คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Seem Sweet - 8 { past sweet }
Chapter 8
รถแท็กซี่ขับมาจอดหน้าบ้านตามที่ชานยอลบอกทาง เพราะนึกได้ว่าเวลานี้ดึกมากแล้วคงไม่เหมาะที่จะไปหาคริสตอนนี้จึงตัดสินใจกลับมาบ้านก่อนรอพรุ่งนี้เช้าค่อยไปหาคนที่คิดถึงคงยังไม่สาย ชานยอลเปิดประตูลงจากรถมองเข้าไปภายในบ้านที่มืดสนิทอย่างผิดปกติ ไฟทางที่ต้องเปิดไว้บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าก็ไม่มี เขาผลักประตูที่ไม่ได้ล็อคออกอย่างสงสัย
ชานยอลเดินผ่านสนามหญ้าที่เงียบเชียบไร้เงาร่างของบอดี้การ์ดชุดดำที่มักจะยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ตามจุดต่างๆ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทรหาคริสคนที่เขานึกถึงเป็นคนแรกทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือหรือมีเรื่องไม่สบายใจ
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นจนชานยอลสะดุ้งเฮือกเผลอปล่อยโทรศัพท์ในมือตกพื้น แต่เขาไม่ได้สนใจจะเก็บมันขึ้นมา เด็กหนุ่มรีบสาวเท้าวิ่งเข้าตัวบ้านเพราะนึกห่วงผู้เป็นพ่อ
!!
เขาหวีดร้องเสียงหลงเมื่อพบร่างไร้ลมหายใจของบอดี้การ์ดชุดดำนับสิบนอนเรียงรายอยู่บนพื้น หัวใจเต้นถี่รัวจนรู้สึกได้ ชานยอลยื่นมืออันสั่นเทาไปหยิบกระบอกปืนใกล้ๆ ศพพวกนั้นขึ้นมาถือไว้ด้วยชำนาญเพราะแม้เขาจะไม่ชอบการใช้กำลังแต่ด้วยฐานะทางครอบครัวทำให้ถูกส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้าง ไม่เคยคาดคิดว่าสักวันจะได้ใช้มัน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวเข้าตัวบ้าน ก็รู้สึกได้ถึงกระแสความร้อนวูบแผ่ออกมาจากข้างใน หลังจากนั้นไม่ถึงเสี้ยวนาทีเปลวเพลิงก็โหมกระพือลุกลามไปทั่วบ้านหลังใหญ่อย่างรวดเร็ว
“พ่อ!”
ชานยอลพึมพำอย่างตกใจและกระโจนตัวเข้าไปในกองเพลิงอย่างไม่กลัวอันตราย พอเข้ามาในตัวบ้านเขาได้กลิ่นน้ำมันก๊าซฉุนกึก ส่วนต่างๆ ภายในติดไฟอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ชานยอลพุ่งตัวขึ้นบันไดไปชั้นสอง วิ่งฝ่าโถงทางเดินที่กำลังถูกไฟไหม้ตรงไปยังห้องทำงานใหญ่สุดปลายทาง มองลอดบานประตูที่แง้มเปิดออกก็เห็นแผ่นหลังอันคุ้นตาของใครบางคนยืนอยู่ ในมือชายคนนั้นถือกระบอกปืนเล็งไปด้านหน้า
คนที่คุกเข่าอยู่แทบเท้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของปืนที่ส่องตรงหน้าอกตัวเองอยู่นั่นคือพ่อของเขา ใบหน้าของพ่อเต็มไปด้วยแววอ้อนวอน มือของท่านจับปลายกระบอกปืนไว้อย่างกับกำลังร้องขอชีวิตจากชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนหันหลังใช้ชานยอลอยู่ แต่ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ชานยอลก็รู้ดีว่าเขาคนนั้นเป็นใคร
“อย่า!”
ปัง!
