ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Guard wins Guardian { KRIS x SUHO ft.EXO }

    ลำดับตอนที่ #3 : chapter 3 : MAMA

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 55



    The Guard wins Guardian

    genre: A/U , Triangle , Flangst
    rating: PG13 - NC17
    paring: kris x suho , chanbaek , kai x d.o , xiumin & luhan



     


    บนโลกใบนี้มีอาหารหลากหลายชนิดตามแต่ละประเทศจะเสกสรรออกมาเป็นเอกลักษณ์ของชาติตัวเอง
    ถึงแม้อาหารบางอย่างจะหน้าตาคล้ายคลึงกันแต่ก็มีชื่อเรียกต่างกันออกไป..







    Chapter 3 : MAMA



    ผมเพิ่งเริ่มตระหนักว่าไอ้อาหารตรงหน้านี่ก็เกิดปัญหาขึ้นได้เหมือนกัน เสียงตะโกนเถียงกันไปมาสลับกับเสียงซู้ดเส้นแป้งสีเหลืองฟังไปก็เพลินดีเหมือนกันนะ ผมปล่อยให้คนสองสัญชาติรักประเทศของตัวเองกันไปโดยไม่เข้าไปเกี่ยว



    "เรียกบะหมี่ๆอยู่ได้ นี่มันรามยอนบอกไม่เคยจำ"


    "เส้นหยิกหยอยสีเหลืองแบบนี้ที่บ้านฉันเรียกบะหมี่นี่นา" เพื่อนจุนมยอน...ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ เห็นเขาบอกว่าเคยรู้จักกันเมื่อตอนเด็กๆแถมยังเคยเช่าอพาร์ทเมนท์ที่นี่อยู่ด้วย เขาเป็นคนตัวสูงมาก สูงขนาดที่ว่าถ้าผมไปยืนข้างๆทั้งที่เขานั่งเก้าอี้อยู่ก็ยังตัวสูงกว่าผมอยู่ดี ทั้งที่รูปร่างหน้าตาออกจะดูเป็นคนเคร่งขรึม แต่กลับมานั่งเถียงกับจุนมยอนเอาเป็นเอาตายแบบเด็กๆอยู่ได้


    "แต่ที่นี่เขาเรียกรามยอน! ทั้งเกาหลีและที่บ้านฉันเขาเรียกกันว่ารามยอน เข้าใจหรือยัง"


    "เข้าใจ" เขาพยักหน้าแล้วคีบเส้นในหม้อใส่ชามตัวเองก้อนใหญ่ "เพื่อนนายต้มบะหมี่เก่งกว่านายอีกนะ เส้นไม่เละ เหนียวนุ่มกำลังดีเลย" เห็นคนพูดยิ้มแหย่แล้วยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก็อดหมั่นไส้แทนจุนมยอนไม่ได้.. ไอ้นี่กวนดีชะมัด


    "เออ เชิญกินบะหมี่ของนายให้หมดเลย!" 



    ผมรู้ว่าจุนมยอนเป็นคนใจร้อนและขี้หงุดหงิดพอควร เรื่องประชดประชันนี่ก็ยกให้เป็นที่หนึ่งเลย เวลาปกติไม่มีเรื่องขุ่นเคืองใจเขาก็เป็นคนเงียบๆนะ แต่อย่าให้โกรธขึ้นมาเชียวล่ะ พ่อฟาดงวงฟาดงาใส่ไม่เลือกหน้าเลย อย่างตอนนี้ไงที่เขาคว้าชามจากมือคนขี้เถียงแล้วเทเส้นแป้งสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าจะเรียกบะหมี่หรือรามยอนดี กลับลงไปรวมอยู่ในหม้อ ก่อนจะยกหม้อไปวางตรงหน้าแล้วบอกย้ำให้กินให้หมด....

    มันไม่คิดถึงผมเลยว่ะ ผมที่หิวจะตายแถมยังไม่ได้มีเอี่ยวอะไรทำไมต้องโดนหางเลขอดกินรามยอนไปด้วยวะเฮ้ย!



    "ปัดโธ่เว้ย! เถียงกันเป็นเด็กปัญญาอ่อนไปได้ มันจะเรียกบะหมี่ หรือรามยอน ราเมง อะไรก็ช่างแม่งเหอะ!" ผมยั่วะ กระแทกตะเกียบในมือลงบนโต๊ะก่อนกระฟัดกระเฟียดออกมาโดยไม่สนใจเสียงเรียกของจุนมยอน 



    หงุดหงิด โมโหหิว ไปต้มมาม่า(?)ที่ร้านกินคนเดียวสบายใจกว่าเยอะเลยวุ้ย






    "อ้าว อยู่นี่เอง"


    ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากบันไดมาหน้าร้านก็เห็นเพื่อนบ้านขนาดไซส์ตัวพอพอกัน ผมเลยยิ้มร่าวิ่งเข้าไปกอดคอ "ไง คยองซู กลับจากมหาลัยแล้วเหรอ"


    "อือ อยากได้คัตเตอร์ ฮยองรีบเปิดร้านสิ"


    "ครับๆ" ผมรีบไขกุญแจ แล้วปล่อยให้ประตูอัตโนมัติเปิดอ้ารับเราเข้าร้านที่แสนสงบ..สงบเงียบจากศึกชิงเรียกชื่อเส้นสีเหลืองเจ้า
    ปัญหา


