ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Guard wins Guardian { KRIS x SUHO ft.EXO }

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 : Closeness

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 55



    The Guard wins Guardian

    genre: A/U , Triangle , Flangst
    rating: PG13 - NC17
    paring: kris x suho , chanbaek , kai x d.o , xiumin & luhan






    Chapter 4 : Closeness - is carelessness




    "จงอิน!!! คิม จงอิน! ฟื้นหรือยัง ตื่นมาฟังข่าวดีก่อนเร็ว!!!"


    คนรู้จักมักหาว่าผมเป็นคนเสียงดังขี้โหวกเหวกโวยวาย ผมไม่ปฏิเสธ เพราะผมรู้ตัวว่าเป็นคนแบบนั้นจริงๆ โดยเฉพาะเวลาเมาจนได้ที่ ไม่รู้ทำไมถึงได้ควบคุมตัวเองไม่ให้ทำร้ายข้าวของไม่ได้ก็ไม่รู้สิ.. มันเกิดอาการคันไม้คันมือขึ้นมาทุกที แต่ปกติแล้วผมก็เป็นเด็กดีนะ เป็นเด็กขี้อ้อนเหมือนที่จุนมยอนฮยองชอบบอกอยู่บ่อยๆด้วย พูดถึงพี่ชายเจ้าของอพาร์ทเมนท์แล้วอดตื่นเต้นที่จะได้เจอไม่ได้ นี่ผมเลือกมาบอกเจ้าจงอินก่อนที่จะไปเจอจุนมยอนฮยองเองที่ห้องเลยนะ!


    เสียงประตูห้องข้างๆเปิดกว้างจนผมต้องเบนสายตาไปมอง สายตาดุบนดวงตากลมโตของโดคยองซูทำผมเสียวสันหลังวาบ ความเจ็บแสบที่มุมปากกลับมาอีกครั้ง 



    "ย่าห์! บอกให้รีบไปรีบกลับทำไมชักช้านัก รีบเข้ามาทำต่อเดี๋ยวนี้เลยนะ"


    ผมรักษาระยะห่างด้วยการยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้คยองซูจะโกรธอะไรนักหนากับอีแค่โมเดลแบบบ้านในฝันที่ต้องส่งอาจารย์พังไปเมื่อคืนเพราะฝีมือผมเอง เดี๋ยวช่วยๆกันทำมันก็คงเสร็จเร็วขึ้นเองแหละ ไม่รู้อะไรกันนักกันหนา ขอพักบ้างอะไรบ้างก็ไม่ได้ โดนต่อยหน้าหงายแล้วยังบังคับให้ทำงานไม่ได้พักอีก 

    ใครๆก็บอกว่าคยองซูเป็นเด็กดีมีมารยาท แถมยังเรียบร้อยน่ารักอีกต่างหาก แต่ไอ้สารพัดคำชมนั่นเวลาอยู่กับผมไม่เห็นมันปรากฎบนตัวคยองซูเลยสักนิด! ยิ่งโตคยองซูก็ยิ่งเปลี่ยนไป..ผมคิดงั้นนะ



    "ฉันมีข่าวดีมาเซอร์ไพรส์จงอิน รับรองนายต้องทิ้งงานนั้นไว้ก่อนแน่ถ้าได้ยินว่าเป็นข่าวอะไร"



    ผมเห็นเขายกแขนขึ้นกอดอก คิ้วเลิกขึ้นข้างหนึ่งเหมือนจะถามว่าข่าวที่ว่านั่นคือข่าวอะไร แต่เชื่อเถอะ..หน้าตาไม่สบอารมณ์ของคยองซูนั้นกำลังบอกผมอีกนัยหนึ่งว่า ถ้าเรื่องที่ผมกำลังจะบอกมันไม่เซอร์ไพรส์จริงๆ ผมได้โดนดีอีกแน่



    "จงอิน!! ตื่นสิโว้ยยย ตื่น ตื่น ตื่น ตื่น !!!!" ผมทุบประตูรัว ไม่กลัวพ่อแม่เจ้าของชื่อจะออกมาด่าเพราะรู้ว่าทั้งสองคนยังไม่กลับจากที่ทำงาน


