คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : : : Chapter 6 : :
Chapter 6
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแสงสีส้มสะท้อนลงผิวน้ำทะเลมองดูสวยงามและอบอุ่นไปพร้อมกัน ปกติชานยอลไม่เคยตื่นเช้ามาดื่มด่ำกับยามเช้าตรู่ขนาดนี้สักเท่าไหร่ แต่ช่วงสองวันมานี้เขามีความสุขจนอยากจะใช้เวลาทุกวินาทีเก็บความทรงจำเหล่านี้เอาไว้ให้มากที่สุด ประทับทุกอย่างลงในหัวใจ
ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ไม่มีอู๋อี้ฝานไม่มีปาร์คชานยอล มีเพียงแค่คนสองคนที่รักกันพวกเขาสามารถแสดงความรักต่อกัน เดินจับมือกันไปตามชายหาดโดยไม่ต้องเกรงสายตาของคนรอบข้างเพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักพวกเขา วันเวลาที่ใช้ร่วมกันมีแต่ความสุขและเสียงหัวเราะเท่านั้น
“ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง”
น้ำเสียงอู้อี้ของคนเพิ่งตื่นนอนมาพร้อมกับอ้อมกอดจากด้านหลัง วงแขนกว้างกอดรัดเอวคอดไว้คนด้านหน้าจึงเอนแผ่นหลังพิงอกแกร่งเอียงศีษระเล็กน้อยให้อีกคนเกยคางไว้บนไหล่บางได้ มือเล็กทาบลงบนหลังมือหนา มือคู่นี้ที่คอยปกป้องดูแลเขามาตลอด
อ้อมกอดของอี้ฝานทำให้ชานยอลรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเสมอ
“วันนี้ต้องกลับโซลแล้วนี่น่า”น้ำเสียงหงอยๆ ของคนในอ้อมอกทำให้อี้ฝานกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีก จมูกโด่งฟัดลงบนแก้มยุ้ยอย่างอดใจไม่ไหว
“อยู่ต่อก็ได้”เอ่ยบอกอีกคนเบาๆ ความสุขของอี้ฝานคือการได้ตามใจชานยอล ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนี้เขาทำผิดพลาดมาหลายปีต่อไปจะไม่ทำให้ชานยอลต้องเจ็บปวดเพราะตัวเองอีกเด็ดขาด
“ไม่ดีกว่า”
ใบหน้าสวยหวานส่ายน้อยๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะงอแงไม่ยอมกลับโซลง่ายๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วพวกเขาสองคนก็ต้องกลับไปเผชิญกับโลกความเป็นจริง กลับไปเป็นพี่ชายกับน้องชาย ชานยอลไม่อยากทำให้อี้ฝานลำบากใจอีก เขารู้ว่าเมื่อวานอี้ชิงโทรมาบอกว่าพาลู่หานกลับมาเกาหลีแล้ว ส่วนเซฮุนเองก็โทรมาบอกว่ากลับบ้านแล้วเหมือนกัน เพราะบนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่อี้ฝานกับชานยอล ยังมีคนรอบข้างมากมายที่พวกเขาต้องนึกถึง ชานยอลสมหวังแล้วเขามีความสุขที่ได้รับความรักจากอี้ฝานและได้ใช้ช่วงเวลาแบบคนรักแม้มันจะแสนสั้นก็ตาม ต่อจากนี้ไปเขาก็สมควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ถึงแม้ว่าวันข้างหน้าพวกเขาสองคนอาจจะต้องแยกย้ายกันไปมีครอบครัว แต่ชานยอลจะเก็บความรักครั้งนี้จะจดจำช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีร่วมกัน จะสลักมันไว้ในหัวใจจนวันสุดท้าย...
.
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
.
เซฮุนกำลังถูกสายตาคาดคั้นของเพื่อนรักหน้าสวยจ้องมองอยู่ภายในห้องนอนของตัวเอง เขาพยายามหลบสายตาแต่ก็รู้ดีว่าไม่เคยโกหกชานยอลได้สำเร็จเป็นเพราะพวกเขาสนิทกันมากเกินไปรู้จักนิสัยกันดี อันที่จริงแล้วเซฮุนก็ไม่อยากปิดบังเพียงแต่เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกชานยอลอย่างไร อยู่ๆก็มีคนแปลกหน้าอย่างคิมจงอินมาบอกว่าพ่อของชานยอลเคยทำเรื่องโหดร้ายกับน้องสาวตัวเอง แถมเรื่องราวยังชี้ไปว่าตัวเซฮุนอาจจะเป็นเหยียนเหอลูกชายของเมิ่งเจียอีก ลำพังตัวเขาได้รับฟังว่ายังรู้สึกสับสนและไม่อยากเชื่อ แล้วถ้าชานยอลรู้จะไม่คิดมากหรือ? ที่พ่อตัวเองใจคอโหดเหี้ยมปานนั้น
“ว่ายังไงเซฮุนหายหัวไปไหนมา นายแอบมีแฟนแล้วไม่บอกฉันใช่มั้ย”ชานยอลยื่นหน้าไปใกล้เพื่อสบตา แต่ก็โดนเจ้าเพื่อนตัวดีใช้มือดันใบหน้าให้ออกห่าง
อ๊ะ...