    "เออนี่ ฉันมีอะไรจะบอก นายรู้ต้องประหลาดใจแน่"



    คนที่บอกว่าจะเอาคัตเตอร์กลับเดินไปเปิดตู้แช่เย็น หยิบน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่งกับเบียร์สองกระป๋องมาวางหน้าเคาน์เตอร์แล้วเดินกลับไปหยิบมันฝรั่งกรอบมาอีกหนึ่งถุงใหญ่ คยองซูมักจะแวะซื้อสิ่งเหล่านี้เป็นประจำอยู่ทุกเย็น



    "มีอะไรประหลาดใจกว่าวันส่งงานที่ใกล้จะมาถึง แต่ไอ้บ้าชานยอลดันเมาอาละวาดพังยับไปเมื่อคืนเหรอฮยอง?"



    ผมกลืนคำพูดลงคออึกใหญ่ เพิ่งสังเกตเห็นรอบดวงตากลมโตนั้นดำคล้ำไปถนัดตา สงสัยว่าไอ้เบียร์นั่นคงไม่ได้ซื้อไปให้ชานยอลเหมือนทุกวันแต่คงเอาไปนั่งดื่มย้อมใจตัวเองแทน นึกแล้วก็น่าเห็นใจ..โมเดลแบบบ้านที่คยองซูปลุกปั้นอยู่เป็นอาทิตย์ๆคงพังลงในเวลาไม่กี่นาทีด้วยฝีมือคนเมาแล้วชอบอาละวาดอย่าง ปาร์ค ชานยอล



    "เอ่อ เอาอะไรอีกมั้ย กาว กระดาษ กรรไกร?"


    "ขอโทษนะ ผมไล่ชานยอลมันไปซื้อที่ร้านขายเครื่องเขียนตั้งแต่เช้าแล้ว"



    อันที่จริงร้านผมไม่ได้ขายทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบหรอกนะ กระดาษและอุปกรณ์ทำโมเดลของคยองซูไม่ใช่จะหาได้ทุกอย่างจากที่นี่ แต่เพราะเขาเป็นเด็กขี้เกรงใจน่ะ เรียกได้ว่ามารยาทดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย เขาจึงมักห่วงความรู้สึกคนอื่นอยู่เสมอ เจ้าตัวเล็ก (เท่าๆกับผม) เดินกลับไปยังตู้แช่เย็น สายตาจดจ่ออยู่บนชั้นเครื่องดื่มเพิ่มพลังงานที่มีให้เลือกหลายยี่ห้อ หลากรสหลายกลิ่น เขาตะโกนถามผมว่าไอ้โย่งจะกินรสอะไร แล้วมาถามผมคนที่ไม่สนิทกับมันเท่าตัวเขาเนี่ยนะ... 



    "หลับหูหลับตาหยิบให้มันไปเถอะ นายซื้อไรไปมันก็กินทั้งนั้นแหละ"



    มันบ้าจี้ทำตามจริงๆด้วยวุ้ย เห็นคยองซูหลับตาใช้นิ้วชี้จิ้มไปจิ้มมาอยู่สักพักก่อนคว้าออกมากระป๋องนึง ผมคิดเงินหลังจากเขายื่นเจ้ากระป๋องนั้นมาให้แล้วใส่มันรวมลงไปในถุงกับสินค้าก่อนหน้านี้ ร่างเล็กก้มศีรษะลาเล็กน้อยถึงได้เดินออกจากร้านไปอย่างคนหมดแรง




    เฮ้ย! ลืมบอกเรื่องที่จุนมยอนกลับมาแล้วซะสนิทเลยอะ!


    ผมรีบวิ่งออกจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อตามไปบอกข่าวกับคยองซู... โอเค ผมเป็นคนไม่สูงมาก ขาไม่ได้ยาวเหมือนเจ้าชานยอลหรืออย่างเพื่อนของจุนมยอนก็เลยรีบซอยเท้าถี่เพื่อจะวิ่งออกไปให้ทันคยองซู



    เวรกรรม! ไม่ทันมอง! ...แรงปะทะโครมใหญ่เล่นเอาผมกับคู่กรณีกลิ้งกันไปคนละทาง



    ผมมันถึกและบึกบึน ล้มแค่นี้ไม่เจ็บอะไรมากหรอก แค่ข้อศอกกับแขนถลอกนิดหน่อย นอกนั้นก็ไม่เป็นอะไรมาก เลยรีบลุกขึ้นปัดเศษหินดินทรายออกให้เรียบร้อย เห็นอีกคนยังนอนไม่ยอมลุกใจนี่กระตุกวาบเลย.. ไม่ใช่ว่าหมอนี่จะล้มแล้วหัวกระแทกพื้นเด๊ดสะมอเร่ไปแล้วนะ!?




