คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : #เพทวูฟ― 01 : Help me please
―01”
Help me please
“จับไม่ได้ก็ยิงมันให้ตายไปเลยสิวะ..จะปล่อยไว้ทำไม!”
“ใช่ๆ ตัวโตขนาดนี้อย่าว่าแต่กัดเด็กตายเลย มันฆ่าพวกเราได้สบายเลยนะ”
เสียงเอะอะโวยวายดังจนจุนมยอนตัดสินใจเดินตามเสียงไป แม้ว่าจะเป็นคนละทางกับทางกลับบ้านของตัวเองก็ตาม เมื่อมองเห็นฝูงชนขนาดใหญ่จึงเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้เพื่อสังเกตการณ์สิ่งที่ผู้คนกำลังรายล้อมอยู่ ด้วยขนาดตัวสันทัดจึงทำให้มองเห็นสิ่งนั้นไม่ชัด แต่เสียงคำราม ขู่ร้อง หรือแม้แต่เสียงครางที่หลุดออกมาเมื่อถูกชาวบ้านขว้างปาสิ่งของหรือฟาดไม้ใส่ ยิ่งทำให้จุนมยอนพยายามแทรกตัวจนหลุดเข้าไปในใจกลางวงได้ในที่สุด
“ท..ทำอะไรกันน่ะ”
“อย่าเข้าไปใกล้นะจุนมยอน มันอันตราย” สาวสูงวัยคนหนึ่งดึงแขนของเขาไว้ในตอนที่กำลังตกตะลึงกับรูปร่างอันใหญ่โตของสัตว์ป่าที่แทบจะไม่เคยเห็นหลุดเข้ามาในหมู่บ้านเลย
“ไม่เคยเห็นหมาป่าตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย!”
“มันเข้ามาขโมยเนื้อเหรอ..น่ากลัวจัง ฆ่ามันเลยเถอะ”
เสียงดังเซ็งแซ่แห่งความตื่นกลัวไม่ได้ชักนำอารมณ์ของจุนมยอนให้หวาดผวาไปด้วยเลย เขาอยากแย้งว่าทำไมไม่มีใครมองเห็นความขลาดกลัวของสัตว์สี่เท้าตัวใหญ่ตัวนั้นเลย ทั้งที่นัยน์ตามันวูบไหวสั่นระริก สายตามองหาทางหนีทีไล่และระแวดระวังภัยทุกฝีก้าว มันกำลังตื่นกลัวไม่แพ้ผู้คนในหมู่บ้านที่รายล้อมรอบตัวมันอยู่เลย
“ย..อย่าทำอะไรมันนะ!”
“หนูจุนมยอน ป้าบอกว่าอย่าเข้าไปใกล้ไง..มันอันตรายนะลูก”
ร่างเล็กสะบัดแขนออกจากการเกี่ยวรั้งของหญิงสูงวัย เขานึกสงสารสัตว์ตัวใหญ่แต่ไร้ทางสู้ ได้แต่วิ่งพล่านหลบหลีกก้อนหิน ท่อนไม้ รวมถึงปืนผาหน้าไม้ที่เตรียมจ่อยิงกะให้มันตายได้ตลอดเวลา
“อย่าครับ..อย่าทำมันเลย มันไม่ใช่หมาป่าอันตรายอย่างที่ทุกคนคิดนะ”
นั่นไง..ดูสายตาที่มันมองมาสิ
จุนมยอนเป็นคนเดียวที่เห็นการอ้อนวอนขอชีวิตอยู่คนเดียวหรือไง
“ตัวใหญ่ขนาดนี้จะไม่ใช่หมาป่าได้ยังไงกัน! ออกไปให้ห่างเลยเจ้าหนู เดี๋ยวมันก็ได้เขมือบแกเป็นคนแรกหรอก”
จุนมยอนแทบหวีดร้องตอนที่ปลายกระบอกปืนยาวลั่นลูกกระสุนออกไป ระยะห่างไม่กี่เมตรไม่มีทางที่นายพรานจะยิงพลาดได้เลย แต่เพียงเสี้ยวนาทีที่กระพริบตาลง เจ้าสัตว์ตัวใหญ่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร มันทำราวกับว่าร่างกายอันสูงใหญ่ของมันบินหลบกระสุนได้ภายในพริบตา