    "แม่งเอ้ย มึงจะพังประตูบ้านกูหรือไงห๊ะ!" ผมยิ้มหน้าบานรับการสบถของมัน


    "นอนอะไรนักหนาวะ ตื่น!!!!" เห็นหน้ามันยังงัวเงียเมาขี้ตาอยู่เลยตะโกนใส่หน้าอีกที 


    "วันนี้วันศุกร์ ลูกค้าเยอะ กูต้องนอนเอาแรงไว้เยอะๆนี่หว่า"


    "กูมีแรงเยอร์ดีกว่านั้นมาบอกมึง รับรองปรอทชีวิตมึงพุ่งจนแตกแน่!" ผมใช้สองมือตีลงบนบ่าของมันเต็มรัก ไอ้เจ้าของร่างกายคล้ำแดดรีบปัดมือผมออกก่อนจะลูบไหล่ตัวเอง..สงสัยจะเจ็บ ผมเห็นมันเสมองไปข้างหลังผมตรงที่มีคยองซูยืนอยู่ รู้สึกแปลกๆเหมือนกันกับสายตาที่มันใช้มอง แถมทั้งคู่ยังไม่พูดไม่จากันอีก อยากรู้ก็อยากรู้นะ แต่พอดีมีเรื่องที่อยากบอกให้มันรู้มากกว่า


    "เข้ามาข้างในก่อนดิ" มันพูดเสร็จก็หาวออกมาเสียงยาวพร้อมเปิดประตูอ้ากว้างเพื่อต้อนรับผมกับคยองซู ผมรีบส่ายหน้า


    "กูว่ามึงรู้แล้วคงไม่มีกะจิตกะใจอยู่ในห้องหรอก เชื่อสิ"


    "เรื่องเซอร์ไพรส์บ้าบออะไรนักหนา รีบๆบอกแล้วรีบกลับไปทำงานต่อได้แล้วชานยอล!" มือบางของคยองซูกระตุกแขนเสื้อผมเป็นเชิงเร่ง 

    ..จะพูดยังไงดีล่ะ ผมกับเขาสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก คยองซูเอาแต่ตัวติดกับผมแจ กระทั่งโตจนป่านนี้เราก็ยังชอบอยู่ด้วยกัน และเพราะไอ้ความสนิทนั่นแหละทำให้บางครั้งผมก็รู้ว่าคยองซูคิดอะไรอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้เท่าที่ตัวเขาคิด แต่ก็เชื่อได้ว่าตอนนี้คยองซูไม่ได้อยากรีบกลับไปทำงานต่อแค่นั้นแน่ๆ


    ผมยักไหล่ไม่สนใจ ถ้าคยองซูอยากบอกเดี๋ยวก็คงบอกเอง ไม่ก็จับเบียร์กรอกปากสักสองกระป๋องก็คายออกมาเองนั่นแหละ



    "เมื่อกี้ฉันลงไปร้านมินซอกฮยองเพื่อจะไปซื้อยามาทำแผลนี่" ผมชี้ไปที่มุมปากแล้วเหล่มองเจ้าของรอยที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ยังคงจับแขนเสื้อผมแน่น ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจหรือไม่ปลอดภัยจนต้องหาอะไรจับไว้เพื่อสร้างความมั่นคง 



    เออ..พูดถึงเรื่องไม่ปลอดภัย รู้สึกว่าคนแปลกหน้าที่อยู่กับมินซอกฮยองก็ดูน่าอันตรายพอตัว



    "เอ้า แล้วไงวะ แกจะไปโดนใครต่อยมานี่เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ด้วยหรือไง" จงอินส่ายหน้าแล้วทำท่าจะหันหลังเข้าห้อง ผมดึงไหล่เขาให้หันกลับมาก่อน


    "เดี๋ยวก่อนดิวะ ก็ตอนที่กูลงไปได้ยินเสียงทีวีในห้องมินซอกฮยองดังมาก ไปเคาะก็ไม่มีใครอยู่ คุณลุงก็ไปต่างจังหวัดใช่ไหมล่ะ พอลงไปที่ร้านก็เจอมินซอกฮยองอยู่กับใครไม่รู้...โคตรน่าสงสัยอะ!"


