คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : : : Chapter 2 : :
Chapter 2
“อาการของคุณหนูกำเริบอีกแล้วครับ ผมให้ทานยาถึงได้หลับไป”
ถึงจะไม่เห็นสีหน้าของเจ้านายเพราะอี้ฝานยืนหันหลังให้เขาอยู่ แต่จางอี้ชิงก็รู้ว่าคิ้วเข้มคงกำลังขมวดเข้าหากันอย่างห่วงกังวล ชานยอลมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่หายมาตั้งแต่เด็ก หากเครียดมากๆ จะเกิดอาการปวดศีรษะ บางครั้งเพียงแค่กินยาอาการก็ทุเลาลงแต่บางครั้งก็รุนแรงจนต้องเรียกหมอประจำตัวมาตรวจ และเพราะเหตุนี้ชานยอลถึงได้รับการดูแลทนุถนอมราวกับตุ๊กตาแก้วที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อหากมีสิ่งใดมากระทบ
“พรุ่งนี้ถ้ายังไม่หายเรียกซิ่วหมินมาตรวจด้วย” อี้ฝานสั่งโดยที่ยังไม่หันไปมองคนสนิท เขาไม่อยากเห็นสายตายิ้มๆ ที่เหมือนจะล่วงรู้จิตใจเขาไปเสียทุกเรื่องของจางอี้ชิง บางครั้งอี้ชิงก็รู้ทันเขามากเกินไปจนน่าหงุดหงิด
“ครับ แต่ระยะหลังมานี้คุณหนูอาการกำเริบบ่อยมาก ผมว่าเราน่าจะส่งตัวไปรักษาตามที่คุณซิ่วหมินแนะนำนะครับ”โรคของชานยอลไม่ถึงกับหมดทางรักษา แต่อี้ชิงไม่เข้าใจว่าทำไมอี้ฝานถึงไม่ยอมให้ชานยอลรับการรักษาอย่างจริงจัง ทั้งที่ซิ่วหมินแนะนำมาหลายวิธีแล้ว
“ฉันว่าเราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะ”
สายตาแข็งกร้าวของอี้ฝานที่หันกลับมาทำให้อี้ชิงรู้ว่าควรจบหัวข้อนี้ เขาใกล้ชิดอี้ฝานมานานจนรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร พวกเขาสองคนเป็นทั้งเพื่อนสนิทที่รู้ใจ เป็นเจ้านายกับลูกน้องที่ซื่อสัตย์และเป็นผู้มีพระคุณที่อี้ชิงตายเพื่อตอบแทนได้
“ถ้าอย่างงั้นเราก็ควรทำตามที่คุณซิ่วหมินเตือนนะครับว่าอย่าปล่อยให้คุณหนูเครียดหรือซึมเศร้า”
ซิ่วหมินเคยบอกไว้ว่าอาการของชานยอลอาจมีผลมาจากสภาวะทางจิตใจ บางครั้งอี้ชิงก็เหมือนจะเข้าใจและไม่เข้าใจไปพร้อมๆ กันกับความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถึงเขาจะสนิทกับเจ้านายทั้งสองขนาดไหน แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคนจึงไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย ได้แต่รอว่าวันหนึ่งพี่น้องคู่นี้จะเปิดใจเข้าหากัน
ดวงตาคู่คมเสมองทางอื่นเรื่องที่อี้ชิงบอกอี้ฝานรู้ดียิ่งกว่าใคร ตัวเขาเองใช่ว่าอยากจะใจร้ายกับชานยอลแต่มันมีทางอื่นให้เขาเลือกอีกหรือไง ส่วนที่สั่งกักบริเวณเพราะช่วงนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ เขาจึงอยากให้น้องอยู่ในสายตาตลอดเวลา
“เรื่องประธานคนใหม่ของตระกูลคิมว่าไง”คนเป็นเจ้านายเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนเสียดื้อๆ เพราะไม่อยากจะตอบคำถามนั้นของอี้ชิง
ตระกูลคิมเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับตระกูลอู๋มาตั้งแต่รุ่นก่อนรวมทั้งยังบาดหมางกันเรื่องส่วนตัวจนกลายเป็นศัตรู ตอนนี้ตระกูลคิมกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะทนายนำจดหมายของคิมแทวูผู้ประธานคนก่อนที่เขียนเอาไว้มาเปิดเผยเขาจึงให้อี้ชิงไปสืบเรื่องนี้
“ในจดหมายบอกว่าคิมแทวูมีลูกชายอีกคนหนึ่ง เขายกให้คิมจงอินคู่หมั้นของลูกชายคนเล็กเป็นผู้นำตระกูลคิมต่อจากเขา ผมไม่เคยได้ยินเรื่องลูกชายคนเล็กของคิมแทวูมาก่อนเลยแล้วที่น่าแปลกคือทำไมเขาถึงยกตำแหน่งสำคัญให้คู่หมั้นของลูกชาย แทนที่จะเป็นคิมจุนมยองที่ดูแลธุรกิจตระกูลคิมอยู่ตอนนี้”ในวงการธุรกิจเป็นที่รู้กันดีว่าคิมจุนมยองลูกชายเพียงคนเดียวของคิมแทวูน่าจะได้ขึ้นเป็นประธานคนใหม่ แล้วลูกชายอีกคนโผล่มาจากไหนกัน
“ลูกชายอีกคนงั้นเหรอ?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยิน อี้ฝานไม่ได้สนใจว่าใครจะได้เป็นประธานคนใหม่ของตระกูลคิม แต่ที่เขาติดใจสงสัยคือเรื่องลูกชายคนเล็กของคิมแทวูมากกว่า เพราะเด็กคนนั้นสมควรตายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว
...เด็กคนนั้นตายด้วยน้ำมือของเขาเอง แล้วคิมแทวูต้องการจะเล่นตลกอะไรกัน...
