ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Preponderant [Krisyeol :: Kaihun : Laylu]

    ลำดับตอนที่ #4 : : : Chapter 4 : :

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 57


     

    Chapter 4

     


     

    เพล้ง

     

    แก้วน้ำกระแทกโดนผนังห้องจนแหลกละเอียดเพราะเป้าหมายเอียงตัวหลบได้ทัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้เซฮุนหมดความพยายามเมื่อมือข้างซ้ายที่ยังคงเป็นอิสระหยิบจาน ช้อนส้อมเขวี้ยงใส่ร่างสูงผิวแทนอีกครั้งแต่ชายคนนั้นก็หลบได้อย่างง่ายดาย

     

    หมดฤทธิ์รึยัง?”คิมจงอินกอดอกยืนมองเด็กแสนพยศ นี่ขนาดเขาใช้กุญแจมือล็อคแขนขวาของเซฮุนไว้กับหัวเตียงแล้วยังฤทธิ์เยอะขนาดนี้ได้อีก อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะทำถึงขนาดนี้หรอกแต่เด็กนี่ร้ายเหลือเกินถ้าปล่อยไว้เฉยๆ คงได้ปีนหน้าต่างหรือไม่ก็พังประตูห้องหนีไปแน่

     

    คืนของฉันมานะเซฮุนพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวดวงตาเรียวรีมองอย่างอาฆาตแค้น คิมจงอินไม่เพียงแต่กักขังตัวเขาไว้ยังยึดของสำคัญของเขาไปอีกด้วย

     

    ไม่ขอให้ปล่อยแล้วเหรอรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่เหมือนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วเวลาพูดคุยกับเซฮุนประดับบนใบหน้าหล่อเข้ม

     

    ฉัน ไม่เคยขอร้องคุณ แต่เป็นคำสั่งต่างหากเอาสร้อยข้อมือคืนมาแล้วก็ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ไอ้โรคจิตไม่เคยมีใครทำให้โอเซฮุนรู้สึกสติหลุดได้เท่านี้มาก่อน แต่กับผู้ชายคนนี้ที่จับเขาขังไว้สามวันแถมยังชอบพูดจากวนประสาทและมองเขาด้วยสายตาโลมเลียไม่ปิดบังมันทำให้เซฮุนแทบอยากจะพุ่งไปกระทืบให้อีกฝ่ายจมดิน

     

    ใครกันแน่โรคจิต มาแอบด่อมๆ มองๆ ฉันน่ะ เอ๋...หรือว่าเธอติดใจ เลยตามมาให้ฉันกินถึงที่?”ไม่พูดเปล่าร่างสูงทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงที่เซฮุนนั่งอยู่ก่อน จับมือข้างซ้ายของอีกฝ่ายไว้เพื่อป้องกันไม่ให้โดนประทุษร้าย ยื่นใบหน้าหล่อเข้มเข้าไปใกล้ใบหน้าขาวจัด ใกล้จนจมูกแทบชนกัน...

     

    ไอ้...หลง ตัวเอง ถอยออกไปนะเซฮุนพยายามถอยหนี คิดว่าเขาอยากเข้าใกล้ไอ้คนตรงหน้านี้นักหรือไง ถ้าไม่เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนเขาได้รับคำสั่งจากอู๋อี้ฝานให้มาสืบบางเรื่อง แต่ไม่รู้เพราะโลกกลมหรือความบังเอิญ คนที่เขาต้องการจะล้วงความลับดันเป็นไอ้หน้าหื่นที่เคยเจอในไนต์คลับของจื้อ เทากับจงแด

     

    เซฮุนมารู้ทีหลังว่าผู้ชายคนนี้คือคิมจงอินจากรายงานประวัติที่อี้ชิงให้มา จงอินเป็นเด็กที่ประธานคิมแทวูอุปการะเลี้ยงดูเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง เขาเพิ่งเดินทางกลับมาที่ประเทศเกาหลีเพื่อรับตำแหน่งประธานใหญ่ของบริษัทในเครือตระกูลคิมแทนเหยียนเหอลูกชายคนเล็กของคิมแทวูที่ยังคงเป็นปริศนาและสิ่งที่เซฮุนได้รับมอบหมายให้ทำก็คือการไขปริศนานั่น

     