    "ไอ้คนที่น่าสงสัยนั่นเหรอที่มึงบอกว่าเซอร์ไพรส์"


    "ทำไมมึงไม่สงสัยคนที่เปิดเสียงทีวีดังในห้องวะ ไอ้โง่!!!!"



    แรงบีบตรงแขนเสื้อผมแน่นขึ้นจนผมต้องหันไปมองหน้าคยองซู ตากลมโตของเขาเบิกกว้างมากขึ้นจนเห็นแววระริกในตาได้ชัดเจน ผมยกมือขึ้นลูบหัวได้ไม่เท่าไหร่เขาก็สะบัดตัววิ่งกลับเข้าห้องไปทันที...



    "เป็นไรของเขาวะ"


    "เป็นคนเซนซิทีฟ...."


    "ตลกแล้วมึง"


    "แถมยังฉลาดกว่ามึงด้วยเหอะ ไอ้โง่คิมจงอิน!" ผมยกมือขึ้นยีหัวที่ยุ่งอยู่แล้วของเขาให้กระเซิงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว 


    "คนที่ชอบเปิดทีวีเสียงดังกระหึ่มโลกทั้งอพาร์ทเมนท์ก็มีอยู่คนเดียว หรือมึงลืมไปแล้ววะ!"



    จงอินชะงัก หยุดมือที่ยกขึ้นปัดป้องการกระทำของผมทันที เขาจ้องหน้าผมเพื่อถามหาคำยืนยัน ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกจุกที่ิอกขึ้นมา.. ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนบอกย้ำเขาอีกครั้ง



    "มินซอกฮยองบอกว่าจุนมยอนฮยองกลับมาแล้ว"



    ....ทันทีที่ผมพูดจบ จงอินก็วิ่งหายลงบันไดไปทันที ผมมองตามเขาก่อนจะเบนหน้ากลับมายังห้องข้างๆ ห้องของ โด คยองซู 

    อันที่จริงเวลานี้ผมควรกลับขึ้นห้องของตัวเองไปจะดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าการโผล่หน้าไปเจอคยองซูตอนนี้จะโดนอะไรบ้าง เดาไม่ออกเลยจริงๆว่าเขาจะเป็นยังไง จะนั่งร้องไห้ หรืออาละวาดทำลายข้าวของ หรือจะขังตัวเงียบอยู่ในห้องนอนคนเดียว โดคยองซูเคยทำทุกอย่างที่ผมว่ามาหมดแล้ว สาเหตุก็ล้วนมาจากคนคนเดียว..คนที่ไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลย





    ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไปช้าๆเพื่อดูปฏิกิริยาของคนในห้อง เห็นคยองซูยังคงขะมักเขม่นวาดแบบลงบนกระดาษก็รู้สึกเบาใจ อย่างน้อยเขาก็เลือกทำงานหนักเพื่อจะลืมเรื่องรักๆไปละเน้อะ



    "นายไม่ลงไปหาจุนมยอนฮยองหรอ" ผมทรุดลงไปนั่งข้างๆ 


    "อย่างน้อยเราก็น่าจะลงไปต้อนรับฮยองหน่อยนะ ไม่เจอกันสามปีไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างเน้อะ" ผมยังชวนคนที่นั่งเงียบคุยไปเรื่อยๆ


    "เจ้าจงอินวิ่งแน่บลงไปแล้ว ฉันว่าเราน่าจะลงไปด้วยนะ" เขาเงยหน้าขึ้นส่งสายตาดุมาให้ ผมเลือกที่จะยิ้มกว้างส่งกลับไปอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร "จุนมยอนฮยองไม่รู้เรื่องอะไรด้วย นายจะไปเกลียดฮยองไม่ได้นะ"


    "ฉันไม่ได้เกลียดฮยอง!"