“ย..อย่ายิงมันอีกเลยนะ”
“จุนมยอน! มันเป็นหมาป่าตัวใหญ่ที่เขมือบลูกเล็กเด็กแดงของเราได้เชียวนะ ถอยไป..เราต้องฆ่ามันให้ตายก่อนที่มันจะมาฆ่าลูกหลานของพวกเรา”
“เห็นแก่พระเจ้าเถอะลุงชิน หรือไม่ก็เห็นแก่ลูกหลานที่กำลังยืนมองการฆ่าอย่างเลือดเย็นนี้ด้วยเถอะครับ ลุงกำลังทำให้เด็กพวกนั้นดูเป็นตัวอย่างว่าจะจัดการภัยคุกคามได้ด้วยการฆ่าเท่านั้น ลุงไม่คิดว่ามันป่าเถื่อนไปหน่อยหรือไง”
เสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความหึกเหิมเพื่อเชียร์ให้ปลิดชีวิตสัตว์อันตรายเงียบลง เหลือแต่เสียงกระซิบกระซาบของความไม่แน่ใจและยังคงเถียงกันถึงขอยุติที่แตกออกเป็นสองเสียง บ้างก็ว่าให้ฆ่าๆมันไปเสีย ก่อนที่คนในหมู่บ้านจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าและจับกินเป็นอาหารเสียเอง แต่อีกฝ่ายก็บอกให้ปล่อยมันกลับคืนสู่ผืนป่าไป โดนทำร้ายจนแทบล้มทั้งยืนแบบนี้คงเข็ดหลาบไม่กล้ากลับเข้ามาแล้ว
“แต่นี่มันเป็นหมาป่านะจุนมยอน มันเป็นสัตว์กินเนื้อที่เลือดเย็น ถ้าเราไม่ฆ่ามัน สักวันมันก็ต้องกลับมาฆ่าเรา”
“ม..ไม่ใช่นะครับ เข้าใจผิดแล้ว เจ้านี่ไม่ใช่หมาป่า..”
“เอาอะไรมาพูด!” เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวโยนตอนที่ถูกตะคอกใส่เพราะคำพูดที่ดูไร้สาระของเขา
“ม..มันไม่ใช่หมาป่าจริงๆนะครับ ลองดูนี่ก่อน…”
ห่อเอกสารซองโตที่โอบอุ้มมาด้วยถูกฉีกออกอย่างไม่นึกกลัวว่าเจ้าของตัวจริงจะโกรธที่ถือวิสาสะเปิดดูก่อน แถมเขายังวางหนังสือเล่มนั้นลงบนพื้นเพื่อความสะดวกตอนที่รีบร้อนเปิดหน้าหนังสือหาบางอย่างอีกด้วย
“นี่ไง..เจอแล้ว! มันต้องเป็นพันธุ์อลาสกันมาลามิวท์แน่ๆ ดูสิครับ หน้าตาก็คล้ายกัน ตัวก็ใหญ่เหมือนกัน ไม่ใช่หมาป่าน่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิดแน่ๆ” จุนมยอนลอบเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดขึ้นมาข้างขมับ โชคดีที่วันนี้ถูกไหว้วานให้ไปรับพัสดุที่ไปรษณีย์แทน และโชคดียิ่งชึ้นไปอีกที่เนื้อหาในเล่มเป็นการรวบรวมสายพันธ์สุนัขแทบจะทั่วโลกเอาไว้ภายในเล่มเดียว เขาเป็นคนขอให้เจ้าของหนังสือเล่มนี้สั่งซื้อเองแหละ เพียงแค่คิดว่าบนโลกจะมีสุนัขหน้าตาเป็นยังไงบ้าง เจ้าหมอหมาก็บ้าจี้สั่งหนังสือมาให้เขาดูเสียเลย
