คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : intro + Chapter 1
สิ่งสำคัญที่อยู่เหนือความรัก?
คุณคิดว่าสิ่งนี้มันมีบนโลกมั้ย....แล้วมันคืออะไร?
สำหรับเขาเพิ่งจะได้ค้นพบว่ามันคือสิ่งที่สำคัญมากๆ สำคัญขนาดที่ไม่กล้าแตะต้อง ทำได้เพียงใส่ไว้ในโหลแก้ว
มีไว้เพื่อเฝ้ามอง คอยบ่มเพาะให้เจริญเติบโตอย่างงดงาม เป็นเกราะกำบังไม่ให้มีสิ่งใดมากระทบให้ต้องเจ็บช้ำ
นาน วันเข้า...ดอกไม้ในโหลแก้วเบ่งบานส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้ผู้คนเด็ดกลีบมัน
ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองที่หากเผลอไผลเมื่อไหร่แล้ว ก็เกือบจะบดขยี้กลีบที่แสนบอบบางนั้นด้วยมือตนเอง
เขาจึงจำเป็นต้องถอยห่างออกมา...ห่างออกมาให้พ้นรัศมีของกลิ่นหอม คอยกำจัดหนอนผีเสื้อไม่ให้แทะเล็มดอกไม้อยู่ไกลๆ
ดอกไม้ของเขาจะต้องงดงามอยู่ในโลกที่ใสบริสุทธิ์ที่เขาสร้างให้ อยู่ภายใต้การดูแลปกป้องของเขาตลอดไป....
Chapter 1
...มันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้นสินะ....
...ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของปาร์คชานยอลหายไปตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มรู้จัก ‘ความรัก’
“ชานยอล...อยู่ค้างคืนกับฉันไม่ได้เหรอ”
น้ำเสียงออดอ้อนมาพร้อมกับวงแขนเล็กที่กอดเอวเขาจากด้านหลัง ชานยอลมองใบหน้าหวานของพยอนแพคฮยอนผ่านเงากระจก ริมฝีปากอิ่มสดยกยิ้มมุมปากกับการกระทำน่ารักของคนตัวเล็ก แต่ถึงอย่างนั้นนิ้วมือเรียวยาวก็ยังไม่หยุดติดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้เข้าที่ ดวงตากลมโตฉายแววไม่พอใจขึ้นวูบเมื่อเห็นรอยจ้ำแดงจางๆ บริเวณลำคอของตัวเอง
...เป็นรอยจนได้ แต่ก็ดี อยากจะเห็นสีหน้าตอน ‘เขา’ เห็นรอยคิสมาร์กเหมือนกัน...
“ฉันต้องกลับแล้ว อย่าดื้อสิเด็กดี”
หลังจากสำรวจเงาตัวเองในกระจกเรียบร้อย ร่างสูงโปร่งจึงหันไปกอดเอวอีกคนไว้ พูดปลอบโยนราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังกล่อมเด็กน้อย
“ก็ ได้ รักชานยอลนะ”พูดจบก็เขย่งตัวขึ้นหอมแก้มคนตัวสูง แม้จะอยากรั้งชานยอลไว้มากแค่ไหนแต่แพคฮยอนรู้ดีว่าเขาอยู่ใน ‘ฐานะ’ อะไรและควรจะทำตัวอย่างไร เขาถึงได้เป็นคนโปรดที่สุดในบรรดาคู่ควงของปาร์คชานยอล
ปาร์คชานยอลไม่ชอบคนงี่เง่า