    "งั้นก็ลงไปหากัน" ผมฉวยข้อมือเล็กไว้แต่เขาพยายามสะบัดออก


    "ไม่ไป!"


    "คยองซูอ่า..ไปเหอะนะ" ผมเขย่ามือเขา


    "ไม่เอา ฉันไม่อยากไปตอนนี้ ชานยอล" คยองซูก้มหน้านิ่ง ดวงตาสุกใสที่ผมมักเห็นประจำหมองลงไปถนัดตา


    "นายต้องไป!" ผมกระชับข้อมือเขา "ยังไงฉันต้องเอานายลงไปเดี๋ยวนี้ให้ได้! นายจะต่อยฉันก็ได้นะ เอาเลยสิ" ผมยื่นแก้มอีกข้างไปให้เขา ครั้งที่แล้วคยองซูก็โถมตัวต่อยเข้ามาในขณะที่ผมนั่งอยู่แบบนี้เช่นกัน..


    "ฉันไม่ไป.. ต่อให้นายยอมให้ฉันกระทืบจนตาย ฉันก็ไม่ไปตอนนี้!!"


    "นายจะบ้าเหรอ! ใครจะยอมให้กระทืบจนตายกันวะ ฮ่าๆๆ เออ ไม่ไปก็ไม่ไป จะอะไรนักหนากะอีแค่จงอินคนติดพี่ โอ๊ย..ต่อยกันทำไมเนี่ย!!" ผมลูบต้นแขนที่ถูกคยองซูต่อยเต็มๆ ตอนบอกให้ต่อยล่ะไม่ทำ ทีตอนนี้ละต่อยเอาต่อยเอาเลยนะ


    "พอแล้ว! เจ็บนะโว้ย!"


    "แกมันปากไม่ดี ไอ้ชานยอล!"


    "หยุดน่าคยองซู" คนตัวเล็กโถมตัวเข้าใส่แล้วรัวหมัดลงบนตัวผม ใครจะไปยอมโดนทำร้ายร่างกายอยู่ฝ่ายเดียวกันเล่่า! ผมเลิกพยายามจับแขนเขาให้หยุดต่อยตีแล้วเลื่อนมือลงบนเอวบางก่อนออกแรงจั๊กจี้จนคยองซูต้องลุกขึ้นหนี 


    "ไอ้บ้า ชานยอล! ฮะฮะฮะ.."



    คยองซูน่ะ ถึงจะหดหู่หรือเศร้าอยู่สักแค่ไหน เขาก็จะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผมเห็นทุกครั้ง ผมดีใจนะที่ได้เป็นคนเปลี่ยนความโศกเศร้าให้กลายเป็นรอยยิ้มได้ ตั้งแต่เด็กแล้วที่ผมคอยปกป้องดูแลเด็กที่กลัวไปซะทุกอย่างที่ชื่อโดคยองซูมาตลอด เราเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่เหมือนน้อง ไม่เคยเป็นอย่างอื่น..


    แต่ความจริงที่ว่ารอยยิ้มนั้นหายไปเพราะใครคนหนึ่งอยู่เสมอทำให้ผมไม่สบายใจเลย




    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





    อู๋อี้ฟาน จากไปอีกครั้ง...


    กว่า 7 ปี ผมไม่คิดว่ายังจะมีความรู้สึกแบบนี้หลงเหลืออยู่ ผมกดรีโมทเร่งเสียงทีวีเพื่อกลบเสียงร่ำร้องในใจ มันดังเถียงอยู่ได้จนน่ารำคาญ แต่ถึงอย่างนั้น เสียงทีวีที่ยังคงดังเซ็งแซ่อยู่ก็ไม่สามารถเบนความคิดของผมออกไปจากใครอีกคนที่เพิ่งจากไปได้้เลย 

    หลายครั้งที่เรามีปากเสียงกัน และผมชอบหนีมานั่งหน้าทีวีเพื่อทำทีเป็นว่าสนใจรายการตรงหน้าเสียเต็มประดา ก่อนเร่งเสียงกลบคำแก้ตัวสารพัดของอู๋ฟาน เขาเคยไม่พอใจถึงขนาดลุกขึ้นไปถอดปลั๊กทีวีออก แล้วหันมาตวาดผมเสียงดังว่าต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องห้ามทิ้งคาราคาซังเด็ดขาด! ให้ตายเถอะ ทีตอนเด็กๆพอทะเลาะกันต้องคุยให้รู้เรื่องทันที แต่โตมากลับชอบทิ้งอะไรไว้ค้างๆคาๆ... หงุดหงิดว่ะ





    "...จุน......"