“เหมือนกันจริงๆด้วย” ชาวบ้านที่รุมดูรูปในหนังสือต่างอุทานเป็นเสียงเดียว เมื่อมองยังไงสุนัขตัวใหญ่ที่นอนหอบหมดแรงอยู่บนพื้นก็รูปร่างหน้าตาและมีสีขนคล้ายสุนัขพันุธ์ที่จุนมยอนว่าจริงๆ
“แล้วไอ้หมาพันธุ์ฝรั่งน่ากลัวนี่จะมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ได้ยังไง”
“เออ...นั่นสิ”
“ก..ก็อาจจะมีใครซื้อมาเลี้ยงไว้แล้วทำหลุดออกมาก็ได้” จุนมยอนทำใจดีสู้เสือ เขาเดินเข้าไปใกล้หมาใหญ่ตัวนั้นด้วยใจกล้าๆกลัวๆ ตามตัวของมันมีบาดแผลซ้ำยังมีเลือดออกจนจุนมยอนอดห่วงไม่ได้
“น่าสงสารจัง ฉันรู้ว่าแกกลัว แต่ช่วยหยุดแผลงฤทธิ์ก่อนนะ ไม่งั้นฉันช่วยแกไม่ได้แน่” ร่างเล็กกระซิบบอกสุนัขตรงหน้า เขามองลึกเข้าไปในดวงตาที่สั่นไหวของเจ้าหมาตัวนั้น ความสงบเงียบของมันไม่สามารถรู้ได้ว่ามันเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ หรือแค่เพราะอาการบาดเจ็บทำให้หมายักษ์ตัวนี้หมดพิษสงลง
“ดูมันสิ มันทั้งเจ็บทั้งกลัวก็ต้องป้องกันตัวไปตามสัญชาตญาณเป็นธรรมดา” จุนมยอนหันกลับมามองสุนัขตัวใหญ่ด้วยความเวทนา เขารู้ว่ามันไม่ใช่สุนัขพันธุ์ที่กล่าวอ้าง แต่ดูเหมือนเจ้ายักษ์นี่ก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร สัตว์มันหิวมันก็ต้องออกหาอาหารไม่ต่างจากเรา แถมถ้าถูกทำร้ายก็ย่อมต้องป้องกันตัวเองเป็นธรรมดา แล้วดูท่าฝ่ายที่ปกป้องตัวเองอย่างแรงกล้าจะเป็นมนุษย์เสียมากกว่าด้วยซ้ำ เขาไม่เห็นว่าจะมีใครบาดเจ็บเพราะสัตว์ร้ายตัวนี้เลยสักคน นอกจากบาดแผลตามตัวของเจ้าหมาที่บ่งบอกว่าเป็นฝ่ายถูกทำร้ายอยู่เพียงฝ่ายเดียว
“ร..ระวังนะจุนมยอน” เสียงจากหญิงแก่ในกลุ่มคนเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง จุนมยอนไม่ทันคิดจะมองหาเจ้าของเสียงด้วยซ้ำ เพราะเขาแค่อยากจะยืนยันกับทุกคนว่าเจ้าตัวนี้ไม่ได้ดุร้ายอย่างที่คิด
ทำไมไม่มีใครมองเห็นแววตาที่ตื่นกลัวของมัน ทั้งยังร่างกายอันสูงใหญ่หากแต่หมอบลงกับพื้นแสดงความสงบและเคารพพวกเราทุกคน ไม่มีเสียงขู่ ไม่มีการแยกเขี้ยว หรือแม้แต่แววตาโกรธเกรี้ยวเจ้าหมาตัวนี้ก็ไม่ได้แสดงออกมาเลยสักนิด มันเป็นเด็กดี..เป็นหมาที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี จุนมยอนเชื่อว่าอย่างนั้น
“ดูสิครับ มันเชื่องออกจะตายไป” เขายืนยันคำพูดด้วยการลูบหัวของมันให้ชาวบ้านดู
“มันเจ็บอยู่เลยไม่มีแรงทำอะไรมากกว่า” จุนมยอนทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนี้ไป
“ผมจะพามันไปหาจงแด..”
