Alvin and ...
มีอะไรสงสัยก็ถามได้ หากตอบไม่ได้จะบอกว่า มาตามนัด
ผู้เข้าชมรวม
352
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอนที่ 1 เพียงวันแรก
บางครั้งฉันก็เคยคิดเหมือนกันว่ามาทำอะไรที่นี่ ทั้งๆที่ฉันก็ไม่ได้ต้องการเดินทางสายนี้เลย ฉันมาในที่ๆไม่มีใครรู้จักฉันและตัวฉันเองก็ไม่รู้จักใครเช่นกัน กระเป๋าที่ถืออยู่ในมือสุดแสนจะหนักอึ้ง เสื้อผ้าของฉันถึงแม้มันจะไม่ได้มีมากมายอะไร แต่ต้องมาถืออย่างนี้มันก็หนักเอาการ กว่าฉันจะตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน ฉันต้องคิดหลายหนว่าจะเอายังไงกับชีวิตตอนนี้ ที่เหมือนถูกเขาเอามาปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ แต่เมื่อรู้ว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ฉันจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ปล่อยไปตามกรรม ฉันตัดสินใจเดิน
เพียงก้าวแรก ฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น
ก้าวที่สอง หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงขึ้น
ก้าวที่สาม หัวใจของฉันเต้นแรงกว่าก้าวแรกและก้าวที่สอง
มันดังขึ้นเรื่อยๆที่ก้าวที่ฉันกำลังเดินเข้าไป ในโรงเรียนประจำที่เหมือนจะเป็นบ้านผีสิง โรงเรียนที่คล้ายคฤหาสน์แบบตะวันตก ฝนที่เริ่มโปรยลงมา โรงเรียนคือสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุด ตอนนี้ฉันกำลังเดินเข้าไปหามัน ฉันลืมเรื่องนับก้าวไปแล้ว แต่ยังไงก็ตาม ฉันก็ต้องเดินเข้าไป
เมื่อฉันเดินมาถึงบริเวณหน้าประตูโรงเรียน มีคนที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นภารโรง เดินกางร่มมารับฉัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วฉันเดินมาถึงที่ร่ม ฝนสาดเข้ามาไม่ถึง แม้ฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเขานัก ฉันก็เดินตามเขาไปโดยดีไม่ปริปากพูดสักคำ ชายคนที่กางร่มมารับฉันหุบร่ม เขาหันมาหาฉัน ยิ้มเหมือนแสยะปาก ฉันไม่รู้ว่าเขาแปรงฟันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ฟันเหลืองๆของเขาทำให้ฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้แปรงฟันมาหลายปีแล้ว
“แม่หนูน้อย ขอต้อนรับสู่โรงเรียนแห่งนี้” เขาพูดและยิ้มอย่างน่ากลัว ฉันได้กลิ่นเหม็นนิดๆที่ออกมาจากไปชายคนนั้น ฉันไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่าที่เห็นแมลงตัวเล็กๆบินออกมาจากปากของเขา
เขาเดินนำฉันเข้าไปในตัวของโรงเรียนที่คล้ายคฤหาสน์ เสียงรองเท้าของฉันกระทบพื้นที่ปูด้วยหินอ่อน ฉันได้ยินชายคนที่เดินนำฉันบ่นอิดออด เกี่ยวกับเรื่องรองเท้าของฉัน ขณะที่เขาบ่นผมหงอกของเขาก็ร่วงตามทาง มันปลิวมาติดแก้มฉัน เมื่อเดินมาถึงบันได เขาหยุดเดินและหันหลังมาบอกฉันว่า
“จงเดินขึ้นไปจนถึงขั้นสุดท้าย” แล้วเขาก็เดินจากไปทิ้งฉันให้เดินขึ้นไปคนเดียว ถึงจะไม่เต็มใจนักแต่ฉันก็เดินขึ้นบันไดไปแต่โดยดี ชุดกระโปรงที่ยาวจนคลุมตาตุ่นเป็นอุปสรรคบ้างในบางครั้ง ฉันคอยระวังไม่ให้เหยียบมันเข้า การเดินขึ้นบันไดโดยไม่ให้เหยียบกระโปรงที่ยาวคลุมตาตุ่มนั้นยากพอสมควร ยิ่งฉันใส่รองเท้าส้นสูงด้วยแล้วมันยิ่งลำบาก ถึงจะไม่ได้ใส่สูงอะไรมากมายแต่มันก็สูงสำหรับฉัน เมื่อฉันเดินมาถึงขั้นสุดท้ายโดยที่ไม่เหยียบชายกระโปรง ซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควร สายตาของฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงมีอายุพอสมควร แต่งหน้าจัดจนฉันกลัวว่าเวลาล้างหน้าแล้วหนังที่เหี่ยวย่นของเธอจะหลุดติดไปกับเครื่องสำอางด้วย ปากที่แดงฉานน่ากลัวเหมือนพึ่งกินเลือดมาสดๆ ค่อยๆขยับและถามฉัน