“อะไร?”เซฮุนถามอย่างงงๆ เมื่ออยู่ๆ ชานยอลก็จับข้อมือของเขาไปพิจารณาดูใกล้ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกือบลืมไปแน่ะ ฉันจะถามว่านายได้สร้อยข้อมือนี้มาจากไหน?”เพราะช่วงหลายวันมานี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายชานยอลจึงลืมเรื่องสร้อยข้อมือของเมิ่งเจียไปเสียสนิท
“ทำไมเหรอ”รู้จักกันมาเป็นสิบปีไม่เห็นเคยถามแล้ววันนี้เกิดสนใจอะไรขึ้นมา เซฮุนมองสร้อยข้อมือเจ้าปัญหาอย่างสงสัย
“จำได้ป่ะว่าที่บ้านฉันจะมีอยู่ห้องนึงที่มันล็อคเอาไว้ตลอด ที่ตอนเด็กๆ พวกเราเคยพยายามจะเปิดเข้าไปแล้วโดนดุน่ะ หลายวันก่อนฉันบังเอิญเข้าไปในห้องนั้นถึงรู้ว่าพ่อมีน้องสาวคนหนึ่งด้วย ฉันเห็นรูปของคุณอาใส่สร้อยข้อมือเหมือนของนายเลย”เพราะรู้ว่าถามอี้ฝานไปก็คงไม่ได้รับคำตอบชานยอลจึงเก็บความสงสัยไว้มาหาคำตอบจากเซฮุนแทน
“น้องสาวของนายท่าน...ชื่อเมิ่งเจียรึเปล่า?”เซฮุนถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ กับคำตอบ ยิ่งชานยอลพยักหน้ามือไม้เขาก็สั่นอย่างห้ามไม่อยู่
คำบอกเล่าของชานยอลทำให้หัวใจเซฮุนเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูก หรือสิ่งที่คิมจงอินพูดจะเป็นเรื่องจริงทั้งที่เขาพยายามไม่เชื่อคำพูดของคนเจ้าเล่ห์นั่นแต่ดูเหมือนอะไรๆ มักชักจะมีเค้าโครงของความจริงขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อวันก่อนเซฮุนก็ลองไปสืบประวัติตระกูลลู่พบว่าลู่เจิ้งเป็นลูกชายคนเดียวไม่มีพี่น้อง รายชื่อของบรรดาญาติทั้งที่อยู่ในเกาหลีและจีนก็ไม่พบชื่อของโอเซนาอยู่เลย
“นายรู้เรื่องคุณอาเมิ่งเจียด้วยเหรอ ทำไมมีแต่ฉันละที่ไม่รู้เรื่อง”ชานยอลพูดด้วยสีหน้าฉงน ขนาดเซฮุนกับแพคฮยอนที่เป็นคนนอกยังรู้จักทำไมเขาที่เป็นคนครอบครัวเดียวกันแท้ๆ กลับไม่เคยรู้อะไรเลยเกี่ยวกับเธอเลย
“ก็ไม่เชิงหรอกแค่ได้ยินคนพูดให้ฟังน่ะ แล้วเมื่อกี้นายบอกว่าคุณเมิ่งเจียก็มีสร้อยข้อมือแบบนี้เหรอ”เซฮุนจับสร้อยข้อมือที่พ่อทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าด้วยความครุ่นคิด สร้อยข้อมือแบบที่เขากับคิมแทวูมีเหมือนกัน...อู๋เมิ่งเจียเองก็มีมันหมายความว่ายังไง
“ใช่ แล้วตกลงทำไมนายถึงมีสร้อยข้อมือเหมือนคุณอาเมิ่งเจียได้ละ”
“ฉันเองก็ไม่รู้...สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้ ชานยอลฉันสับสนไปหมดแล้ว”เซฮุนยกมือขึ้นกุมขมับรู้สึกมึนงงกับเรื่องราวที่ถาโถมเข้ามา เขาสับสน เขาไม่รู้แล้วว่าแท้จริงตัวเองเป็นใครกันแน่
“เซฮุนเป็นอะไรไป”
ชานยอลตกใจที่อยู่ๆ เซฮุนเหมือนจะสติแตกขึ้นมา ปกติเจ้านี้เป็นคนสุขุมไม่เคยแสดงท่าทีแบบนี้ให้เห็นมาก่อน ร่างโปร่งเข้าไปรวบตัวเพื่อนมากอดปลอบไว้อย่างใจไม่ดี
เซฮุนตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ชานยอลฟัง ตั้งแต่เรื่องที่คิมจงอินจับตัวเขาไป เรื่องสร้อยข้อมือที่เหมือนกันกับของคิมแทวู เรื่องความรักที่แสนรันทดของอู๋เมิ่งเจีย เรื่องเหยียนเหอที่ไร้ตัวตนและเรื่องที่ตระกูลลู่ไม่เคยมีชื่อของโอเซนาปรากฎอยู่ แต่เซฮุนเลือกเก็บเรื่องที่อู๋หลงคิดจะกำจัดเด็กในท้องของเมิ่งเจียเอาไว้เพราะกลัวว่าชานยอลจะรับไม่ได้
“หมายความว่า...นายอาจจะเป็นเหยียนเหองั้นเหรอ?”ชานยอลคิดตามเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับฟังจากเซฮุน มันก็เป็นไปได้ที่ครอบครัวของเขาจะปกปิดเรื่องเหยียนเหอไว้เพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
“ฉันก็ไม่รู้...ชานยอล ถ้าแม่ไม่ได้เป็นน้องสาวของคุณลุงแล้วแม่ของฉันเป็นใครมาจากไหน? แล้วตัวฉันเองละเป็นลูกใครกันแน่ แค่มีคนที่มีสร้อยข้อมือเหมือนกันกับฉันจะให้ฉันเชื่อว่าเขาเป็นพ่อแม่ได้ยังไง”
“ใจเย็นก่อนเซฮุน มันจะเป็นไปได้ยังไงที่นายจะเป็นเหยียนเหอ รู้เรื่องรึยังว่าคุณพ่อจะให้พวกเราหมั้นกัน ถ้านายเป็นเหยียนเหอจริงๆ พวกผู้ใหญ่คงไม่จับพวกเราหมั้นกันหรอก”ตามธรรมเนียมจีนแล้วจะไม่นิยมให้คนในตระกูลแต่งงานกัน ถึงแม้เมิ่งเจียจะเป็นเพียงลูกบุญธรรมแต่ก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัว ถ้าเซฮุนคือเหยียนเหอนั่นเท่ากับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับชานยอล ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่ครอบครัวอู๋อันเคร่งคัดในเรื่องขนบธรรมเนียมและประเพณีจะยอมให้ลูกหลานแต่งงานกัน