เสียง ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับการมาของใครบางคนที่ไม่ต้องลืมตามองชานยอลก็รู้ว่า คนๆ นั้นเป็นใครเพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องส่วนตัวของเขาได้ ร่างสูงใหญ่ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา ไม่มีการกุมมือแสดงถึงความห่วงใย ไม่มีอ้อมกอดที่ให้ความอบอุ่นผู้ชายคนนั้นทำเพียงแค่นั่งมองเขาเงียบๆ เช่นที่ผ่านมา
...อู๋อี้ฝานจะทำแบบนี้ทุกครั้งที่อาการป่วยของชานยอลกำเริบ...
ชานยอลปรือตาขึ้นมองสายตาที่มีแววเจ็บปวดไม่เข้าใจว่าทำไมอี้ฝานถึงมองเขาแบบนี้อีกแล้ว อาการปวดหัวทำให้ชานยอลไม่อาจข่มตาหลับได้สนิทคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างทรมาน นับวันอาการของเขาเหมือนจะรุนแรงขึ้นทุกทีและทุกครั้งที่อาการปวดหัวกำเริบ มันจะเหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นในหัวสลับกับภาพต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา ไม่ว่าชานยอลจะพยายามเพ่งสมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยปะติดปะต่อภาพเหล่านั้นได้เลย
“ทรมานจังเลย...อี้ฝาน”สติที่เลือนรางทำให้ชานยอลเผลอพูดออกไปแบบนั้น
คำเรียกที่หลุดออกมาจากกลีบปากบางทำให้อู๋อี้ฝานชะงักงันไปชั่วครู่ เพราะนานแล้วที่ชานยอลไม่ได้เรียกเขาแบบนี้...เรียกด้วยชื่อที่มีแต่คนในครอบครัวและคนสนิทเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะเรียก ชานยอลมักจะเรียกเขาด้วยชื่อที่แสดงให้เห็นว่ากำลังเว้นช่องว่างระหว่างกัน
มือหนายื่นออกไปหวังจะสัมผัสเพื่อปลอบประโลม หากแต่ความลังเลบางอย่างกลับแล่นขึ้นมาจนมือนั้นชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ดวงตาคมมีแววสับสนและในที่สุดมือใหญ่ก็ชักกลับไปโดยที่ยังไม่ได้แตะต้องชานยอลเลยแม้แต่น้อย
สำหรับชานยอลแล้วอู๋อี้ฝานก็เปรียบเหมือนดวงจันทร์...งดงามแต่เย็นชา
ดวงจันทร์ที่สาดส่องแสงสว่างมาให้เขาในยามที่หัวใจมืดมิด แสงจันทร์ที่อาจไม่ได้ให้ความอบอุ่นมากนักแต่หากขาดไปกลับรู้สึกหนาวเหน็บเยือกเย็นจนทนไม่ได้
และอู๋อี้ฝานกับดวงจันทร์เหมือนกันอีกอย่างหนึ่งคือ อยู่ในที่ที่ชานยอลมองเห็น แต่ไม่อาจสัมผัสครอบครอง....
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
หงุดหงิด!