    "คุณ....คุณเป็นอะไรมั้ย? ตายหรือยังเนี่ย ตอบหน่อยสิครับ" 



    ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆก่อนลองสะกิดเข้าที่ไหล่ เขาเป็นผู้ชายตัวเล็กแถมยังผอมมากอีกด้วย ทันทีที่ผมสะกิดเขาก็กระดิกตัว ผมนี่ถอนหายใจยาวเลยนะ โล่งอกจริงๆที่เขาไม่ได้แน่นิ่งสลบไป ไม่งั้นนะ...เรื่องใหญ่แน่ๆ



    "คุณไม่เป็นอะไรนะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?"


    "โอ๊ย...จะซวยอะไรนักหนาเนี่ย"


    "เฮ้ย!!!"



    ทันทีที่เขาหันหน้ามาสบถใส่ผมเท่านั้นแหละ ผมสะดุ้งโหยงเลย! ใครว่าเขาซวยคนเดียวล่ะ นี่มันวันบ้าอะไรทำไมถึงได้เจอคนหน้าช้ำปากแตกอีกคนเข้าแล้วเนี่ย 

    เขาทำตาเขียวใส่ผมแล้วรีบมองซ้ายขวาก่อนยันตัวลุกขึ้นวิ่งปรู๊ดเดียวหายเข้าร้านผมไปแล้ว




    เฮ่ย! วิ่งเร็วปานแมวขโมย!! ซวยละ หรือจะเป็นโจรจริงๆวะเนี่ย


    ผมวิ่งตามเข้าไปในร้านทันที เห็นคนตัวเล็กแอบอยู่หลังเคาน์เตอร์ ท่าทางไม่ได้สนใจเงินในเครื่องคิดเงินข้างหน้าผมก็เบาใจไปเปราะนึง แต่ว่านะ หมอนี่ทำตัวพิลึกชอบกล



    "ย่าห์ ออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เลยนะ ตรงนั้นคนนอกห้ามเข้า"



    เห็นเขากรอกตาใส่แล้วร่างนั้นก็หายไปหลังเคาน์เตอร์ ผมรีบเดินเข้าไปดูเห็นเขานั่งหอบหายใจอยู่ มือบางยกขึ้นซับเลือดมุมปาก.. ผมว่าเพื่อนจุนมยอนสะบักสะบอมแล้วนะ หมอนี่ดูไม่ได้ยิ่งกว่าซะอีก ตัวเล็กเท่าแมวไม่รู้ไปทำซ่าอะไรไว้ถึงได้โดนอัดเละขนาดนี้ ขณะที่ผมแอบนินทาเขาอยู่ในใจ คนตัวเล็กก็เงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมใสแต่กลับแข็งกร้าวไม่รับกับหน้าหวานๆของเขาเลย ให้ตายเถอะ.. ทั้งหน้าหวานๆ ตัวบางๆ เหมือนผู้หญิงเสียไม่มี เอ....หรือจะเป็นทอม



    "ข้างนอกมีพวกใส่สูทดำอยู่มั้ย" ทอมอะไรจะเสียงผู้ชายขนาดนี้ 



    ผมส่ายหน้าไล่ความคิดบ้าๆออกจากหัว ก่อนพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูดอีกที



    "อะไรนะ! นี่นายหนีคนพวกนั้นมาหรอ?"


    "ชู่ว จะตะโกนให้มันมาลากคอไปปาดทิ้งหรือไงวะ!?" เขาลุกพรวดขึ้นมาคว้าคอเสื้อผมกระชากให้ลงไปหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยกัน



    คือ เอ่อ...เข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่าครับ ผมไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับคนชุดดำพวกนั้นเลยนะ ทำไมต้องหลบด้วยวะครับ! แต่ก็เอาเถอะ ลูกค้าก็ไม่มี แถมหมอนี่ก็ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยด้วย อีกอย่าง ตอนนี้ผมก็หิวมาก เมื่อยด้วย หมดแรงจะยืนเฝ้าร้านแล้วล่ะ..



    "นี่.."


    "หือ?"


    "ขอหลบสักพักนะ"



    โหย ไม่บอกหลังจากนี้สักชั่วโมงสองชั่วโมงไปเลยล่ะพ่อคุณณณณ!!!

    อยากจะบ่นใส่หูคนข้างๆ แต่พอเห็นเขาชันเข่าขึ้นมากอด ดวงหน้าหวานที่หมองลงจนผมเห็นแล้วรู้สึกไม่ดีทำให้ผมเลือกที่จะไม่ติเขาออกไป ยิ่งมานั่งใกล้ๆแบบนั้น ผมยิ่งเห็นรอยช้ำและปริแตกข้างแก้มที่ยังมีเลือดซึมอยู่ชัดขึ้น แถมมุมปากยังมีเลือดไหลออกมาอีก นี่ต้องหยอดข้าวต้มไปอีกกี่วันกันละเนี่ย..



    พอผมทำท่าจะลุกขึ้น มือเล็กก็คว้าขากางเกงของผมเอาไว้ นี่ผมกลายเป็นตัวประกันของเขาไปแล้วหรือไง



    "นายมีเงินติดตัวมามั้ย" ผมเห็นคิ้วเขาขมวดเข้าหากัน แต่ก็ยังพยักหน้าให้


    "ดี เตรียมเงินค่ายากับค่าโจ๊กไว้เลยเดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้"


    "ห๊ะ!?"