เซฮุนต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินว่าพวกผู้ใหญ่จะให้เขาหมั้นกับชานยอล พวกเขาสองคนเติบโตมาด้วยกันเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทสนมผูกพันกันเหมือนพี่น้องแต่ไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านั้น เซฮุนเชื่อว่าชานยอลจะต้องปฏิเสธความคิดนี้แน่ๆ แต่เพื่อนรักของเขากลับบอกว่าตอบตกลงไปแล้ว
“นายลองคิดดู ถึงฉันจะปฏิเสธไม่ยอมหมั้นกับนาย สักวันพวกผู้ใหญ่ก็ต้องหาคนอื่นมาเสนอให้อีกอยู่ดี นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ สู้พวกเราหมั้นกันเองแต่งกันเองไม่ดีกว่าหรือไง อย่างน้อยพวกเราจะได้มีอิสระไม่ต้องถูกคนที่พวกผู้ใหญ่เลือกให้มาคอยควบคุม”
ฟังเหตุผลของชานยอลแล้วเซฮุนก็พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย มันก็จริงตามที่ชานยอลพูดตระกูลจีนเก่าแก่อย่างพวกเขายังคงหัวโบราณในการเลือกคู่ครองพวกเขาไม่มีสิทธิเลือกคู่ชีวิตได้เอง อย่างอี้ฝานกับลู่หานถึงแม้จะไม่ตกลงปลงใจคบกันเองก็ต้องถูกผู้ใหญ่บังคับให้แต่งงานกันอยู่ดี
“แต่ถ้ายังสงสัยเรื่องนั้นงั้นเรามาพิสูจน์กัน ฉันจะไปหากุญแจห้องของคุณอาเมิ่งเจีย นายจะได้เข้าไปดูว่าใช่คนเดียวกับแม่นายรึเปล่า ยังจำหน้าแม่ได้ใช่มั้ย”ชานยอลถามเสียงแผ่ว เพราะเซฮุนเสียแม่ไปตั้งแต่สิบขวบและไม่มีรูปแม่เลยสักใบ เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เพื่อนรักอ่อนไหวมากจึงไม่เคยพูดถึงแม่เซฮุนมาก่อน
“อื้ม ถึงจะผ่านมานานแล้วแต่ภาพของแม่ก็ยังชัดในหัวใจฉันเสมอ”เซฮุนตอบพลางนึกถึงหญิงสาวที่อยู่ในความทรงจำเสมอมา
“ว่าแต่นายรู้รึเปล่าว่าคุณอาเมิ่งเจียเสียชีวิตเพราะอะไร เมื่อหลายวันก่อนแพคฮยอนก็พูดแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้”ชานยอลวกกลับมาเรื่องเดิมเพราะนึกเอะใจกับคำพูดของแพคฮยอนที่เคยพูดกับเขา
“แพคฮยอนเกี่ยวอะไรด้วยแล้วรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”เซฮุนมึนงงเข้าไปอีกเมื่อชื่อของคนที่ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องปรากฎขึ้นมา
“ฉันก็ไม่รู้ ตอนนั้นฉันคิดว่าเขาอาจจะไปได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับครอบครัวของฉันมาเลยไม่ได้ใส่ใจ แต่ดูเหมือนแพคฮยอนจะรู้เรื่องที่พวกเราไม่รู้”ข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลอู๋มีมากมายชานยอลจึงไม่เคยเก็บมาใส่ใจเหมือนอย่างตอนที่แพคฮยอนบอก เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไปได้ยินเรื่องเหลวไหลแล้วเก็บมาคิดเป็นจริงจัง
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย เหมือนมีแต่พวกเราสองคนที่ไม่รู้อะไรเลย”เซฮุนรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางความขาวโพลน มองไปทางไหนก็พบแต่ความว่างเปล่าไม่รู้จุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องนี้
“เรื่องนั้นไว้ก่อน ตกลงรู้มั้ยว่าคุณอาเมิ่งเจียเสียชีวิตเพราะอะไร”
“คิมจงอินบอกว่าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับคิมแทวู ตัวคิมแทวูรอดมาได้แม้ร่างกายจะได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแต่สภาพจิตใจกลับย่ำแย่จนทำให้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไม่ยอมพูดจากับใครมาหลายปีแล้ว แต่คิมจงอินไม่เชื่อว่าจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุธรรมดาเพราะเขาพบความน่าสงสัยหลายเรื่องแต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันจึงต้องปล่อยให้ตำรวจปิดคดีไป”
ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้ชานยอลรู้สึกสนใจเรื่องราวของเมิ่งเจียนัก ชีวิตรักอันแสนรันทดของหญิงที่เพรียบพร้อมเหมือนหนังสือที่น่าติดตามชวนให้เขาเปิดอ่านจนถึงบทสรุป
“สงสัยฉันคงต้องไปพบแพคฮยอนสักหน่อยแล้ว”
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
อี้ชิงค่อนข้างจะประหลาดใจกับพี่น้องตระกูลอู๋ หลังจากที่เขากลับมาจากญี่ปุ่นดูเหมือนว่าอี้ฝานกับชานยอลจะกลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม ตอนนี้ชานยอลเป็นอิสระจากโทษกักบริเวณหนึ่งเดือนแล้ว แต่เจ้านายน้อยของเขายังคงอยู่ติดบ้านไม่ได้ออกไปเที่ยวเตร่อย่างแต่ก่อน ส่วนอี้ฝานหลังจากทำงานเสร็จก็จะรีบตรงกลับบ้านมาใช้เวลาอยู่กับน้องชาย บางครั้งยังเข้าครัวช่วยกันทำอาหารเย็นเพราะชานยอลอ้อนอยากทานอาหารฝีมือพี่ชาย หรือไม่ก็นั่งดูหนังด้วยกันเป็นกิจกรรมโปรดของทั้งคู่เมื่อตอนยังเป็นเด็ก และถ้าวันไหนอี้ฝานว่างก็จะพาชานยอลออกไปเดินเที่ยวเล่นซื้อของตามลำพังโดยที่อี้ชิงไม่ได้ไปด้วย
ดูเหมือนว่าตอนเขาไม่อยู่คงพลาดเรื่องดีๆ ไปสินะ...
