คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : : : Chapter 3 : :
Chapter 3
เคยสงสัยมั้ยว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา...จะสามารถมีความรักได้กี่ครั้งกัน?
“คุณลู่หาน คุณฟังผมอยู่รึเปล่า”
เสียงผู้กำกับเรียกสติให้ลู่หานดึงสายตามาจากภาพชายหนุ่มที่กำลังคุยเรื่องตาราง งานกับทีมสต๊าฟเบื้องหน้าให้หันกลับมาสนใจวงสนทนาของตนเอง พวกเขาบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากเกาหลีมาถึงเมืองอาโอโมริที่มีภูมิทัศน์ธรรมชาติอันสวยงามของประเทศญี่ปุ่นเพื่อถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงใหม่ของลู่หาน แต่ตอนนี้การถ่ายทำต้องหยุดชะงักลงเพราะตัวเอกของเรื่องไม่สามารถทำให้ผู้ กำกับพอใจในการแสดงได้
“ครับๆ ฟังอยู่ ผมกำลังนั่งทำอารมณ์อยู่นี่ไง”ลู่หานที่นั่งอยู่บนโขกหินริมทะเลสาปตอบแบบขอไปที สายลมอ่อนๆ ที่พัดพาใบเมเปิ้ลสีส้มปลิวร่วงลงบนผิวน้ำทำให้เขาหวนคิดถึงความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน ความทรงจำที่เขาอยากจะลืมเพราะ ‘คนๆ นั้น’ คงไม่คิดจะรักษาสัญญา
“คุณต้องคิดซะว่าตัวเองกำลังเจ็บปวดเพราะถูกปฎิเสธความรัก อ่า แต่คุณคงไม่เคยรู้สึกแบบนั้นใช่มั้ย ใครๆ ต่างก็พากันพูดว่าคุณกับคุณคริสรักกันมาก”ผู้กำกับเอ่ยแซวท้ายประโยคโดยไม่เห็นเลยว่าคู่สนทนาเหยียดยิ้มออกมาชั่วแวบหนึ่ง
“ขอเวลาผมทำอารมณ์สักสิบนาทีแล้วกันนะครับ อ่อ ช่วยเรียกคุณอี้ชิงให้ด้วย”พูดจบใบหน้าหวานก็ทอดสายตาไปทางทะเลสาปเบื้องหน้าเพื่อเป็นการจบบทสนทนา
ทะเลสาปโทวาดะ...ทะเลสาปที่มีน้ำใสราวกับกระจกสามารถมองลงไปได้ลึกกว่าสิบเมตรจนเห็นพื้นด้านล่าง คนอย่างลู่หานไม่ได้สนใจหาข้อมูลเรื่องพวกนี้หรอกเพียงแต่มีใครคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟัง ใครคนนั้นที่เคยบอกว่าจะพาเขามาสัมผัสมันด้วยตัวเอง
“เรียกหาผมหรือครับ”อี้ชิงเว้นระยะห่างไว้พอสมควรและเอ่ยถามคนที่เหมือนกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติเบื้องหน้า เขาเผลอทิ้งสายตาไว้บนซีกหน้าด้านข้างของคนรักเจ้านายอย่างลืมตัว จวบจนใบหน้าหวานนั่นหันกลับมาจึงรีบเบนสายตาไปทางอื่น
“หลับตาซิ”เสียงหวานสั่งสั้นๆ
“ครับ?”อี้ชิงแสดงสีหน้างุนงงจนเจ้าของคำสั่งต้องพูดซ้ำ
“ฉันบอกให้นายหลับตา”
เปลือกตาหนาปิดลงเพราะคาดว่าถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี เพราะดวงตาปิดลงทำให้ประสาทสัมผัสของเขาได้ยินเสียงรอบข้างชัดเจนขึ้น เสียงสายลมใบไม้ปลิวผืนน้ำที่ไหวเพื่อม ชวนให้จิตใจผ่อนคลาย ถ้าหากไม่ติดว่ามีกำแพงล่องหนที่มองไม่เห็นขวางกั้นระหว่างเขากับลู่หานไว้การได้อยู่ด้วยกันแบบนี้คงมีความสุขจนอี้ชิงอยากจะหยุดเวลาให้อยู่แบบนี้ไปนาน แสนนาน
ในดวงตาสุกใสเริ่มมีม่านน้ำตาเข้าบดบังภาพตรงหน้า ใช้จางอี้ชิงเป็นตัวช่วยในการปรับอารมณ์นี่ได้ผลดีจริงๆ ความรู้สึกที่ไม่สมหวังในความรักลู่หานเคยได้รับมาก่อนจากผู้ชายตรงหน้านี้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีแต่ความเจ็บลึกในอกด้านซ้ายไม่เคยลดลง ในขณะที่ลู่หานต้องพยายามทำใจและยอมรับความผิดหวังแต่อี้ชิงกลับทำเหมือนระหว่างเราไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิมรอยยิ้มใจดีก็ยังคงมีให้เสมอมา จนเขาอยากจะรู้นักว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขาเลยจริงหรือ
บางครั้งลู่หานก็อยากจะจับคนตรงหน้ามาเขย่าแรงๆ อยากค้นคำตอบในดวงตาที่แสนอ่อนโยนคู่นั้น อยากรู้ว่าในหัวใจของจางอี้ชิงเคยมีลู่หายคนนี้อยู่บ้างมั้ย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จนอี้ชิงรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวจึงได้ลืมตาขึ้น ลู่หานเดินกลับไปรวมกลุ่มกับกองถ่ายทำแล้ว เขาไม่เห็นใบหน้าหวานนั่นเห็นเพียงแผ่นหลังบางที่ไกลห่างออกไปเขาไม่ได้เดินตามไปเพราะที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ของเขา ใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของอี้ชิงหันไปทางทะเลสาปด้านหลังที่ลู่หานเหม่อมองเมื่อสักครู่
“น้ำในทะเลสาปโทวาดะยังคงความใสรอให้คุณได้มาเห็น หัวใจของผมก็ยังคงเดิมเพียงแต่คุณไม่จำเป็นต้องเห็นมัน....ลู่หาน”
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
สวนสไตล์จีนโบราณที่ตั้งอยู่ด้านหลังตัวคฤหาสน์ เป็นสถานที่ที่ชานยอลชอบมากที่สุด ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ความร่มรื่นอยู่ริมสระน้ำขนาดกลาง น้ำในสระใสจนมองเห็นฝูงปลาและเม็ดกรวดเบื้องใต้ ท่อนขาเรียวก้าวเดินผ่านสะพานไม้ที่ทอดยาวอยู่ด้านหนึ่งของสระน้ำไปยังศาลารับลมที่มีทุ่งดอกไม้ล้อมรอบ ความเงียบสงบและสวยงามของธรรมชาติภายในสวนแห่งนี้ราวกับอยู่คนละช่วงเวลากับความวุ่นวายของโลกภายนอก
ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งริมศาลาหย่อนขาลงบนผิวน้ำ ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยเตะน้ำเล่นจนเกิดระลอกคลื่นเรียกความสนุกสนานเล็กๆ ให้กับคนที่กำลังเหงาได้ ตอนเด็กชานยอลชอบวิ่งเล่นภายในสวนแห่งนี้เป็นประจำ แต่พอโตขึ้นเขาไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านจึงไม่ได้เข้ามาเดินเล่นบ่อยนัก แต่สวนแห่งนี้ก็ยังคงความสวยงามไม่เปลี่ยนเหมือนกับถูกหยุดเวลาเอาไว้
...หากวันเวลาแห่งความสุขของชานยอลถูกหยุดเอาไว้บ้างก็คงจะดี...