นั่นคือสิ่งที่โอเซฮุนกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ ร่างสูงแต่ผอมบางนั่งเอนโซฟานวมในโซนวีไอพีของไนต์คลับชื่อดัง มือขาวยกแก้วเหล้าส่งเข้าปากใบหน้าที่ทั้งหล่อและหวานปะปนกันเบ้อย่างไม่สบอารมณ์ ปกติแล้วเซฮุนไม่ใช่คนขี้หงิดหงุดหรืออารมณ์เสียได้ง่ายๆ แต่กับผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นที่เอาแต่ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาทางเขากลับชวนโมโหจนอยากจะควักลูกตาวิบวับคู่นั้นออกมา
“ฉันว่ามันเอาจริงวะ”หวงจื้อเทาเจ้าของไนต์คลับพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามกลั้นหัวเราะ เซฮุนปรายตามองเพื่อนสนิทด้วยสายตาที่อยากบอกว่า ‘ไปตายซะ’
“ฉันว่าเขาหล่อดีนะเว้ย สูง มาดแมน ผิวแทน อื้อหือ”คิมจงแดหุ้นส่วนของจื้อเทาก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนเซฮุนอยากจะ ยกเท้ายาวๆ ถีบเพื่อนทั้งสอง
สายตาเคืองๆ ถูกส่งไปให้ชายหนุ่มผิวแทนต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกเพื่อนแซว ผู้ชายคนนั้นนั่งยิ้มแป้นอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของเขามากนัก พอเห็นว่าเขาหันไปมองคนๆ นั้นก็ยักคิ้วอย่างยียวนส่งมาให้ เซฮุนอยากจะเขวี้ยงแก้วเหล้าในมือใส่ใบหน้ากวนนั่นจริงๆ
“พวกแกเลิกพูดเรื่องนี้กันเลย ฉันไม่มีทางชอบไอ้หน้าหื่นนั่นหรอก”ยิ่งพูดยิ่งอารมณ์เสีย ผู้ชายแมนๆ อย่างโฮเซฮุนทำไมถึงต้องมาถูกผู้ชายด้วยกันมองด้วยสายตาหื่นๆ แบบนั้นด้วย “ฉันกลับก่อนละ อยู่ตรงนี้แล้วขนลุกวะ”
“เดี๋ยวดิ ชานยอลหายหัวไปไหนวะตั้งแต่สอบเสร็จยังไม่เจอหน้าเลย”จื้อเทาถามเพราะตั้งแต่มหาวิทยาลัยปิดเทอม เขากับจงแดก็ไม่เห็นหน้าเห็นตาชานยอลเลย ทั้งที่ปกติหมอนั่นจะชอบแวะเวียนมาเป็นนักร้องรับเชิญให้ไนต์คลับของเขาเป็น ประจำจนมีบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายมาสมัครเป็นแฟนคลับทำให้ร้านของเขาคึกคักมากเลยทีเดียว
“โดนกักบริเวณอยู่ คราวนี้หนักหน่อยแม้แต่ฉันยังถูกสั่งห้ามไม่ให้พบเลย”ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาชานยอลทำผิด อย่างมากก็ถูกสั่งห้ามออกจากบ้านแค่ไม่กี่วัน แต่ครั้งนี้อี้ฝานคงจะโมโหมากจริงๆ ถึงขนาดสั่งกักบริเวณเป็นเดือน
“โคตรโหดเลยวะ เออ ถ้าเจอชานยอลฝากบอกด้วยว่าเด็กมันมานั่งรอเกือบทุกคืน”พวกเขาสี่คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัทธยม ต่างก็รู้ถึงความเข้มงวดของครอบครัวชานยอลเป็นอย่างดี จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่กับการลงโทษแบบนี้
“คนไหน”ที่ถามแบบนี้เพราะเจ้านายตัวแสบของเขามีคู่ควงหลายคนเหลือเกิน บางครั้งสลับรางไม่ทันทำเอาโอเซฮุนคนนี้ถึงกับปวดสมอง
“มาหลายคนเลยแหละ แต่ที่มาประจำก็นักร้องคนนั้นอ่ะไม่กลัวนักข่าวบ้างหรือไงไม่รู้”คิมจงแดชี้ไปทางหนุ่มร่างเล็กที่นั่งอยู่มุมร้าน ทำให้เซฮุนรู้ว่าเด็กที่ว่านั้นหมายถึงใครร่างสูงผอมพยักหน้ารับ ถ้าจะพูดถึงบรรดาคู่ควงของชานยอลแล้วแพคฮยอนก็ดูจะเป็นคนที่ชานยอลใส่ใจไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ถึงจะใส่ใจแค่ไหนแต่เขาก็รู้ว่าชานยอลไม่ได้รับแพคฮยอนเข้าไปอยู่ในหัวใจ ชานยอลมักจะสร้างกำแพงน้ำแข็งปิดกั้นหัวใจตัวเองไม่ให้ใครก้าวล้ำเข้าไปได้ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างเซฮุนก็ไม่อาจเข้าใจกับการกระทำนั้น
เซฮุนเดินออกจากไนต์คลับทางประตูหลังร้านตรงไปยังลานจอดรถ ท่อนแขนเรียวเอื้อมเปิดประตูรถแต่กลับถูกมือของใครอีกคนดันประตูไว้เสียก่อน ใบหน้าขาวจึงหันไปมองคนที่กล้ามาหาเรื่อง
“เท่าไหร่?”คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยหลุดออกจากริมฝีปากหยักของคนที่เซฮุนลงความเห็นว่ามันเป็นไอ้หน้าหื่น
“อะไร?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เท่าไหร่อะไรของมัน
“ถามว่าเท่าไหร่ ทั้งคืนเท่าไหร่”ไอ้หน้าหื่นถามซ้ำ คราวนี้เซฮุนถึงกับร้องอ๋อในใจพร้อมทั้งอยากจะเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้ากวนๆ ของมัน นี่เขาเหมือนเด็กขายบริการตรงไหนไม่ทราบ
“ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ทำอาชีพนั้น”เซฮุนพยายามพูดจาอย่างสุภาพทั้งที่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ เขากระชากประตูรถเปิดอีกครั้งแต่ไอ้หน้าหื่นคนนั้นก็ยังไม่ละความพยายาม มันจับท่อนแขนของเขาไว้แน่นไม่ยอมให้ขึ้นรถไปง่ายๆ
แต่ผู้ชายคนนี้คงไม่รู้ว่าโอเซฮุนถูกฝึกศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ท่อนแขนเล็กที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงบิดม้วนท่อนแขนกำยำของอีกฝ่ายไว้ด้านหลังจับคนที่ตัวสูงว่าเขาไม่มากนักกดแนบกับประตูรถ
“ชอบแบบรุนแรงซะด้วย”น้ำเสียงกวนๆ พูดกลั้วหัวเราะ
โดยที่เซฮุนยังไม่ทันตั้งตัวร่างของเขาก็กลับเป็นฝ่ายถูกกดลงกับประตูรถแทนผู้ชายคนนั้น แต่มันต่างกันตรงที่ผู้ชายคนนั้นประชิดตัวเขามากเกินจำเป็น ร่างทั้งร่างแนบสนิทกับเขาจนเซฮุนรู้สึกได้ว่า ‘ส่วนนั้น’ กำลังสัมผัสด้านหลังเขาอยู่
...ไอ้โรคจิต...