ปาร์คชานยอลไม่ชอบให้ใครก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวและเรื่องครอบครัว
และไม่มีใครเป็นเจ้าของปาร์คชานยอล
เรื่อง เหล่านี้แพคฮยอนจำได้จนขึ้นใจ หากใครล้ำเส้นละเมิดข้อห้ามเหล่านั้น ก็จะถูกเขี่ยออกไปจากสารบบของชานยอลทันที ตัวเขาเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อย เบื้องหลังรอยยิ้มสดใสที่เหมือนพาให้โลกลืมความเศร้านั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่ เพราะชานยอลคงไม่รู้หรอกว่า ทุกครั้งที่เจ้าตัวเผลอ ดวงตาคู่นั้นจะฉายรอยเจ็บปวดที่เหมือนกับว่าความเจ็บนั้นกรีดแทงลงไปถึง หัวใจ ทำให้คนที่มองอย่างเขาเศร้าตามไปด้วย
แพคฮยอนไม่กล้าพอที่จะ เอ่ยถาม ทำได้เพียงแค่เฝ้ามอง อยู่เคียงข้างและใช้ร่างกายปลอบโยนเท่านั้น เขารออย่างไม่มีจุดหมาย รอว่าสักวันปาร์คชานยอลจะเปิดใจให้พยอนแบคฮยอนคนนี้ได้เข้าไปรักษาบาดเผลอ นั่น
ชาน ยอลก้าวออกจากห้องของแพคฮยอนก็พบโอเซฮุนยืนรออยู่ก่อนแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เขาแปลกใจแต่อย่างใด ถ้าไม่พบสิน่าแปลกกว่า เซฮุนเป็นเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันกับเขาและยังรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของชานยอลอีกด้วย
“นายอยากให้ฉันโดนฆ่าตายใช่มั้ย”เซฮุนขมวดคิ้วส่งเสียงไม่พอใจใส่ทันทีที่คนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนรักโผล่ หน้าออกมา เขาไม่ซีเรียสหรอกนะที่จะต้องมายืนรอชานยอลแบบนี้ เพราะมันเป็นหน้าที่และเขาก็เต็มใจที่จะดูแลเพื่อนรักคนนี้ด้วย แต่ที่ทำให้เขาร้อนรนคือโทรศัพท์กว่าสิบสายที่โทรตามตัวปาร์คชานยอลอยู่ต่างหาก
เจ้านี่เหมือนรู้ว่าใครจะโทรมาเลยฝากโทรศัพท์ไว้ที่เขา คนที่ต้องรับหน้ากับ ‘ท่านประธาน’ ก็เลยเป็นโอเซฮุนคนนี้ไง
“ทำไม? เขากลับมาถึงแล้วเหรอ”ชานยอลถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ และเดินล้วงกระเป๋านำหน้าเซฮุนลงลิฟท์ตรงไปยังลานจอดรถ
“กลับมาถึงตั้งแต่หัวค่ำแล้ว นี่พี่อี้ชิงโทรมาตามเกือบจะทุกๆครึ่งชั่วโมง...”ยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของชานยอลก็ดังขึ้น เซฮุนกรอกตามองหน้าเพื่อนอย่างหน่ายๆ เพราะชานยอลไม่มีท่าทีว่าจะรับสาย
...ให้มันได้อย่างนี่สิน่า คนเอาแต่ใจน่ะปาร์คชานยอล แต่คนรับกรรมเป็นโอเซฮุนทุกที...