“คุณอัลเบริตกับคุณคริสตี้ส่งเธอมาใช่ไหม” เธอถามฉัน ทั้งๆที่น้ำเสียงของเธอถามฉันอย่างราบเรียบแต่เหมือนดวงตาเหยี่ยวของเธอกำลังจิกฉันอยู่ ฉันพยักหน้าช้าๆ เนื่องจากงงกับคำถามเล็กน้อย
“ตามฉันมานี่” เธอเดินนำฉันไปยังห้องนอนของนักเรียนหญิง ซึ่งฉันได้รับอภิสิทธ์ในการนอนห้องนอนเดี่ยว ระหว่างทางนั้นเราเดินผ่านห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก พวกนั้นต่างจ้องมาที่ฉันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อด้วยไม่รู้สาเหตุ ฉันรีบก้าวเดินออกจากที่บริวเณนั้นให้เร็วที่สุด
“เธอมีเวลาห้านาที จงเก็บสัมภาระให้เสร็จซะ ทุกคนเขารอเธออยู่” พูดจบเธอก็หันหลังให้ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินออกจากห้องไป ฉันเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เนื่องจากฉันเป็นคนเอื่อยเฉื่อย ชอบทำอะไรชักช้าจึงมักถูกว่ากล่าวเสมอจากคนรอบข้าง เมื่อคิดทบทวนดูดีๆแล้วฉันออกจะงงกับคำถามของเธอเล็กน้อย คุณอัลเบริตกับคุณคริสตี้ส่งเธอมาใช่ไหม นั่นชื่อคุณพ่อกับคุณแม่นี่ ทำไมเธอพูดเหมือนฉันไม่ใช่ลูกของท่าน หรือว่าท่านไม่ต้องการฉันจริงๆ มันคงเป็นอย่างที่คิดไว้สินะ เอาฉันมาทิ้งไว้ที่นี่ก็เพราะไม่ต้องการฉันนั่นเอง นึกๆแล้วก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันทั้งที่เป็นคนอ่อนไหว แต่น้ำตามันไม่ไหลสักหยด อาจจะเป็นเพราะว่ามันไม่มีอะไรจะให้ร้องออกมาอีกแล้ว น้ำตาแห่งความโศกเศร้า คงหมดไปแล้วสินะ
“ฉันนึกว่าเธอจะปีนหนีออกไปแล้วซะอีก ให้ฉันยืนรอนานๆมันเสียมารยาทนะรู้มั๊ย” เสียงแหลมต่อว่าฉัน ฉันเองก็ได้แต่พยักหน้ารับ
“นี่เธอ จะพยักหน้าไปถึงไหน ปากไม่ได้พกมารึไงกัน” เธอฉีกยิ้มเล็กน้อยด้วยความสะใจที่สังเกตเห็นได้ชัด
“เปล่าค่ะ หนูขอโทษค่ะ” ฉันตอบไป ทั้งๆที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องขอโทษ แต่มันก็มักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ฉันต้องขอโทษทุกครั้งไป จนฉันลืมไปแล้วว่าฉันเคยที่จะไม่ทำอะไรผิดพลาดบ้าง เธอเดินนำเรื่อยๆจนมาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนนั่งอยู่เต็มไปหมด พวกนั้นหันมามองฉันเป็นทางเดียวจนเสียวสันหลังวาบ ชายชราศีรษะโล้นที่ยืนอยู่หน้าแท่นเรียกฉันเข้าไปหา ฉันจึงต้องเดินไปตรงแท่น
“นักเรียนทุกคน ครูมีนักเรียนใหม่มาแนะนำให้พวกเธอรู้จัก” เขาผายมือมาที่ฉันซึ่งยืนอยู่ข้างๆ “นี่คืออัลวิน นักเรียนใหม่ของเราและเพื่อนร่วมชั้นของพวกเธอ อัลวินจะเข้ามาเรียนปีหนึ่ง เนื่องจากเธอต้องได้รับการปรับพื้นฐานเสียก่อน” พูดจบเขาหันมาบอกฉันว่าให้ไปนั่งที่พื้นร่วมกับเพื่อนๆได้ ฉันจึงเดินไปนั่งที่พื้นถึงแม้ไม่รู้ว่าควรจะนั่งตรงไหน จึงต้องเดินไปถึงหลังห้องโถง ในระหว่างทางเดินก็เสียวสันหลังเล็กน้อยไม่รู้ว่าฉันคิดเอาเองรึเปล่า แต่ความรู้สึกมันบอกว่าสายตาทุกคู่ของนักเรียนในห้องโถงรวมทั้งครูด้วย กำลังจ้องมาที่ฉัน เมื่อเดินมาจนสุดห้องประชุมแล้วฉันจึงนั่งลงตามหลังนักเรียนคนสุดท้ายของแถว