    "อ้อ ค่าทำแผลกับต้มโจ๊กฟรีไม่คิดค่าบริการ" ผมขยิบตาให้เขาแล้วลุกเดินไปหยิบโจ๊กคัพกับมาม่าคัพมากดน้ำร้อนตรงมุมสุดของร้านเอาไว้ ก่อนเดินหายารักษาแผลสด สำลี และพลาสเตอร์มานั่งทำแผลแบบไม่คิดค่าแรงให้เจ้าลูกแมวที่ถูกรังแก


    "คนดีเหลือเกินนะ" ถึงขู่ไม่เป็นแต่ก็แขวะเก่งนะเจ้าเหมียวตัวเนี้ย


    "เขาบอกว่า ทำบุญกับลูกนกลูกกาประเสริฐนักแล... โอ๊ย!" มันข่วนอะ หมัดเล็กๆนั่นฮุกเข้าอกผมจังๆ ดีนะไม่เสยเข้าคาง ไม่งั้นคงน๊อคตั้งแต่ยกแรกเลย "ทำไมหมัดหนักขนาดนี้เนี่ย พ่อเปิดค่ายมวยหรือไง"


    "เล่นถึงพ่อ อยากโดนดีหรือไง" เขากำหมัดขึ้นจนผมต้องรีบไปจับเอาไว้ก่อนมันจะฮุกเข้าหน้า


    "เก่งขนาดนี้ทำไมถึงโดนซะน่วมเลยล่ะ"


    "มันเล่นหมาหมู่นี่หว่า รอดมาได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว" 



    ผมเริ่มแต้มยาฆ่าเชื้อลงบนแผลมุมปากทันทีที่เขาพูดจบ "แล้วไปทำอะไรมาถึงมีสภาพเยินขนาดนี้เนี่ย" อยากถามอยู่เหมือนกันว่าหนีมาพร้อมกับไอ้โย่งที่เป็นเพื่อนจุนมยอนหรือเปล่า เอาไว้ทำแผลกินโจ๊กเสร็จค่อยพาขึ้นไปหาก็แล้วกัน บางทีที่ผมใจดีมานั่งทำแผลให้นี่คงเพราะคิดว่าเขารู้จักกับคนข้างบนละมั้ง พอคิดว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนจุนมยอนเลยไม่กล้าไล่ไปไหนด้วย เห็นมั้ย..ผมน่ะเป็นคนดีออกจะตาย



    "อย่ารู้เลย เดี๋ยวพลเมืองดีจะเดือดร้อนเปล่าๆ"



    พูดซะขนาดนี้แล้วพลเมืองดีอย่างผมก็ไม่อยากรู้แล้วแหละ แค่ให้ที่ซ่อนนี่ก็เสี่ยงโดนพังร้านจะแย่แล้วนะเนี่ย..


    ผมเทยาฆ่าเชื้อลงบนสำลีก่อนค่อยๆแตะบนเนินแก้มที่ปริจนเลือดซึม ร่างเล็กนิ่วหน้า สงสัยคงแสบ ผมเลยค่อยๆแตะลงไปบนแผลอย่างเบามือที่สุด ไม่ได้กลัวว่าเขาจะเจ็บหรอกนะ กลัวหมอนี่ไม่พอใจแล้วจะมาเสยหน้าผมระบายอารมณ์แทน ผมเห็นแพขนตากระพริบถี่เมื่อทายาซ้ำลงไป ดวงตากลมโตที่ตอนแรกมองว่าเหมือนแมว ตอนนี้ผมว่ามันกลมใสจนเหมือนกวางมากกว่า ลูกกวางงั้นหรอ.. ก็เหมาะดีนะ ไม่ได้เชื่องและขี้อ้อนเหมือนแมว แต่สง่าปราดเปรียวแบบกวาง

    ผมไม่รู้ตัวว่าโน้มหน้าเข้าไปใกล้เขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นิ้วหัวแม่มือคลึงแก้มช้ำเบาๆ ลมหายใจร้อนเป่าลงบนแผลเพื่อให้ยาแห้งเร็วขึ้น เขาหลับตาพริ้ม ผมไม่รู้จริงๆว่าทำไมถึงได้ฉวยโอกาสนั้นแนบริมฝีปากตัวเองลงไปบนเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ เจ้าลูกกวางสะดุ้งเบิกตาโพลง



    "ฉันคงไม่ต้องจ่ายค่ายาแล้วมั้ง นายไม่รู้หรอกว่าทำแบบนี้ต้องจ่ายมากกว่าค่ายาของนายตั้งไม่รู้กี่เท่า"



    ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่บอกตรงๆว่ารู้สึกคุ้มเป็นบ้าเลย


    เพียงชั่วครู่ที่เผลอตัวปล่อยใจให้ดำดิ่งลึกลงไปในตาสีนิล ทุกอย่างรอบตัวผมเหมือนหยุดนิ่งจนไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนที่ก้าวเข้ามา..



    "พอดีเลย ฮยองช่วยทำแผลให้ผมด้วยสิ!" เสียงทุ้มต่ำพูดพร้อมเดินมานั่งข้างๆ เจ้ากวางน้อยเองก็คงไม่ทันรู้ตัวเหมือนกันว่ามีอีกคนเข้าร้านมา เขาเขม่นมองอีกคนด้วยสายตาแข็งกร้าว



    แย่ละ! มีพยานรู้เห็นเพิ่มอีกคนแล้ววุ้ย !!