“ฝากปลุกคุณคริสด้วยนะครับ”อี้ชิงบอกคนที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ พี่เลี้ยงหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นภาพคุณหนูที่ตนเลี้ยงมากับมือเปลี่ยนไปในทางที่ดี หลายวันมานี้ชานยอลตื่นมาร่วมโต๊ะอาหารทานมื้อเช้ากับอี้ฝานทุกวันช่วงกลางวันระหว่างที่รอพี่ชายกลับมาจากที่ทำงานก็จะหาอะไรในบ้านทำไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องเหมือนแต่ก่อน
“รับทราบฮะ พี่อี้ชิงก็ขับรถดีๆนะ ฝากบอกพี่ลู่หานด้วยว่าคิดถึง”ใบหน้าหวานหันไปบอกคนสนิทด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบที่เมื่อก่อนไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“ครับผม แล้วจะรีบกลับนะ”อี้ชิบรับคำและออกสวนดอกไม้ไปเพราะวันนี้ต้องพาลู่หานไปถอดเฝือกที่โรงพยาบาลแต่เช้าจึงต้องให้ชานยอลรับหน้าที่ไปปลุกคุณชายขี้เซ้าแทน
แปลงดอกไม้ที่ชานยอลกับอี้ฝานช่วยกันปลูกในวันหยุดถูกรดน้ำจนชุ่มแล้วร่างสูงโปร่งจึงเดินเข้าตัวบ้านขึ้นบันไดตรงไปยังปีกด้านขวาเคาะประตูสองสามทีแต่คนด้านในก็ยังเงียบจึงผลักบานประตูเข้าไปช้าๆ
ชานยอลไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาในห้องนี้นานแล้ว ห้องนอนของอี้ฝานแบ่งส่วนนอกไว้เป็นที่นั่งพักผ่อนและส่วนในเป็นที่ตั้งของเตียงหลังใหญ่ โทนสีเข้มที่ใช้ตกแต่งห้องต่างจากห้องนอนสีอ่อนของชานยอลลิบลับ แต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งบางก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับสีทึมๆ นี่เลย ชานยอลเดินเข้าไปด้านในแล้วก็ต้องส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นเจ้าของห้องยังคงม้วนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหน้า ชานยอลเดินอ้อมไปนั่งข้างเตียงลอบมองใบหน้ายามหลับของพี่ชาย
อาจเป็นเพราะคิ้วเข้มที่พาดเฉียงกับดวงตาคมลุ่มลึกที่ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของอี้ฝานแลดูเย็นชาน่าเกรงขามในสายตาคนอื่น แต่ใครจะรู้ว่าใบหน้าตอนหลับของผู้ชายคนนี้กลับอ่อนละมุนจนเขาไม่กล้าปลุกอีกฝ่ายให้ออกจากนิทรา ในขณะที่กำลังหลงใหลกับใบหน้าพี่ชายอยู่นั้นชานยอลไม่รู้ตัวเลยว่าวงแขนกว้างกำลังค่อยๆ โอบรัดรอบเอวตนเองอยู่และเพียงเสี้ยววินาทีร่างแบบบางก็ถูกพลิกลงกับพื้นเตียงโดยมีร่างของคนที่ยังหลับตาอยู่กอดรัดไว้
“อี้ฝาน...ลุกไปเลยเดี๋ยวสายนะ”ชานยอลตีไหล่คนที่กอดตนเองไว้แน่นเบาๆ ใบหน้าหล่อจัดยังคงหลับตาสนิทซบอยู่ที่ซอกคอขาว
“ได้กอดหมอนข้างนิ่มๆตัวนี้แล้วไม่อยากลุกเลย”น้ำเสียงอู้อี้ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับอ้อมกอดที่แน่นขึ้นอีกจนชานยอลแทบหายใจไม่ออก
หลังจากกลับมาโซลพวกเขาทั้งสองก็เหมือนทำสัญญากันในใจ แม้จะทำตัวสนิทสนมกันเหมือนเมื่อก่อนแต่ต่างก็เว้นระยะห่างไว้ยืนอยู่บนเส้นแบ่งของคำว่าพี่น้อง ถึงหัวใจและร่างกายจะโหยหากันเพียงใดแต่ความถูกต้องมันก็ค้ำคออยู่จนพวกเขาไม่อาจทำผิดบาปได้อีก
“ประธานอู๋ขี้เซ้า รีบลุกไปอาบน้ำเลยพี่อี้ชิงบอกว่าวันนี้มีประชุมด้วย”ชานยอลตัดใจดันร่างพี่ชายออกและลุกขึ้นนั่งก่อนจะฉุดร่างอีกคนให้ลุกตาม
“ก็ง่วง....”มาดประธานที่แสนเคร่งขรึมหายไปไหนไม่รู้ ตรงหน้าชานยอลมีเพียงชายหนุ่มขี้อ้อนคนหนึ่งเท่านั้น ใบหน้าหล่อจัดยังคงทำหน้ามุ่ยขณะซบหน้าลงบนไหล่บางอีกครั้ง
“ไม่ต้องมาพูดเลย ตื่นได้แล้ว วันนี้ขอไปบริษัทด้วยนะอยู่บ้านคนเดียวมันเหงาอ่ะ”ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงพิรุธให้อี้ฝานรู้ว่าเขาอยากไปบริษัทด้วยเพื่อไปตามหาแพคฮยอนเพราะหลายวันมานี้ชานยอลพยายามติดต่อฝ่ายนั้น แต่ไม่สามารถติดต่อได้เลยเคยไปหาที่คอนโดกับเซฮุนก็ไม่เจอตัว คงเหลือเพียงที่บริษัทเท่านั้นหากไปถามกับพวกทีมงานที่ดูแลแพคฮยอนอาจจะรู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหน
“อื้ม ไปสิ”
อี้ฝานที่ไม่ได้สงสัยอะไรยืดตัวขึ้นเต็มความสูงและเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ชานยอลรอจนได้ยินเสียงเปิดน้ำจึงค่อยย่องสำรวจภายในห้องนอน เปิดลิ้นชักข้างหัวเตียงอย่างแผ่วเบาเพื่อค้นหาลูกกุญแจที่ล็อคห้องของเมิ่งเจีย
เก็บไว้ไหนนะ...