    คิมจงอินทำราวกับเหยียนเหอมีตัวตนอยู่จริงแต่เมื่อเซฮุนได้สะกดรอยตามอีก ฝ่ายอยู่หลายวันกลับพบเพียงความว่างเปล่า เหยียนเหอที่จงอินกล่าวอ้างออกสื่อยามถูกถามถึงเป็นเพียงเรื่องที่สร้างขึ้น เซฮุนรายงานเรื่องนี้ให้อู๋อี้ฝานรับทราบและกำลังจะจบภารกิจ แต่ก็พลาดท่าถูกจับได้เสียก่อนจนต้องมานั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะถูกขังอยู่อย่างนี้

                                        

    เรามาพูดคุยกันอย่างจริงจังดีกว่า ฉันจะคืนสร้อยข้อมือให้ถ้าเธอตอบคำถามของฉัน

     

    แม้อยากจะแกล้งเด็กตัวขาวนี่ต่ออีกสักหน่อยแต่มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นที่จง อินต้องการจะรู้ ร่างสูงผละตัวออกมาจากใบหน้าอ่อนวัยให้เหลือระยะห่างพอไม่ให้อีกฝ่ายได้อึด อัด

     

    สร้อยข้อมือนี่เธอได้มายังไงสร้อยข้อมือหนังสีดำที่มีเครื่องรางมังกรถูกส่งออกมาเบื้องหน้า

     

    เซฮุนมองสร้อยข้อมือของรักของหวงของตนและหันไปมองแววตาขี้เล่นของจงอินที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมาสนใจอะไรกับของๆเขา

     

    จะรู้ไปทำไม

     

    เพราะฉันรู้จักคนที่มีสร้อยข้อมือแบบนี้น่ะสิ

     

    ดวงตาเรียวรีเบิ่งกว้างเมื่อได้ฟัง สร้อยข้อมือเส้นนี้เขาใส่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กแม่บอกว่าเป็นเครื่องรางที่พ่อให้ไว้คุ้มครอง ถึงแม้เซฮุนจะไม่มีความรู้เรื่องเครื่องประดับมากนักแต่ก็พอจะรู้ว่าเครื่องรางชิ้นนี้เป็นของที่สั่งทำขึ้นพิเศษไม่มีวางขายทั่วไปแน่นอน แล้วคนที่มีสร้อยข้อมือแบบเดียวกันนี้เป็นใครกัน

     

    คุณต้องการจะบอกอะไร

     

    หัวใจเต้นถี่รัวยามเอ่ยถามเพราะเซฮุนไม่เคยรู้เรื่องของพ่อมาก่อนไม่เคยเห็นหน้าเสียด้วยซ้ำ เวลาถามถึงแม่จะบอกเพียงแค่ว่าพ่อเป็นคนดีแต่มีเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามคนอ ยู่ด้วยกันแบบครอบครัวอื่นไม่ได้ และทุกครั้งที่พูดแม่มักจะร้องไห้เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้เพื่อไม่ ให้แม่เสียใจแต่เขาก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาย่อมต้องอยากรู้จักผู้ให้ กำเนิดอยากรู้เหตุผลของพ่อ เจ้าของสร้อยข้อมืออีกเส้นอาจจะให้คำตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้ได้

     

    ประธานอู๋ส่งเธอมาสืบเรื่องเหยียนเหอใช่มั้ยละ และเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่าเหยียนเหอไม่ได้อยู่กับฉันจงอินไม่ตอบแต่ถามกลับ

     

    เซฮุนมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยเรื่องที่เขาถามเกี่ยวอะไรกับเรื่องเหยียนเหอ ถึงมันจะเป็นอย่างที่จงอินบอกก็เถอะเพราะตอนที่เขาโทรไปรายงานเรื่องนี้กับ อู๋อี้ฝานดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เขาบอกสักเท่าไหร่

     

    เธออยากจะฟังเรื่องของเหยียนเหอ คู่หมั้นของฉันมั้ยล่ะจงอินไม่สนใจใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยของเซฮุน เขาเริ่มเล่าเรื่องราวโดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย


    เมื่อยี่สิบปีก่อน มีคุณหนูจากตระกูลใหญ่ใช้เวลาในวันว่างโดยการไปสอนเปียโนให้เด็กกำพร้าที่ โบสถ์ เธองดงามทั้งหน้าตาและจิตใจจนทำให้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักความรักได้รู้ ซึ้งถึงคำๆนั้น ทุกวันอาทิตย์ชายคนนั้นจะไปที่โบสถ์เพื่อเฝ้ามองเธอ เวลาผ่านไปพวกเขาทั้งสองต่างตกหลุมรักกันและกันอย่างลึกซึ้ง แต่ชีวิตรักมันไม่ได้สวยหรูเหมือนนิยายชายคนนั้นไม่เคยบอกเธอว่าเขามีภรรยา และลูกอยู่แล้ว เขาไม่ได้บอกแม้กระทั่งตัวตนที่แท้จริงของตัวเองด้วยซ้ำ เพราะเขารู้ว่าครอบครัวของเขาและเธอเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน

     

    จงอินหยุดพักและลอบสังเกตุท่าทางของคนฟัง เซฮุนตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างสนใจ

     

    ชายคนนั้นรักเธอมากจนไม่กล้าบอกความจริงเพราะกลัวจะเสียเธอไป จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงคนนั้นตั้งท้องลูกของเขา เขาคิดจะบอกความจริงและรับผิดชอบเธอแต่ครอบครัวของเธอก็จับได้เสียก่อน ด้วยความที่ครอบครัวของเธอเป็นตระกูลใหญ่กลัวว่าชื่อเสียงวงศ์ตระกูลจะเสื่อมเสียที่ลูกสาวท้องก่อนแต่ง พวกเขาจึงบังคับให้เธอขับเด็กออก...

     

    มาถึงตรงหน้าใบหน้าขาวเริ่มซีดเผือดลง รู้สึกหนาวสะท้านอย่างบอกไม่ถูก เซฮุนได้แต่ร่ำร้องในใจให้สิ่งที่เขาคิดมันไม่เป็นความจริง

     

    แต่เธอก็พยายามปกป้องเด็กในท้อง เธอหนีออกจากบ้านมาอยู่กับเขาและให้กำเนิดลูกชาย ชื่อว่าเหยียนเหอ...เธอเดาออกมั้ยว่าชายหญิงคู่นั้นคือใครจงอินถาม เขาเชื่อว่าเซฮุนฉลาดพอจะเข้าใจว่าเขาพยายามสื่อถึงอะไร

     

    ไม่..”ใบหน้าอ่อนวัยส่ายหัวช้าๆ แววตาแสนพยศเหมือนกำลังครุ่นคิดหนักราวกับสิ่งที่เขาถามเป็นโจทย์คณิตที่ ต้องใช้สมองอย่างมากในการหาคำตอบ

     

    ผู้ชายคนนั้นก็คือเจ้าของสร้อยข้อมืออีกเส้นหนึ่ง ส่วนผู้หญิงเธอชื่อว่าอู๋เมิ่งเจียเป็นน้องสาวของอู๋หลง

     

    ดวงตาเรียวรีเบิ่งกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้นเพราะอู๋หลงเอ็นดูเซฮุนเสมอมา ผู้ใหญ่ที่ใจดีแบบนั้นไม่มีทางทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้กับน้องสาวตัวเองได้ หรอก คิมจงอินสำหรับเขาคือคนแปลกหน้าหรืออาจจะเป็นศัตรูด้วยซ้ำเพราะตระกูลคิมกับ ตระกูลอู๋ไม่ใคร่จะญาติดีกันเท่าไหร่ แล้วเขาจะเชื่อคำพูดชายคนนี้ได้ยังไง

     

    ฉันไม่เชื่อคำพูดข้างเดียวของคุณหรอกนะ เลิกพูดจาไร้สาระแล้วคืนสร้อยฉันมาได้แล้ว

     

    จงอินไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขาก็ไม่คิดว่าเซฮุนจะเชื่อคำพูดของตัวเองทั้งหมดหรอก เขาก็แค่โรยขนมโปรยทางให้เซฮุนเดินตามได้ถูกทางเท่านั้น ใบหน้าหล่อเข้มกลับมายิ้มทะเล้นอีกครั้งแกว่งสร้อยข้อมือหนังในมือตรงหน้าเด็กหนุ่ม

     

    ถ้าอยากได้นี่คืนก็จุ๊บฉันก่อนสิ

     

    ไม่มีทางเซฮุนพูดเสียงดังมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายอย่างแค้นเคือง

     

    งั้นฉันจะโยนทิ้งนะ...