เสียงร้องห้ามของชานยอลดังขึ้นพร้อมกับเสียงลั่นไกปืนที่ปลิดชีวิตพ่อของเขาในนัดเดียว ชานยอลวิ่งพรวดเข้ามาในห้องท่ามกลางสายตาตกใจของคริสที่ทำอาวุธสังหารในมือล่วงลงบนพื้น แต่ชานยอลก็ไม่ได้สนใจร่างสูงนั่นเลยเขาหมายจะพุ่งเข้าไปกอดร่างของพ่อที่กำลังหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาไว้ แต่ก็ถูกท่อนแขนใหญ่รั้งไว้เพราะเปลวเพลิงกำลังลุกลามมาถึงห้องทำงานนี้ คานและเสาต้นใหญ่ติดไฟล้มลงกักขังร่างของพ่อให้จมอยู่ในกองเพลิงจนเขาไม่สามารถฝ่าเข้าไป ชานยอลได้แต่ส่งเสียงร้องเรียกพ่อปริ่มจะขาดใจแต่ก็ไร้คำตอบรับกลับมา
“พ่อ! ไม่นะ พ่อ ฮืออ”
“อันตราย! อย่าเข้าไป”
คริสกึ่งลากกึ่งอุ้มชานยอลออกมาจากตัวบ้านทันก่อนที่จะถูกไฟคลอกไปด้วย น้ำตาและเสียงร้องของชานยอลบั่นทอนหัวใจเขาเหลือเกิน คริสอยากจะกอดปลอบร่างเล็กที่เอาแต่ร้องเรียกหาบิดาที่จากไปแต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใย
“ชานยอล ฉันไม่ได้....”
เพี๊ยะ!
ชานยอลฟาดฝ่ามือลงบนข้างแก้มคริสอย่างแรง มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ คนถูกทำร้ายก็เหมือนจะอึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก
“ทำไม นาย...ทำได้ยังไงอู๋อี้ฟ่าน!”
ชานยอลทั้งทุบตีและพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุมของคริสแต่ไม่ก็พ้น ภาพตรงหน้าเขามีแต่เปลวเพลิงสีส้มจนแทบมองไม่เห็นตัวบ้าน หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม เขารู้สึกหูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเองที่พร่ำเรียกหาแต่พ่อ และภาพสุดท้ายที่เขาเห็นมีแต่เปลวไฟไปทั่วทุกสารทิศก่อนที่สติจะดับวูบลง
“พ่อ...”
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
ม่านหน้าต่างถูกเปิดออกเพื่อให้แสงสว่างจากภายนอกส่องผ่านเข้ามาภายในห้องนอนเล็กแคบแห่งนี้ เป็นเวลาสายมากแล้วแต่ชานยอลยังไม่อยากขยับกายลงจากเตียง หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาทำเพียงแค่นั่งเฉยๆ ทอดสายตามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
คุณหนูอย่างปาร์คชานยอลสูญสิ้นทุกอย่างไปเพียงข้ามคืนด้วยน้ำมือของคนที่เชื่อใจมากที่สุด หลังจากพาเขาออกจากกองเพลิงได้แล้วคริสก็พามาอยู่ที่ห้องเช่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง คริสไม่ปฏิเสธหรือแก้ตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังตามคำขอ พ่อของเขาเคยทรยศหัวหน้าแก๊งอีกคนเพื่อช่วยอู๋ฟงให้กุมอำนาจเพียงผู้เดียวแต่แล้วกลับสำนึกผิดภายหลังจึงเข้าร่วมกับแก๊งเสือขาวเพื่อโค่นอำนาจของอู๋ฟงแต่ก็ถูกจับได้เสียก่อนจึงถูกนายใหญ่หมายหัวและสั่งเก็บ
การตายของพ่อตำรวจก็ปิดคดีลงโดยระบุว่าเกิดจากไฟฟ้ารัดวงจร หุ้นต่างๆ ที่เป็นชื่อครอบครัวปาร์คตกเป็นของอู๋ฟงหัวหน้าแก๊งมังกร ชานยอลไม่นึกเสียดายเงินทอง แต่เสียใจกับการจากไปของพ่อและที่เสียใจมากกว่านั้นคือทุกอย่างมันเป็นฝีมือของคริส
คนที่ชานยอลหันกลับมาหา คนที่ชานยอลเลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปตลอด
คริสทรยศความเชื่อใจที่เขามอบให้
แอ๊ด~
ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในความคิดก้าวเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ ชานยอลเบือนหน้าไปทางหน้าต่างอีกครั้งไม่อยากมองใบหน้านั้น แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเขาเดินมานั่งลงที่ข้างเตียง
“ชานยอล ทานอะไรสักหน่อยเถอะ เธอไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว”
คริสบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สำหรับชานยอลมันเป็นเสียงที่น่ารังเกียจที่สุด ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ ฆ่าพ่อของเขาแล้วยังมาทำดีด้วยอีกทำไม
“....”