หัวขโมยจำเป็นค้นหาทุกที่ที่อี้ฝานอาจจะะซ่อนกุญแจไว้แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบสักทีจนเมื่อเสียงน้ำเงียบไปแล้วชานยอลจึงรีบพุ่งตัวไปนั่งนิ่งอยู่บนเตียงอีกครั้งทำราวกับไม่เคยลุกไปไหน
อี้ฝานก็ไม่ได้แปลกใจที่ยังเห็นน้องชายนั่งรออยู่ในห้อง ร่างสูงใหญ่หยิบเสื้อผ้าที่อี้ชิงแขวนเตรียมไว้ให้มาสวม ชานยอลลุกจากเตียงไปหน้ากระจกที่พี่ชายยืนแต่งตัวอยู่ แก้มใสขึ้นริ้วสีแดงเล็กน้อยขณะสองมือช่วยอีกฝ่ายติดกระดุมเสื้ออย่างเงอะงะ เขาก็แค่มีความรู้สึกอยากทำอะไรเพื่อพี่ชายบ้างเท่านั้น
คนเป็นพี่มองท่าท่างของคนน้องอย่างเอ็นดู ชานยอลได้รับการเลี้ยงดูมาราวกับเป็นลูกสาวคนเล็กรายล้อมไปด้วยคนคอยเอาอกเอาใจ ไม่เคยต้องปรนิบัติดูแลใครมาก่อนแต่ตอนนี้กลับพยายามที่จะดูแลเขา แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่อี้ฝานรู้ว่าชานยอลตั้งใจอย่างมากที่จะทำเพื่อเขา มือใหญ่จึงอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นสัมผัสแก้มยุ้ยที่กำลังแดงเรื่อลากหลังมือแผ่วเบาจับปอยผมสีอ่อนทัดไว้หลังใบหู ยิ่งขับเน้นใบหน้าหวานให้ดูสวยยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยพบเจอ
สัมผัสอุ่นข้างแก้มไล่เรื่อยมาจนถึงกลีบปากนิ่ม ดวงตาเรียวไม่กล้าเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อจัดตรงหน้าเพราะคาดเดาได้ว่าสายตาคมที่มองมาทางตนนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความหมายเพียงใด แต่อี้ฝานก็ไม่ปล่อยให้เขาได้ทำตามใจเมื่อมือหนาเชยคางมนขึ้นจนสายตาสองคู่จ้องประสานกัน หัวใจดวงน้อยไหวสั่นกับความรักและแววเว้าวอนในดวงตาของพี่ชาย
“คิดถึง...”อี้ฝานบอกความรู้สึกออกไปตามตรง ถึงแม้พวกเขาจะอยู่บ้านเดียวกันเจอหน้ากันทุกวันใช้เวลาร่วมกัน แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกคิดถึงชานยอลมากมายเหลือเกิน เขาคิดถึงชานยอลคนที่สามารถโอบกอดได้ คนที่เขาสามารถบอกรัก...คนที่เป็นเจ้าของหัวใจอู๋อี้ฝาน
ชานยอลเองก็รู้สึกไม่ต่างกันเขาโหยหาอ้อมกอดของผู้ชายตรงหน้าทุกคืนวัน แม้จะมีความสุขกว่าเมื่อก่อนมากที่ได้อี้ฝานคนเดิมกลับมา แต่ในทุกเวลาที่ยิ้ม ที่อยู่ด้วยกันพอสำนึกได้ถึงคำว่าพี่น้องความสุขเหล่านั้นก็คล้ายจะวูบหายเหลือเพียงความมืดดำที่ไร้หนทางให้ก้าวเดิน
“เธอทำให้ฉันเสียการควบคุมรู้มั้ย”ใบหน้าหล่อจัดก้มลงมาใกล้จนปลายจมูกชนกัน ลมหายใจแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียว อี้ฝานอยากครอบครองกลีบปากแดงอีกครั้ง ไม่สิ เขาอยากครอบครองมันซ้ำๆ ทุกเวลาที่ต้องการ แต่เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวคิดถึงความสุขของตัวเองที่อาจจะนำพาความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมาให้ชานยอลได้
ดวงตาคมปิดลงคล้ายข่มกลั้นอารมณ์และความรู้สึกตัวเอง ชานยอลรู้ว่าอี้ฝานกำลังต่อสู้กับความผิดชอบชั่วดีอยู่เขาเองก็เช่นกัน มันยากเหลือเกินที่จะถอยห่างจากคนที่ตัวเองรักและยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายก็รักเขาเหมือนกัน
ชานยอลเริ่มเข้าใจเหตุผลของอี้ฝานว่าทำไมหลายปีนี้ถึงพยายามจะถอยห่างและทำให้ชานยอลเกลียด คงเพราะไม่อยากให้เขาตกอยู่ในความรู้สึกแบบตอนนี้ ความรู้สึกที่สับสนปนเปกันไปหมด ทั้งสุขที่ได้รู้ว่ารักกันแต่ทุกข์ที่ไม่อาจรักกันได้ อย่างนั้นอี้ฝานจึงอยากให้ชานยอลเกลียดตัวเองมากกว่าเผื่อจะบรรเทาความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจได้
ปังๆๆ
เสียงเคาะประตูที่แทบจะพังเข้ามาเรียกสติของสองพี่น้องให้หลุดออกจากภวังค์ ทั้งคู่ผละจากกันก่อนที่จะทำอะไรเลยเถิดอีก อี้ฝานเดินออกไปทางห้องด้านนอกชานยอลที่พยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้ปกติรีบก้าวเดินตามหลังพี่ชายไปเพื่อดูมาว่าใครกล้ามาทำเสียมารยาทในห้องนอนนายใหญ่ของบ้าน
“อี้ฝานฉันไม่ยอมให้แกกับพ่อบังคับชานยอลให้หมั้นกับเจ้าเด็กโอเซฮุนนั่นเด็ดขาด”น้ำเสียงคุ้นหูของหญิงสาวร่างสูงโปร่งวัยสี่สิบกว่าที่ยังคงความสวยและอ่อนเยาว์ไว้เหมือนอายุเพิ่งขึ้นเลขสามทำให้ชานยอลที่ทั้งดีใจและแปลกใจรีบวิ่งออกมาหาด้วยความคิดถึง
“แม่ครับ มีอะไรไว้ค่อยคุย...”อี้ฝานพยายามเกลี่ยกล่อมให้ผู้เป็นแม่เงียบเสียงลงเพราะชานยอลอยู่ในห้องนี้ด้วย
“ชานยอลลี่...ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ละ”น้ำเสียงและสีหน้าของอู๋หลินหลันอ่อนลงทันทีเมื่อเห็นลูกชายคนเล็ก ชานยอลวิ่งเข้าไปกอดคนเป็นแม่แน่น
“ผมมาปลุกอี้ฝาน คิดถึงแม่จังมาได้ยังไงฮะไม่เห็นบอกก่อนเลย”ใบหน้าหวานถูไถออดอ้อนแม่อย่างน่ารัก จนคนถูกอ้อนอดไม่ได้ที่จะบีบแก้มใสอย่างหมั้นเขี้ยว มีลูกที่ทั้งน่ารักจะขี้อ้อนขนาดนี้ใครจะไม่ทั้งรักทั้งถนอมได้
