จนต้องขอมาจับจองไว้เป็นเจ้าของทุกที พร้อมทั้งน้ำตาตกในไปด้วยที่ต้องเสียเงิน (เงินเก็บของฉันทั้งนั้น เฮ้อ!) คิดแล้วเศร้า แต่ยังไงก็ห้ามใจได้ยากทุกที พอเห็นแล้วก็อยากทำได้เก่งๆ บ้าง แล้วโดยส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ชอบอยู่แล้วด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต คือธรรมชาติ มันโลดแล่นมีชีวิตอยู่ไปพร้อมกับฉัน ฉันขาดมันไม่ได้ถ้าวันไหนที่ขาดไปคงจะเหงาน่าดู ความสุขของชีวิตคงลดลง ฉันชอบนะ ถึงจะเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่หาได้จากสิ่งรอบตัว แต่มันก็สร้างรอยยิ้มให้ฉันได้มากพอดู แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน... แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่อ่านหนังสือนิยายให้แม่เห็น มักจะถูกว่าทุกครั้งเลย บางทีถึงขั้นขู่ว่าจะเอาไปทิ้ง ไปเผาไฟก็มี เครียด เศร้า อยากร้องไห้จัง... ถึงยังไงฉันก็ไม่สนอยู่ดี ก็จะอ่านนี่หน่า อาจแอบๆ อ่านไม่ให้แม่เห็น ฉันทำอย่างนี้จริงๆ นะ
“เป็นในสิ่งที่เป็น ทำในสิ่งที่อยากจะทำ หาเอกลักษณ์ และตัวตนของตัวเองให้เจอ ค้นให้พบ แม้มันจะอยู่ลึกแค่ไหนก็ตาม แล้วคุณจะพบความสุขจากการเป็นตัวของตัวเอง รวมทั้งได้ทำในสิ่งที่รัก” นั่นหละสิ่งที่ฉันคิด
ฉันเชื่อว่าคุณเคยทำสิ่งนี้ และในบางครั้งก็ต้องทำ! หนึ่งในหลายๆ ครั้งที่คุณต้องเคยเขียนประวัติแนะนำตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วรูปแบบการเขียนประวัติส่วนตัวจะเป็นแบบเดิมๆ คล้ายๆ กัน นั่นคือ ชื่อ สกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ที่อยู่ การศึกษา ซึ่งไม่น่าสนใจและดึงดูดคนอ่านเท่าไรนัก แต่ในส่วนนี้จะเป็นความเรียง ทำให้มีความน่าสนใจ มีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งขึ้น เป็นเหมือนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
ประวัติของแต่ละคนก็เหมือนโลกหนึ่งใบที่ต่างกัน การที่เราเล่าเรื่องของตัวเองก็เหมือนเปิดประตูสู่โลกใบเล็กๆ ของเรา ให้คนอื่นเข้ามาเรียนรู้ เข้ามาทำความรู้จักตัวตน ในโลกใบเล็กๆ ของฉันได้เก็บเรื่องราว ความทรงจำ เอาไว้มากมาย ซึ่งสามารถหยิบบางส่วน บางเรื่องราว มาแบ่งปันให้คุณร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของฉันได้ ในกระดาษแผ่นนี้และแผ่นต่อๆ ไป
สวัสดีค่ะ ฉันมีนามว่า น.ส.กรณ์แก้ว ช้างศิริ หรือจะเรียกว่า ‘แก้ว’ ก็ได้ เกิดเมื่อวันที่ 11 เดือน 1 ปี 2533 เป็นสาวราศีกึ่งธนูกึ่งมังกร เกิดและเติบโตที่กรุงเทพฯ อาศัยอยู่ย่านถนนนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม (ซึ่งห่างไกลจากมหาวิทยาลัยมาก) ครอบครัวน้อยๆ ของฉันมีแม่ ที่คอยรักและห่วงใย มีพี่ ป้า น้า อา และยาย (น้อยหรือนี่?)นอกจากนั้นยังมีเจ้าหมาจอมยุ่งอีก 4 ชีวิต ที่คอยแย่งขนมนมเนย และคอยส่งเสียงกวนโสตประสาทอยู่ด้วย แต่ถึงอย่างไรฉันก็รักเจ้าตัวยุ่งทั้ง 4 นี้มาก
ตัวฉันนั้นจบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 ปัจจุบันเรียนอยู่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขาวิชานิเทศศาสตร์ เอกวารสารและหนังสือพิมพ์ ปี 2
เมื่อวันเวลาผันผ่านจากลูกพระเกี้ยวสู่ลูกพระพิฆเณศ เติบโตขึ้นอีกก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นประตูสู่การเริ่มต้น...