ชานยอลไม่ตอบ จะพยายามทำเหมือนว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ตัวตนและไม่มีความสำคัญกับหัวใจของเขาอีกต่อไป
“ชานยอล...งั้นเดี๋ยวฉันป้อนนะ”
คนถูกเมินถือชามข้าวต้มเดินอ้อมเตียงมาทางด้านหน้า คริสตักข้าวขึ้นเป่าก่อนจะส่งมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของชานยอลแต่เขากลับปัดออกจนมันกระเด็นตกลงไปบนพื้น
“อย่าพยายามเสแสร้งทำดีกับฉันเลย คิดเหรอว่าฉันจะหลงเชื่อคนอย่างนายอีก”
“ฉันไม่เคยเสแสร้ง เธอเป็นคนสำคัญที่สุดของฉัน”ดวงตาสีดำสนิทมองมาพยายามสื่อให้เห็นถึงความจริงใจอย่างที่พูด แต่เขาไม่มีวันเชื่อ
“ฉันสำคัญ? แล้วนายทำเรื่องแบบนั้นทำไม นายฆ่าพ่อของฉันทำไม”น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลอาบสองแก้ม ชานยอลมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเจ็บปวด
เขารู้ว่าคริสอาจจะไม่ใช่คนดีที่สุด มีเกเร นอกลู่นอกทางบ้างตามประสาเด็กผู้ชายแต่ที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องอะไรเขาสามารถยกโทษให้ได้เสมอ แต่คราวนี้สิ่งที่อีกฝ่ายทำมันเป็นสิ่งที่เขาให้อภัยไม่ได้จริงๆ
ทำไมนายต้องทำให้เราสองคนไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
“ฉันขอโทษ”คริสก้มหน้าลงโดยไม่กล้าสบตา “เธอต้องการให้ฉันทำอะไรเพื่อชดเชยบอกมาได้เลย ฉันพร้อมจะทำให้ทุกอย่าง”
“ปล่อยฉันไป”
น่าสมเพชตัวเองจริงๆ จนถึงตอนนี้ชานยอลยังไม่สามารถทำใจให้เกลียดคริสลง หรือแม้แต่ไปแจ้งตำรวจเพื่อให้จับตัวเขาไปลงโทษ
“ฉันอยากไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งนายด้วย”
หลังจากที่คิดทบทวนมาหลายวันก็ทำใจยอมรับว่าในวงการมาเฟีย หากไม่ถูกเขาฆ่าก็ต้องเป็นฝ่ายฆ่าเขา พ่อของชานยอลก็เป็นเหยื่อให้กับวงการที่โสมมนี่ การทรยศ แย่งชิงอำนาจมันเป็นเรื่องปกติ ที่พ่อของเขาต้องมาตายไปก็เพราะเรื่องพวกนั้นจะโทษใครได้ ทรยศกันไปหักหลังกันมา แก้แค้นกันไม่จบสิ้น เขาไม่อยากติดอยู่ในวงจรนี้ เพราะฉะนั้นชานยอลจะไม่แก้แค้น
แต่ถึงเขาจะยอมปล่อยวางไม่แก้แค้นนายใหญ่ได้ แต่เขาคงไม่สามารถอยู่กับคริสได้อีกแล้ว จะให้เขาอยู่กับคนที่ลงมือสังหารพ่อตัวเองอย่างเลือดเย็นได้อย่างไร
“ฉันยอมปล่อยเธอไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เธอกลับมา เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ปล่อยเธอไปอีก”คริสรวบคนตัวเล็กกว่ามากอดไว้แน่น
“ปล่อยฉันไปอี้ฟ่าน นายก็รู้ว่าระหว่างเรามันจบลงแล้ว”
มันจบลงทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่ทันจะได้เริ่มมัน
ชานยอลสะบัดตัวเองออกจากอ้อมแขนของร่างสูง ลุกขึ้นจากเตียงหยิบกระเป๋าที่เตรียมพร้อมไว้นานแล้วออกมาและเดินไปทางประตู แต่ยังไม่ทันได้เปิดออกไปก็ถูกอีกฝ่ายกอดไว้จากทางด้านหลังอีกครั้ง
“อย่าทิ้งฉัน เธอเคยสัญญาว่าจะอยู่กับฉันตลอดไปไม่ใช่เหรอ”คริสพูดเสียงเครือ เขาจะไม่ปล่อยชานยอลไปอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะรู้ว่าหากปล่อยไปครั้งนี้จะไม่มีวันได้ชานยอลคืนมาอีกเลย ไม่ใช่เพียงร่างกายที่จะไม่ได้กลับคืนมา หัวใจของชานยอลก็ด้วยที่จะบินจากเขาไปตลอดกาล
ร่างบางสะดุดกึกกับประโยคนั้น หวนนึกถึงคำสัญญาตอนเด็ก หยาดน้ำตารินไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ ไหล่ซ้ายที่ใบหน้าหล่อเข้มซบอยู่เริ่มชื้นไปด้วยน้ำตาจากเจ้าของอ้อมกอด
‘สัญญานะชานยอล ว่าเธอจะอยู่กับฉันตลอดไป’
‘ฉันสัญญา อี้ฟ่าน’
ดวงตาหม่นเศร้าปิดลงฝืนทำใจแข็ง มือเล็กแกะมือหนาที่เกาะกุมอยู่บนเอวออกและจะก้าวเดินจากไป แต่คนที่เคยยืนซ้อนหลังอยู่กลับทรุดฮวบลงกับพื้นกอดเอวเขาไว้แน่น นายน้อยของแก๊งมาเฟียที่มีอิทธิพลมากที่สุดในแถบเอเชีย ไม่เคยก้มหัวให้ใคร แต่ในวันนี้กลับโยนศักดิ์ศรีลูกผู้ชายทิ้งยอมคุกเข่าลงเพื่อรั้งคนสำคัญเพียงคนเดียวนี้ไว้
“ได้โปรด ชานยอล”คริสอ้อนวอนทั้งน้ำตาโดยไม่อาย ขอแค่ชานยอลอยู่มากกว่านี้เขาก็ยอม
คริสมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนอ่อนแอแต่พอเป็นเรื่องของชานยอลแล้ว เขากลับรู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนไหวง่ายเสียเหลือเกิน น้ำตาที่แทบไม่เคยรินไหลกลับเอ่อล้นออกมาเพราะคนๆนี้ ในวันนี้เขาร้องไห้อย่างไม่อาย ปล่อยโฮเสียงสะอื้น มือที่ถูกชานยอลสะบัดออกอีกครั้งไขว่คว้าท่อนขาเรียวเอาไว้
คริสกอดขาชานยอลแน่น เขากำลังอ้อนวอน โปรดเถิดอย่าทิ้งกันไป
ในเวลานี้ไม่มีนายน้อยแก๊งมังกร มีเพียงแค่อู๋อี้ฟ่านผู้ชายธรรมดาที่พยายามเหนี่ยวรั้งหัวใจของตัวเองเอาไว้ เขาอยู่เหนือผู้คนมากมายแต่กลับยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของปาร์คชานยอลอย่างเต็มใจ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาซบลงที่ต้นขาเรียวอย่างยอมแล้วซึ่งทุกอย่าง
ถึงจะไม่ใช่ความรัก ถึงจะด้วยความสมเพช สงสารหรืออะไรก็ช่าง คริสพร้อมจะยอมรับไว้ถ้ามันจะสามารถรั้งชานยอลให้อยู่กับเขาได้