“ใจลอยไปถึงไหนแล้วครับคุณหนู”น้ำเสียงขันๆ ที่เอ่ยแซวเรียกให้ใบหน้าสวยหันไปมอง คุณหมอหนุ่มหน้าเด็กเดินถือถ้วยเซรามิคเข้ามาใกล้ ดวงตากลมมองถ้วยใบนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ
ครอบครัวของซิ่วหมินเป็นแพทย์ดูแลคนในตระกูลอู๋มานาน จนมาถึงชานยอลก็ได้ซิ่วหมินคอยดูแลอาการป่วยอย่างใกล้ชิด แต่คุณหมอเกียรตินิยมคนนี้มีความสนใจในเรื่องสมุนไพรและการรักษาโรคแผนโบราณของจีน ทำให้ซิ่วหมินมักจะค้นคว้าหาสูตรยาบำรุงมาให้ชานยอลดื่มบ่อยๆ
“ผมแข็งแรงดี ช่วงนี้ไม่ได้ป่วยเลยเพราะงั้นผมไม่ดื่มเจ้านั่นนะ”ชานยอลรีบบอกคนที่หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
“โถ่ สมุนไพรพวกนี้หายากมากเลยรู้มั้ย ผมต้องปีนขึ้นไปบนเขาไท่ซานกว่าจะได้ยาถ้วยนี้มานะ” ซิ่วหมินมองน้ำสีดำในมือราวกับเป็นของล้ำค่า ภูเขาไท่ซานในประเทศจีนที่อุดมณ์ไปด้วยสมุนไพรหายากดึงดูดให้เขาเดินทางไปค้นหาจนได้ยาถ้วยนี้มา
ชานยอลกรอกตาขึ้นฟ้าเมื่อเห็นอาการเหมือนคนจิตอ่อนๆ ของซิ่วหมินเวลามองเจ้าน้ำสีดำๆ นั่น เขารู้ว่าซิ่วหมินหวังดีแต่ยาที่ซิ่วหมินต้มมาให้แต่ละทีขมจนกลืนไม่ลง
“เมื่อสามอาทิตย์ก่อนอาการคุณกำเริบใช่มั้ย ลองเล่าให้ผมฟังหน่อยว่าตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง”ซิ่วหมินวางถ้วยเซรามิคใน มือลงและเอ่ยถามอย่างจริงจัง ที่เขาเดินทางไปประเทศจีนไม่ใช่เพียงเพราะจะไปเก็บสมุนไพร แต่เขาไปพบหมอแผนจีนโบราณท่านหนึ่งเพื่อปรึกษาอาการป่วยของชานยอลด้วย
“มันจะปวดหัว ปวดมากขึ้นทุกครั้ง แล้วผมก็เห็นภาพแปลกๆ ภาพสายฝนกับ...ผู้หญิง สลับกันไปมาอยู่ในหัว”ชานยอลไม่เข้าใจอาการป่วยของตัวเองเลยจริงๆ แล้วไหนจะภาพเหล่านั้น ภาพที่บางครั้งเขาก็พยายามจะนึกให้ออกว่ามันคืออะไร แต่ในบางครั้งเขากลับกลัวที่จะนึกถึงมัน
ซิ่วหมินพยักหน้ารับฟัง อาการชานยอลตรงกับคำพูดหมอจีนที่เขาไปปรึกษามา อาการปวดศีรษะเป็นเพียงผลข้างเคียงเท่านั้น เขาได้แต่เหลือบตามองเด็กหนุ่มด้วยความสงสาร ซิ่วหมินเข้าใจเหตุผลที่อี้ฝานไม่ยอมให้ชานยอลรับการรักษาแต่ถ้าอี้ฝานยังปล่อยให้อาการของชานยอลกำเริบบ่อยๆ อยู่แบบนี้ สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุดคงจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าแน่
“ผมป่วยเป็นอะไรกันแน่ฮะ คุณซิ่วหมิน”ที่ผ่านมาซิ่วหมินบอกเพียงแต่ว่าร่างกายชานยอลไม่แข็งแรงทำให้ปวดหัวบ่อย ตอนเด็กเขายังไม่รู้เรื่องมากนักจึงเชื่อแบบนั้นมาตลอด แต่พอโตขึ้นเขารู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น อะไรที่ทุกคนพยายามปิดบังเขาอยู่
“คุณหนูคงเครียดเลยปวดหัว ยิ่งตอนนี้ถูกกักบริเวณคงเกิดภาวะเครียด ไว้ผมจะบอกให้คุณคริสพาไปเที่ยวดีมั้ย”ซิ่วหมินเลี่ยงที่จะไม่ตอบตรงๆ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องอาการป่วยของชานยอล
“เหอะ”ปากบางเบ้อย่างไม่สบอารมณ์ คนอย่างอี้ฝานน่ะเหรอจะพาเขาไปเที่ยว ไม่มีทางเสียละ ถ้าคำพูดซิ่วหมินมีอิทธิพลมากพอแค่ขอให้ฝ่ายนั้นยอมปล่อยเขาออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนก็พอแล้ว นี่เหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าจะพ้นโทษกักบริเวณของคนใจร้ายนั่น
ซิ่วหมินอยู่คุยด้วยต่ออีกสักพักและพยายามคะยั้นคะยอจนชานยอลจำใจดื่มยาบำรุงจึง ขอตัวกลับ ชานยอลกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งหลายวันมานี้เซฮุนไม่ได้มาหาส่วนอี้ชิงก็โทรมาบอกเพียงแต่ว่าต้องอยู่ที่ ญี่ปุ่นต่ออีกหลายวันเพราะลู่หานได้รับอุบัติเหตุจากการถ่ายทำมิวสิควีดีโอ ทุกคนต่างมีหน้าที่ มีงานที่ต้องทำ
...มีเพียงแค่เขาที่เหมือนใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ
ฝีเท้ายาวหยุดชะงักลงเพราะภาพเบื้องหน้า ร่างโปร่งบางถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นจนมองดูคล้ายภาพวาดล้ำค่า จมูกโด่งรั้นกับริมฝีปากสีสดถูกประดับไว้บนใบหน้าเรียวเล็กอย่างลงตัว ดวงตาหงส์คู่นั้นสามารถสะกดผู้คนให้หลงใหล
ชานยอล...งดงามหากแต่ก็เปราะบางเกินกว่าที่เขาจะกล้าเอื้อมคว้ามาไว้ในกำมือ
ดวงตาที่มักฉายแววหม่นหมองหันมา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ความสดใสของเด็กคนนี้ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าสร้อย หรือเขาละเลยชานยอลเกินไปอย่างที่ซิ่วหมินกล่าวหาจริงๆ ร่างสูงใหญ่เดินไปหยุดยืนใกล้น้องชาย คลี่ผ้าคลุมไหล่ในมือห่อหุ้มร่างผอมบางให้
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว เข้าบ้านเถอะ”
อี้ฝานรู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อยกับคำพูดและการกระทำของตัวเอง แม้ว่าตอนเด็กเขากับน้องชายจะสนิทกันมากแต่ช่วงเวลานั้นมันก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ระหว่างพวกเขาสองคนเหมือนต่างเว้นช่องว่างระหว่างกัน ทำให้เกิดความอึดอัด ทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กันตามลำพัง เขาจึงเลือกที่จะไม่เข้าใกล้หรือเลี่ยงที่จะพบหน้าชานยอล จนความสัมพันธ์ของพวกเขายิ่งแย่ลง