     

    อย่าคนตัวขาวร้องห้ามเสียงหลงเมื่อเห็นว่าจงอินตั้งท่าจะโยนของสำคัญออกนอกหน้าต่างจริงๆ

     

    งั้นก็...จงอินยิ้มกริ่มพลางหลับตารอ

     

    โอเซฮุนขอสัญญากับตัวเองถ้าหนีไปได้จะกลับมาหักคอไอ้บ้านี่ให้ตายคามือ เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะยื่นใบหน้าไปใกล้คนที่รู้สึกเกลียดแสนเกลียด ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยก่อนจะ...

     

    โอ๊ยยจงอินร้องลั่นเมื่อรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ริมฝีปาก ดวงตาคมหรี่มองคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ แสบนักนะกล้ากัดเขา 

     

    สมน้ำน่า...อื้ออ

     

    ไม่ทันจะสะใจได้นาน เสียงทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนด้วยริมฝีปากหยักที่ยังมีเลือดซิบออกมา กลิ่นคาวเลือดที่มาพร้อมกับจูบร้อนแรงทำเอาเซฮุนแทบหมดเรี่ยวแรง กำปั้นเล็กทุบลงบนอกแกร่งแต่ไม่ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสะเทือนไม่ใช่ว่าเซฮุนจะ ด้อยประสบการณ์เพียงแต่เขาไม่เคยเป็นฝ่ายถูกรุกเร้าแบบนี้ จงอินกดจูบหนักหน่วงทำให้เขาต้องเผยอริมฝีปากออกเพื่อกอบโกยอากาศหายใจเป็น โอกาสให้ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้ามา

     

    เสียงครางอื้ออึงประท้วงเพราะขาดอากาศทำให้จงอินต้องยอมผละริมฝีปากออกมาอย่าง อ้อยอิ่ง มองคนตัวบางที่หอบหายใจถี่รั่ว ใบหน้าเรียวเล็กขึ้นสีแดงเรื่อจนอยากจะฝังจมูกลงไปสักทีสองที

     

    กะ...แก พูดได้เพียงเท่านั้นจริงๆ ถ้าเทียบกับครั้งแรกที่เจอกันแล้วคราวนี้เซฮุนทั้งโมโหทั้งอายมากกว่าเดิม หลายเท่า หมดกัน ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของโอเซฮุน!!

     

    พูดไม่เพราะเลยชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้รู้สึกผิดสักนิดที่ทำให้อีกฝ่ายแทบคลั่ง ตาย เขาใส่สร้อยคืนให้ข้อมือขาวตามเดิม พลางยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ทำตัวน่ารักๆ แล้วจะปล่อยกลับบ้านนะ

     

    ทิ้งคำพูดให้อีกฝ่ายได้โมโหเล่นแล้วรีบชิ่งออกจากห้องทันที ร่างสูงเดินลงบันไดไปทางห้องทำงานที่อยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบโดคยองซูคนสนิทรออยู่ก่อนแล้ว

     

    นี่ติดใจโอเซฮุนจริงๆใช่มั้ยคยองซูถามอย่างตรงไปตรงมาเมื่อเห็นแผลที่ริมฝีปากของร่างสูง ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเกิดจากอะไร

     

    แค่อยากดัดนิสัยริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงความอ่อนนุ่มที่เพิ่งได้สัมผัส

     

    มีเรื่องหนึ่งที่ฉันเพิ่งรู้มาละ คุณนายคิมส่งพยอนแพคฮยอนเข้าไปใกล้ชิดกับปาร์คชานยอลน้องชายของอู๋อี้ฝาน เรื่องนี้มันมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลแปลกๆว่ามั้ยคยองซูส่ายหน้ากับคำตอบของคน ปากแข็ง และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเข้าเรื่องใหม่ที่เพิ่งรับรายงายมา

     

    ปาร์คชานยอลงั้นเหรอ

     