ชานยอลกลั้นสะอื้นไว้เมื่อเห็นสภาพนี้ของทายาทมาเฟียใหญ่ รู้จักกันตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยเห็นคริสร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน ร้องแบบไม่นึกห่วงศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย แต่ชานยอลไม่อาจใจอ่อนได้เขากลั้นใจสะบัดขาออกจากการกอดรัดอย่างแรงจนคริสลงไปกองกับพื้นก่อนจะเปิดประตูออกจากบ้านไปด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก โดยมีเสียงร้องด้วยหัวใจที่กึ่งจะแตกร้าวลอยตามหลังมา
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•.
ชานยอลย้อนกลับมาที่บ้านของตัวเอง บ้านหลังใหญ่ถูกทำลายจนเป็นเพียงซากไหม้ไปกว่าสองในสามส่วน เขาเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของพ่อที่มีสภาพไหม้รอยดำเผาไปเกือบครึ่ง เก้าอี้บุนวมสีแดงตัวใหญ่ที่พ่อชอบนั่งทำหน้าเครียดขึง ชานยอลทรุดตัวลงนั่งบนนั้นมือเรียวลูบไปตามพนักที่พิงแขนหวังว่าจะสัมผัสถึงความทรงจำเกี่ยวกับพ่อที่หลงเหลือไว้
“ผมทำถูกแล้วใช่มั้ยฮะพ่อ ที่ไม่แก้แค้นคนพวกนั้น”
ชานยอลพูดกับกรอบรูปบนโต๊ะข้างเตียง ภายในกรอบสีไม้นั้นมีภาพชายวัยกลางคนที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอายุสามขวบด้วยความใบหน้ายิ้มแย้ม เขาหยิบรูปนั้นมาใส่กระเป๋าไว้ แต่เมื่อเปิดกระเป๋าออกก็พบไดอารี่เล่มที่พ่อเคยฝากไว้ให้คริสก่อนที่ชานยอลจะเดินทางไปสนามบิน เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าควรจะเปิดอ่านมันดีหรือไม่
‘วันที่ลูกได้พบกับนายน้อยอีก มอบไดอารี่เล่มนี้ให้เขาด้วยนะ นายหญิงฝากไว้ให้เขาก่อนสิ้นลม’
‘แล้วทำไมพ่อไม่ให้เองละฮะ’ชานยอลถามอย่างแปลกใจ ในเมื่อพ่อยังอยู่เกาหลีก็น่าจะมอบให้คริสเองมากกว่า
‘พ่อคิดว่าตอนลูกกับนายน้อยได้พบกันอีกครั้ง เมื่อนั้นถึงเป็นเวลาที่เหมาะสมจะมอบให้เขา’
ชานยอลไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่พ่อบอกแต่ในเมื่อพ่อไม่อธิบายเขาจึงได้แต่รับมันมาด้วยความสงสัย ไดอารี่เล่มเล็กปกสีแดงเลือดหมูหน้าปกเก่ายับเยินชวนให้หดหู่ เชือกสีน้ำตาลที่มัดเป็นปมเหมือนบ่งบอกให้รู้ว่าคนอื่นไม่ควรแกะมันเพื่ออ่านข้อความในนั้น แต่เมื่อความสงสัยอยู่เหนือสิ่งอื่นชานยอลจึงลงมือคลายปมเชือกและเปิดไดอารี่ออกอ่าน
20/8/xxxx
ฉันไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานแค่ไหน ฉันไม่กลัวหรอกที่จะต้องจากโลกนี้ไป ดีเสียอีกฉันจะได้ตามไปหาเขาคนนั้น ผู้ชายที่ฉันรัก แต่ฉันไม่อยากให้บางเรื่องมันตายตามฉันไปด้วย ฉันตัดสินใจไม่ได้จริงๆ ว่าควรจะบอกความจริงกับลูกชายคนของฉันดีมั้ย? หรือควรจะปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไป
เรื่องระหว่างพวกเราสามคน เซียงหลั่นเหยา หลี่จิ้งเหอและอู๋ฟง ในตอนนั้นจิ้งเหอและอู๋ฟงเพิ่งจะร่วมกันสร้างธุรกิจของแก๊งมังกรขึ้นมา ฉันกับจิ้งเหอรักกันเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายจนในที่สุดฉันก็คลอดลูกชายให้เขา แต่หลังจากนั้นเพียงสามเดือนเขาก็ถูกเพื่อนรักอย่างอู๋ฟงหักหลังยักยอกธุรกิจทั้งหมดไปและกำจัดเขาทิ้ง ฉันฝากลูกให้ภรรยาหัวหน้าโอพาหนีไปเพราะรู้ว่าอู๋ฟงต้องการตัวฉัน ใช่ ฉันรู้ว่าเขาแอบมีใจให้มาตลอด ที่เขาฆ่าจิ้งเหอส่วนหนึ่งเพราะต้องการได้ฉันไปเป็นของเขา
หลังจากถูกอู๋ฟงจับตัวได้ฉันโกหกว่าทิ้งลูกไประหว่างหนีการตามล่าของเขา ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อมั้ย อู๋ฟงบังคับให้ฉันแต่งงานด้วยโดยที่ไม่รู้เลยว่าในท้องของฉันมีลูกคนที่สองของจิ้งเหออยู่ เพื่อความปลอดภัยของลูกชายคนเล็ก ฉันจึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้ใครรับรู้ แต่ดูเหมือนว่าอู๋ฟงเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อย เขาไม่เข้ามาคลุกคลีหรือมอบความรักให้อี้ฟ่าน แต่ก็ไม่ปล่อยปะละเลย เป็นแบบนี้ดีแล้วสินะ
อี้ฟ่าน ถ้าลูกได้อ่านไดอารี่เล่มนี้ คำถามต่างๆที่ลูกเคยถามแม่ก็จะได้รับคำตอบ ลูกเคยถามแม่ว่า พ่อรักลูกมั้ย แม่ก็ตอบลูกเสมอว่า พ่อรักลูกมาก...พ่อจิ้งเหอรักลูกมาก ถึงยอมตายเพื่อให้แม่กับลูกมีชีวิตอยู่ต่อ
แม่ทรมานหัวใจทุกครั้งที่ต้องให้ลูกเรียกคนที่ฆ่าพ่อแท้ๆของตัวเองว่าพ่อ ถ้าวันหนึ่งลูกได้เป็นหัวหน้าแก๊งมังกร จงภูมิใจว่าตำแหน่งนี้มันสืบทอดมาจากพ่อจิ้งเหอ ไม่ใช่อู๋ฟง
ส่วนเสี่ยวซือลูกชายคนโต ถึงแม่จะไม่ได้เลี้ยงลูกแต่ก็เฝ้ามองอยู่ตลอด มันปวดใจเหลือเกินที่ได้แม้เราจะเจอกันแต่แม่ไม่สามารถแสดงตัวหรือโอบกอดได้ แต่แค่ได้เห็นลูกมีชีวิตที่ดีแม่ก็พอใจแล้ว
สุดท้ายนี้แม่หวังว่าลูกชายทั้งสองคนจะได้พบกัน พี่น้องต้องรักและช่วยดูแลกันนะลูก
เซียงหลั่นเหยา
ไดอารี่จบลงแค่นั้น มือบางที่ถือไดอารี่อยู่สั่นเทา เขารู้เรื่องที่ไม่สมควรรู้เข้าแล้วหรือนี่
อี้ฟ่านเป็นลูกของท่านจิ้งเหอ และยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคน
“ไดอารี่ของหลั่นเหยาอยู่กับพ่อของเธอเองสินะ”