“ไม่ได้นะจุนมยอน โถ..ทำไมเราไม่กลัวบ้างเลยล่ะลูก” นั่นคือเสียงของป้ายองฮี เธอเป็นแม่หม้ายอาศัยอยู่เพียงลำพังภายในบ้านชั้นเดียวหลังถัดไปจากเขานี่เอง ด้วยความที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว ทำให้เธอมักจะคอยดูแลและรักใคร่จุนมยอนแทนลูกชายที่เสียไปพร้อมกับสามี
“คนเราทำผิดยังต้องว่ากันไปตามผิด ลงโทษตามกฎหมายโดยไม่ใช้ศาลเตี้ย ถึงมันจะเป็นเพียงแค่สัตว์ แต่พระเจ้าทรงสอนให้เรารักผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข พระองค์ทรงบอกให้เราจงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังเรา จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งเรา จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายเรา ในเมื่อมันไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใคร มันแค่ดิ้นรนเอาตัวรอดเหมือนที่พวกเราพยายามใช้ชีวิตอยู่เท่านั้นเอง น้ำพระทัยของพระเจ้าซึ่งอยู่ในกฎของพระเจ้าคือ การที่มนุษย์เอาชนะศัตรูได้ด้วยความรัก..ไม่ใช่หรือไงครับ”
.
.
“นายกำลังจะบอกฉันว่า..เพราะการเทศน์ของนาย ทำให้เอาเจ้าหมายักษ์มาฝากไว้ที่นี่ได้หรือไง”
“ฉันไม่ได้มาฝาก ฉันให้นายรักษามันต่างหากล่ะจงแด” มือน้อยลูบขนปุกปุยของมันอย่างเพลินมือ ยามที่เจ้าสี่ขาหลับตาลงและหายใจอย่างเป็นจังหวะอยู่ในตอนนี้ ดูคล้ายตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์ที่จุนมยอนอยากจะกระโดดลงไปกอดและนอนซุกตัวหาไออุ่นในวันที่อากาศหนาวอย่างนี้จริงๆ ทั้งคู่ต้องช่วยกันขนย้ายเตียงพร้อมทั้งตู้และโต๊ะออกไป เพื่อทำให้ห้องเกิดพื้นที่ว่างมากพอให้เจ้าตัวโตนอนลงไปได้ จงแดไม่คิดว่าการขนย้ายข้าวของจะเหนื่อยกว่าการดูแลรักษาเจ้าหมาที่ใหญ่กว่าตัวเองเกือบเท่าตัวด้วยซ้ำ นี่ถ้ามันไม่หงอเพราะบาดเจ็บ ก็คงเป็นหมาที่เชื่องและฉลาดมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“..แล้วถ้ามันหายดีแล้วนายจะทำยังไงต่อ ปล่อยมันกลับเข้าป่าไปเพื่อที่จะได้วกกลับมาขโมยของหรือไม่ก็ทำร้ายคนในหมู่บ้านอีกหรือไง”
“ฉันจะเลี้ยงไว้เอง”
“พูดเป็นเล่นไปได้! นายก็รู้นี่ว่ามันไม่ใช่พันธุ์อลาสกันแต่เป็นหมาป่าแท้ๆ ถ้าไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดเพื่อหลอมพฤติกรรมก็จะเป็นอันตรายได้ แต่ถึงจะเลี้ยงมาตั้งแต่เกิดยังไงก็ไม่สามารถลบสัญชาตญาณการเป็นสัตว์ป่าไปได้อยู่ดี..” ดวงตากลมใสที่มองมายังสัตวแพทย์หนุ่มทำให้เขาพูดอะไรต่อไม่ออก พ่ายแพ้ต่อคำวิงวอนในสายตานั้นโดยที่จุนมยอนไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา
“..เอาเป็นว่าฉันขอดูอาการของมันก่อนแล้วกัน ถ้ามีพฤติกรรมก้าวร้าวกับหมาตัวอื่นก็คงมีอยู่ไม่กี่ทางให้เลือก ไม่ส่งไปสถานรับเลี้ยงหรือศูนย์ฝึกสุนัข..ก็คงต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น นายต้องเข้าใจนะว่ามันไม่ใช่แค่หมาป่าธรรมดาๆ แต่เป็นหมาป่าที่ตัวใหญ่มากขนาดกัดนายตายได้เลย”
“จะมาขู่กันทำไม..คิดว่าฉันกลัวหรือไง”
“ถ้ากลัวคงไม่พามันมาถึงนี่หรอก” จงแดดันหลังจุนมยอนให้ออกมาจากห้องตรวจ โดยทิ้งเจ้าหมาตัวใหญ่เอาไว้กับยาสลบที่คาดว่าคงจะหลับได้ทั้งคืน
“ฉันรู้ว่านายไม่กลัวเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แต่ก็อย่างที่เคยพูดนั่นแหละว่าให้เห็นใจคนที่เป็นห่วงนายบ้าง ทั้งฉัน ทั้งบาทหลวงฟรานเซส รวมถึงแม่หม้ายยองฮีก็ด้วย เราต่างเป็นห่วงนายมากนะจุนมยอน”
คนตัวขาวระบายยิ้มกว้างก่อนจะโผเข้ากอดเจ้าของคลินิกผู้เป็นสัตวแพทย์เพียงคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ เขาเติบโตขึ้นมาได้ด้วยคำสั่งสอนของบาทหลวงฟรานเซส ได้รับการดูแลจากแม่หม้ายยองฮี และยังมีเพื่อนที่ดีอย่างหมอจงแดอีกด้วย เลยไม่คิดว่าตัวเองรันทดที่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตคนเดียวเพียงลำพังมาตั้งแต่ยังเล็ก
แม้ภายในบ้านจะเงียบสงัดเพราะการอยู่คนเดียว ลึกๆแล้วจุนมยอนอาจจะเปลี่ยวเหงาแต่ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตนี้ได้ เขามักจะมาหยุดยืนมองกรอบรูปที่ถ่ายรวมกันทั้งครอบครัว สีหน้าของทั้งพ่อแม่และตัวเขาเองช่างเปี่ยมสุขเสียเหลือเกิน แต่หมาป่าที่เขาพบในวันนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายในคืนนั้น คืนที่ทั้งบ้านคลุ้งไปด้วยกลิ่นสาบของสัตว์ป่าผสมกับกลิ่นคาวของเลือดฉุนขึ้นสมอง ภาพในความทรงจำฉายชัดถึงร่างอันเป็นที่รักทั้งสองคนนอนแน่นิ่งจมกองเลือด ความมืดทำให้จุนมยอนไม่สามารถมองเห็นเศษเนื้อและร่างขาดวิ่นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วสำหรับเด็กในวัยนั้น เพียงแต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาสามารถมองเห็นได้ชัดภายในเงามืด นั่นก็คือดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นเพียงคู่เดียว ชาวบ้านบอกว่ามันเป็นดวงตาของสัตว์ร้าย หากมันเป็นสัตว์ป่าดุร้ายจริงมีหรือจะเว้นชีวิตเขาให้เหลือรอดอยู่เพียงลำพังมาจนถึงวันนี้