เริ่มต้นเรียนรู้... สิ่งใหม่ๆ ชีวิตในแง่มุมต่างๆ
เริ่มต้นเรียนรู้... รู้จักเพื่อนๆ ค้นหาคนที่ใช่ กลุ่มที่รู้ใจ ที่พร้อมจะก้าวเดินไปกับเรา
เริ่มต้น... เก็บเกี่ยวมิตรภาพดีๆ ความทรงจำที่ประทับใจ จากสิ่งรอบตัว
เริ่มต้น... สร้างประสบการณ์ที่ต่าง ที่แปลกใหม่ไปจากเดิม
เริ่มต้น... ฝึกความอึด ความอดทนให้มากขึ้น และที่สำคัญ
เริ่มต้นเรียนรู้... เส้นทางในกรุงเทพไปกว่าครึ่ง ทั้งจด และจำสายรถเมล์ ทางที่ต้องผ่านลงสมองน้อยๆ ของฉัน (ซึ่งมันเยอะมาก เพราะกว่าจะได้มาอยู่บางรักก็ต้องระเหเร่ร่อนไปมา ทั้งท่าพระ ตลิ่งชัน)
อย่างที่บอกประตูนี้เป็นประตูสู่การเริ่มต้น ประตูสู่การศึกษาเรียนรู้ การสั่งสอน และสั่งสมประสบการณ์ ความรู้ เพื่อก้าวไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จในอนาคต
“สำหรับฉันมันเป็นอะไรที่สอนให้รู้จักหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งแง่มุมทั้งชีวิต มันสอนให้ฉันรู้จักคิดมากขึ้น ชีวิตคนเรายังต้องเรียนรู้และเริ่มต้นอะไรอีกมาก เช่นเดียวกับทางเดินอันยาวไกลที่ต้องดำเนินต่อไป ฉันเคยอ่านคำคมจากหนังสือนิยายของสำนักพิมพ์แจ่มใสที่ว่า ‘การเดินทางไกลหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก’ก็จริงของเขานะฉันว่า ก้าวแรกคือการเริ่มต้นอะไรหลายๆ อย่าง...”
การที่เลือกเรียนทางด้านนิเทศนั้น เพราะว่าฉันรักในการถ่ายภาพ หนังสือ ความอิสระ และการท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง โดยเฉพาะธรรมชาติอันงดงาม ป่าเขาลำเนาไพร ทะเลยามรุ่งอรุณ และยามอาทิตย์อัสดง เวลาได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ ได้เห็นภาพที่ตัวเองถ่ายออกมาสวยจะทำให้รู้สึกมีความสุข หัวใจพองโต ในอนาคตการที่ฉันจะทำงานพร้อมกับถ่ายภาพ และท่องไปในที่แปลกใหม่ไปด้วยนั้น ก็คงจะเป็นงานทางด้านนิเทศนี่แหละที่ฉันเห็นว่า ใช่เลย นั่นละ มันคือตัวของฉัน นอกจากจะได้ทำงาน เที่ยว และถ่ายภาพแล้ว ที่สำคัญยังได้อยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ‘หนังสือ’ อีกด้วย
นอกจากจะรักในการถ่ายรูป ท่องเที่ยว หนังสือแล้ว ฉันยังหลงใหลในเสน่ห์ของตัวอักษร บุคลิก และเรื่องราวของตัวละครด้วย จะเรียกว่าหลงเสน่ห์การอ่านนิยายจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นแนวโรแมนติก ย้อนยุค หรือแฟนตาซีก็ตาม (แอบบอกว่าขอยกเว้น แนวสยองขวัญกับฆาตกรรมไว้หน่อยก็แล้วกัน) ฉันได้พบได้ประทับใจกับมิตรภาพแสนดีที่ทำให้หัวใจอิ่มเอม จากตัวอักษรที่ร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องราว ถ่ายทอดออกมาเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ให้ฉันร่วมรับรู้ไปด้วย ทั้งตัวละครที่ออกมาทักทายหัวใจผู้คน ทำให้ได้เสียงหัวเราะ รอยยิ้มประดับที่สองแก้ม และแต้มที่หัวใจผู้อ่านอย่างฉัน นอกจากนั้น ‘หนังสือ’ ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด สำหรับฉันอีกด้วย หนังสือจะเป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยเคียงข้างยามว้าเหว่ คอยปลอบเมื่อยามเศร้า คอยสร้างความเพลิดเพลินยามอารมณ์ดี จะคอยสร้างเสียงหัวเราะและแต่งแต้มความสุขให้เกิดขึ้น