น้ำเสียงเนิบนาบแต่ชวนให้ผู้ฟังเกรงขามดังขึ้น ชานยอลสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมองก็พบอู๋ฟงยืนอยู่ตรงช่องประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ดวงตากลมโตมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความคับแค้น แม้จะนึกสงสัยว่าที่อู๋ฟงมาที่นี่อาจเพื่อสังหารตนแต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด
“คุณมันโหดเหี้ยม”
“หึๆ เธอมันยังไร้เดียงสาเกินไป เด็กน้อย คิดว่าตัวเองบริสุทธิ์มากหรือไง เธอเองก็โหดเหี้ยมไม่แพ้ฉันหรอก เพียงแค่ยืมมืออี้ฟ่านเพื่อให้ตัวเองขาวสะอาดเท่านั้น”
อู๋ฟงพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยันและเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟามุมห้อง นั่งไขว้ขามองตรงมาทางชานยอลที่มีสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ
“รู้มั้ยว่าที่เธอยังยืนหายใจทิ้งไปวันๆได้แบบนี้ ต้องแลกมาด้วยชีวิตคนไปเท่าไหร่แล้ว อี้ฟ่านต้องฆ่าไปกี่ศพแล้วเพื่อปกป้องเธอ’
หมายความว่ายังไงกัน? ชานยอลขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีกรอให้อีกฝ่ายอธิบายเพิ่ม
“อี้ฟ่านเสียสละเพื่อเธอมาตลอด ยอมรับข้อเสนอของฉันที่ให้เขาเป็นนักฆ่าแลกกับการที่ต้องไว้ชีวิตเธอกับพ่อ หึ แต่พ่อเธอไม่ยอมหยุดเองฉันเลยต้องกำจัดเขา”
ดวงตาคู่สวยเบิ่งกว้างขึ้นกับความจริงที่ได้รับรู้ เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้คริสต้องก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการเข่นฆ่างั้นหรือ
“แล้วตัวเธอละ เคยทำอะไรเพื่อลูกชายของฉันบ้าง”ดวงตาดำสนิทแลดูลึกลับของอู๋ฟงปรายมองไดอารี่ในมือชานยอล ก่อนจะกระตุกรอยยิ้มเย็นที่มุมปาก “ถึงฉันจะโหดเหี้ยมยังไง ก็ไม่มีวันฆ่าลูกชายตัวเอง แต่ถ้าวันหนึ่งเขาไม่ใช่ลูกชายของฉัน...มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่วิ่งด้วยความเร็วดังเข้ามาเรียกให้ชานยอลหันไปมอง เป็นคริสที่วิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มองสำรวจเห็นว่าชานยอลยังปลอดภัยดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะใช้สายตาแข็งกร้าวจ้องไปทางพ่อของตนเอง
“อย่าใช้สายตาแบบนั้นกับฉัน ฉันแค่จะมาบอกว่าฉันไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ไว้ในแก๊งหรอกนะ ถ้าจะอยู่ต่อก็ต้องทำงานหรือไม่ก็ไปซะ”
พูดจบเจ้าของร่างน่าเกรงขามก็เดินหันหลังออกจากห้องไป ทิ้งให้ชานยอลยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาเข้าใจความหมายของในสิ่งที่อู๋ฟงพูดทุกอย่าง
ตราบใดที่คริสยังคิดว่าอู๋ฟงเป็นพ่อ อู๋ฟงเองก็จะคิดว่าเขาเป็นลูกชายเช่นกันและคริสก็จะปลอดภัย