หมาป่าตัวใหญ่ที่เจอในวันนี้มีบางอย่างที่ให้ความรู้สึกคล้ายเจ้าสัตว์ร้ายตาสีแดงชอบกล อาจเพราะบางสิ่งบางอย่างในดวงตาคู่นั้นที่พยายามสื่อมาให้จุนมยอนเข้าใจก็เป็นได้ ไม่รู้สิ..เขารู้สึกว่าการที่มันจ้องตาเขากลับมานิ่งแบบนั้น เหมือนกำลังพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอาจจะรู้สึกไปเอง คิดไปเอง เห็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เอง หรือไม่ก็หูฟาดไปเองเหมือนครั้งที่หลงป่านั่นก็เป็นได้
อย่างไรเสีย.. เจ้าหมาตัวนั้นก็ต้องการความช่วยเหลือมากกว่าปล่อยให้ถูกยิงทิ้งอยู่ดี ตอนนี้ที่จุนมยอนทำได้คงมีแต่การภาวนาขอให้หมาป่าตัวนั้นไม่ก่อเรื่องอะไรที่คลินิกสัตว์ของจงแด
เช้าวันรุ่งขึ้นจุนมยอนรีบโทรไปที่ร้านซูเปอร์มาร์เก็ตที่เขาทำงานอยู่เพื่อขอลาหยุดสำหรับกะบ่ายที่เขาต้องเข้าทำงาน โดยอาสาจะควบสองกะในวันถัดไป แต่เพราะเป็นเด็กขยันและรับผิดชอบงานมาโดยตลอด ทางเจ้าของร้านจึงอนุญาตให้เขาลาหยุดได้โดยไม่ต้องทำงานเพิ่มแต่อย่างใด จุนมยอนยิ้มแก้มแทบปริออกจากบ้าน โดยไม่ลืมหยิบขนมปังที่ใกล้จะหมดอายุโปรยไปตามทางเพื่อให้นกที่รออยู่ในละแวกนั้นได้ลงมาโฉบกิน
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าแปลกสำหรับ หมู่บ้านซูหลาง นั่นก็คือ พวกสัตว์ในป่าไม่เคยเข้ามาบุกรุกทำลายข้าวของของคนในหมู่บ้านเลย อาจเพราะพวกคนในหมู่บ้านคอยแบ่งปันอาหารให้มันอยู่เสมอตามแนวทางเดินของป่าก็เป็นได้ เลยเหมือนเป็นการสอนสั่งมันว่าห้ามก้าวข้ามเขตแนวป่าเข้ามายังบริเวณที่คนอยู่อาศัย ผู้คนและสัตว์ป่าต่างพากันถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแบบนี้มาอย่างช้านาน..
“จงแด! คริสเป็นยังไงบ้าง?”
หมอหนุ่มขมวดคิ้วแถมยังตีหน้ายุ่งใส่ เขากำลังตรวจดูแฟ้มตารางนัดหมายการเข้าตรวจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของคนในหมู่บ้าน ตั้งแต่หมู เห็ด เป็ด ไก่ จนไปถึงวัวและควาย เรียกได้ว่างานล้นมือจนเกินกำลังเลยทีเดียว โชคยังดีที่ประกาศรับผู้ช่วยสัตวแพทย์เอาไว้ คาดว่าไม่เกินอีกสองอาทิตย์คงได้หมอหนุ่มจบใหม่มาดๆเข้ามาช่วยงานเพิ่มอีกคน
“คริส?” จงแดถามขึ้นตอนที่จุนมยอนถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปด้านในที่ห้ามคนนอกเข้า จุนมยอนเคยอาสามาช่วยเขาดูแลสัตว์ที่เข้ามารับการรักษาอยู่บ่อยครั้ง จึงรู้ลู่ทางเป็นอย่างดีและไม่ต้องรอให้ใครเอ่ยขออนุญาตเวลาเดินเข้านอกออกใน จนบางครั้งจงแดก็รู้สึกหนักใจที่ห้ามปรามอะไรเพื่อนคนนี้ไม่ได้เลย
“เจ้าหมายักษ์ตัวนั้นไง ฉันตั้งชื่อให้แล้วว่าคริส”
“นี่นายยังคิดว่ามันเป็นหมาฝรั่งพันธุ์อลาสกันอยู่หรือไง ฉันบอกนายแล้วนะว่ามันเป็นหมาป่า!”