หากจะกล่าวถึงนักธุรกิแถวหน้าของเอเชียในขณะนี้ คงจะนึกถึงธุรกิจในเครือของตระกูลอู๋เป็นอันดับแรก แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเบื้องหลังธุรกิจของตระกูลอู๋คือกลุ่มมาเฟียที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในแถบเอเชีย เพียงเท่านี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ปาร์คชานยอลนายน้อยของตระกูลสมควรได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด ถึงแม้จะมีคนไม่มากที่รู้จักนายน้อยคนนี้ก็ตาม ครอบครัวของเซฮุนทำงานกับตระกูลอู๋มานาน ลุงของเขาก็เคยเป็นมือขวาของนายท่านอู๋หลงที่ตอนนี้วางมือจากธุรกิจต่างๆ ให้ลูกชายคนโตสืบทอดตำแหน่งแทน เซฮุนที่เป็นหลานชายก็ได้รับความไว้วางใจจากนายท่านให้คอยดูแลชานยอล
รถยนต์คันหรูที่ขับโดยโอเซฮุนมาจอดหน้าคฤหาสน์สไตล์ยุโรปหลังใหญ่ เมื่อบรรดาผู้รักษาความปลอดภัยของบ้านเห็นว่าเป็นใครที่นั่งอยู่ในรถก็รีบเปิดประตูให้ผ่านเข้าไปทันที เซฮุนจอดรถหน้าตึกใหญ่แต่ชานยอลก็ยังไม่ขยับตัวลงจนบอดี้การ์ดหนุ่มหันไปเลิกคิ้วมอง
ดวงตากลมโตที่ดู ‘เหมือน’ ไร้ เดียงสาในสายตาคนรอบข้างมองเข้าไปในตัวบ้านที่ยังเปิดไฟสว่างแม้จะเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว ชานยอลรู้ดีว่าสถานการณ์ในบ้านตอนนี้เป็นอย่างไร เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ
“เซฮุน นายกลับบ้านไปได้เลย ทางนี้ฉันจัดการเอง”ชานยอลหันไปบอกเพื่อนรัก ให้เซฮุนหลบพายุที่กำลังคลั่งไปก่อนดีกว่าจะโดนหางเลขไปด้วย
“ฉันรอฟังคำนี้มานานแล้ว”ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ เซฮุนหมุนพวงมาลัยเหยียบคันเร่งออกรถทันที เขาว่ากันว่าเสือต่อให้ดุร้ายขนาดไหนก็ไม่กินลูกตัวเอง ชานยอลน่ะถึงจะไม่ใช่ลูกแต่ก็เป็นน้องชายแท้ๆ ยังไงท่านประธานก็ไม่ทำอะไรหรอก แต่เขานี่สิลูกก็ไม่ใช่ น้องก็ไม่ใช่ สมควรจะหาหนทางเอาตัวรอดไว้ก่อนจะดีกว่า
ชานยอลอดขำไม่ได้กับการหนี ซึ่งๆหน้าของเซฮุน แต่ถ้าทำได้เขาก็อยากจะหนีเหมือนกันนั่นแหละ ทันทีที่ก้าวเข้าตัวบ้านเขาก็พบบรรยายกาศอึมครึมแผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่ที่นั่ง หน้านิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวกลางห้องโถง ด้านข้างมีจางอี้ชิงผู้ที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงของชานยอลและคนสนิทของท่านประธานยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ถัดมาคือเหล่าเด็กรับใช้ในบ้านเกือบสิบคนที่ยืนเรียงแถวหน้าซีดตัวสั่นกันอยู่
ชานยอลเดินไปยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้าน ดวงตากลมใสผลุบต่ำไม่กล้าสบกับสายตาดุที่ถูกส่งมาให้ ฟันเล็กกัดริมฝีปากล่างอย่างลืมตัว มือเรียวประสานกันไว้ข้างหน้าท่าทางเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด
“คนอื่นไปได้” เสียงทุ้มห้าวเปล่งขึ้นประดุจเสียงสวรรค์ให้เกือบทุกคนในห้องโถงรีบสลายตัวอย่างรวดเร็ว ชานยอลยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพราะรู้ว่า ‘คนอื่น’ ที่ว่านั่นไม่ได้รวมตัวเองด้วย
“ไปไหนมา”น้ำเสียงเข้มๆ เยียบเย็นแบบนี้แหละที่น่ากลัวนัก หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูปของชายหนุ่มคนเดิม ชานยอลยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ไปนอนบ้านเพื่อน...”