“แม่มาเซอร์ไพร์สไง ชานยอลลี่อยู่ก็ดีแล้วแม่มีเรื่องจะถาม จริงหรือที่ลูกตกลงจะหมั้นกับเซฮุนด้วยความเต็มใจ”หลินหลันดันตัวลูกชายคนเล็กออกเบาๆ และถามหาความจริงเธอเห็นชานยอลกับเซฮุนมาตั้งแต่เล็กสองคนนี้ไม่มีท่าทีว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้เป็นอื่นได้ไปนอกจากเพื่อน
“ใช่ฮะ ผมเต็มใจหมั้นกับเซฮุน”ชานยอลตอบแต่แล้วก็พบสายตาตัดพ้อจางๆ ของอี้ฝานที่ส่งมาให้
คุณนายอู๋นิ่งไปกับคำตอบที่เกินความคาดหมาย หลังจากที่เธอรู้ว่าสามีตัวเองจะให้ชานยอลหมั้น เธอก็เข้าใจว่าลูกชายคนเล็กคงถูกบังคับจิตใจแน่ๆ ถึงได้บินมาถึงเกาหลีเพื่อจัดการเรื่องนี้ ถึงแม้ชานยอลจะเต็มใจแต่เธอก็ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่จะไม่ยอมให้เด็กทั้งสองหมั้นกันเด็ดขาด
“ชานยอลลี่ลงไปข้างล่างก่อนนะ แม่มีเรื่องจะคุยกับพี่ชายของลูก”หลินหลันบอกลูกชายคนโปรดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอไม่ต้องการให้ชานยอลรู้เรื่องที่จะคุยกับอี้ฝานหลังจากนี้
“มีเรื่องอะไรกันเหรอฮะ”ชานยอลมองหน้าพี่ชายอย่างเป็นห่วงเพราะเขาไม่เคยเห็นแม่ขึ้นเสียงใส่อี้ฝานเหมือนเมื่อกี้มาก่อน
“ไม่มีอะไรหรอก ลงไปรอข้างล่างก่อนเถอะชานยอล”อี้ฝานรับสายตาห่วงใยจากคนน้องและคลี่ยิ้มบางเพื่อให้สบายใจ
ชานยอลยืนมองแม่และพี่ชายสลับกันอย่างลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยอมเดินออกจากห้องไปช้าๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าชานยอลออกไปไกลพอที่จะไม่ได้ยินคุณนายอู๋จึงเปิดปากเข้าประเด็นต่อทันที
“แกกับพ่อคิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าเจ้าเด็กโอเซฮุนนั่นเป็นใคร หึ ฉันไม่ยอมให้พ่อแกใช้ชานยอลเป็นเครื่องมือในการไถ่โทษกับความผิดที่ก่อเอาไว้หรอกนะ”คุณนายอู๋พูดด้วยน้ำเสียงตวัดห้วนชัดเจน ใบหน้าสวยที่คล้ายคลึงกับลูกชายคนโตไม่ผิดเพี้ยนเชิ่ดขึ้นมองด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเธอรู้เรื่องราวทั้งหมดและรู้มานานแล้วด้วย
“แม่...”อี้ฝานพูดไม่ออกเมื่อได้ยิน ใบหน้าหล่อจัดก้มลงไม่กล้าสบตาคนเป็นแม่ด้วยความละอาย
“แกมันลูกพ่อช่วยกันปิดบัง แต่คิดว่าคนอย่างฉันจะโง่หรือไง? แค่ทุกวันนี้ฉันยอมปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ให้เด็กคนนั้นเข้ามาข้องเกี่ยวกับครอบครัวเราก็ช้ำใจพออยู่แล้ว แต่นี่พ่อแกถึงขนาดจะให้เด็กนั่นหมั้นและแต่งงานกับชานยอล ฉันไม่ยอมเด็ดขาด”
อู๋หลินหลันยอมรับว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ใจกว้างมากพอจะยอมรับและเลี้ยงดูลูกชายของสามีตัวเองที่มีกับหญิงคนอื่นได้ เธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีทั้งอารมณ์รักและโกรธ แม้จะไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ใจดำขนาดผลักไสไล่ส่งให้กลายเป็นเด็กเหลือขออยู่ข้างนอก แต่สิ่งที่อู๋หลงทำมันมากเกินไปทำเหมือนกับเธอเป็นคนโง่ยอมให้โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แม่ครับ มันไม่ใช่อย่างนั้น”อี้ฝานไม่รู้จะหาคำใดมาพูดใช่ว่าเขาอยากจะให้ชานยอลเป็นของคนอื่น ใจเขาก็อย่างเก็บน้องชายคนนี้ไว้ให้อยู่กับตัวเองตลอดไป แต่เหตุผลของพ่อเขาเองก็ไม่อาจขัดได้
“ถ้ายังมีงานหมั้นระหว่างชานยอลกับเซฮุน ฉันจะหย่ากับพ่อแกและพาชานยอลไปอยู่ด้วยกัน”หลินหลันพูดอย่างหนักแน่นแม้ขณะที่บอกน้ำตาจะคลอที่หน่วยตา "ถึงแกจะเป็นผู้ปกครองของชานยอลแต่ฉันเป็นแม่ นึกเอาแล้วกันว่าชานยอลจะเลือกอยู่กับใคร"
“โอเค ผมจะลองคุยเรื่องนี้กับคุณพ่ออีกที”
...
.
ตั้งแต่รู้ถึงการมีตัวตนของเมิ่งเจียที่ตระกูลอู๋ปิดบังเอาไว้ ชานยอลก็เริ่มรู้สึกว่าอาจจะมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขายังไม่เคยรู้และมันคงรวมถึงเรื่องที่แม่กับพี่ชายกำลังคุยกันอยู่ตอนนี้ด้วย ชานยอลนั่งจิบน้ำส้มอย่างเหม่อลอยจนกระทั่งแม่เดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าที่ชานยอลดูก็รู้ว่ากำลังแกล้งทำเป็นยิ้มแย้ม
แววตาของแม่กำลังเป็นทุกข์แต่กลับฝืนยิ้ม
อี้ฝานเดินตามหลังแม่ลงมาเขาเองก็พยายามยิ้มให้ชานยอลคลายกังวัล บรรยายบนโต๊ะอาหารของสามคนแม่ลูกตกอยู่ในความเงียบไม่มีใครเอ่ยปากพูดคุยกันมากนัก ชานยอลทำเพียงลอบสบตากับพี่ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามเท่านั้น
หลังจากมื้อเช้าที่แสนอึดอัดผ่านไป ชานยอลเดินไปส่งอี้ฝานที่รถเพราะเปลี่ยนใจไม่ตามไปบริษัทแล้ว เขาเป็นห่วงแม่มากกว่า ร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นรถโดยบอกว่าจะรีบกลับมาทานอาหารเย็นด้วย
“ดูแลแม่ด้วยนะ”
อี้ฝานเลื่อนกระจกรถลงมาบอกก่อนจะขับรถออกจากบ้านไป ชานยอลยืนส่งพี่ชายจนลับตาถึงหันหลังกลับเข้าตัวบ้าน เด็กรับใช้บอกว่าแม่เดินไปทางสวนดอกไม้ด้านหลังชานยอลจึงเดินตามไป ร่างโปร่งระหงนั่งอยู่ในศาลารับลมเพียงลำพังชานยอลก้มลงเด็ดดอกโบตั๋นสีชมพูขึ้นมาระหว่างทางที่เดินเข้าไปใกล้