“เฮ้ย! ทำไมถึงได้ล่ามโซ่มันขนาดนี้ล่ะจงแด!” ทันทีที่เปิดห้องพักสัตว์เข้ามา จุนมยอนก็รีบถลาเข้าไปกลางห้อง ร่างใหญ่ยักษ์ของหมาที่ถูกชาวบ้านรุมทำร้ายเมื่อวานถูกล่ามโซ่เอาไว้ทั้งสี่ข้าง แถมยังมีโซ่หนาอยู่โดยรอบคอที่โยงไว้กับตะกร้อครอบปากที่ดูก็รู้ว่าทำขึ้นเองโดยการตัดหนังมาเย็บอีกด้วย
“ปล่อยคริสเดี๋ยวนี้เลยนะ” เจ้าของคลินิกถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าให้
“ไหนบอกว่าจะขอดูอาการมันแค่คืนเดียว ดูมันสิ..มันก็แค่ผิดที่เกิดมาตัวใหญ่แค่นั้นเอง นายไม่เห็นสายตามันหรอ ดูสิ..มันกำลังกลัวพวกเราอยู่จะตาย” เสียงครางจากเจ้าหมายักษ์ยิ่งเพิ่มความน่าจะเป็นนั้นเข้าไปใหญ่ จงแดไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเจ้าคริสที่จุนมยอนเรียกก็ดูไม่ดุร้ายเท่าที่เขาคิดไปเอง
“เจ้าบ้าจุนมยอนเอ้ย..ถ้าเกิดอะไรขึ้นมานายจะรับผิดชอบคนเดียวยังไงไหวเนี่ย” แม้จะไม่วางใจแต่ก็จำต้องปลดโซ่ที่ล่ามเจ้าหมาตัวใหญ่ยักษ์ออกตามความต้องการของเพื่อน ถึงกระนั้นปืนใส่ยาสลบก็ยังวางอยู่ไม่ไกลจากสายตาให้พอหยิบใช้ได้ยามมีเหตุไม่คาดคิด
“ฉันว่า..คริสไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นหรอก นายต้องได้เห็นตอนมันดิ้นรนหาทางรอด ถ้ามันดุร้ายจริงๆ คงได้ทำร้ายคนแถวนั้นไปแล้ว นายก็รู้นี่ว่าหมาจนตรอกมันสู้ไม่ถอยแค่ไหน” จุนมยอนคอยลูบหัวลูบตัวมันขณะที่จงแดพยายามดึงโซ่ที่ล่ามอยู่ออก คริสให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มันไม่เห่า ไม่ขู่ เอาแต่นอนหมอบและครางต่ำอย่างคนหมดแรง จุนมยอนคิดว่ามันอาจจะยังเพลียจากอาการเจ็บบาดแผลที่ได้รับมาไม่น้อยจากเมื่อวานก็เป็นได้
“ถ้านายยืนยันว่าจะเลี้ยงมันจริงล่ะก็..สองสามวันนี้ฉันขออยู่ดูอาการมันที่บ้านนายหน่อยก็แล้วกัน”
จุนมยอนยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าให้ เขาไม่มีปัญหาในการที่คนนอกจะมานอนที่บ้านอยู่แล้ว เมื่อก่อนจงแดก็มาอยู่ด้วยบ่อยๆ ดีเสียอีกที่จะมีทั้งเพื่อน ทั้งสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ มาทำให้บ้านของเขาครึกครื้นอีกครั้ง เห็นจุนมยอนเป็นเด็กร่าเริงอยู่ทุกวันนี้ก็จริง แต่ลึกๆแล้วภายในบ้านที่เงียบสงัดก็ทำให้เขาเหงาอยู่บ่อยไป
“ตกลงจะเรียกมันว่าคริส?”
“ใช่ เมื่อคืนเห็นโฆษณาหนังเรื่องธอร์ตอนคิดถึงเจ้านี่ขึ้นมาพอดี ก็เลยคิดว่าให้ชื่อคริสตาม คริส เฮมส์เวิร์ธ ก็ไม่เลวเหมือนกันนี่นา..เป็นฝรั่งตัวใหญ่แถมยังหล่อเหมือนกันอีกด้วยเน้าะ” จุนมยอนจับใบหน้าใหญ่ยาวของมันมาลูบเล่นอย่างมีความสุข คริสเองก็ไม่ได้ทำท่ารำคาญอะไร ดูเหมือนจะซึมเพราะยานอนหลับอยู่ด้วยซ้ำ
“..จะว่าไปกัปตันอเมริกาภาคใหม่ที่จะฉายปีหน้าก็ชื่อ คริส อีแวนส์ นี่นา เห็นไหมว่าคนหน้าตาดีมักจะชื่อคริสกันทั้งนั้นแหละ”