“ปล่อยฉันนะเดี๋ยวนี้นะ” ทั้งความโมโห อับอาย เสียหน้าทำให้เซฮุนพยายามดิ้นร้นสุดแรงแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อเขาถูกรวบกอดจากด้านหลัง
“ก็ซื้อดีๆ แล้วไม่ขายเองนี่น่า งั้นจะขอกินฟรีละนะ”น้ำเสียงกระซิบที่กลั้นอารมณ์ขันดังขึ้นข้างหูก่อนจะขบเม้มจนเซฮุนขนลุก หรืออันที่จริงมันคือความรู้สึกเสียวซ่านแต่เขาไม่อยากจะยอมรับมัน
“แก...”
แรงขบเม้มที่ลำคอรวมทั้งมือใหญ่ที่ไล้วนบริเวณหน้าท้องทำให้เซฮุนไม่อาจเปล่งคำ พูดอะไรออกมาได้อีกเพราะแข้งขาเหมือนจะอ่อนแรงลงดื้อๆ เกิดมายี่สิบปีเซฮุนไม่เคยรู้สึกอัปยศเท่าวันนี้มาก่อน
“มัดจำไว้ก่อนนะ วันหลังฉันจะกินเธอแน่ๆ” ใบหน้าคมยกยิ้มอย่างขันๆ กับอาการพยศของคนในอ้อมกอดและก่อนที่เซฮุนจะคลั่งตายด้วยความโมโห เขาก็ยอมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระก่อนจะผละจากไปอย่างรวดเร็ว ใครจะโง่อยู่ให้โดนต่อยหน้าละ
“สนุกเกินไปรึเปล่าครับ เจ้านาย”น้ำเสียงกึ่งตำหนิกลายๆ ถูกส่งมาจากคนที่จอดรถยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่มุมตึก โดคยองซูส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับนิสัยขี้แกล้งของเจ้านายตัวเอง
“ก็เด็กนั่นน่ารักนี่น่า”คิมจงอินตอบอย่างไม่รู้สึกผิดสักนิด ร่างสูงก้าวขึ้นรถที่คยองซูเปิดประตูรอใบหน้าหล่อเข้มยังคงระบายไปด้วยรอยยิ้ม กลิ่นหอมบนร่างกายนุ่มนิ่มนั่นยังติดจมูก
“แต่นายมีคู่หมั้นแล้วนะ”คยองซูเตือนความจำอย่างไม่จริงจังนักและโยนแฟ้มเอกสารไปให้คนที่นั่งยิ้มแป้นอยู่เบาะข้างๆ ก่อนจะส่ายหัวอย่างหน่ายใจให้กับคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนวัยเด็ก
คิมจงอินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและเปิดเอกสารในแฟ้มดู ในนั้นมีรูปถ่ายเด็กผู้ชายหน้าตาหน้ารักคนหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงอายุสิบขวบจนถึงปัจจุบันกับประวัติส่วนตัวที่ละเอียดยิบ
“โอเซฮุนอายุยี่สิบปี นายลู่เจิ้งรับมาอยู่ในความดูแลตั้งแต่อายุสิบขวบโดยบอกว่าเป็นลูกของน้องสาว แต่เราสืบไม่พบประวัติของเธอ”คยองซูรายงานตามที่ได้รับมอบหมาย “ที่สำคัญอีกเรื่องคือ ลู่เจิ้งเคยหมั้นกับเมิ่งเจียน้องสาวของอู๋หลงด้วย”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด เมิ่งเจียคือภรรยาอีกคนที่คิมแทวูรักมาก แต่ชีวิตรักของทั้งคู่ไม่ราบรื่นนักเพราะอู๋หลงคัดค้านรวมทั้งคิมแทวูเองก็มีภรรยาอยู่แล้ว ตอนนั้นจงอินยังเด็กจึงไม่รู้เรื่องของผู้ใหญ่มากนัก เขาเป็นเพียงหลานชายของคุณนายคิมภรรยาของคิมแทวูแต่ได้รับความเอ็นดูจากคิมแทวูเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เมิ่งเจียเสียชีวิตลงคิมแทวูก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไม่พูดไม่จากับใคร จงอินเองถูกคุณนายคิมส่งตัวไปเรียนต่อต่างประเทศและเพิ่งได้กลับมาเกาหลีหลังจากทนายเปิดจดหมายที่ระบุว่าเขาเป็นคู่หมั้นของ ‘เหยียนเหอ’ ลูกชายคนเล็กของคิมแทวู จงอินจึงเริ่มสืบหาว่าหลังจากที่เมิ่งเจียเสียชีวิตไปแล้วเหยียนเหอหายตัวไปไหน