    "จุนมยอน!"



    "อ...อะไรมินซอกฮยอง" ผมสะดุ้งเมื่อมือเล็กของพี่เขาเขย่าเข้าที่ไหล่ ไม่ทันได้สังเกตว่าเข้ามาตอนไหนเลยรีบคว้่ารีโมท์ขึ้นมาปิดทีวี มันนำพาความเงียบสงบกลับคืนสู่ห้องนี้อีกครั้ง ผมลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นใครอีกคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่หลังพี่มินซอก ดวงหน้าฟกช้ำเป็นแผลเยอะกว่าอีกคนที่เพิ่งจากไปทำให้ผมสงสัยว่าเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่า


    "นี่เอ่อ...เออ นายชื่ออะไรนะ" คนตัวเล็กยังคงยืนจ้องหน้าผมเขม็ง ถ้ามินซอกไม่กระทุ้งเข้าที่แขนเขาคงไม่รู้สึกตัวง่ายๆ


    "ลู่ฮาน ฉันชื่อลู่ฮาน"



    ....ลู่ฮาน งั้นเหรอ เหมือนจะไม่คุ้นหูแต่ก็รู้สึกเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหน ช่างเถอะ



    "ผมคิมจุนมยอน" ผมยิ้มกว้างเป็นการทักทายแม้จะหาความเป็นมิตรบนใบหน้าหวานที่ช้ำไปทั้งหน้าไม่เจอก็ตาม 


    "ใครหรอฮยอง เพื่อนฮยองหรือเปล่า?" ผมหันไปถามมินซอกที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างๆ เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอย


    "ไม่ใช่เพื่อนฉันว่ะ แต่น่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนแกอะ ไอ้คนที่เรียกรามยอนว่าบะหมี่มันไปไหนแล้ววะ"


    "เพื่อนอู๋ฟาน?"


    "นายคือซูโฮสินะ" คนตัวเล็กถาม ผมเห็นริมฝีปากเขายกยิ้มแปลกๆ


    ".......ซูโฮของอู๋ฟาน"



    ผมไม่รู้ว่าที่เขาพูดต้องการจะสื่อความหมายอะไร แต่คำพูดนั้นทำให้ความร้อนในร่างของผมแผ่ซ่านก่อนจะมารวมกันอยู่บนใบหน้า มันร้อนผ่าวจนต้องยกมือขึ้นมาลูบแก้เก้อ



    ซูโฮของอู๋ฟาน

    ผู้พิทักษ์ของอู๋ฟาน





    "อู๋ฟานล่ะ อยู่ไหน?" เขาเดินลึกเข้าไปอย่างถือวิสาสะ ผมที่ยังอึ้งกับคำพูดนั้นจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนดูเขามองซ้ายมองขวาหาเจ้าของชื่อไปทั่วห้อง พอเขาทำท่าจะจับลูกบิดประตูห้องนอนของผม เสียงมินซอกฮยองก็ตวาดขึ้นว่าคนที่ไร้มารยาท เจ้าตัวเพียงแค่ไหวไหล่ไม่ยินดียินร้ายต่อเสียงก่นด่านั้น


    "...เอาอู๋อี้ฟานไปไว้ที่ไหน" เขาถลึงตาโตขึ้นมองผม แววตาแข็งกร้าวฉายความรู้สึกไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน



    'เอ่อ.... ก็อยากหยิบกลับมาไว้ในห้องให้หรอกนะ แต่มันไปไหนของมันแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน'