ดอกโบตั๋นบานเต็มที่ถูกยื่นไปตรงใบหน้าสวยของผู้เป็นแม่หวังว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ จะช่วยทำให้เธอสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
“ดอกไม้สำหรับคุณผู้หญิงครับ”ชานยอลฉีกยิ้มกว้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาเห็นดอกโบตั๋นเขาจะต้องนึกถึงแม่ทุกครั้ง ดอกไม้ที่สวยงามและสูงส่งเหมือนแม่ของเขา
อู๋หลินหลันรับดอกไม้มาพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ เธอรู้ว่าชานยอลกำลังพยายามทำให้เธอยิ้ม ลูกชายคนนี้เป็นแบบนี้เสมอมักจะทำให้เธอมีความสุขจนลืมเรื่องเศร้าไป หลินหลันมองดูดอกไม้ในมือ...ดอกโบตั๋นตัวแทนของความสูงค่าเธอไม่คู่ควรกับมันหรอก ดวงตาคู่สวยกำลังข่มกลั้นหยาดน้ำตาเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่คู่ควรกับดอกไม้ชนิดนี้มากกว่าตน
ภาพของแม่กับดอกโบตั๋นทำให้ชานยอลรู้สึกแปลกๆ คล้ายมีภาพเงาของใครซ้อนทับเข้ามา อาการปวดมึนศีรษะพุ่งจู่โจมขึ้นมากระทันหัน ชานยอลล้มตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นแม่พริ้มตาข่มกลั้นความเจ็บปวดเพราะไม่อยากให้เธอเป็นห่วง
สัมผัสอ่อนโยนของมือนิ่มที่ลูบผมของชานยอลอยู่ทำให้รู้สึกอบอุ่นบรรเทาความปวดที่เล่นงานเขาให้เบาบางลง ดวงตาเรียวเปิดขึ้นอีกครั้งมองใบหน้าของแม่ที่ก้มลงมองเขาด้วยสายตาอ่อนละมุน แววตาที่แม่มีให้เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยไม่ว่าชานยอลจะดื้อหรือทำตัวไม่ดี แต่แม่ก็ยังเป็นแม่คนเดิมที่รักชานยอลยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
ชานยอลเองก็รักแม่มากเช่นกัน
“ลูกรักเซฮุนเหรอ ถึงได้ยอมหมั้นกับเด็กคนนั้น”คุณนายอู๋ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เจืออารมณ์เหมือนตอนที่พูดกับลูกชายอีกคน
คนถูกถามนิ่งเงียบไปคล้ายกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง น้อยครั้งนักที่ชานยอลจะโกหกแม่อันที่จริงก็แทบไม่มีเรื่องไหนที่เขาจะปิดบังเธอได้สำเร็จนอกเสียจากเรื่องอี้ฝาน ส่วนเรื่องเซฮุนเขารู้ดีว่าคนอย่างแม่ไม่มีวันบังคับจิตใจเขาแน่นอน ถ้ารู้ว่าชานยอลไม่เต็มใจเธอจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล้มเลิกงานให้ได้ ชานยอลไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันบวกกับเหตุผลที่เคยพูดกับเซฮุนไปแล้ว ร่างโปร่งบางจึงตัดสินใจพูดปดออกไป
“ฮะ ผมรักเซฮุน เขาเป็นคนดี”
“แต่ถ้าแม่ไม่อยากให้ลูกหมั้นกับเซฮุน ลูกจะว่ายังไง”ถึงหลินหลันจะไม่อยากให้เซฮุนเกี่ยวข้องกับลูกชายที่เธอรัก แต่เธอก็ไม่อยากทำอะไรไปโดยที่ไม่นึกถึงจิตใจของชานยอล
“ทำไมแม่ถึงไม่ชอบเซฮุนละฮะ”ที่ผ่านมาชานยอลก็พอจะทราบว่าแม่ตัวเองไม่ค่อยชอบเซฮุนนักแต่ก็ไม่ถึงขนาดแสดงออกชัดเจนแม่จะทำเพียงแค่ไม่เข้ามาคลุกคลีหรือยุ่งเกี่ยวด้วยเท่านั้น ผิดจากลู่หานที่แม่เอ็นดูเป็นพิเศษและดีใจที่ได้มาเป็นว่าที่ลูกสะใภ้
มือบางลูบผมลูกชายอย่างเหม่อลอยไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดีอันที่จริงเธอไม่ได้เกลียดเซฮุน แต่เวลาเห็นหน้าเด็กคนนั้นทีไรหัวใจของเธอจะปวดหนึบ สำหรับเธอแล้วเซฮุนเป็นเหมือนใบมีดที่คอยกรีดแทงลงบนรอยแผลเก่าตอกย้ำให้เธอไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งสามีเคยนอกใจ
“ชานยอลลี่...ถ้าแม่เป็นคนไม่ดีลูกจะเกลียดแม่มั้ย”หลินหลันไม่ตอบคำถามลูกชาย แต่ถามกลับถึงสิ่งที่เธอกังวล ชานยอลชอบบอกว่าเธอเหมือนนางฟ้าของเขาแต่ถ้าวันหนึ่งลูกชายรู้ว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงที่มีความริษยาคนหนึ่งจะยังรักเธอมั้ย
“ทำไมแม่พูดแปลกๆละฮะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็เป็นคนดีในสายตาผม ผมรักแม่ที่สุดในโลกเลย”อาการปวดศีรษะเริ่มรุนแรงขึ้นแต่ชานยอลก็พยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ฝืนกายลุกขึ้นกอดคนเป็นแม่ ชานยอลไม่รู้ว่าแม่มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยแสดงด้านที่อ่อนแอให้เขาเห็นมาก่อน
“แม่ก็รักลูกมากนะชานยอล”
สองแม่ลูกกอดกันท่ามกลางสวนดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล กลีบดอกโบตั๋นปลิวตามแรงลมส่งกลิ่นจางๆ หวนให้นึกถึงภาพวัยเด็ก แม่ชอบดอกโบตั๋นมากทุกครั้งที่เห็นแม่เศร้าชานยอลจึงมักจะเอาดอกโบตั๋นไปให้เธอ....แต่ทำไมแม่ถึงเศร้าละ
เขาถึงไม่ออก ภาพใบหน้าที่หม่นหมองและเศร้าสร้อยของหญิงสาวคนหนึ่งลอยเข้ามาในห้วงความคิด ชานยอลปิดเปลือกตาลงเพราะความรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะเขาพยายามนึกให้ออกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ทำไมพอเห็นน้ำตาของเธอแล้วเขาถึงรู้สึกไม่ดีไปด้วย
...อย่าร้องไห้...