“นายกำลังคิดว่าโอเซฮุนอาจจะเป็นคุณหนูเหยียนเหองั้นเหรอ”คยองซูคิดว่าจงอินมั่นใจกว่าครึ่งว่าเซฮุนคือคน
ที่ตามหา ไม่งั้นเจ้าตัวคงไม่ไปแทะโลมเด็กคนนั้นแบบนี้หรอก
“ไม่รู้สิ แล้วเด็กคนนี้ละเป็นใคร”จงอินหยิบรูปอีกใบขึ้นมาดู ในรูปนั้นนอกจากโอเซฮุนแล้วข้างกันยังมีเด็กหน้าหวานอีกคนที่ฉีกยิ้มกว้างรอยยิ้มนั้นติดใจเขาอย่างบอกไม่ถูก
“คนนั้นปาร์คชานยอลลูกชายคนเล็กของอู๋หลง ได้ยินว่าสุขภาพไม่แข็งแรงจึงไม่ค่อยมีบทบาทในตระกูลเท่าไหร่นัก”คยอง ซูบอกเล่าตามที่ได้ยินมาตระกูลอู๋เป็นตระกูลใหญ่ที่มีแต่คนรู้จัก แต่เรื่องราวของชานยอลกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อยจนบางคนแทบจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตระกูลอู๋มีนายน้อยคนนี้อยู่
“เด็กผู้ชายเหรอเนี่ย สวยชะมัดแล้วทำไมถึงใช้นามสกุลปาร์คละ”จงอินถามโดยที่ยังพินิจใบหน้าสวยหวานของเด็กในรูปภาพให้มองยังไงก็เหมือนเด็กผู้หญิงชัดๆ
“ข่าวลืออีกนั่นแหละ บ้างก็ว่าท่านอู๋ไม่ชอบหลานชายคนนี้เท่าไหร่ บ้างก็ว่าไม่เป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัว ลือกันไปสารพัดแต่ก็ไม่มีใครยืนยันว่าเพราะอะไร”คยองซูพูดอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ
จงอินฟังเพียงผ่านๆ ข่าวที่ไม่มีหลักฐานยืนยันเขาก็ไม่คิดจะเชื่อ เหมือนอย่างเรื่องนี้ที่ถึงอะไรหลายอย่างมันกำลังชี้ว่าโอเซฮุนอาจเป็นบุคคลที่เขาตามหาอยู่ แต่จงอินก็ยังไม่อยากปักใจเชื่ออยากจะให้หลักฐานมันชัดเจนกว่านี้ ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นยามเมื่อหยิบภาพถ่ายของเด็กสองคนที่กำลังยิ้มจนตาหยี ขึ้นมาดู
“สงสัยงานนี้ฉันต้องลงมือสืบด้วยตัวเองเสียแล้วมั้ง”
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
“เซฮุน...โอเซฮุน!”
เสียงเรียกดังๆ ของชานยอลทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งหันไปมองเจ้าของเสียงด้วยใบหน้าเหลอหลา ก็พบกับดวงตากลมใสที่จ้องมองมาอย่างจับผิด
“อะไรเล่า อยู่ใกล้แค่นี้ทำไมต้องเรียกเสียงดังด้วย”เซฮุนดันหน้าสวยๆ ของเพื่อนออกไปห่างๆ
“เหม่ออะไรอยู่ฉันเรียกตั้งนาน แล้วคอไปโดนสาวที่ไหนฟัดมา” ชานยอลหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ เพราะเซฮุนไม่ค่อยจะยุ่งกับผู้หญิงคนไหน นานทีถึงจะควงขึ้นเตียงบ้างตามประสาผู้ชาย
“ใช่ที่ไหนละ มดกัด”เซฮุนไม่มีวันบอกชานยอลเด็ดขาดว่ารอยที่คอเนี่ย ไม่ได้โดยสาวฟัดแต่โดนผู้ชายฟัดมา ถ้าเพื่อนตัวแสบของเขารู้มีหวังถูกล้อยันลูกโตแน่ๆ
ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงนอนเหยียดบนเตียงเล่นเกมส์ในโทรศัพท์ของเซฮุนไม่เซ้าซี้ถามต่อ ตั้งแต่คืนนั้นที่อาการป่วยของชานยอลกำเริบ เขาก็ไม่ได้เจอหน้าพี่ชายอีกเลยแต่อี้ฝานอนุญาติให้เซฮุนมาหาได้แทน ทำให้เขาหายเหงาไปได้บ้าง
“แพคฮยอนเป็นไงบ้าง ได้เจอบ้างรึเปล่า”ชานยอลถามโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าจอโทรศัพท์