    ผมกลืนก้อนคำพูดลงไปแล้วทำได้แค่ส่ายหน้าให้ เห็นคิ้วคนตัวเล็กขมวดขึ้นซ้ำยังทำหน้าไม่พอใจจึงได้พูดเสริมออกไปอีกว่า “เขาไปแล้ว ไปไหนแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน”


    คำสบถเบาๆของคนที่ชื่อลู่ฮานสร้างความแปลกใจให้ทั้งผมและมินซอกฮยอง เราต่างอยากรู้ว่าคนทั้งคู่หนีอะไรมาแต่ไม่มีใครยอมเปิดปากพูดอะไรเลย ทุกอย่างดูลึกลับไปหมด ยิ่งอู๋ฟานจากไปเร็วขนาดนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ผมอดห่วงไม่ได้จริงๆ



    “ผมอยากรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกคุณหนีอะไรมาบอกผมได้มั้ย?”


    “นั่นสิ บอกมาเถอะ เผื่อพวกเราจะช่วยอะไรนายได้ไง ลู่ฮาน”



    เสียงเรียกชื่อของคนที่มินซอกฮยองบอกว่าเป็นเพื่อนกับอู๋ฟานทำผมชะงัก..

    ลู่ฮาน..... ลู่..........



    “....เสี่ยวลู่”



    ดวงตากลมโตของเขาเบิกกว้างขึ้นจนเรียกว่าถลึงตาใส่ผมถึงจะถูก เพียงแค่เสี้ยววินาทีร่างของเขาก็เข้ามาประชิดตัวก่อนที่มือเล็กจะกำเข้าที่คอเสื้อเชิ้ตของผม



    “อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ!“



    ผมไม่กล้าบอกว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียกแบบนั้น เพียงแค่นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินจากอู๋ฟานถึงได้หลุดปากพูดออกมา..



    “เฮ้ย! นายจะทำอะไรจุนมยอน ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!!“ มินซอกรีบเข้ามาคว้าต้นแขนของเขาแล้วดึงออก เราสามคนยื้อยุดฉุดกันอยู่สักพัก


    "ตัวก็เท่าลูกหมา คิดจะทำอะไรจุนมยอน ปล่อยนะเว้ย!" คนตัวเล็กกว่าได้ยินอย่างนั้นถึงกับเลือดขึ้นหน้า เขาปล่อยมือออกจากเสื้อเชิ้ตของผมแล้วหันไปผลักอกผู้ชายอีกคนที่ว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ลูกหมา


    "แกน่ะสิไอ้ลูกหมา! ไอ้เตี้ย ไอ้อ้วน คนนอกที่ไม่รู้เรื่องอย่างแกออกไปไกลๆเลยไป!" เขาผลักอกมินซอกฮยองจนอีกฝ่ายแทบหงายหลัง ผมจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงทันที


    "มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้อารมณ์เลย"


    "เหอะ.. เนี่ยน่ะเหรอซูโฮ คนอย่างนายจะไปปกป้องใครเขาได้ เอาตัวเองให้รอดยังยากเลย"


    "โห แล้วไอ้คนตัวเล็กปากดีที่โดนตีนซะหน้ายับขนาดนี้นี่ช่วยตัวเองได้มากเลย ก่อนว่าคนอื่นเขาดูหนังหน้าตัวเองก่อนมั้ย..เจ้าลูกหมา!"


    "ไอ้...เตี้ย!!!!"



    ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาเป็นกรรมการห้ามมวยแคระนี่ด้วยนะ! ผมยืนอยู่ตรงกลางพยายามห้ามไม่ให้ทั้งคู่ลงมือลงไม้ใส่กัน ไหนยังต้องผลักให้ทั้งคู่อยู่ห่างๆ แล้วยังต้องหลบมือไม้ที่สองคนนี้พยายามตีใส่กันอีก.. ไม่รู้ว่าไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เื่ืมื่อไหร่ เฮ้อ~ ใครก็ได้ มาช่วยห้ามสองคนนี้ที เจ้าอู๋ฟานตัวต้นเรื่องก็ไม่อยู่ด้วย ให้ตายเถอะ!