“ผมนึกว่าพี่บินไปหาพี่ลู่หานแล้วเสียอีก”
ชานยอลเงยหน้าถามพี่ชายพลางกระชับผ้าคลุมแน่นขึ้น เขาพยายามเมินเฉยต่อการดูแลใส่ใจของอี้ฝาน เพราะมันเป็นเรื่องปกติธรรมดานี่น่าที่พี่จะดูแลน้อง
“อี้ชิงอยู่ด้วยก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”เขามั่นใจว่าอี้ชิงจะดูแลลู่หานเป็นอย่างดีแน่นอน
คนฟังส่ายหัวเบาๆ กับคำตอบที่ได้รับ อี้ชิงเป็นคนที่อี้ฝานไว้วางใจมากจนมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ทำอยู่บ่อยครั้ง แต่อี้ฝานจะรู้บ้างมั้ยว่าบางเรื่องก็ให้คนอื่นทำแทนเจ้าตัวไม่ได้ เหมือนอย่างที่อี้ชิงดูแลชานยอลดีขนาดไหนความรู้สึกก็ไม่เหมือนกับที่อี้ฝาน เคยทำ
“เธอจะว่ายังไง ถ้าหากคุณพ่ออยากให้เธอหมั้นกับเซฮุน”อี้ฝานลองเลียบเคียงถามถึงความรู้สึกที่ชานยอลมีต่อเซฮุน เขาถูกคนเป็นพ่อบีบให้เร่งจัดการเรื่องของเด็กสองคนนี้โดยที่เขาหาเหตุผลมาคัดค้านไม่ได้
ดวงตาเรียวเบิ่งกว้างหันมองพี่ชายอย่างตัดพ้อ อี้ฝานต้องการจะผลักไสเขาไปไกลๆ ขนาดนั้นเชียวหรือที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันยังไม่พออีกหรือไง ชานยอลพยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งสงบและเอ่ยถามออกไป
“แล้วพี่ว่าไงละฮะ เห็นด้วยกับพ่อมั้ย”ชานยอลจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทที่ลึกสุดจะหยั่งของอีกฝ่ายอย่างค้นหา เขาอยากรู้ว่าอี้ฝานยินดีที่จะเห็นเขาเป็นของคนอื่นจริงๆหรือ
“นอกจากเซฮุน ฉันก็ไม่เห็นใครเหมาะสมกับเธออีกแล้ว”เสียงทุ้มราบเรียบตอบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบเข้ากับดวงตาเรียวหงส์คู่นั้น สิ่งที่เขาพูดออกไปคือเรื่องจริงเพราะหากชานยอลต้องแต่งงานฝากชีวิตไว้กับใครสักคน โอเซฮุนเป็นคนที่เขาไว้ใจและคู่ควรกับชานยอลมากที่สุด
“คิก ตอนแรกก็หนีไปเรียนที่แคนนา ตอนนี้ยังรีบผลักไสผมไปให้คนอื่น” ริมฝีปากสีสดเหยียดยิ้มเย็น ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมือบางลูบสาบเสื้อคนตรงหน้าช้าๆ ยื่นใบหน้าไปใกล้จนริมฝีปากแทบสัมผัสกัน“อย่าทำให้ผมคิดว่าพี่กำลังกลัวอยู่สิ...พี่คริส”
อี้ฝานผลักร่างแบบบางของน้องชายออกเบาๆ ใบหน้าหวานประดับไปด้วยรอยยิ้มแต่ดวงตากลับไม่มีแววรื่นรมย์อยู่เลย
“ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าพี่จำเรื่องคืนนั้นไม่ได้”
ริมฝีปากสีสดเอ่ยเอื้อนออกมาช้าๆ ก่อนจะเดินผ่านร่างสูงใหญ่ไปพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเบามาตามสายลม
ชานยอลยังจำวันที่เขาได้ออกงานสังคมครั้งแรกเมื่อตอนอายุสิบสองปีได้ดี มันเป็นงานฉลองวันเกิดของคุณปู่ที่เชิญทั้งเครือญาติและนักธุรกิจที่อยู่ใน แวดวงสังคมชั้นสูงมาร่วมงาน แน่นอนว่าดาวเด่นในงานคงหนีไม่พ้นอู๋อี้ฝาน ลูกชายคนโตของอู๋หลงประธานใหญ่ของบริษัทและยังเป็นหลายชายคนโปรดของนายท่าน อู๋อีกด้วย ต่างจากชานยอลที่ถูกมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นจากคนรอบข้างและตามมาด้วย เสียงซุบซิบที่ไม่เบานัก
‘นั่นน่ะเหรอลูกชายคนเล็กของประธานอู๋หลง ยังกับเด็กผู้หญิงแน่ะ จริงหรือเปล่าที่เขาลือว่าท่านอู๋ไม่ชอบหลานชายคนนี้’
‘แต่ฉันได้ยินคนเขาลือกันว่าเด็กนั่นเป็นลูกนอกสมรสของท่านประธานล่ะ คุณนายอู๋เสียใจมากยื่นคำขาดไม่ยอมให้ร่วมตระกูล’
‘จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ดี’
เด็กหนุ่มเลี่ยงตัวออกจากสายตาและเสียงเหล่านั้นพาร่างแบบบางของตัวเองมายืนอยู่ มุมหนึ่งของห้องโถงกว้างที่ใช้เป็นสถาณที่จัดงาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขาได้ยินอะไรแบบนี้ พ่อแม่และพี่ชายเคยบอกว่าไม่ให้ใส่ใจและเขาก็ทำตาม เพราะชานยอลรู้ดีแก่ใจว่าคุณแม่รักเขามากเพียงใดเรื่องพวกนั้นก็เป็นเพียง ข่าวลือของพวกที่ไม่หวังดีต่อครอบครัวของเขาเท่านั้น
ดวงตาเรียวกวาดมองหาร่างสูงของพี่ชาย อี้ฝานโด่นเด่นเสมอแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชนใบหน้าราวรูปสลักไร้ที่ติกำลังแย้มยิ้มกับบรรดาหญิงสาวที่ห้อมล้อมเขาอยู่ ชานยอลรู้ว่าพี่ชายเป็นที่หมายปองของใครต่อใคร ทั้งด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ฐานะเงินทองและความเป็นสุภาพบุรุษจึงไม่แปลกเลยที่ทั้งหญิงและชายจะพยายามเข้าหาเพื่อจับจองเป็นเจ้าของหัวใจชายหนุ่มที่เพรียบพร้อมคนนี้
‘สวัสดีครับ ผมหวงจือเทาให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้มั้ย’
สำเนียงภาษาเกาหลีแปร่งหูเรียกให้ชานยอลละสายตาจากพี่ชายให้หันกลับมาหาเด็กหนุ่ม อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มือใหญ่ผายออกตรงหน้าอย่างรอคอยคำตอบ ดวงตาดำสนิทดูเป็นมิตรจนชานยอลยิ้มตอบกลับไปแต่ก็ยังลังเลกับคำเชิญชวนของ อีกฝ่าย
‘เอ่อ...’