    จงอินนิ่งเงียบไป เป็นเพราะเด็กที่ชื่อปาร์คชานยอลคนนั้นรบกวนจิตใจจนทำให้เขายังไม่ปักใจ เชื่อเต็มร้อยว่าโอเซฮุนคือเหยียนเหอทั้งที่สร้อยข้อมือรูปมังกรเส้นนั้นของ เซฮุนเหมือนกันกับที่คิมแทวูใส่ติดตัวและยังจะเรื่องแม่ของเซฮุนที่เสีย ชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เหมือนกับคดีของเมิ่งเจีย

     

    ปริศนาเรื่องนี้มันอยู่ตรงไหนกันแน่นะ เขารู้สึกมืดแปดด้านเหมือนงมเข็มที่ใต้ก้นทะเลลึก มองไปทางไหนก็มืดมนไร้คำตอบ จงอินอยากจะตรวจสอบทางพันธุกรรมให้แน่นอนว่าผลดีเอ็นเอของเซฮุนตรงกับของคุณ ลุงแทวูหรือเปล่าแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกคุณนายคิมหรือก็คือป้าของเขากีดกัน ไม่ยอมปล่อยให้คุณลุงอยู่ตามลำพังจนเขาไม่มีโอกาสที่จะเก็บตัวอย่างดีเอ็มเอ

     

    มือหนาหยิบรูปถ่ายของเด็กหนุ่มสองคนขึ้นมาดูอีกครั้ง โอเซฮุน ปาร์คชานยอล...พวกเธอสองคนใครคือเหยียนเหอกันแน่นะ

     

    ในเมื่อเราสืบเองไม่ได้ ก็ยืมมือเด็กสองคนนี้แทนแล้วกัน

     

    ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เหลือเวลาอีกสองเดือนตามที่ผู้ใหญ่ในตระกูลคิมได้ตกลงกันไว้ ว่าหากเขาไม่สามารถนำตัวเหยียนเหอมายืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ได้จดหมายของคุณ ลุงแทวูจะถูกยกเลิก ตำแหน่งประธานใหญ่จะตกเป็นของคิมจุนมยอนอย่างไม่มีเงื่อนไข

     

    ฉันจะปล่อยตัวเซฮุน ให้เจ้ากระต่ายน้อยกลับโพรงไปขุดคุ้ยหาความจริงด้วยตัวเอง

     

     

    •*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•

     

     

    หลังจากเสร็จการประชุมที่กินเวลานานเกือบสองชั่วโมง อี้ฝานก็รีบตรงกลับห้องทำงานของตัวเองทันทีเพราะนึกขึ้นได้ว่าพยอนแพคฮยอนก็อยู่ที่บริษัทด้วยวันนี้กลัวว่าชานยอลจะหาทางแอบออกไปหาฝ่ายนั้นจนเป็นข่าวฉาวขึ้นมาอีก ร่างสูงเปิดประตูห้องมาพบน้องชายนอนขดตัวอยู่บนโซฟาก็เบาใจ ใบหน้าหวานพริ้มตาหลับผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ

     

    ภาพที่เห็นเรียกรอยยิ้มเอ็นดูระบายบนใบหน้าหล่อจัด เขาเดินเข้าไปใกล้ถอดเสื้อสูทห่มร่างแบบบางให้อย่างเบามือก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างโซฟา พินิจใบหน้าไร้เดียงสายามหลับนิ้วยาวปัดปอยผมที่ปรกแก้มใสออกให้แผ่วเบา เขาพร้อมจะยอมแลกกับทุกสิ่งขอเพียงได้เฝ้ามองดูชานยอลแบบนี้  หลังมือหนาไล้ข้างแก้มเนียนใสอย่างรักใคร่

     

    ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา เมื่อสำนึกได้ว่าเขาทำได้เพียงสัมผัสกลีบบางของดอกไม้เท่านั้น แม้อยากจะเด็ดขึ้นมาเชยชมแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์ ถ้าทำได้เขาก็อยากจะให้ดอกไม้ดอกนี้เบ่งบานให้เขาได้เห็นเพียงคนเดียวและร่วงโรยไปพร้อมกันกับเขาเท่านั้น

     

    บางทีอี้ฝานก็นึกโทษโชคชะตาที่กำหนดให้เขาตกหลุมรักคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องชายตัวเองอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชานยอลมีความสำคัญต่อหัวใจเขามากมายขนาดนี้ หรืออันที่จริงเขาอาจจะโดนดวงตาแสนซื่อคู่นี้ตราตรึงใจไว้ตั้งแต่ครั้งแรก ที่สบตากันแล้วก็เป็นได้