“เงยหน้าขึ้นปาร์คชานยอล” ถึงแม้จะไม่ใช่เสียงตะหวาดแต่ก็ทรงอำนาจมากพอที่จะทำให้ชานยอลต้องเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง
อู๋อี้ฝานหรือคริสนายใหญ่ของธุรกิจในเครือตระกูลอู๋กำลังนั่งไขว้ขาด้วยท่างท่าสบายๆ ใบหน้าที่อาจเรียกได้ว่าหล่อจัดแต่มักจะเรียบเฉยไร้อารมณ์ ดวงตาดำสนิทคู่นั้นดูลึกลับน่าค้นหา เหมือนดึงดูดล่อล่วงให้ผู้คนหลงใหลแต่หากใครเผลอสบตาก็อาจจะมอดไหม้ได้เช่นกัน
และปาร์คชานยอลก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะมอดไหม้ไปกับสายตาคู่นั้นที่มองเขาอยู่ เด็กหนุ่มรู้ว่าสายตาคู่นั้นหยุดอยู่ตรงจุดไหนบนร่างกายตัวเอง มือเรียวจึงยกขึ้นกระชับปกเสื้อเชิ้ตให้ปิดบริเวณที่น่าจะมีรอยแดงที่เกิดจากแพคฮยอน
อี้ฝานลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเดินตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่ม ถึงชานยอลจะดูเป็นเด็กตัวสูงในสายตาของใครหลายคนแต่ก็ยังเตี้ยกว่าเขาอยู่ดี
มือใหญ่จับปกเสื้อคนเป็นน้องให้เปิดออกเผยให้เห็นรอยแดงบริเวณลำคอไล้จนไปถึงไหปลาร้า ชายหนุ่มจะรู้บ้างมั้ยว่าการกระทำของเขากำลังทำให้หัวใจของใครบางคนเต้นระทึกเหมือนจะหลุดออกมาจากอก
ชานยอลลอบมองใบหน้าหล่อเข้มของพี่ชายที่บัดนี้อยู่ห่างจากเขาเพียงคืบ ใบหน้าเรียวได้รูปราวกับช่างบรรจงปั้นของอี้ฝานยังคงนิ่งสงบ แม้สายตาจะกำลังพินิจพิจารณารอยแดงบนลำคอของเขา แต่แล้วชานยอลก็แทบสะดุ้งเมื่อดวงตาคมเงยขึ้นสบกับเขาตรงๆ
ใบหน้าหล่อจัดก้มลงมาใกล้...ใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดบนแก้มของเขา เด็กหนุ่มพยายามคาดเดาอารมณ์ของพี่ชายจากสายตาที่ประสานกัน
และชานยอลก็ได้เห็นว่าในแววตาคู่นั้นกำลัง...เหยียดหยามเขาอยู่
“หึ กักบริเวณหนึ่งเดือน...เด็กน้อย”
ร่างสูงใหญ่ผละตัวจากไปทิ้งให้น้องชายมองตามแผ่นหลังกว้างที่แสนเย็นชาเดินขึ้นบันไดห่างออกไปทุกที...เด็กน้อยงั้นเหรอ?
...ปาร์คชานยอลเคยชอบที่ได้เป็นเด็กน้อยของพี่ชาย...
...แต่ตั้งแต่ที่เขารู้จักความรัก ปาร์คชานยอลก็เกลียดการเป็นเด็กน้อยในสายตาอู๋อี้ฝานที่สุด...
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
ตระกูลอู๋สืบเชื้อสายมาจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในด้านธุรกิจบันเทิง ที่ประเทศเกาหลีในนาม WF entertainment จน ก้าวขึ้นมาเป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าของทวีปเอเชีย แน่นอนว่ากว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้คงจะสร้างศัตรูไว้ไม่น้อยทีเดียว เรื่องการขัดผลประโยชน์นั้นเป็นเรื่องธรรมดาในวงการธุรกิจ เพราะต้องอยู่บนเส้นทางของการแข่งขัน มีศัตรูรอบด้านการจะยืนหยัดอยู่ให้ได้บนเส้นทางที่มีแต่หนามแหลมคมจะต้องมีเกราะกำบังที่หนาแน่นพอ มีกำลังที่เข้มแข็งกว่า เบื้องหลังตระกูลอู๋จึงเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล เพื่อไว้ทัดทานอำนาจของผู้มีอิทธิพลกลุ่มอื่น