‘เสียใจด้วยนะ แต่เด็กคนนี้มีคู่เต้นรำแล้ว...คือฉัน’
ชานยอลยังไม่ทันจะได้ตอบรับหรือปฎิเสธ อี้ฝานก็มาปรากฎตัวอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ท่อนแขนกว้างโอบเอวบางดึงรั้งให้ร่างเล็กขยับใกล้ชิดกันมากขึ้นจนคนที่ชื่อหวงจือเทาส่งยิ้มแหยและถอยจากไป
‘ฉันไปเป็นคู่เต้นรำของพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่’ดวงหน้าหวานยื่นปากถามอย่างแง่งอนและเดินหนีออกจากห้องโถงไปทางสวนด้านข้างที่ปลอดผู้คน
‘งอนอะไรละเรา’ คนตัวโตที่เดินตามมาง้อคนขี้งอนเอ่ยถามพลางทรุดตัวลงนั่งบนม้าหินและไม่ลืมที่จะรั้งร่างบางให้นั่งลงบนตักตัวเอง
‘ก็พี่ไม่สนใจฉันเลยนี่น่า’ชานยอลไม่เคยโกหกพี่ชาย เขารู้สึกยังไงก็จะพูดออกไปแบบนั้น คิดถึงก็บอกคิดถึง รักก็บอกรักหรืออย่างตอนนี้ที่กำลังงอนก็บอกออกไปตามตรง
‘ไม่สนใจที่ไหนกัน ก็ชานยอลไปยืนหลบมุมอยู่ตรงนั้นพี่หาตั้งนานกว่าจะเจอ’มือใหญ่โอบเอวบางแน่นขึ้นหลังจากได้ยินเสียงพ่นลมหายใจของคนในอ้อมกอด
‘ฉันไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตานี่น่า คนในงานชอบมองฉันแล้วก็ซุบซิบกันเหมือนฉันเป็นตัวประหลาดเลย’ชานยอลยู่หน้าอย่างน่ารักใส่พี่ชายจนจมูกแทบจะชนกัน คนตัวโตจึงอดที่จะยกมือขึ้นมาบีบจมูกอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้
‘ก็เพราะวันนี้ชานยอลน่ารักมาก ใครๆ ก็พากันชม คนพวกนั้นมองจนพี่หวงเลยรู้มั้ยพี่หวงไม่อยากให้ใครมอง ไม่อยากให้ใครแตะต้อง’ดวงตาคมแฝงไปด้วยความอ่อนโยนยามอยู่ต่อหน้าน้องชายที่เป็นดั่งดวงใจ
‘อี้ฝานนั่นแหละที่มีแต่คนมอง แล้วฉันหวงพี่บ้างได้หรือเปล่า’ชานยอลถามกลับอย่างตรงไปตรงมา ‘ฉันไม่อยากให้อี้ฝานใจดีกับคนอื่น ไม่อยากให้ยิ้มให้ ไม่อยากให้อี้ฝานรักใครมากกว่าฉัน’
ชานยอลรู้ว่าตัวเองขี้หวง เขาก็แค่รักพี่ชายคนนี้มากจนไม่อยากให้ใครมาแย่งไปก็เท่านั้น ดวงตาเรียวมองคนตัวโตด้วยสายตาที่ไม่ปิดบัง รอคอยคำตอบที่จะยืนยันให้เขาได้มั่นใจ
‘พี่จะไม่มองคนอื่น ไม่รักใครมากกว่าชานยอล ชานยอลสำคัญที่สุดสำหรับพี่’อี้ฝานเอ่ยคำอย่างหนักแน่นทำให้หัวใจดวงน้อยพองโต มือเล็กยื่นนิ้วก้อยออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายเกี่ยวก้อยสัญญาแบบที่เคยทำ
‘สัญญานะ’
‘อื้ม สัญญา’
ภายใต้แสงจันทร์สีเหลืองนวล สองพี่น้องพากันขยับตัวเต้นรำไปตามจังหวะเพลงบัลลาดจากวงดนตรีชื่อดัง ด้วยความสูงที่ต่างกันมากทำให้ใบหน้าหวานต้องเงยขึ้นเพื่อสบตากับดวงตาคมที่กำลังมองมา มีเพียงดวงจันทร์ ต้นไม้และสายลมเท่านั้นที่เป็นพยานรับรู้ถึงบรรยายระหว่างพวกเขาที่มีเพียงรอยยิ้มเสียงหัวเราะและความอบอุ่นอ่อนโยน
ชาน ยอลไม่เคยรับรู้ถึงเส้นแบ่งของความรัก เขาก้าวผ่านเส้นนั้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะชานยอลไม่เข้าใจความรักฉันท์ชู้สาว เด็กน้อยรู้เพียงแต่ว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ชาย ขาดไม่ได้ห่างไม่ได้ ชานยอลติดพี่ชายมากไม่ว่าอี้ฝานจะไปไหนเขาก็จะตามติดไปด้วยเป็นพี่น้องที่รักใคร่สนิทสนมกันมากในสายตาคนอื่น
ใช่...มันควรจะเป็นแบบนั้น หากไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ชานยอลเรียนรู้ถึงความแตกต่างของความรัก
เสียงประตูถูกเปิดออกปลุกให้ชานยอลในวัยสิบสี่ปีตื่นจากนิททรา ดวงตาปรือขึ้นมองจางอี้ชิงประคองร่างพี่ชายตนเองที่กำลังเมามายเข้ามาในห้องนอน เห็นดังนั้นชานยอลจึงรีบเด้งตัวขึ้นจากเตียงของอี้ฝานไปช่วยรับร่างสูงของคนพี่เป็นไว้
‘คุณหนูช่วยไปปลุกพ่อบ้านมาเช็ดตัวให้คุณคริสทีนะครับ ผมต้องไปส่งคุณลู่หานต่อ ทางนั้นก็เมามากเหมือนกัน’อี้ชิงสั่งความสั้นๆ และรีบออกไป
ชานยอลหันมองคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง จมูกรั้นพ่นลมแรงๆ กับกลิ่นแอลกอฮอร์ที่ฉุนกึก พวกผู้ใหญ่นี่นะทำไมถึงชอบกินน้ำขมๆ นั่นกันก็ไม่รู้ ร่างเล็กไม่ได้ไปตามพ่อบ้านอย่างที่อี้ชิงบอกไว้แต่กลับหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำในห้องน้ำออกมาแทน
‘เดี๋ยวฉันเช็ดตัวให้นะอี้ฝาน’
มือบางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนเป็นพี่ออกจนเกือบหมด ใช้ผ้าขนหนูบิดมาดไล่เช็ดตามใบหน้าหล่อจัดลงมาถึงลำคอและแผงอกกว้าง ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกหน้าร้องผ่าวยามเมื่อไล้สัมผัสผ่านแผ่นอกกำยำ
‘อื้อ…’อี้ฝานส่งเสียงในลำคอเมื่อสัมผัสเย็นปัดผ่านร่างกาย ดวงตาคมปรือปรอยขึ้นเล็กน้อย
‘อยู่เฉยๆสิ’
ชานยอลออกปากดุ แต่ผลที่ได้คือถูกคนเมาดึงข้อมือจนร่างเล็กถลาเข้าสู่อ้อมอก ใบหน้าใสเงยมองคนครึ่งหลับครึ่งตื่นพยายามดันตัวเองออกจากผิวกายร้อนแต่วงแขนกว้างกลับโอบรัดรอบเอวบางไว้จนขยับตัวไม่ได้
‘อี้ฝาน’น้ำเสียงใสของเด็กที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มเอ่ยเรียกอย่างไม่แน่ใจ อ่า ทำไมหัวใจของเขาถึงได้เต้นแรงขนาดนี้นะ
เจ้าของชื่อไม่ตอบคำ นิ้วยาวไล้ไปตามแก้มเนียนเรื่อยมาจนถึงกลีบปากสีสดปัดผ่านอย่างอ้อยอิ่งและโดยที่ไม่ทันยับยั้งชั่งใจมือหนาก็กดท้ายทอยคนตัวเล็กลงรับจูบแผ่วเบา สัมผัสความนุ่มละมุนที่ไม่เคยมีใครได้ลิ้มลองความหวานซ่านชวนให้เขาหลงใหลขบเม้มกลีบปากบางและสอดแทรกลิ้นชื้นเข้าไปกวาดชิมด้านใน มือใหญ่เลื่อนขึ้นประคองใบหน้าหวานไว้ เอียงมุมให้ริมฝีปากแนบชิดกันยิ่งขึ้น
ชานยอลไม่ไร้เดียงสาขนาดที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกกระทำอยู่คืออะไร แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมถึงไม่ปฏิเสธมัน ดวงตาเรียวพริ้มลงยามเมื่ออีกฝ่ายมอบความอ่อนโยนให้ เผยอปากออกให้ลิ้นร้อนเข้ามากวาดชิมความหวานความอ่อนโยนหอมหวานของรสจูบที่ชานยอลเพิ่งเคยสัมผัส ความหวานละมุนเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นเมื่อร่างถูกจับพลิกให้เป็นฝ่ายนอนราบลงกับพื้นเตียงโดยมีร่างสูงทาบทับอยู่ด้านบน
ลิ้นร้อนรุกเร้าเอาแต่ใจแฝงไปด้วยความต้องการ เด็กน้อยปล่อยให้อีกฝ่ายฉกชิงความหวานอย่างเต็มใจ ซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่าจนกลีบปากแดงช้ำ หัวใจดวงน้อยเต้นรัวกับบทเรียนใหม่ที่ได้รับ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายจงใจบดเบียดสะโพกลงมาจนส่วนนั้นเสียดสีกัน ความรู้สึกเสียวซ่านที่ไม่เคยพานพบก็ทำให้ท่อนขาเรียวยกขึ้นจิกปลายเล็บไว้กับผ้าปูเตียงเพื่อบรรเทาความรู้สึก
จมูกโด่งซุกไซ้ตามซอกคอขาว ความเจ็บจี๊ดแล่นผ่านทุกที่ที่ถูกริมฝีปากหยักครอบครอง ชานยอลรู้ว่าคงกำลังถูกอี้ฝานตีตรา เสื้อนอนเนื้อดีถูกปลดออกทิ้งไว้ข้างเตียงเมื่อฝ่ามือร้อนสัมผัสตามผิวกายหนักเบาสลับกัน คนตัวเล็กต้องกัดริมฝีปากไว้แน่นเมื่อรับรู้ถึงความชื้นแฉะบนแผ่นอก แรงดูดดึงขบเม้มสร้างความรัญจวนจนเผลอขยุ้มกลุ่มผมสีสว่างไว้ แผ่นอกบางก็แอ่นขึ้นรับสัมผัสตามอารมณ์ที่ถูกปลุกปั้น
เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อกลางกายถูกสัมผัสก่อนจะโดนครอบครองด้วยความร้อนชื้น จังหวะเร่งเร้าเอาใจทำให้ครั้งแรกของเด็กหนุ่มถูกปลดปล่อยออกมา ร่างบางหอบหายใจถี่รัวดวงตาปรือปรอยด้วยอารมณ์เสน่หาที่ยังถูกเต็มเติมไม่หมด
‘อี้ฝาน’
ร่างสูงไม่ดำเนินบทรักต่อแต่เคลื่อนกายขึ้นมาซบใบหน้าลงบนลาดไหล่บาง ลมหายใจผ่อนหนักทำ ให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอดกลั้นความต้องการมากเพียงใด
‘...ไม่ได้’เสียงแหบพร่าคล้ายพึมพำกับตัวเอง ชานยอลจับความสั่นไหวและปวดร้าวในน้ำเสียงได้ มือบางลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลมทั้งที่ตัวเขาเองก็ยังสับสน จวบจนลมหายใจเข้าออกของคนที่กอดรัดเขาอยู่เริ่มสม่ำเสมอเขาจึงรู้ว่าอี้ฝานหลับไปแล้ว ร่างเล็กพลิกตัวเพื่อให้มองใบหน้าหล่อจัดได้เต็มตาขึ้น
ดวงตาเรียวยังไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้เมื่อนึกถึงเรื่องราวระหว่างเขากับพี่ชาย อี้ฝานอาจไม่ได้ตั้งใจแต่ด้วยความเมาทำให้ขาดสติ แต่ตัวเขามีสติดีทุกอย่างทำไมถึงยังปล่อยให้มันเกิดขึ้น
ชานยอลไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ปฎิเสธ ทำไมถึงได้ใจเต้นกับสัมผัสนั้น ทำไมถึงได้มีความสุขยามถูกอี้ฝานโอบกอดจนอยากให้อ้อมกอดนี้เป็นของเขาเพียงผู้เดียว ทั้งหมดนี่มันเป็นความรู้สึกที่น้องพึงมีต่อพี่ชายแน่หรือ?