     

    ร่างสูงใหญ่ยืดตัวขึ้นเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานโดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วชานยอลไม่ได้หลับ เขาจึงรับรู้ถึงสัมผัสอ่อนโยนเมื่อครู่  แม้จะไม่แน่ใจว่าความรักที่อี้ฝานมีให้มันเป็นในรูปแบบไหน แต่สิ่งที่ชานยอลรู้ดีแก่ใจมาตลอดคืออี้ฝานรักเขามากมายเพียงใด

     

    หยาดน้ำไหลซึมที่ปลายหางตาเงียบๆ เมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ ที่ผ่านมาเขาเอาแต่ใจ สนใจแต่ความรู้สึกตนเองมาตลอดโดยไม่เคยคิดเลยว่าพี่ชายก็อาจจะกำลังเจ็บปวดไม่แพ้กัน ถึงเวลาที่เขาควรจะทำให้พี่ชายคนเดียวสบายใจเสียที

     

     

    ตลอดเวลาช่วงบ่ายที่รออี้ฝานทำงานหรือแม้กระทั่งตอนไปนั่งรับประทานอาหารเย็นใน ร้านอาหารโปรดชานยอลก็นิ่งเงียบเปิดปากพูดแทบจะนับคำได้ ใบหน้าหวานดูเซื่องซึมไปจนดวงตาคมลอบมองอยู่หลายครั้ง ตอนอยู่บนรถกำลังเดินทางกลับบ้านก็เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกกระจก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังครุ่นคิดบางเรื่อง

     

    จนกระทั่งก้าวเข้าตัวคฤหาสน์ชานยอลหยุดยืนอยู่ตรงบันไดโค้งที่จะแยกไปสู่ปีก ด้านซ้ายและด้านขวา ร่างโปร่งยืนมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินห่างไป

     

    พี่คริส

     

    เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ร่างสูงหยุดและหันกายกลับไปมองคนที่ยืนนิ่งอยู่กึ่งกลางบันได คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างรอคอยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ใบหน้าหวานยกยิ้มกว้างก่อนเอ่ยคำออกมา

     

    ผมตกลงจะหมั้นกับเซฮุนฮะขณะพูดก็ฝืนทนเก็บน้ำตาที่เตรียมจะไหลอยู่ร่อมร่อ อดทนไว้ปาร์คชานยอล

     

    ทำไม?”อี้ฝานแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองด้วยซ้ำยามถามออกไป

     

    ชานยอลหายใจเข้าลึกพลางเดินไปใกล้พี่ชาย ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันส่งให้

     

    ผมเคยคิดเสียใจว่าทำไมต้องเกิดมาเป็นน้องชายของพี่ เพราะมันทำให้ผมรักพี่แบบผู้ชายคนหนึ่งไม่ได้...แต่พอมาคิดอีกทีผมกลับรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เป็นน้องของพี่ เพราะมันหมายความว่าความรักของพี่ที่มีให้ผมมันจะยั่งยืนไม่เปลี่ยนแปลง คนรักกันอาจมีสักวันที่หมดรักและกลายเป็นเพียงคนอื่น แต่สำหรับพี่น้องครอบครัวแล้วต่อให้วันเวลาจะหมุนไปนานเท่าไหร่ ก็จะไม่มีวันหมดรักและเป็นเปลี่ยนแปลงสายสัมพันธ์ของเราได้

     

    แม้รอยยิ้มบนใบหน้าหวานจะยังไม่จางหายแต่หยาดน้ำตากลับพรั่งพรูออกมาราวกับไม่มีวันหยุดไหล และไม่ใช่ชานยอลเพียงคนเดียวที่ร้องไห้  อี้ฝานเองก็พยายามข่มกลั้นน้ำตาที่คลอหน่วยไว้ไม่ให้ไหลรินออกมา

     

    ผมรักพี่ รักมากเท่าที่คนๆ หนึ่งจะสามารถรักอีกคนได้ ผมคงทนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับความรักจากพี่ ผมยอมอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ขอเพียงได้รับความรักจากพี่แม้จะเป็นความรักแบบพี่น้องก็ตาม

     