    "เนี่ยๆ ตรงปากเนี่ยช้ำแล้วใช่มะ เป็นแผลข้างในด้วย ฮยองมียาแก้ร้อนในมั้ยอะ" ไอ้โย่งยื่นแก้มเข้ามาให้ตรวจบาดแผล มันไม่แม้แต่จะสนใจใครอีกคนที่นั่งขู่ฟ่ออยู่ข้างหลังผมเลย ลำพังพื้นที่หลังเคาน์เตอร์ก็แคบจะตายอยู่แล้วนะ แกไม่รู้สึกอึดอัดหรือเสียวสันหลังวาบมั่งเลยหรือไงวะ ฉันเนี่ยเสียวแทนจะแย่แล้วโว้ย!


    "เร็วสิฮยอง! ถ้าผมไม่รีบกลับขึ้นไปภายใน 5 นาที คยองซูจะต่อยผมอีกข้างนะ เร็วๆๆๆ" มันเขย่าแขนผม ไอ้ยักษ์นี่ขี้อ้อนเป็นเด็กไปได้


    "เออๆ เดี๋ยวเช็ดแผลให้ ส่วนยาแก้ร้อนในที่ร้านไม่มีนะ ค่อยขึ้นไปเอาที่ห้องแล้วกัน"



    มันยิ้มกว้างอวดฟันครบ 32 ซี่ แล้วก้มลงยื่นหน้าเข้ามาใกล้...ไอ้ความรู้สึกโหวงๆที่เคยมีกับอีกคนมันหายไปไหนหมดแล้วนะ ยิ่งไอ้ตัวสูงนี่ยื่นหน้าใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ผมยิ่งอยากดันหน้ามันออกไปเท่านั้น ผมเช็ดแผลมันลวกๆ รีบป้ายยาให้เสร็จๆ จะได้รีบไล่มันออกจากร้านไปเสียที ก่อนที่มันจะติดใจสงสัยในตัวใครอีกคน........... จะทันไหมนะ

    ผมเห็นสายตามันมองข้ามไหล่ผมไปด้านหลัง คิ้วโก่งยักขึ้น มันทำหน้าตาอยากรู้สุดชีวิต



    "ฮยองจะรอให้ผมถามหรือจะบอกเอง?"



    กวนตีนว่ะ

    ถ้าสนิทกันแล้วมาลามปามไม่เห็นหัว ไม่เคารพกันขนาดนี้ อย่าเรียกกันว่าฮยองเลยไอ้ ปาร์ค ชานยอล !!



    "อยากตายเร็วหรือตายช้าล่ะ ถ้าอยากอายุสั้นตายตั้งแต่ยังไม่ทันเป็นหนุ่มจะช่วยสงเคราะห์ให้"



    อู้ว..คำพูดจาเฉือดเฉือนแบบนี้ คิม มินซอก พูดไม่เป็นหรอกครับ

    คนสวยข้างหลังต่างหากที่เป็นคนพูด น้ำเสียงเงี้ยเย็นเฉียบชนิดที่คมกริบจนบาดคนตายได้โดยไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยล่ะ ผมว่ารูปหน้าหวานนั้นมันหลอกลวงชะมัด ทำไมนิสัยถึงได้ไม่อ่อนหวานเข้ากับหน้าตาเลยนะ 



    "ยังไม่อยากตายเร็วขนาดนั้น แต่ก็ยังอยากรู้อยู่ดีอะ ไว้ค่อยมาถามมินซอกฮยองใหม่แล้วกันผมต้องรีบขึ้นไปแล้ว" ผมลืมบอกไปว่าเจ้านี่มันเป็นเด็กไม่เหมือนใคร ตั้งแต่รู้จักกับมันมายังหาคำจัดความให้มันไม่ได้อยู่ดี


    ร่างสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรของมันหยัดยืนเต็มความสูง เห็นมันทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็ชะงักหันกลับมาหา 


    "เอ้อ ฮยองลืมปิดทีวีที่ห้องเหรอ เปิดเสียงซะดังเชียว" 



    พอได้ยินประโยคนั้นหน้าของใครบางคนก็ลอยขึ้นมาทันที ใบหน้าของคนที่มักเปิดเพลงหรือทีวีดังๆเวลาอารมณ์ไม่ดี และครั้งนี้ผมรู้แม้กระทั่งสาเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวนั้นด้วย ก็เล่นไปนั่งเป็นกรรมการตัดสินศึกชิงเรียกชื่อเจ้าเส้นสีเหลืองอยู่นี่นา



    "อ๋อ เจ้าจุนมยอนคงเปิดไว้มั้ง"


    " จุนมยอนฮยอง !! / จุนมยอน !! "



    ผมไม่แปลกใจว่าทำไมชานยอลถึงได้ร้องตกใจ เด็กในอพาร์ทเมนท์นี้แทบทุกคนที่รอคอยการกลับมาของจุนมยอนอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจคือผู้ชายอีกคน คนแปลกหน้าที่ดูไม่น่าจะรู้จักมักจี่กับญาติของผมเลย



    "นายรู้จักเพื่อนของจุนมยอนสินะ" นัยน์ตาใสสั่นไหวจนผิดสังเกต ริมฝีปากบางบ่นอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่เข้าใจ "กะว่าเสร็จแล้วจะพาขึ้นไปหาอยู่ อยากรู้เหมือนกันว่าพวกนายไปมีเรื่องอะไรกับคนพวกนั้นมา"


    "ฮยองพูดเรื่องอะไรกันน่ะ"



    แย่ละ ลืมไปว่าพยานรู้เห็นยังมีอีกคน "เอ่อ...." 