ปกติชีวิตส่วนใหญ่ของฉันดำรงอยู่และหมดไปกับการอ่านหนังสือพร้อมน้ำเปล่าแก้วโปรด วันๆนอกจากเรื่องเรียนแล้ว ฉันยังวนเวียนอยู่แถวๆ ร้านหนังสือ (คิดๆ ดูแล้วเหมือนวิญญาณเลย) และเปิดเว็บไซต์หาข่าวเกี่ยวกับหนังสือ จะเรียกว่าเข้าขั้นบ้าเลยก็ว่าได้ ไม่มีวันไหนที่ฉันจะไม่พกหนังสือนิยายติดตัว อย่างน้อยขอให้มีติดอยู่ในกระเป๋าสักเล่ม ไว้อ่านเวลาว่าง(ว่างนิดหน่อยก็ยังจะอ่าน) เวลานั่งรถ นั่งเรือ ถ้าไม่ได้อ่านก็ไม่ว่ากัน มีติดกระเป๋าแล้วมันอุ่นใจดี
อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าโลกของตัวหนังสือเป็นโลกที่สร้างความสุข มอบมิตรภาพที่ดีงาม คอยอยู่เคียงข้าง และแสนวิเศษเพียงไร
“ขอบคุณ...ที่ทำให้ฉันได้รู้”
ในตอนนี้มีสิ่งที่ฉันอยากทำอยู่หลายอย่าง ทั้งการเรียนถ่ายรูป ภาษาญี่ปุ่น การวาดรูปลงสีตัวการ์ตูนทางคอมพิวเตอร์ ฉันอยากรู้หลักการการถ่ายรูป เทคนิคต่างๆ อยากฝึกฝนให้เก่งขึ้น ถ่ายภาพให้ได้สวยยิ่งขึ้น เพราะเมื่อได้มองภาพที่ตัวเองถ่ายแล้วจะมีความสุขที่สุดเลยล่ะ
“ทุกอย่างเริ่มต้นจากการเรียนรู้ แต่มันจะไม่จบลงไปเลยหรอกนะ เรายังต้องเรียนรู้ ฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ เพื่อพัฒนาตนเองต่อไป จงอย่ายิ่งทะนงว่าตนเก่ง หรือเลิศเลอมาจากไหน การที่อะไรจะสำเร็จได้นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน และการอดทนเป็นสำคัญ”
ส่วนการที่ฉันอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นก็เพราะต้องการอ่านการ์ตูนภาษาญี่ปุ่นได้รู้เรื่อง และอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น (อยากตามรอยการ์ตูนนั่นเอง คิดได้เน๊อะคนเรา)ที่นั่นมีงานเทศกาลหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งดอกไม้ไฟ การชมสวน โดยเฉพาะในช่วงที่มีดอกซากุระบาน ฉันอยากไปดูเวลาที่ทั้งสวนเต็มไปด้วยดอกซากุระบานสะพรั่ง อยากชื่นชมกลิ่นอายบรรยากาศที่สวยงาม อ่อนโยนนี้นัก รวมทั้งถ่ายรูปในมุมต่างๆ เก็บไว้ในความทรงจำด้วย นอกจากนั้นฉันอยากลงสีการ์ตูนดิจิตอลเป็น เพราะเวลาที่เห็นหน้าปกนิยายแล้วชอบ เกิดอาการปิ๊งๆ ในหัวใจ จนต้องขอมาจับจองไว้เป็นเจ้าของทุกที พร้อมทั้งน้ำตาตกในไปด้วยที่ต้องเสียเงิน (เงินเก็บของฉันทั้งนั้น เฮ้อ!) คิดแล้วเศร้า แต่ยังไงก็ห้ามใจได้ยากทุกที พอเห็นแล้วก็อยากทำได้เก่งๆ บ้าง แล้วโดยส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ชอบอยู่แล้วด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต คือธรรมชาติ มันโลดแล่นมีชีวิตอยู่ไปพร้อมกับฉัน ฉันขาดมันไม่ได้ถ้าวันไหนที่ขาดไปคงจะเหงาน่าดู ความสุขของชีวิตคงลดลง ฉันชอบนะ ถึงจะเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่หาได้จากสิ่งรอบตัว แต่มันก็สร้างรอยยิ้มให้ฉันได้มากพอดู แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน... แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่อ่านหนังสือนิยายให้แม่เห็น มักจะถูกว่าทุกครั้งเลย บางทีถึงขั้นขู่ว่าจะเอาไปทิ้ง ไปเผาไฟก็มี เครียด เศร้า อยากร้องไห้จัง... ถึงยังไงฉันก็ไม่สนอยู่ดี ก็จะอ่านนี่หน่า อาจแอบๆ อ่านไม่ให้แม่เห็น ฉันทำอย่างนี้จริงๆ นะ
“เป็นในสิ่งที่เป็น ทำในสิ่งที่อยากจะทำ หาเอกลักษณ์ และตัวตนของตัวเองให้เจอ ค้นให้พบ แม้มันจะอยู่ลึกแค่ไหนก็ตาม แล้วคุณจะพบความสุขจากการเป็นตัวของตัวเอง รวมทั้งได้ทำในสิ่งที่รัก” นั่นหละสิ่งที่ฉันคิด
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น