“ทำไม จริงจังเหรอคนนี้อะถึงเป็นห่วงนัก”เซฮุนแกล้งถามเพราะเขาก็อยากรู้ว่าชานยอลคิดยังไงกับแพคฮยอนกันแน่ ถึงจะไม่มากแต่เขาก็รู้ว่าชานยอลแคร์แพคฮยอนแบบที่ไม่เคยเป็นกับคู่ควงคน อื่นๆ
“ไม่ดีเหรอไงถ้าฉันจะจริงจังกับใครสักที”รอย ยิ้มกวนๆ ถูกส่งไปให้แทนคำตอบ เขายอมรับว่าแพคฮยอนพิเศษกว่าคนอื่นที่ผ่านมา เพราะฝ่ายนั้นคุยเก่งเวลาอยู่ด้วยแล้วทำให้รู้สึกสบายใจและแพคฮยอนไม่เคยทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ไม่จุกจิกน่ารำคาญเหมือนพวกผู้หญิงคนอื่น
“ให้จริงเถอะ เมื่อคืนแพคฮยอนมารอนายที่ร้านของพวกจื้อเทา สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”เมื่อคืนเขาเห็นว่าใบหน้าที่มักจะเปื้อนรอยยิ้มของแพคฮยอนดูหม่นหมองลงเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ แต่มันไม่ใช่หน้าที่เขาที่จะเข้าไปยุ่ง
“หรือว่าจะโดนพี่คริสว่าเรื่องข่าว”คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ เขาคงรู้สึกแย่ถ้าทำให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวเอง
“ไม่รู้เหมือนกัน เออ เดี๋ยวฉันกลับก่อนละ พี่นายใช้ให้ไปทำงาน”
เซฮุนไหวไหล่ก่อนจะคว้าโทรศัพท์จากมือชานยอลและออกจากห้องไป ชานยอลเองก็ไม่ได้ถามว่างานที่ว่าคืออะไร เพราะถามไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี พอเซฮุนเดินออกจากห้องไปอี้ชิงก็เปิดประตูเข้ามาพอดี
“คุณหนู ผมต้องไปต่างประเทศกับคุณลู่หานสักสองสามวันนะ แล้วจะซื้อขนมมาฝาก”
นอกจากแพคฮยอนแล้วลู่หานยังเป็นนักร้องเสียงดีอีกคนของบริษัท WFe ที่อี้ชิงต้องไปกับลู่หานเป็นเพราะผู้จัดการส่วนตัวของฝ่ายนั้นลาออกกระทันหัน และศิลปินระดับลู่หานอี้ฝานก็ไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาดูแลแทน เขาจึงต้องจำใจรับหน้าที่นี้ทั้งที่ไม่อยากทิ้งเจ้านายน้อยไปเลย
“ฮะ ผมอยู่ได้”ถึงจะรู้สึกเหงาที่อี้ชิงไม่อยู่แต่ชานยอลก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงหรือไม่สบายใจจึงพูดออกไ
ปแบบนั้น ร่างสูงโปร่งเดินไปยืนพิงหน้าต่างกระจกเพื่อซ่อนใบหน้าหงอยเหงาของตัวเองไม่ให้อี้ชิงเห็น สายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านมาทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่แล้วนิ้วมือเรียวขาวก็ต้องจิกกรอบหน้าต่างแน่นเมื่อภาพคนสองคนเดินหยอก ล้อกันในสวนดอกไม้หลังบ้านผ่านเข้ามาในสายตา
“คุณหนู...”อี้ชิง เห็นเจ้านายตัวเองเงียบไปจึงมองตามสายตาของเด็กหนุ่มไปยังสวนดอกไม้ถึงได้เข้าใจ “รู้มั้ยครับว่าเส้นขนานน่ะ มันมีข้อดียังไง”
แม้สายตาจะยัง ไม่ได้ละไปจากภาพตรงหน้า แต่สองหูของชานยอลก็กำลังฟังคำพูดของอี้ชิงอยู่ ถึงเขาจะไม่เคยบอกออกไปแต่คิดว่าอี้ชิงจะต้องรู้ว่าส่วนลึกที่สุดในหัวใจเขาปิดบังซ่อนเร้นอะไรไว้
“...เพราะเส้นขนานมันจะทอดยาวเคียงคู่กันไปตลอดยังไงละ ถึงมันจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้ แต่มันก็จะก้าวเดินไปด้วยกันจนสุดปลายทาง”ฝ่ามืออบอุ่นลูบกลุ่มผมสีอ่อนของเด็กหนุ่ม เขาเองก็ไม่รู้ว่าสมควรสงสารตัวเองหรือชานยอลมากกว่ากัน