    "จุนมยอนฮยองกลับมาแล้วเหรอ จุนมยอนฮยองกลับมาแล้ว!!! จงอินรู้ต้องดีใจแน่ๆเลย ผมบอกแล้วว่าสักวันผีจีนต้องปล่อยตัวฮยองกลับมา"



    มันพูดอะไรของมันวะเนี่ย



    "อยู่ไหน"


    "ห๊ะ?" ยังไม่ทันเข้าใจสิ่งที่ไอ้โย่งต้องการจะสื่อ เจ้าคนตัวเล็กข้างหลังดันถามอะไรมาอีกเนี่ย


    "คริสอยู่ไหน..อู๋อี้ฟานอยู่ที่ไหน!!!!?" 





    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    "อิ่มแล้ว" ผู้ชายเจ้าของส่วนสูงเกือบทะลุร้อยเก้าสิบเซนติเมตรแง้มประตูห้องนอนของผมเพื่อส่งเสียบอก ผมยังตีมึนไม่สนใจ แสร้งทำเป็นยุ่งกับการจัดโน่นจัดนี่อยู่


    "ฉันล้างจานให้แล้วนะ" ต้นเสียงยังคงอยู่ที่เดิม ส่วนผมเองก็ยังทำเป็นไม่สนใจเหมือนเดิม


    "...จะกลับแล้วด้วย" ผมหันขวับ รอยยิ้มบางบนใบหน้าเรียวยาวของเขาไม่มีท่าทีล้อเล่นให้รู้สึกเคืองใจเหมือนทุกครั้ง ผมอดใจหายไม่ได้ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนหายใจไม่เต็มอิ่มขึ้นมา


    "จ..จะกลับไปไหน" ผมเดินไปเปิดประตูห้องนอนให้กว้างขึ้น เจ้าของร่างสูงถึงได้สาวเท้าเข้าห้องมายืนประจันหน้ากับผม เขาจ้องมองผมนิ่ง เห็นเขาเม้มริมฝีปากอยู่สองสามที ผมรู้ทันทีว่าคนพูดน้อยคนนี้กำลังใช้ความคิด


    "นายยังไม่บอกเลยว่าไปมีเรื่องอะไรกับคนพวกนั้นมา"


    "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า"


    "จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง! คนพวกนั้นน่ากลัวออกจะตายไป!!



    ทั้งที่ผมกำลังโมโหอยู่แท้ๆ ไอ้คนที่ชอบเรียกรามยอนว่าบะหมี่ให้ได้ยินกลับหัวเราะ ถ้าเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้มันยังขำหน้าตาเฉย ต่อให้จับไปฆ่ามันก็คงยืนยิ้มให้เขาปาดคอสบายๆแล้วละมั้ง ยิ่งผมเห็นเขาไม่สลดกับสถานการณ์ตรงหน้ามากเท่าไหร่ หน้าของผมก็งอง้ำมากขึ้นเท่านั้น

    คนอะไร.. ไม่รู้จักห่วงตัวเองเอาเสียเลย





    "ไม่เห็นต้องห่วงตัวเองเลย ก็มีซูโฮคอยเป็นห่วงให้แล้วนี่นา"



    ผมนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อสมัยที่เรายังเป็นเด็ก ผมไม่รู้ตัวเลยว่าได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายในชีวิตของเขามากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเริ่มมาจากการที่เขาเป็นเด็กต่างชาติยังไม่รู้ภาษาเกาหลีทำให้ไม่สามารถคุยกับเด็กคนอื่นๆได้ แถมเจ้าจงอินหัวโจกก็ยังแกล้งเอาเขาไปล้อเลียนว่าเป็นผีจีน ผีกองกอยบ้างล่ะ เลยไม่มีใครกล้าเล่นกับอู๋ฟานเลย ผมจึงเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่เล่นกับเขาตอนนั้น พอเด็กทุกคนเริ่มคิดได้ว่าผีจีนตัวนี้หน้าตาไม่ได้น่ากลัวเหมือนในทีวีก็เลิกกลัวกันไป อู๋ฟานเลยมีเพื่อนเล่นด้วยเยอะขึ้นและก็พากันซนจนเลือดตกยางออก พ่อแม่ของเขาทำงานกันทั้งคู่ บ้านผมจึงอาสาดูแลอู๋ฟานให้อีกทาง แม่ผมคอยสอนวิธีล้างแผลและรักษาแผลให้เพื่อที่เราจะได้ดูแลกันเองเวลาไม่มีใครอยู่บ้าน