ทายาทของตระกูลอู๋ ทุกรุ่นนอกจากจะมีความสามารถในด้านธุรกิจแล้วยังมีฝีมือในเชิงป้องกันตัวอีกด้วย อู๋อี้ฝานผู้นำตระกูลคนที่สี่ก็ได้รับสืบทอดความสามารถทั้งหมดมาอย่างเต็มเปี่ยมแต่อะไรเหล่านั้นกลับส่งมาไม่ถึงชานยอล นอกจากชานยอลจะไม่มีไวพริบหรือความสนใจในงานด้านบริหารแล้ว ตอนเด็กเขายังสุขภาพอ่อนแอจนไม่สามารถเรียนศิลปะป้องกันตัวไว้คุ้มครองตนเองได้ อู๋หลงและภรรยาจึงเลี้ยงดูลูกชายคนเล็กอย่างประคบประหงมเอาใจกันมาตั้งแต่เด็ก
“มันเกินไปแล้วนะ”
ปาร์คชานยอลเด้งตัวขึ้นจากเตียงนอน กำปั้นเล็กๆ ทุบใส่หมอนระบายอารมณ์ริมฝีปากสีสดเชิ่ดขึ้นอย่างให้รู้ว่ากำลังขัดใจเป็นอย่างมาก นี่เขาต้องอยู่แต่ในบ้านมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ โดยที่ถูกตัดการติดต่อจากโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์หรือโน๊ตบุคล้วนถูกอู๋อี้ฝานยึดไว้หมด แต่สิ่งที่มาวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแทนคือพวกหนังสือการพัฒนาตนเองที่คนใจร้ายนั่นชอบอ่าน เหอะ คิดว่าเขาจะอ่านรู้เรื่องหรือไง
“ก็คุณหนูไปยั่วโมโหคุณคริสทำไมละครับ”
คำพูดที่หลุดออกมาจากปากจางอี้ชิงทำให้ใบหน้าสวยของคนที่กำลังขัดใจสะบัดหนีอย่างไม่ยอมรับ อี้ชิงดูแลชานยอลมาตั้งแต่เด็กทำไมจะไม่รู้นิสัยเจ้านายตัวน้อยคนนี้แค่มองตาเขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
คนถูกจับได้เถียงไปข้างๆ คูๆ ชานยอลไม่ได้รับอนุญาติให้ไปไหนเพียงลำพังโดยไม่มีคนติดตาม เรื่องการจะไปค้างคืนที่อื่นนั้นเป็นไม่ได้เลย แต่คราวนี้ชานยอลกลับท้าทายอี้ฝานโดยการไม่กลับบ้านหลายคืนในระหว่างที่เจ้าตัวไปทำงานต่างประเทศเพียงเพราะอยากแกล้งพี่ชายเท่านั้น ในขณะที่อี้ฝานสั่งให้ชานยอลเป็นเด็กดีอยู่บ้านแต่ตัวเองกลับพาแฟนไปเที่ยวอย่างมีความสุขเขาจึงอดไม่ได้ที่จะทำตัวเป็นมารขวางความสุขของอู๋อี้ฝาน
“ครับ ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำแต่คุณคริสเป็นห่วงมากนะครับที่คุณหนูไม่กลับบ้าน โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้”พอรู้ว่าชานยอลหายออกจากบ้านไปโดยที่ติดต่อไม่ได้ อู๋อี้ฝานก็รีบสั่งให้เขาจองไฟท์บินกลับเกาหลีทันที
ร่างสูงโปร่งก้าวลุกจากเตียงไปยืนพิงหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ริมฝีปากสีสดยกขึ้นเหยียดยิ้มกับตัวเอง ในขณะที่สายตาเหม่อมองออกไปไกล อู๋อี้ฝานน่ะเหรอเป็นห่วงเขาผู้ชายคนนั้นก็แค่คอยควบคุมให้เขาอยู่ในกรอบที่เจ้าตัวกำหนดไว้เท่านั้น
อี้ฝานทำเหมือนชานยอลเป็นรูปภาพประดับบ้าน เมื่อไหร่ที่เขากลับมาจะต้องเห็นรูปภาพนี้ตั้งอยู่ตรงที่ที่มันสมควรอยู่ รูปภาพที่ถูกแขวนทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว ไม่ถึงกับละเลยทิ้งขว้างแต่ก็ไม่เคยหยิบขึ้นมาสนใจ
“แล้วนี่เขาเรียกหาผม มีเรื่องอะไรรึเปล่าฮะ”ชานยอลปัดความคิดน้อยใจนั้นทิ้งไป พยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติหันไปถามอี้ชิงที่กำลังตามเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายเต็มพื้นด้วยฝีมือของเขา