    ปิ๊ง..ป่อง........

    พระเจ้าช่วย เสียงระฆังดังช่วยชีวิต 



    เสียงออดที่ดังขึ้นทำให้คนเริ่มอย่างลู่ฮานชะงักงัน ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ คงไม่ต่างจากผมที่คิดว่าคนที่ออกไปแล้วอาจจะหวนกลับมาอีกก็ได้ เราไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยอยู่นาน ไ่ม่แม้แต่จะกดจอมอนิเตอร์ดูก่อนด้วยว่าใครเป็นคนกดออด ผมเร่งฝีเท้าไปยังประตูบ้านโดยมีอีกสองคนที่เหลือเดินตามมาไม่ห่าง น่าแปลกที่ทั้งคู่เลิกรบกันเร็วจนเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้แยกเขี้ยวใส่กันอยู่ด้วยซ้ำ



    ทันทีที่ผมเอื้อมมือออกไปเปิดประตู ผมทันเห็นยิ้มกว้างของคนคุ้นหน้าเพียงครู่เดียว เจ้าของใบหน้าคมนั้นก็โผเข้ากอดผมทันที



    "ฮยอง!!!" 



    เสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างหูพร้อมแรงกอดทำให้ผมยกแขนขึ้นกอดตอบเขาไม่ยาก



    "จุนมยอนฮยอง...."


    "ฮยองกลับมาแล้ว จงอิน"



    ผมเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะคนในอ้อมกอด ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อรู้สึกว่ายังมีใครรอการกลับมาของเราอยู่.. คนที่ไม่ว่าเราจะจากไปเมื่อไหร่ก็ยังมีแต่กำลังใจมอบให้ และแม้เราจะย่อยยับกลับมาก็ยังคงอ้าแขนคอยรองรับร่างที่บอบช้ำอยู่เสมอ







    .
    .
    .




    "อี้ฟาน นายมาช้าไปแล้วล่ะ"


    "พูดอะไรของนาย ไม่เห็นจะเข้าใจ" 


    "นายมันคนนอก ไม่ต้องรู้อะไรน่ะดีแล้ว" ร่างเล็กพูดเสร็จก็เดินเลี่ยงผ่านคนที่กำลังกอดกันกลมอยู่ออกมายังหน้าห้อง เขาไม่ลืมที่จะแอบชะโงกออกไปนอกระเบียงเพื่อดูลาดเลาว่าจะไม่เห็นพวกคนชุดดำเพ่นผ่านอยู่ เมื่อหันกลับมาก็พบว่าคนที่มีความสูงไล่เลี่ยกันเดินตามออกมาด้วยจึงเลิ่กคิ้วใส่


    "นี่จะไปไหน?" มินซอกถาม 


    เขากรอกตาก่อนพูดขึ้นว่า "...ฉันให้นายจูบเป็นค่าโจ๊กไปแล้วนี่ ไม่ลงไปกินก็ขาดทุนแย่"





    มินซอกขอยอมรับตามตรงว่า..ถึงคนตรงหน้าจะกวนประสาทไปนิด แต่คุณไม่คิดเหรอว่าเขาก็.... น่ารัก ดีนะ






    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 


    special talk: 

    อัพทีละนิด.. จิตแจ่มใส แฮร่~

    สำหรับตอนนี้อยากจะปูพื้นถึงความสนิทสนมของแต่ละตัวละครโดยเฉพาะ ชานยอล และ คยองซู นะคะ 
    ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็น ชานแบค ไคโด้ จริงๆนะเธอว์~ เราไม่มีหมกเม็ด ๕๕๕ ๕๕ ..
    ฟิคเราอาจจะเนิบๆ ไม่ค่อยมีบทแหว๋ววาบหวาม น่าตื่นเต้น ให้ติดตามมากนัก เราขออภัย TAT



    ปล. หมดสตอคแล้วค่ะ .. ขอสารภาพเลยว่า "ขอดอง" นิดนึงนะคะ อย่าเพิ่งลืมกันน้า~



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×