จงแดส่ายหน้าอย่างระอา..ตัวเอง เขาไม่เคยขัดใจจุนมยอนได้เลยจริงๆให้ตายเถอะ! สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ก็คือไปเล่าให้บาทหลวงฟรานเซสฟัง จะพูดให้ถูกคือไปฟ้องท่านเพื่อที่จะได้ให้ไปดุจุนมยอนอีกทีเสียมากกว่า ดูเหมือนว่าคนเดียวที่เจ้าตัวดีจะยอมฟังก็มีแต่บาทหลวงฟรานเซสเท่านั้น
ในฐานะสัตวแพทย์แล้วจงแดยังไม่อาจลงความเห็นได้ว่าเจ้าคริสตัวนี้อันตรายมากน้อยเพียงใด เพียงคืนเดียวไม่สามารถบอกลักษณะนิสัยของมันได้ทั้งหมด แถมทั้งคืนยังเอาแต่นอนหลับเพราะยาสลบอีกด้วย เช้ามาก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไร ไม่ได้แสดงอาการดุร้ายหรือกร่างวางอำนาจจ้องจะทำร้ายสุนัขตัวอื่น คริสดูนิ่งเกินไปจนเขากลัวว่ามันจะอยู่ในภาวะเครียดด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นจุนมยอนก็ยังดึงดันจะนำกลับไปอยู่ที่บ้านให้ได้ ลำพังบาดแผลตามตัวไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไร จุนมยอนเคยดูแลล้างแผลสัตว์ที่ถูกกัดหรือโดนทำร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน สิ่งที่เขาห่วงมีอยู่อย่างเดียวนั่นก็คือตัวของคริสนั่นแหละ หากว่ามันไม่ได้สงบอย่างที่เป็นอย่างนี้ขึ้นมา ตัวจุนมยอนนั่นแหละที่จะเป็นอันตรายมากกว่าใคร
“ให้เจ้าคริสของนายนอนที่นี่ต่ออีกหน่อยแล้วกัน หลังปิดคลินิกแล้วค่อยพามันไปอยู่ที่บ้านนาย อ้อ..ระหว่างนี้ก็ไปจัดที่สำหรับเลี้ยงมันด้วย เลือกถาดใส่อาหาร ใส่น้ำ แล้วก็อาหารเม็ดกลับไปไว้ที่บ้านก่อนเลย ฉันจะเตรียมพวกยาฆ่าเชื้อแล้วก็อุปกรณ์ล้างแผลเอาไว้ให้ ตัวใหญ่ขนาดนี้ให้เทียวมาเทียวไปจากบ้านนายมาคลินิกคงลำบากแย่ ทำแผลเองที่บ้านเลยน่าจะสะดวกกว่า”
“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันช่วยนายทำแผลมาตั้งเยอะแล้วนะจงแด”
เรื่องที่จงแดห่วงน่ะไม่ใช่เรื่องทำแผลให้คริสหรอกนะ แต่พูดไปจุนมยอนก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าเรื่องที่น่าห่วงมากที่สุดน่ะ คือการเลี้ยงเจ้าคริสต่างหาก!
ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงอยากเลี้ยงหมาพันธุ์ใหญ่ขนาดนี้เอาไว้เอง บางทีมันก็ดีที่จะมีหมาตัวใหญ่เอาไว้เฝ้าบ้าน จุนมยอนอยู่ตัวคนเดียว มีอันตรายรอบด้าน ทั้งจากสัตว์ป่าหรือแม้แต่คนด้วยกันเอง แล้วเจ้าคริสนี่ก็เป็นหมาป่าตัวใหญ่ยักษ์ที่ไม่รู้ว่านิสัยเป็นยังไงแน่ ขนาดคนด้วยกันเองยังไม่น่าไว้ใจเลย นับประสาอะไรกับสุนัขที่จะตอบแทนบุญคุณเราได้แค่เพียงช่วยชีวิตมันเอาไว้
จงแดไม่ไว้ใจ…
หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาสาบานเลยว่าจะฆ่ามันทิ้งอย่างไม่ลังเล
― พูดคุย ―
เนื้อเรื่องอาจจะไม่เป็นสมัยก่อนอย่างที่คิด คืออินโทรมาดูลึกลับไปหน่อย
แต่ไม่ตั้งใจให้ดราม่าเลือดสาดอย่างที่คาดแน่นอน #แต่งแบบนั้นแล้วเครียดเอง ๕๕๕
ตอนหน้าคงได้เห็นกันว่าทำไมหมาคริสถึงหลุดเข้ามาในหมู่บ้านได้
รบกวนติดตามหรือแท็ก #เพทวูฟ ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ <3
ความคิดเห็น