“เรื่องเพื่อนๆ ของคุณหนูน่ะครับ ตอนนี้รีบไปพบคุณคริสก่อนเถอะ ท่านเรียกหานานแล้ว ไปช้าเดี๋ยวจะโดนดุอีก”อี้ชิงตอบปัด เขาไม่มีสิทธิจะพูดอะไรมากเพราะเรื่องนี้อี้ฝานต้องการคุยกับชานยอลด้วยตัวเอง
“ถ้าอยากพบนักทำไมไม่มาหาผมที่นี่แทนละ”ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่ท่อนขาเรียวยาวกลับเดินดุ่มๆ ออกจากห้องนอน ผ่านโถงทางเดินยาวที่เชื่อมต่อระหว่างปีกซ้ายของตัวคฤหาสน์ไปยังปีกด้านขวาที่ชานยอลไม่ค่อยจะย่างกรายเข้ามาบ่อยนักทั้งที่ตอนเด็กเขามักจะวิ่งเล่นเข้าออกบริเวณนี้บ่อยๆ บางครั้งถึงกับหอบหมอนมานอนเลยเสียด้วยซ้ำ
ปีกด้านขวาเป็นพื้นที่ส่วนตัวของอู๋อี้ฝาน หากอยู่บ้านเขามักจะหมกตัวอยู่แต่ในนั้น ทำให้ถึงแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่ชานยอลกับพี่ชายก็แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย ร่างสูงโปร่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานบานใหญ่ ยืนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกมือเคาะสองสามครั้ง และผลักเข้าไปเมื่อได้ยินคำอนุญาติจากคนข้างใน
ภาพที่เห็นภายในห้องทำให้ชานยอลแทบอยากจะเบือนหน้าหนี ใบหน้าหล่อจัดที่มักเรียบเฉยเวลาอยู่ต่อหน้าเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มยามเมื่ออยู่กับใครอีกคน
...ลู่หาน คนรักของอู๋อี้ฝาน...
รอยยิ้มของอี้ฝานยังคงค้างอยู่ตอนละสายตาจากใบหน้าหวานของคนรักมาทางน้องชายที่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตู แต่ชานยอลรู้ดีว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ใช่ของเขา
“ชานยอลไม่ได้เจอกันนานเลย”ลู่หานเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มกว้าง ดวงตากลมสุกใสราวกับลูกกวางแสดงออกถึงความใสซื่อจริงใจของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“สวัสดีฮะพี่ลู่หาน”ชานยอลทักทายกลับอย่างสุภาพ เขาทำได้เพียงฝืนยกยิ้มมุมปากส่งกลับให้เท่านั้น
ลู่หานเป็นลูกชายคนเดียวของลู่เจิ้ง ลูกน้องคนสนิทของอู๋หลงและยังเป็นญาติผู้พี่ของเซฮุนด้วยลู่หานกับอี้ฝานสนิทกันมาตั้งแต่เด็กและเมื่อทั้งสองคนไปเรียนต่อต่างประเทศ ด้วยกันความสัมพันธ์ก็เปลี่ยนไป ในขณะที่ความสัมพันธ์ของอี้ฝานกับลู่หานพัฒนาไปในทางดีขึ้น ความสัมพันธ์ของชานยอลและพี่ชายกลับแย่ลงจนกลายเป็นห่างเหิน
“ทำไมเพิ่งมา”รอยยิ้มบนใบหน้าอู๋อี้ฝานหายไปหมดแล้ว เมื่อสายตาคู่คมจ้องมองน้องชายอย่างต้องการคำตอบ
“เอ่อ...ฉันกลับก่อนดีกว่า”ลู่หานผู้รู้กาลเทศะบอกสองพี่น้องที่ท่าทางเหมือนจะมีเรื่องคุยกันยาว “อี้ฝาน นายก็ค่อยๆ คุยกับน้องนะ”
ร่าง เล็กส่งยิ้มราวกับจะให้กำลังใจชานยอลก่อนจะเดินผ่านออกจากห้องไป ก็เพราะลู่หานเป็นคนอ่อนโยน ใจดีแบบนี้ไงละถึงได้กุมหัวใจของอู๋อี้ฝานไว้ได้ และเพราะลู่หานเอ็นดูชานยอลมาตลอดมันจึงทำให้เขารู้สึกรังเกียจตัวเองทุกครั้งที่แอบอิจฉาคนรักของพี่ชาย
...อิจฉาที่ลู่หานได้รับความรักจากผู้ชายคนนั้น...