หลังจากเรื่องวันนั้นอี้ฝานยังทำตัวปกติทุกอย่างเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น จนชานยอลลองเลียบเคียงถามถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเมาจนจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ เขาจึงไม่ได้คำตอบว่าสิ่งที่อี้ฝานทำมันหมายความว่ายังไง ชานยอลไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างกันให้ใครฟังแม้แต่อี้ชิงหรือเซฮุนเขาเก็บมันเอาไว้เป็นความลับและเริ่มรับรู้หัวใจตัวเองทีละนิดถึงความ รู้สึกที่มีต่ออู๋อี้ฝาน
แต่ยิ่งชานยอลรู้ใจตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่เหมือนอี้ฝานก็ยิ่งพยายามถอยหนีไม่ยอมรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา และยิ่งเลวร้ายลงอีกเมื่ออี้ฝานตัดสินใจไปเรียนต่อที่แคนาดากับลู่หาน ร่างเล็กนั่งกอดเข่าปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาเงียบๆ เขาหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่ศาลาริมน้ำนี้เพราะไม่อยากทนมองอี้ฝานขึ้นเครื่องบินข้ามไปอีกซีกโลกหนึ่ง ไปในที่ที่ไม่มีปาร์คชานยอล
‘ชานยอล’
เสียงตะโกนอย่างห่วงกังวลดังผ่านละอองหิมะที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย อู๋อี้ฝานวิ่งข้ามสะพานไม้ผ่านสระน้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ในศาลารับลมมีร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยจอมดื้อขดตัวอยู่มุมด้านหนึ่ง ภาพนั้นบีบหัวใจจนเข้ารีบพุ่งตัวเข้าไปดึงเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอกเพื่อให้ ความอบอุ่น
‘อี้ฝาน ฮึก พี่อย่าไปได้มั้ย ’ท่อนแขนเล็กโอบรัดเอวพี่ชายไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยมืออีกฝ่ายจะสลายหายไปกับตา
‘ชานยอล...พี่ไปเรียนแค่สี่ปีเอง เดี๋ยวก็กลับมาอยู่กับชานยอลแล้ว’อี้ฝานพูดปลอบประโลม มือใหญ่ก็ลูบหัวลูบหลังอย่างสงสาร ร่างกายชานยอลเย็นเฉียบจนเขาใจไม่ดี รีบถอดเสื้อคลุมห่มร่างน้องไว้ ‘เข้าบ้านกันเถอะนะ’
‘ไม่...พี่ใจร้าย พี่เกลียดฉันใช่มั้ย ถึงจะทิ้งฉันไปแบบนี้’เด็กน้อยสะอื้นหนักพ่นสิ่งที่อัดอั้นภายในใจออกมา
วงแขนกว้างโอบรัดแน่นขึ้น ไอร้อนที่เป่ารดหน้าอกทำให้รู้ว่าชานยอลมีไข้สูง เขาก้มลงเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าหวานที่พริ้มตาหลับเพราะพิษไข้
ก่อนที่สติจะดับวูบลงเขาคล้ายได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล เสียงที่ชานยอลเองยังไม่แน่ใจว่าเป็นเพียงฝันหรือเรื่องจริง
‘พี่ไม่มีวันเกลียดชานยอล แต่เพราะรัก...รักมากต่างหากถึงต้องไป ชานยอลอย่าลืมความรักของพี่นะ ห้ามลืม...’
ชานยอลไม่มีโอกาสได้รับรู้ความหมายของคำพูดนั้นเพราะวันต่อมาอี้ฝานก็เดินทางไปเรียนต่อที่แคนาดา เหตุการณ์ในครั้งนั้นมันเลือนรางอยู่ในความทรงจำจนบางครั้งเขาคิดว่าอาจจะ แค่ฝันไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจคือความรู้สึกที่มีต่ออี้ฝาน มันชัดเจนและไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจนถึงวันนี้
ปาร์คชานยอลรักอู๋อี้ฝาน รักทั้งที่รู้ว่ามันผิด
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
เช้านี้ชานยอลตื่นเร็วกว่าปกติ เขารู้สึกเป็นห่วงเซฮุนมากจนแทบนอนไม่หลับเพราะเมื่อวานโทรไปหาที่บ้านเด็กรับใช้ก็บอกว่าเซฮุนไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของเจ้านั่นเลยที่จะไปค้างที่อื่นโดยไม่บอกกล่าว เซฮุนน่ะติดบ้านจะตายหรืออันที่จริงหมอนั่นติดคนในบ้านมากกว่า
ปัง!