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
ห้องทำงานของประธานอู๋ตกอยู่ในความเงียบเมื่อเจ้าของห้องได้รับฟังหัวข้อสนทนาของแขกที่มาขอพบ เส้นเลือดในสมองเต้นตุ๊บๆ จนอู๋อี้ฝานรู้สึกได้ หากทำได้เขาแทบอยากจะหยิบปืนในลิ้นชักขึ้นมายิงคนตรงหน้านี้เสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว เขารู้สึกโกรธจัดที่ปล่อยให้คนของศัตรูแฝงตัวเข้ามาในบริษัทและใกล้ชิดกับชานยอล และยิ่งโมโหมากขึ้นที่อีกฝ่ายล่วงรู้ความลับของเขามากเกินไป
“ถ้าคุณไม่อยากให้เรื่องชาติกำเนิดของโอเซฮุนถูกเปิดเผยก็ต้องทำตามข้อเสนอของผม ทำให้ผมมั่นใจว่าเหยียนเหอจะไม่ไปปรากฏตัวในวันประกาศเรื่องมรดกของตระกูลคิม เรื่องนั้นก็จะเป็นความลับตลอดไป”พยอนแพคฮยอนยื่นข้อเสนอที่เขารู้ว่าประธานอู๋คนนี้จะไม่สามารถปฎิเสธได้ นี่แหละคือไม้ตายที่เขางัดขึ้นมาใช้กับอู๋อี้ฝาน
“นายกำลังขู่ฉันงั้นเหรอ?”ดวงตาคมมองคนตรงหน้าอย่างเยียบเย็น เขาไม่ชอบการถูกบังคับหรือข่มขู่และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครกล้าลองดีกับเขาถึงขนาดนี้
“ผมไม่กล้าหรอกครับ ก็แค่เจรจาตกลงกันโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเท่านั้น”
อู๋อี้ฝานยืดตัวขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไปบีบลำคอของแพคฮยอนอย่างเลือดเย็นแรงบีบไม่เบาแต่ไม่ลงมือหนักมากพอให้อีกฝ่ายสามารถพูดตอบได้ ใบหน้าขาวใสเริ่มแดงก่ำเพราะขาดอากาศแต่ก็ไม่มีเสียงร้องวิงวอนหลุดลอดออกมา
“แต่ฉันไม่ชอบคำพูดลมปากที่ไร้ความแน่นอน ถ้าฉันฆ่านายเสียความลับเรื่องนั้นก็จะตายไปพร้อมกับนาย”น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมมาพร้อมกับแรงบีบที่เพิ่มมากขึ้น
“...ผมไม่กลัวหรอกหากตัวเองต้องตาย แค่ก แต่ผมกลัวชานยอลจะเป็นอันตรายมากกว่า”ฝ่ามือใหญ่คลายออกเล็กน้อยเมื่อชื่อของน้องชายหลุดออกมา “ถ้าผมตายไปเจ้านายของผมจะต้องระแวงจนหาทางกำจัดทั้งชานยอลและเซฮุนแน่”
“แล้วคิดว่าพวกนายจะสามารถแตะต้องคนของฉันได้ง่ายๆงั้นเหรอ”ตระกูลคิมมีอิทธิพลมากก็จริง แต่ใช่ว่าตระกูลอู๋จะด้อยกว่าเสียเมื่อไหร่
“ผมทราบดีเรื่องนั้น แต่ระหว่างให้ชานยอลกับเซฮุนได้ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปกับต้องคอยหวาดระแวงว่าจะโดนลอบทำร้ายอยู่ตลอดเวลา คุณจะเลือกแบบไหนละ?”
อี้ฝานคลายมือออกจากลำคอขาวมันก็จริงอย่างที่แพคฮยอนพูด เขามีกำลังมากพอจะปกป้องเด็กสองคนนั้นแต่ก็ไม่อยากให้ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายต้องคอยระวังว่าศัตรูจะลอบทำร้ายเมื่อไหร่ ชีวิตแบบนั้นมันคงหาความสงบสุขไม่ได้
“แล้วทำไมนายถึงมายื่นข้อเสนอนี้ให้ฉัน ทำไมไม่ลงมือฆ่าพวกเขาเสียละ”อี้ฝานถามถึงสิ่งที่ข้องใจ
“...เพราะชานยอลคือคนสำคัญของผม”แพคฮยอนตอบอย่างไม่คิดปิดบัง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าในใจของอีกฝ่ายไม่เคยมีตัวเองอยู่เลยก็ตาม หัวใจของชานยอลเหมือนซ่อนใครเอาไว้ ใครคนนั้นที่แพคฮยอนไม่สามารถเข้าไปแทนที่ได้
เมื่อบรรลุข้อตกลงระหว่างกันแพคฮยอนจึงขอตัวกลับ ร่างเล็กโค้งให้ก่อนจะเดินไปทางประตูแต่แล้วก็ชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“นายรู้เรื่องเหยียนเหอมากแค่ไหน”
แพคฮยอนเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นรู้ว่าสิ่งที่ประธานอู๋ต้องการถามคืออะไรกันแน่ ร่างเล็กตอบโดยไม่หันหลังกลับไป
“ผมรู้เท่าที่คุณอยากให้รู้”
อี้ฝานมองแผ่นหลังแคบลังเลว่าควรจะเชื่อใจแพคฮยอนดีหรือไม่ แพคฮยอนแฝงตัวเข้ามาเพื่อสืบเรื่องราวของเหยียนเหอและดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย เขาคิดว่าแพคฮยอนคงจะรู้เรื่องอะไรๆ ไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“เหยียนเหอตายไปพร้อมกับเมิ่งเจียในอุบัติเหตุครั้งนั้นตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว”อี้ฝานเอ่ยออกมา
“งั้นผมก็จะรับทราบตามนั้น”
ร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ในห้องทำงานตามลำพังอีกครั้งเมื่อพยอนแพคฮยอนก้าวออกไป ดวงตาคมปิดลงพักสายตาเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครล่วงรู้ความลับสำคัญที่เขาพยายามปกปิดมาตลอด เหยียนเหอตายไปแล้วเขาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกเด็ดขาด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอี้ฝานจึงเปิดตาขึ้นมองก่อนจะคว้ามากดรับสายเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ
“ครับแม่”
[อี้ฝาน น้องอาการกำเริบอีกแล้ว]
TBC
งงกันมั้ยคะ? กับตอนนี้
เนื่องจากไรเตอร์เป็นพวกชอบอ่านอะไรที่รวบรัด กระชับไม่เวิ่นเว้อ เลยอาจจะแต่งออกมาด้วนๆ ห้วนๆไปบ้าง อ่านแล้วอารมณ์สะดุดกันหรือเปล่า? เจอกันพาท 7 เร็วๆนี้ ^^
Matesoulmy
ความคิดเห็น