“ว่าไง ปาร์คชานยอล”น้ำเสียงทุ้มห้าวเรียกให้ร่างโปร่งหลุดจากภวังค์
ชานยอลเงยหน้ามองชายร่างสูงตรงหน้า จำเป็นด้วยหรือไงที่จะต้องเรียกชื่อเขาเต็มยศขนาดนั้นเขาไม่ชอบเลยเวลาที่ถูกอีกฝ่ายเรียกแบบนี้ ชานยอลเคยถามถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ใช้นามสกุล ‘ปาร์ค’ ซึ่งเป็นนามสกุลของคุณย่าที่เป็นคนเกาหลีแทนที่จะเป็นนามสกุล ‘อู๋’ แต่คำตอบที่ได้รับดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ มันจึงทำให้ชานยอลอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะความอ่อนแอไม่เอาไหนของเขาจึงไม่มีสิทธิ์ใช้นามสกุลอู๋ ไม่เป็นที่ยอมรับของคุณปู่และคนอื่นๆ ในตระกูล
“มีธุระอะไรจะคุยกับผมละฮะ”ชานยอลไม่ตอบแต่ตัดบทเข้าประเด็นแทน ตอนนี้เขารู้สึกอารมณ์เสียมากจนไม่อยากแม้แต่จะมองใบหน้าหล่อจัดนั่น
อี้ฝานก็ไม่คิดจะคาดคั้นอีกเขาโยนนิตยสารที่พาดรูปพยอนแพคฮยอนนักร้องหนุ่มคนดังกำลังนัวเนียกับผู้ชายในผับลงบนโต๊ะทำงานให้ชานยอลได้เห็น แม้รูปจะไม่ชัดและเห็นเพียงด้านข้างแต่อี้ฝานก็รู้ในทันทีว่าคนๆ นั้นคือใคร
“ที่ผ่านมาเธอจะไปมั่วกับใคร ฉันไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย แต่อย่ามายุ่งกับศิลปินในบริษัท”
ก้อนเนื้อในอกกำลังบีบรัดเพราะคำพูดร้ายๆ ของผู้ชายตรงหน้า อู๋อี้ฝานจะรู้บ้างมั้ยว่าที่เขาต้องไขว่คว้าหาความรักจากคนอื่นมันเป็นเพราะใคร ชานยอลแสร้งทำเป็นหยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นมาดูเพื่อปิดบังแววตาสั่นไหว ใบหน้าสวยที่ผู้หญิงหลายคนพากันอิจฉาปั้นรอยยิ้มที่เรียกได้ว่ากวนอารมณ์คน ได้ดีส่งไปให้พี่ชายที่กำลังทำหน้านิ่ง
“ว๊า...ผมว่าระวังตัวดีแล้วนะยังถูกถ่ายรูปได้อีก ไว้คราวหน้าจะระวังให้มากกว่านี้ละกันแต่ถ้าจะให้เลิกยุ่งกับแพคฮยอนคงทำให้ไม่ได้หรอกนะฮะ” ชานยอลรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปทำให้อี้ฝานไม่พอใจ แต่อันที่จริงไม่ว่าเขาจะทำอะไรพี่ชายก็ไม่เคยพอใจอยู่แล้ว
“แต่ถ้าฉันสั่งเธอก็ต้องทำตาม เลิกยุ่งกับพยอนแพคฮยอนซะ”คำสั่งของอี้ฝานทำให้ชานยอลนึกสนุกมากกว่าที่จะ เชื่อฟัง ร่างสูงโปร่งยกยิ้มมุมปากและเดินเข้าไปใกล้พี่ชายทรุดตัวลงนั่งบนขอบโต๊ะทำงานและโน้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าหล่อคมพร้อมกับเอียงคอน้อยๆ
“ถ้าไม่มีแพคฮยอนแล้วผมเกิดเหงาขึ้นมา...ก็แย่น่ะสิ”น้ำเสียงยียวนถูกเปล่งออกไปพร้อมสีหน้าที่แสร้งทำให้