ชานยอลรีบยัดไดอารี่ใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วเมื่อคริสเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อจัดมองเขาอย่างตัดพ้อก่อนจะใช้มือหนารวมมือเล็กทั้งสองข้างไว้
“อย่าหนีไปจากฉันเลยนะชานยอล”น้ำเสียงเว้าวอนกับดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำสะกดให้ชานยอลไม่อาจละสายตาไปจากชายตรงหน้าได้
ร่างบางกำลังสับสน คริสทำเพื่อเขามาตลอดแต่เขากลับไม่เคยทำอะไรตอบแทนคนๆนี้เลยสักครั้ง คริสต้องแปดเปื้อนอยู่ในวงการที่มืดมนนี่เพราะเขา แต่คริสเคยถามมั้ยว่าเขาต้องการรึเปล่า ดับชีวิตคนอื่นเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้คิดว่าชานยอลจะอยู่อย่างมีความสุขได้หรือ พ่อของเขาเองก็เป็นหนึ่งในตัวตายแทนเขาสินะ
“สิบปี”
ชานยอลมองใบหน้านั่นอย่างไม่เข้าใจ รอคริสให้ความกระจ่าง
“อยู่กับฉันสิบปี หลังจากนั้นฉันจะปล่อยเธอไป สัญญาของเราจะจบลงไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
คริสพยายามกลั้นน้ำตาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขายอมอ่อนข้อให้ ยอมให้ชานยอลมีหนทางให้เดินต่อบ้าง จะว่าเห็นแก่ตัวก็ได้แต่ในเวลานี้เขายังไม่เข้มแข็งพอจะสูญเสียชานยอลไป อย่างน้อยขอให้คริสได้ยืดเวลาออกไปอีกสักนิด แม้สิ่งใช้เหนี่ยวรั้งชานยอลไว้กับเขาอาจจะไม่ใช่ความรัก แต่มันเป็นการผูกมัดเขาก็ไม่สน
เพราะเขายังหวัง...ว่าสักวันอาจจะคว้าหัวใจของชานยอลกลับมาเป็นของตนได้อีกครั้ง
เขามองใบหน้าหวานอย่างรอคอย ในสายตาชานยอลช่างว่างเปล่าจนเขาใจหาย เข็มนาฬิกาหมุนวนจนครบรอบก่อนที่กลีบปากอิ่มจะเปล่งคำออกมาในที่สุด
“ได้ สิบปี แล้วสัญญาของเราจะถือว่าสิ้นสุด”
หัวใจที่เคยให้ไป ชานยอลไม่ได้เรียกมันกลับคืนมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ความรักเพิ่มเข้าไป หัวใจดวงนั้นเมื่อขาดความรักของเจ้าของคอยล่อเลี้ยง สักวันมันก็จะเหี่ยวเฉาและแห้งตายไป
ชานยอลเพียงหยุดยืนอยู่บนเส้นแบ่งเดิม เขาไม่ได้ก้าวเดินหน้าความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อ แต่ก็ไม่ได้ถอยหลังกลับ
เขาเพียงแค่ ‘หยุด’ ทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
รักไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะ...ไม่รัก
มันทรมานเสียยิ่งกว่าการที่พยายามจะเลิกรักใครสักคน เพราะชานยอลไม่อยากเลิกรักอู๋อี้ฟ่าน
TBC
TALK
ยังคงอยู่ในอดีตต่อออ งิ้งงง ร่วมกันเม้นหรือสกรีมแท็ก #seemsweet เป็นกำลังไตให้เก๊าด้วยน้าาา
ความคิดเห็น