ชานยอลเข้าใจสิ่งที่อี้ชิงต้องการจะบอกและเขาก็รู้สถานะของตัวเองดี แต่ทำไม....ทำไมจะต้องมาทำให้เขาเห็นภาพนี้ ทำไมถึงชอบเหยียบย่ำทำร้ายหัวใจเขานัก
หรือนี่มันเป็นบทลงโทษสำหรับความรักผิดๆ ของปาร์คชานยอล
“อู๋อี้ฝาน นายแกล้งฉันใช่มั้ย”
ลู่หานหยุดนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนก่อนจะส่งสายค้อนขวับอย่างเอาเรื่อง เขามั่นใจว่าประธานอู๋คนนี้จงใจแกล้งเขาอยู่แน่ๆ ต่อให้ทำหน้านิ่งสรรหาเหตุผลมาร้อยแปดแต่เขาซึ่งเติบโตมาด้วยกันกับอี้ฝานรู้ดีว่าอีกฝ่ายน่ะเจ้าเล่ห์ขนาดไหน ภาพภายนอกที่คนอื่นเห็นว่าอู๋อี้ฝานเป็นคนสุขุมเย็นชามันเป็นแค่ภาพลวงตาทั้งนั้น
“ถ้านายไม่พอใจจริงๆ ฉันให้คนอื่นไปแทนอี้ชิงก็ได้”อี้ฝานปั้นหน้าตายแต่ไม่อาจปิดบังสายตาที่มีแววสนุกได้
“เหอะ ฉันเป็นแค่ลูกจ้างมีสิทธิ์ไม่พอใจด้วยเหรอไง”
คนตัวเล็กสะบัดหน้าหนีเรียกเสียงหัวเราะจากคนช่างแกล้งได้ ดวงตาเรียวเหล่มองคนตัวใหญ่ข้างๆ อย่างนึกหมั่นไส้ อยากจะบอกเหลือเกินว่าอย่ามัวแต่มายุ่งเรื่องของเขา เอาเวลาไปจัดการเรื่องของตัวเองให้รอดเสียก่อนดีกว่า
“ว่าแต่เรื่องชานยอลกับเซฮุน นายจะเอายังไง”
แววสนุกหายไปเมื่อนึกถึงเรื่องที่ลู่หานพูด เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนพ่อเรียกเขากับลู่หานไปพบที่ประเทศจีนเพราะต้องการ ปรึกษาเรื่องที่อยากให้ชานยอลหมั้นกับเซฮุน เขารู้ว่าพ่อรู้สึกผิดกับเซฮุนถึงได้อยากชดเชยให้ด้วยการพยายามดึงเด็กคนนั้นเข้ามาเป็นคนในตระกูล
“ก็คงแล้วแต่เด็กๆ ฉันไม่อยากบังคับ นายก็รู้ดีว่าเรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้”
ฝ่ามือเล็กเอื้อมจับฝ่ามือใหญ่ของอีกคนไว้เมื่อจับน้ำเสียงที่แผ่วลงได้จากคำพูดนั้น พวกเขาทั้งสองต่างรู้ดีเพราะถ้าเราสั่งหัวใจให้รักคนที่เหมาะสมได้คงไม่ต้องเจ็บปวดกันอย่างทุกวันนี้
“ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปตามธรรมชาติของมันเถอะ นายเองก็อย่าทำร้ายหัวใจตัวเองนักเลย อี้ฝาน”
ดวงตาคมมองเลยไปทางตัวคฤหาสน์ หลังหน้าต่างกระจกบานใหญ่มีสายตาที่เต็มไปด้วยแววตัดพ้อกำลังมองมาที่เขา อี้ฝานพยายามเลี่ยงที่จะไม่รับรู้ความหมายในสายตาคู่นั้นมาตลอดเพราะหากเขาปล่อยให้มันดำเนินไปตามธรรมชาติตามที่ลู่หานบอก คนที่จะเจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เขาแต่เป็นตัวชานยอลเอง
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
.
ดึก มากแล้วแต่เจ้านายใหญ่ของบ้านยังไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ ต้นเหตุไม่ได้มาจากเสียงฟ้าฝนที่โหมกระหน่ำด้านนอกแต่เป็นใครอีกคนที่ป่านนี้จะคงจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าคำราม คิดได้อย่างนั้นร่างสูงใหญ่จึงก้าวเดินออกจากห้องตรงไปอีกฝั่งหนึ่งของตัวคฤหาสน์ทันที
อี้ฝานยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องสีขาว นอกจากเวลาชานยอลป่วยแล้วเขาก็มีเหตุผลส่วนตัวที่จะไม่ย่างกรายเข้าไปในห้องนี้มือหนายื่นไปจับลูกบิดแต่ไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเข้าไปดีหรือไม่
เปรี้ยง!