    ชานยอล...พอแล้วอี้ฝานดึงร่างแบบบางเข้าสู้อ้อมอก กอดรัดอย่างต้องการแบ่งเบาความเจ็บช้ำในหัวใจของน้องชาย อย่าพูดอย่าร้องไห้อีกเลยเขากลัวเหลือเกินว่าจะหักห้ามหัวใจตัวเองไม่อยู่ กลัวว่าจะหลุดปากพูดทุกสิ่งที่อยู่ในหัวใจออกไป

     

    ไม่...วันนี้ ผมอยากบอกพี่ อยากขอโทษที่ทำตัวให้พี่ลำบากใจมาตลอด อี้ฝาน...เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ ฉันจะกลับไปเป็นน้องชายคนเดิมของพี่ ฮึก...ให้โอกาสฉันนะ รักน้องชายคนนี้ตลอดไปนะอี้ฝาน

     

    อี้ฝานดันร่างบางออกเบาๆ สองมือประคองใบหน้าหวานให้มองสบตากันใช้นิ้วเรียวปาดน้ำตาบนแก้มใสออกให้อย่างอ่อนโยน ดวงตาแดงก่ำสะท้อนเพียงภาพของเขามันบ่งบอกถึงความรักที่มีให้อย่างหมดใจ

     

    ฉันก็รักเธอ...ชานยอล รักมากกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก เราอาจจะรักกันแบบคนรักไม่ได้ แต่แค่รู้ว่าหัวใจเราเป็นของกันก็เพียงพอแล้วมือหนาจับมือบางให้ทาบลงบนอกด้านซ้ายของตัวเอง พี่จะเก็บชานยอลเอาไว้ในนี้

     

    อี้ฝานก็อยู่ในหัวใจของฉันเหมือนกันมือบางทาบลงบนอกซ้ายของตัวเองเช่นกัน แค่นี้ เพียงแค่นี้เขาก็มีความสุขแล้วแค่รู้ว่าอี้ฝานก็รักปาร์คชานยอลเหมือนกัน

     

    ริมฝีปากหยักทาบทับลงมาอย่างแผ่วเบา จูบลาความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้

     

    เก็บมันเอาไว้ จดจำความรักของพวกเราฝังมันเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ  

     

    .
    .
    .

     

    ไปกับฉันสิชานยอล แล้วนายจะได้รู้ความจริงทุกอย่าง

     

    ขอบ ใจสำหรับความหวังดีนะแพคฮยอน แต่ฉันไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรในครอบครัวที่ฉันสมควรรู้แล้วยังไม่รู้ นายรีบไปเถอะก่อนที่พี่ชายฉันจะกลับมา

     

    ครอบ ครัว? พี่ชาย? ถ้านายรู้ความจริงทั้งหมดจะไม่พูดแบบนี้หรอก พวกนั้นน่ะเลือดเย็นจนนายคิดไม่ถึงเลยละดวงตาเล็กหยีจริงจังเสียจนชานยอ ลนึกกลัว

     

    พยอนแพคฮยอน! ฉัน จะเห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนกันไม่ถือสาคำพูดเมื่อกี้ แต่อย่าพูดถึงครอบครัวของฉันแบบนั้นให้ได้ยินอีกชานยอลพูดเสียงเย็นจนแพ คฮยอนได้แต่พึมพำขอโทษและเดินจากไปโดยยังทิ้งท้ายว่าหากเขาอยากรู้ความจริง เมื่อไหร่ให้ไปหาได้ทุกเมื่อ

     

    ชาน ยอลเชื่อมั่นในครอบครัวตนเองเสมอจึงไม่คิดที่จะไปหาความจริงที่แพคฮยอนกล่าว ถึง เขาไม่เชื่อคำพูดของคนนอกที่จะทำร้ายหรือทำลายความสัมพันธ์ภายในครอบครัว

     

    ถึง ตอนนี้ชานยอลสำนึกได้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคืออะไร ครอบครัวอันเป็นที่รัก พ่อ แม่ พี่ชาย อี้ฝานเองก็พยายามปกป้องสิ่งสำคัญนี้เอาไว้

     

                       เขาเองก็จะปกป้องมันเอาไว้เหมือนกันแม้มันจะเป็นการกรีดหัวใจตัวเองก็ตาม





    TBC


     

     

    Matesoulmy
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×