น่าเห็นใจ “ผมไม่อยากหาคนใหม่แล้วด้วย แพคฮยอนน่ะถูกใจผมที่สุดแต่ถ้าพี่หาคนที่เด็ดกว่าได้มาให้ ผมอาจจะยอมเลิกยุ่งกับคนของพี่ก็ได้นะ พี่คริส”
เหมือนว่าชานยอลจะประสบความสำเร็จในการยั่วโมโหอู๋อี้ฝาน เมื่อมือใหญ่กระชากท่อนแขนเรียวจนร่างที่ถึงแม้จะสูงแต่ก็บอบบางเซถลา ทำให้ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ใกล้ยิ่งกว่าใกล้ คนที่สนุกกับการแกล้งพี่ชายในตอนแรก ตอนนี้กลับตื่นตกใจกับความใกล้ชิดนี้จนหัวใจสั่นรัว
“ปาร์คชานยอลอย่าทำตัวสกปรกนัก ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็ให้สำนึกไว้บ้างว่าเธอเป็นคนของตระกูลอู๋”อี้ ฝานพูดเสียงต่ำ สายตาที่ใช้มองมาเต็มไปด้วยความเย็นชาจนทิ่มแทงลงในหัวใจของอีกคน แต่มันก็ไม่เจ็บหรอกนะเพราะเขาเคยชินกับความเจ็บปวดจนด้านชาไปแล้ว
“ถ้าพี่ไม่เตือนผมก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน ผมคิดว่าตัวเองเป็นแค่คนอาศัยในบ้านหลังนี้เสียอีก”ความโกรธทำให้ชานยอลกล้าพูดมันออกไป ช่วงหลายปีหลังมานี้อี้ฝานปฎิบัติกับเขาราวกับคนแปลกหน้าและยิ่งหลังจากที่พ่อแม่เดินทางไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศจีน อี้ฝานก็ยิ่งเปลี่ยนไปจากที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนกลับมีเพียงความเฉยชาให้แก่กัน
แรงบีบที่ท่อนแขนเพิ่มขึ้นจนชานยอลรู้สึกเจ็บ ถึงหยาดน้ำตาจะเริ่มคลอในดวงตากลมใสแต่ร่างโปร่งก็ไม่ยอมปริปากให้เสียงร้องหลุดออกมา ถ้าความเจ็บปวดของปาร์คชานยอลคือสิ่งที่อู๋อี้ฝานต้องการ...เขาก็จะยอม
“เธอเป็นน้องชายของฉัน เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นคนของตระกูลอู๋และอย่าพูดแบบนี้ให้ฉันได้ยินอีก”อู๋อี้ฝานพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำดวงตาคมบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังโมโหเพียงใด ร่างสูงใหญ่ปล่อยมือจากน้องชายและลุกเดินออกจากห้องด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยโทสะ
ห้องทำงานกว้างเงียบสงบลงไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นไห้จากร่างแบบบางที่กำลังสั่นไหว น้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอยู่ตอนนี้ชานยอลไม่รู้ว่ามันไหลเพราะอะไร เขาควรจะดีใจไม่ใช่หรือที่ถึงแม้อี้ฝานจะไม่ชอบเขาขนาดไหนแต่ก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนในครอบครัว แต่ทำไมละ....
...ทำไมน้ำตาถึงไหล ทำไมถึงปราถนาจะได้ยินว่าเขาไม่ใช่น้องของผู้ชายคนนั้น...
TBC
ความคิดเห็น