เพล้ง
เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องตามด้วยเสียงของแตกทำให้ร่างสูงใหญ่หมดความลังเล ลงมือผลักประตูห้องเข้าไปอย่างรวดเร็วจึงพบชานยอลนั่งคุดคู้อยู่ข้างเตียง ดวงตาปิดแน่นมือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหูไว้
อู๋อี้ฝานทิ้งความคิดทุกอย่างเมื่อเห็นภาพนั้น เขารีบพุ่งตัวไปดึงร่างแบบบางเข้าสู่อ้อมอกเพื่อปลอบประโลม ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางที่กำลังสั่นไหวเบาๆ และก้มมองเด็กน้อยในอ้อมกอดทั้งสงสารทั้งโมโหเมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ชานยอลฝังใจจนกลัวเวลาฝนตกแบบนี้
“ไม่เป็นไรแล้วนะชานยอล ฉันอยู่นี่”
“ฮึก พี่คริส..”ท่อนแขนเรียวโอบเอวพี่ชายไว้แน่นเหมือนต้องการที่ยึดเหนี่ยว ใบหน้าเล็กซุกอยู่ในอ้อมอกอบอุ่น
อี้ฝานล้มตัวลงนั่งปล่อยให้ชานยอลกอดอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะผลักไส สายตาคู่คมเหลือบไปเห็นกรอบรูปภาพที่แตกกระจายอยู่ด้านข้าง มันเป็นรูปของเขากับชานยอลที่ถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อน ยังไม่ทันที่เขาจะมีโอกาสได้หยิบรูปนั้นขึ้นมาดูมือเล็กก็รีบหยิบรูปนั้นไปซ่อนเสียก่อน
“ส่งมือมา”
น้ำเสียงทุ้มพูดห้วนๆ แต่ชานยอลก็ยังคงนิ่งทำราวกับไม่ได้ยิน จนอี้ฝานต้องเอื้อมมือไปกระชากฝ่ามือเรียวออกมาถึงได้เห็นหยดเลือดที่ซึมออกมาจากนิ้วมือขาว คิ้วเข้มขมวดอย่างขัดใจ
“ทำไมไม่ระวัง ไหนดูสิ”น้ำเสียงทุ้มเอ่ยดุและจับมือเล็กมาดูใกล้ๆ เด็กน้อยในสายตาเขาก้มหน้างุด เขาจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะผละตัวออกจากร่างแบบบางแล้วลุกขึ้นยืน แต่ข้อมือก็ถูกคนที่นั่งน้ำตาซึมรั้งเอาไว้เสียก่อน
“....”
“แค่จะไปหยิบยา เดี๋ยวมา”อี้ฝานพูดเสียงอ่อนลงเมื่อสบเข้ากับแววตาสั่นไหวเหมือนเด็กกำลังจะโดนทิ้ง เห็นแล้วก็อดจะขำอยู่ในใจไม่ได้ ชานยอลในตอนนี้กลับกลายเป็นน้องชายตัวน้อยน่ารักคนเดิม ไม่ใช่ชานยอลที่แสนดื้อรั้นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“อย่าไป...”
น้ำเสียงเจือรอยสะอื้นทำให้อี้ฝานไม่อาจปฏิเสธ เขาล้มตัวลงนั่งอีกครั้งให้ชานยอลนั่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง จับนิ้วมือเล็กกดกับชายเสื้อเพื่อห้ามเลือด ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงสายฝนกระทบหน้าต่างเท่านั้น
จังหวะการหายใจของชานยอลเริ่มกลับเป็นปกติความหวาดกลัวขวัญเสียหายไป ร่างแบบบางเบียดซุกเข้าหาอ้อมอกที่ทำให้เขาทั้งสุขและทุกข์ได้ในเวลาเดียวกัน ชานยอลภาวนาให้ฝนตกอย่าเพิ่งหยุดตกเพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่แบบนี้ไปนานๆ
“พี่คริส”
“อื้ม”เสียงทุ้มขานรับพยายามที่จะไม่สนใจลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดอยู่บริเวณลำคอ
“ตอนเด็กคุณแม่เคยเล่านิทานให้ฟัง บอกว่าคนทำบาปจะถูกฟ้าลงโทษ...ตอนนั้นผมกลัวมากเลยไม่กล้าทำบาปเลย”
“แล้วตอนนี้ละ”
“ไม่กลัวเลยสักนิด ผมอยากทำตามหัวใจตัวเองสักครั้ง ถึงสุดท้ายจะถูกฟ้าลงโทษให้ทรมานไปจนตายก็ยอม”ชานยอลกลัวฝนตก กลัวฟ้าผ่าแต่ไม่กลัวหากจะถูกฟ้าลงโทษขอเพียงสักครั้งที่หัวใจของเขาจะได้เป็นอิสระจากห่วงโซ่ทั้งหลายที่มันบีบรัดอยู่
ร่างสูงใหญ่นิ่งอึ้งไปเพราะเขารู้ความหมายในสิ่งที่น้องชายพูด วงแขนแข็งแรงโอบรัดเด็กน้อยให้แน่นยิ่งขึ้นราวกับปีกใหญ่ที่พร้อมจะห่อหุ้มคุ้มครอง ความเปียกชื้นบนอกเสื้อทำให้เขารู้ว่าชานยอลกำลังร้องไห้อย่างเงียบๆ เขาไม่กล้าพอแม้แต่จะซับน้ำตาให้เด็กน้อยคนนี้ ได้แต่ปล่อยให้มันซึมผ่านอกเสื้อตัวเองแทรกเข้าสู่หัวใจ
หยดน้ำตาของชานยอลเหมือนพิษร้ายที่แทรกซึมเข้าไปกัดกร่อนหัวใจของเขาให้ร้าวเจ็บ เขายังเจ็บเจียนตายถึงเพียงนี้แล้วกับชานยอลล่ะทนรับมันไหวได้ยังไง
...บางทีเขาก็สงสัยว่าสิ่งที่ทำอยู่ มันเป็นการปกป้องหรือทำร้ายเธอกันแน่ ปาร์คชานยอล...
TBC #3
ความคิดเห็น