ลมพัดจนประตูถูกกระแทกปิดเสียงดังทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองสะดุ้งโหยง ดวงตาหงส์มองไปทางต้นเสียงคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยเพราะเสียงเมื่อกี้ดังมาจากปีกด้านหลังของตัวคฤหาสน์ บริเวณนั้นเป็นห้องนอนของพ่อแม่ที่ตอนนี้อยู่ประเทศจีนและห้องเก็บของที่ถูกล็อคเอาไว้ไม่น่าจะมีเสียงปิดประตูได้
ความสงสัยทำให้ท่อนขายาวเปลี่ยนทิศทางไปหาคำตอบ ถึงอู๋หลงและคุณนายจะไม่ค่อยได้กลับมาเกาหลีแต่พื้นที่บริเวณนี้ก็ไม่เคยถูกละเลยให้สกปรกจนฝุ่นเกาะ ชานยอลจับลูกบิดประตูห้องนอนของพ่อแม่แต่พบว่ามันยังคงถูกล็อคเอาไว้เหมือนเดิม เขาจึงหันไปทางอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่สุดปลายโถงทางเดิน
ตั้งแต่จำความได้ชานยอลไม่เคยเห็นห้องนี้ถูกเปิดเลยสักครั้ง เขาเองก็ไม่เคยเฉียดเข้ามาใกล้เพราะคิดว่าเป็นห้องเก็บของไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่วันนี้เหมือนประตูไม้สีขาวนั่นจะดึงดูดให้เขาเข้าไปหาอย่างประหลาด มือเรียวเอื้อมจับลูกบิดทั้งที่คิดว่ามันน่าจะล็อคอยู่แต่ผิดคาดเมื่อเขาสามารถผลักบานประตูให้เปิดเข้าไปด้านในได้
จากที่คิดว่าจะพบห้องที่รกเต็มไปด้วยข้าวของที่ไม่ใช้แล้วกลับเป็นห้องนอนขนาด กลางตกแต่งด้วยสีเขียวพาสเทลผสมสีขาว เฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งภายในห้องนี้บ่งบอกว่าเจ้าของน่าจะเป็นผู้หญิง แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านมาตามผ้าม่านสีขาวบางทำให้บรรยายกาศในนี้ดูละมุนสายตาอย่างบอกไม่ถูก ชานยอลก้าวเข้าไปสำรวจภายในห้องอย่างลืมตัว
เตียงเดี่ยวหลังเล็กถูกตั้งอยู่กึ่งกลางของห้องข้างกันมีตู้ขนาดย่อมที่ใช้วางโคม ไฟและหนังสือสองสามเล่ม ถัดไปอีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่ข้าวของยังวางไว้เหมือนห้องนี้มีผู้อยู่อาศัย ดวงตาเรียวละจากสิ่งของตรงหน้าเพราะกลิ่นหอมจากดอกโบตั๋นสีชมพูที่ถูกเสียบ ไว้ในแจกันเหมือนเพิ่งมีคนนำมาตั้งไว้ เหนือขึ้นไปจากแจกันดอกไม้เป็นรูปภาพขนาดใหญ่บนผนังฝั่งตรงข้ามเตียง ภาพหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังยิ้มจนตาหยีท่ามกลางทุ่งดอกโบตั๋นสีชมพูสวยงามจนคล้ายอยู่ในความฝัน มุมขวาสุดด้านล่างภาพมีตัวอักษรจีนคำหนึ่งประดับอยู่
เมิ่ง...
เมิ่งที่แปลว่าความฝัน ถ้ารูปนี้เปรียบดั่งความฝัน ก็คงเป็นความฝันอันงดงาม
มือเรียวเผลอเอื้อมไปสัมผัสโครงหน้าสวยหวานของคนในรูปภาพ ใบหน้านี้ แววตาแบบนี้เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ยังไม่ทันที่ชานยอลจะพยายามนึกให้ออกสายตาก็พลันสะดุดเข้ากับสร้อยข้อมือหนังที่มีเครื่องรางรูปมังกรสีทองคล้องอยู่บนท่อนแขนเรียวเล็กของหญิงสาว
...สร้อยข้อมือแบบนี้เขาจำได้ดี เพราะเห็นเซฮุนใส่ติดตัวตลอดเวลา...
“ชานยอล!”
เสียงทุ้มห้วนดังมาจากข้างหลังทำให้ชานยอลสะดุ้งสุดตัว ก่อนที่ท่อนแขนจะถูกกระชากเข้าหาคนที่สูงกว่าอย่างแรง ดวงตาคมกริบมองมาอย่างน่ากลัว อี้ฝานไม่พูดอะไรแต่ออกแรงกึ่งลากกึ่งจูงให้ชานยอลเดินตามออกจากห้อง
เขาไม่น่าสะเพร่าลืมล็อคประตูห้องนั่นเลย อี้ฝานคิดอย่างหัวเสีย ปกติห้องนั้นจะถูกล็อคเอาไว้ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปเด็ดขาด ยกเว้นก็เพียงแค่วันนี้ของทุกปีที่เขาจะต้องเอาดอกโบตั๋นสีชมพูเข้าไปเปลี่ยนในแจกัน แต่ถึงแม้กลิ่นดอกไม้จะหอมสักแค่ไหนเธอคนนั้นก็ไม่มีวันได้รับรู้มันอีกต่อไป
“พี่คริสผมเจ็บ”เสียงประท้วงของชานยอลทำให้อี้ฝานรู้ตัวว่าออกแรงบีบข้อมือน้องชายแรงเกินไปเขาจึงรีบปล่อยทันที
ตอนที่เห็นชานยอลมองรูปภาพนั้นอย่างเหม่อลอย หัวใจของอี้ฝานคล้ายกระตุกวูบ เขากลัว...กลัวเหลือเกินว่าเธอจะพรากชานยอลไป
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอฮะ”คำถามที่อี้ฝานกลัวหลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มสด เขารู้ว่าเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามไม่ได้ ดวงตาคมเสมองทางอื่นก่อนจะเอ่ยให้คำตอบ
“อู๋เมิ่งเจีย เป็นลูกสาวบุญธรรมของคุณปู่คุณย่า น้องสาวของคุณพ่อ”
“งั้นก็เป็นคุณอาของพวกเราน่ะสิ แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนทำไมผมไม่เคยเจอเลยละ”ชานยอลเข้าใจมาตลอดว่าพ่อของเขา เป็นลูกชายคนเดียวของคุณปู่คุณย่าเพราะไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงอู๋เมิ่งเจียมาก่อน
“เธอเสียไปนานแล้ว เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เพราะสิ่งสุดท้ายที่เธอขอก่อนจากไปคือให้พวกเราลืมเรื่องของเธอซะ...”