    รอยแผลเป็นนูนบนหน้าผาก ถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น ผมเอื้อมมือขึ้นไปแตะมันเบาๆ ยังนึกโทษตัวเองอยู่ถึงทุกวันนี้ที่เป็นคนทำให้หน้าหล่อๆของหมอนี่ต้องมีตำหนิ


    ผมลูบรอยแผลนูนก่อนที่มือหนาของอู๋ฟานจะเลื่อนขึ้นมาจับมือผมไว้ ผมหลุดออกจากภวังค์ที่กำลังคิดถึงที่มาของแผลเป็น



    ฝ่ามืออู๋ฟานอุ่นจนร้อน ผมกำลังงงว่าความร้อนนั้นมันส่งผ่านมายังใบหน้าได้เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ..
    ขณะที่กำลังคิดอยู่เพลินๆ เงาหน้าของเขาก็เข้ามาประชิด ลมหายใจอุ่นรดอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกเดียวกับเมื่อวันที่เขาได้แผลเป็นหวนกลับมาอีกครั้ง.. 





    "เลิกร้องไห้ได้แล้ว แค่หัวแตกยังไม่ตาย"


    "ไม่ได้ร้อง! น้ำตามันไหลออกมาเอง" ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้จริงๆนะ แค่เห็นเลือดเขาไหลลงเปื้อนหน้าแค่นี้ก็พาลเอาใจสั่นจะแย่แล้ว รู้สึกเจ็บแทนจนบอกไม่ถูก


    "บอกว่าอย่าปีนเองก็ไม่เชื่อ ซูโฮดื้อ!" ผมทำหน้าสำนึกผิด มองโมบายดาวที่เจ้าคยองซูทำให้ในชั่วโมงศิลปะนอนนิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะหันกลับมาฉีกสำลีชุบน้ำเกลือเพื่อเช็ดทำความสะอาดแผลและคราบเลือดออกให้คนที่ดุผมอยู่


    "ดีนะเนี่ยที่หล่นลงบนเตียงไม่พุ่งออกนอกหน้าต่าง" ผมพยายามจะแขวนโมบายบนหน้าต่าง แต่ดันพลาดเพราะถุงเท้าที่ใส่อยู่ทำให้ลื่น อู๋ฟานที่ยืนมองอยู่เลยรีบวิ่งเข้ามารับแต่เขาดันล้มเอาหัวไปฟาดกับขอบเตียง.. สำนึกบ้างหรือยังล่ะว่าตัวสูงแต่เด็กก็ไม่ใช่เรื่องดี หัวดันยาวเลยไปชนหัวเตียงเข้าให้


    "ขอโทษ เจ็บมั้ย" เขาส่ายหน้าพร้อมส่งยิ้มกว้างมาให้ 



    ตอนนั้นหัวใจผมเต้นเร็วมาก ไม่รู้เป็นเพราะเหตุการณ์เกือบตกหน้าต่างตาย หรือเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะผมก็ไม่รู้ และยิ่งเห็นแววตาที่มองจ้องมาของเขาด้วยแล้ว.. ผมชะงักมือที่กำลังเช็ดแผลอยู่ทันที



    "หลับตา!" 


    "ทำไมต้องหลับตา?"


    "ก็กลัวนายเจ็บ" ผมโกหกคำโต มองเจ้าเด็กมัธยมต้นแต่ตัวเท่ายักษ์เอียงคอทำหน้าสงสัย เขายักไหล่แล้วบอกไม่เป็นไร ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย.. ให้ตายสิ! มันไม่ยอมหลับตาอะ!!


    "แต่ฉันกลัวนายเจ็บนี่นา!!" เป็นคำพูดที่ไร้เหตุผลและฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย...ผมรู้ตัวดี แต่ในตอนนั้นผมแค่อยากหาวิธีอะไรก็ได้มาปิดดวงตานั้นไว้ ....ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน 


    "งั้นนายก็หลับตาสิ" เจ้านี่ก็พูดอะไรหาแก่นสารไม่ได้เช่นกัน แต่ผมก็บ้าจี้ทำตามมันบอกด้วยนะ ทำไงได้ ก็ตอนนั้นมันประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนี่นา แค่อยากจะเลิกมองสบตานั้นเสียที ใจนี่จะได้เลิกเต้นแรงๆได้แล้ว ....เหนื่อย


    ตอนนั้นไม่ทันคิดด้วยนะว่าหลับตาแล้วจะทำแผลต่อยังไง จนมือหนาคว้ามือที่ถือสำลีอยู่ไปแตะลงบนหน้าผากเองนั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าการที่มองไม่เห็นไม่ได้มีปัญหาเลย ว่าแต่..ถ้าอย่างนั้นทำไมอู๋ฟานไม่ทำแผลเองซะเลยล่ะ!