“คนอะไร ไม่มีมารยาทเสียจริงต้องให้คนอื่นเขามานั่งรอเกือบชั่วโมง” ฉันได้ยินเสียงบ่นอุบอิบของนักเรียนทั้งหลาย เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ซึ่งฉันจับใจความได้คร่าวๆเรื่องการทำความสะอาดห้องนอน และจะมีการแบ่งเวรยามทำงานต่างๆ หากใครไม่ทำงานตามที่กำหนดไว้เกินสามครั้งจะโดนไล่ออกจากโรงเรียนอันทรงเกียรติแห่งนี้ ส่วนชื่อโรงเรียนที่ยาวเหยียดตัวฉันเองก็จำไม่ได้ จากนั้นนักเรียนทุกคนรวมถึงตัวฉันเองก็ได้ไปพักผ่อนในห้องนอน
ในห้องนอนเดี่ยวของฉันถึงจะไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย แต่ก็ถูกทำความสะอาดและจัดเก็บจนเรียบร้อย ฉันจัดเก็บสัมภาระให้เข้าที่เข้าทางกว่าเดิม ฉันเดินไปเปิดผ้าม่านและหน้าต่างเพื่อรับลมข้างนอก มีเสียงนกร้องบ้างเล็กน้อย ภาพทิวทัศน์สนามหญ้าของโรงเรียนที่กว้างพอๆกับสนามฟุตบอล มันช่างสวยจริงๆแต่ฉันกลับไม่รู้สึกดีใจ ถึงแม้ว่าจะได้รับอภิสิทธิ์ในการอยู่ห้องเดี่ยว และถึงแม้ว่าพ่อของฉันจะมีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรีก็ตาม แต่ท่านเองก็ไม่เคยสนใจฉันเลยรวมถึงแม่ด้วย เมื่อเวลาไม่สบายใจทุกครั้งฉันจะนั่งเขียนไดอารี่ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองมีเรื่องกลุ้มใจมากรึเปล่า แต่ไดอารี่เล่มนี้เขียนเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะเต็มสักที แม้เล่มของมันจะไม่ใหญ่มากก็ตามนัก ฉันเขียนได้อารี่สองสามปีแล้ว สมุดเล่มนี้ถือเป็นของที่ฉันรักที่สุด คุณพ่อให้ฉันมาฉันจึงเก็บรักษามันไว้อย่างดีและเขียนทุกเรื่องที่ไม่สบายใจลงไปหวังว่าคุณพ่อคงจะรับรู้ถึงความไม่สบายใจและช่วยฉันผ่านพ้นมันไป ตั้งหน้าแรกจนถึงหน้านี้ คุณพ่อก็ยังเหมือนเดิม ท่านไม่ได้สนใจฉันมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย ท่านยังคงเฉยชาเหมือนเดิม แม้แต่ตอนที่ฉันได้รางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันเป่าขลุ่ยประจำเมือง
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ฉันไม่รู้สึกหิวจึงไม่ได้ลงไปที่โรงอาหาร ฉันยังมีเวลาพักผ่อนอีกสองสามวันกว่าโรงเรียนจะพร้อมที่จะเปิดการเรียนการสอนขึ้น แต่ฉันคงจะต้องลงไปที่โรงอาหารบ้างไม่เช่นนั้นคงอดตายก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยอยากพบปะผู้คน
แสงจันทร์สีนวลสาดส่องเข้ามาในบริเวณห้องนอนของฉัน ฉันชอบเฝ้ามองท้องฟ้ายามราตรีมันให้ความรู้สึกปลอดภัยได้มากกว่าตอนกลางวันที่คนอื่นๆมักจะตื่นและทำกิจกรรมกัน สายลมเย็นที่พัดมาปะทะหน้าตอนนี้ทำให้รู้สึกสบายผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เมื่อแหงนมองไปที่ดาวทีไรมักจะนึกถึงหน้าเพื่อนคนหนึ่ง คนที่ฉันสนิทมากที่สุด เขาชื่อบ็อบแต่ตัวฉันเองชอบเรียกเขาว่าบ็อบบี้ ฉันคิดว่ามันน่ารักดีแต่บ็อบบี้กลับคิดตรงกันข้าม เขาบอกว่าบ็อบบี้มันฟังดูแต๋วเกินไป แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหากฉันจะเรียกเขาว่าบ็อบบี้
ผลงานอื่นๆ ของ Kritsawan ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Kritsawan
ความคิดเห็น