อี้ฝานยังจำได้ดีถึงคำสั่งเสียของคุณอาอันเป็นที่รัก แต่เขากลับทำตามคำขอร้องไม่ได้และเขาก็รู้ว่าทุกคนในครอบครัวก็ทำไม่ได้เช่น เดียวกัน
เมิ่งเจีย...หญิงสาวที่แสนอ่อนโยนยังคงอยู่ในความฝันอันสวยงามของพวกเราทุกคน
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
ชานยอลกำลังนอนเหยียดขาอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องทำงานของอี้ฝานที่บริษัท เมื่อเช้าเขาถูกพี่ชายลากออกจากบ้านมาด้วย ดีที่ฝ่ายนั้นยอมคืนโทรศัพท์มาให้ทำให้เขาได้เล่นเกมส์แก้เบื่อ พอเปิดเครื่องมามีข้อความเกือบร้อยที่ส่งเข้ามาตอนปิดเครื่องอยู่แต่ชานยอลก็ไม่กล้ากดเบอร์โทรออกหาใครเพราะสายตาดุๆ เหลือบมองมาตลอดเวลา
ไม่เข้าใจเลยว่าอี้ฝานจะลากเขามาทำไม ชานยอลเหยียบย่างเข้ามาที่บริษัทแห่งนี้นับครั้งได้ เขาไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมากนักในตระกูล เมื่อเช้าตอนเดินเข้ามาพนักงานต่างก็มองกันด้วยสายตาแปลกใจมีเพียงคนเก่าแก่ ที่รู้ว่าชานยอลเป็นใคร พวกพนักงานใหม่ไม่มีใครรู้เสียด้วยซ้ำว่าอู๋อี้ฝานมีน้องชาย
ดวงตาคมเหลือบมองคนที่เดี๋ยวก็ทำหน้าสงสัยเดี๋ยวก็ทำหน้ามุ่ย เมื่อเช้าเขาแค่ต้องการพาชานยอลออกจากบ้านเพราะแค่อยากให้น้องชายเลิกคิดเรื่องของคุณอาเมิ่งเจียโดยที่ไม่รู้ว่าจะพาไปไหนดีเลยจับมานั่งในห้องทำงานด้วยกันเสียเลย เขาคืนโทรศัพท์ให้ชานยอลจะได้มีอะไรทำเบี่ยงเบนความสนใจจนลืมเรื่องเมื่อ เช้าไป
เรื่องราวของเมิ่งเจีย ขอให้มันตายไปพร้อมกับเธอและเหยียนเหออย่าได้ดึงชานยอลให้จมสู่วังวนนั้นเลย
“ฉันจะไปประชุม เธอรออยู่ในนี้ห้ามออกไปไหน”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกความสนใจจากคนที่นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์
“ชิ”ชานยอลแอบส่งเสียงขึ้นจมูกเบาๆ แต่ถึงเบาแค่ไหนอี้ฝานก็ได้ยินเพียงแต่ทำเป็นไม่สนใจเท่านั้น ร่างสูงหยิบเสื้อสูทขึ้นมาสวมทับและเดินออกจากห้องไป
รอจนแน่ใจว่าอี้ฝานจะไม่กลับมา ร่างสูงโปร่งจึงลุกขึ้นเดินสำรวจห้องทำงานของพี่ชาย เขาเดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ กรอบรูปครอบครัวเรียกให้ริมฝีปากสีสดยกยิ้ม รูปพ่อแม่ อี้ฝานและชานยอล ในรูปนี้พวกเขายังเป็นครอบครัวที่อบอุ่นอยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข
แล้วตอนนี้ละมันคืออะไร หรือจะเป็นเพราะเขาเองที่ทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว หากชานยอลแกล้งไม่รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง หากเขายังทำตัวเป็นน้องชายคนเดิมของอี้ฝาน...
อยู่ๆ ดวงตาเรียวก็ลื้นด้วยหยาดน้ำตาเมื่อฉุกคิดบางเรื่องขึ้นมาได้ สิ่งที่อี้ฝานทำมาตลอด ที่เมินเฉย ที่ไม่ยอมรับรู้หัวใจของเขาเพราะอยากจะรักษาครอบครัวไว้สินะ
ปาร์คชานยอลนายนี่มันโง่เง่าจริงๆ
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูทำให้ชานยอลรีบเช็ดน้ำตาออก คนที่เข้ามาทำให้เขาประหลาดใจแต่เมื่อคิดอีกทีแพคฮยอนเป็นนักร้องในสังกัดบริษัทนี้ การจะมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่น่าแปลกอะไร
“ชานยอล...สบายดีใช่มั้ย ฉันเป็นห่วงนายมากเลยนะ” ร่างเล็กพุ่งเข้ากอดเขาทันทีที่ชานยอลลุกเดินไปหา ดูเหมือนว่าแพคฮยอนจะไม่แปลกใจเลยที่เจอชานยอลในห้องท่านประธาน
“อื้ม สบายดีแล้วนี่นายมาได้ไง”ชานยอลถามอย่างสงสัย เพราะอี้ฝานน่าจะสั่งเลขาฯหน้าห้องไม่ให้ใครผ่านเข้ามา
“ฉันรอคุณเลขาไปเข้าห้องน้ำแล้วแอบเข้ามาน่ะ”แพคฮยอนยิ้มอย่างฉลาด ดวงตาเล็กปริ่มด้วยน้ำตา พอมองใกล้ๆ คนตัวเล็กนี่ดูสูบผอมไปเยอะเลยทีเดียว
“นายรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่?”
“ฉันได้ยินว่าท่านประธานพาน้องชายมาด้วย คิดว่าต้องเป็นชานยอลแน่ๆ เลยมาดักรอจนท่านประธานออกไป”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นน้องชายของท่านประธาน”ดวงตาเรียวหรี่มองคนตรงหน้า เขาไม่เคยบอกใครว่าตัวเองเป็นทายาทของตระกูลอู๋ แล้วแพคฮยอนรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นน้องชายของอู๋อี้ฝาน
“ขอโทษนะชานยอล บางทีฉันอาจจะรู้เรื่องของนายดีกว่าตัวนายเองเสียด้วยซ้ำ”แพคฮยอนพูดด้วยสีหน้าจริงจังเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ชานยอลรู้จักคนตัวเล็กนี่มาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเครียดขนาดนี้
“หมายความว่ายังไง”ชานยอลก้าวถอยห่างจากแพคฮยอนอย่างลืมตัว จนอีกฝ่ายใจไม่ดีรีบคว้ามือเรียวมากุมไว้
“ชานยอลลา ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย ท่านประธานขังนายไว้ในบ้านใช่มั้ยฉันจะพานายหนีเอง”พยอนแพคฮยอนตรงหน้าไม่เหมือนกับคนที่ชานยอลเคยรู้จัก
“ฉันไม่หนี ที่นั่นเป็นบ้านของฉัน พี่คริสก็เป็นพี่ชายแท้ๆ เขาแค่ลงโทษที่ฉันทำผิดเท่านั้น”ชานยอลสะบัดมือแพคฮยอนออกเบาๆ เขาสับสนไปหมด
“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะชานยอล ฉันไม่อยากให้นายต้องมีจุดจบเหมือนอู๋เมิ่งเจีย”
“นายเป็นใครกันแน่ พยอนแพคฮยอน”ชานยอลถามเสียงเข้ม ทำไมคนนอกอย่างแพคฮยอนถึงรู้เรื่องภายในของตระกูลอู๋ได้
“ไปกับฉันสิชานยอล แล้วนายจะได้รู้ความจริงทุกอย่าง”
TBC
ความคิดเห็น