    ขณะที่ผมกำลังลืมตาขึ้นเถียงเพื่อให้เขาทำแผลด้วยตัวเอง เงาหน้าของเขาก็ฉาบลงมาจนแสงจากหลอดไฟหายไปอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ผมหลับตาปี๋เมื่อเห็นนัยน์ตาคมใกล้เข้ามา ลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ตรงหน้า ก่อนสัมผัสนุ่มจะลงมาแนบชิด




    ความรู้สึกในตอนนี้กับตอนนั้นไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ ผมยังคงสงสัยในทุกการกระทำของเขาที่ไม่เคยบอกอะไรชัดเจนเสมอมา 



    อู๋ฟานจูบเม้มริมฝีปากล่างของผมเนิบนาบและเนิ่นนานราวกับเวลาหยุดนิ่งลง ทุกจังหวะที่กดทับลงมาผมเผยอปากขึ้นรับสัมผัสอย่างเผลอตัว 

    เมื่อตอนเราเป็นเด็ก เราก็แค่แตะริมฝีปากกันแล้วถอนออก ผมไม่พูดกับเขาอีกเลยจนทำแผลเสร็จแล้วถึงไล่เขากลับห้อง ความเขินอายแล่นริ้วขึ้นทั่วหน้าจนเห่อแดงไปหมด ผมไม่อยากให้เขาเห็นเลยทำทีเป็นไล่ให้เขาออกไป 



    แต่ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กแล้ว.. เราไม่ทำอะไรโดยไร้เหตุผลเพราะความไม่รู้เหมือนตอนเป็นเด็กกันอีกแล้ว

    เขาจะบอกผมได้หรือยังถึงเหตุผลของการกระทำทั้งหมดที่แล้วมา..




    "ฉันต้องไปแล้วซูโฮ..." เขาพูดขึ้นทันทีที่ถอนริมฝีปากออก



    นายจะไปไหนอีก...... ผมอยากถามแบบนี้แต่ก็เลือกที่จะกลืนก้อนคำถามนั้นกลับลงไป



    "แล้วฉันจะกลับมา"



    บางครั้ง คนเราก็เลือกที่จะไม่รับรู้หรือเลิกแสวงหาเหตุผลของการกระทำบางอย่างเมื่อไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบกลับมาหรือไม่ ผมเลิกตั้งข้อสงสัย เมื่อพบว่าความสบายใจจะกลับมาอีกครั้ง... เหมือนอย่างวันนี้ที่เขากลับมาตามสัญญา



    "ฉันน่าจะกลับมาก่อนที่จะเกิดเรื่องยุ่งๆพวกนี้ ขอโทษนะ"




    ผมเงียบ... ในสมองว่างเปล่าเหมือนใจที่กำลังเบาหวิว


    มองดูเขาเดินออกไปเงียบๆพร้อมรอยยิ้มละมุนที่ทิ้งเอาไว้ให้ชโลมจิตใจที่ว่างเปล่า ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ อู๋ฟานเข้าห้องมาบอกว่าต้องไปอยู่ที่อื่น ไม่รู้ว่าที่ไหน และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมา แต่เขาให้สัญญาว่าสักวันจะกลับมา.. ขาของผมยังคงหนักอึ้ง ไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ทำไมนะ โตป่านนี้แล้วยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ผมนึกขัดใจตัวเอง


    ได้แต่ยืนดูอู๋ฟานเดินออกไปเงียบๆเหมือนอย่างเคย 

    ยืนก่นด่าตัวเองอยู่ในใจเหมือนเคย 





    และเดินออกไปเปิดโทรทัศน์เร่งจนเสียงดังสุดเพื่อกลบเสียงร่ำไห้ในหัวใจ







    เหมือนเคย





    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 


    special talk: 
    + บอกเรามาตามตรง อ่านแล้วไม่งงกันใช่ไหม!!? ๕๕๕ .. ซูโฮเขาคิดถึงอดีตพร้อมเหตุการณ์ปัจจุบันที่ดำเนินไปคล้ายคลึงกันอะค่ะ  ไม่งงนะ อย่างงกันเลยน้า (TwT) อีกอย่าง เพิ่งตอนที่3 เองอะค่ะ! ขอปล่อยความสัมพันธ์คลุมเครือของคริสโฮให้คาราคาซังต่อไป เอิ๊กส์
    + ถ้าถามว่าทำไมตอนทำแผลให้ลู่ฮาน มินซอกถึงได้จู่โจมเร็วจัง มินซอกคงบอกว่า ใครไม่ลองมาอยู่ในสถานการณ์นั้น คงไม่เข้าใจหรอก!! แก้มขาวๆเนียนๆ แพขนตายาวๆ หน้าหวานๆ มันน่า.. นะ เลิกแคลงใจได้ละ และอย่าหาว่ามินซอกหื่นเชียว เค้าเรียกว่าบรรยากาศพาไปตะหาก(?)
    + พอดีเราสลับคนเล่าไปมา คงไม่งงกันใช่ไหมคะ? เริ่มเรื่องมาก็เป็น POV แล้ว เลยไม่อยากเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่อง ถ้าใครงงยังไง ท้วงได้นะคะ จะพยายามแก้ไขต่อไปจ้า! และเดี๋ยวตอนต่อๆไปจะเฉลยเองว่าทำไมท่านคริสถึงต้องหนีพี่ซูโฮไปอีก อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ แม่ยกคริสโฮ คู่ฟินแรร์ (เพราะหาโมเมนท์ไม่มี แรร์ได้อีก!)
    + อยากบอกที่มาที่ไปของชื่อตอน MAMA = มาม่า (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ้านเรานี่เอง!) , MAMA = DRAMA (จากค.สัมพันธ์แปลกๆของคริสโฮ)


    ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ค่ะ : )

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×