ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] หวานใจ >///<

    ลำดับตอนที่ #20 : หวานใจ ตอน 18 ::: ออกค่าย (2/3)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.82K
      5
      17 ธ.ค. 57


    [Fic] หวานใจ >///<

     

    ตอน 18: ออกค่าย (2)

     

     Fiction by 2nd Admin

     

    .

     

    .

     

    .

     

                "เฮ้ ข้างนอกนั่นร้อนมากเลย ขอน้ำหน่อยสิ"

                เด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาบอกนั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีของลีแทมิน อยู่ในกลุ่มที่รับหน้าที่ซ่อมแซมชั้นหนังสือซึ่งต้องยกไปทำกันกลางแจ้ง ตรงลานกว้างหน้าโรงเรียน ในขณะที่งานทำความสะอาดนั้นอยู่ในร่ม และกลุ่มคัดแยกหนังสือของอี้ชิงกับแทมินก็ยึดพื้นที่ในโรงอาหาร ท่าทางของคนที่มาขอความช่วยเหลือนั้นดูเหน็ดเหนื่อย ยืนปาดเหงื่อบนหน้าผากกับข้างแก้มป้อยๆ แดดข้างนอกคงจะแรงมากจริงๆ แทมินเห็นอย่างนั้นก็รีบกดน้ำเย็นจากกระติกใส่แก้วแล้วส่งให้เพื่อนร่วมชั้นปี

                “แล้วทีมสวัสดิการล่ะ?”

                “ไปช่วยพวกปีสามรื้อหลังคากันหมดเลย เอากระติกน้ำไปด้วย พวกที่ตอกชั้นไม้อยู่ข้างนอกนั่นไม่มีน้ำดื่มเลย

                "ถ้าอย่างนั้นเอาใบนี้ไปดีกว่า เราดื่มน้ำของโรงอาหารก็ได้" อี้ชิงเสนอ กระติกน้ำขนาดใหญ่ของทีมสวัสดิการมีแค่สองใบ แต่ดูท่าว่าคนที่ทำงานกลางแดดน่าจะต้องการมากกว่า อี้ชิงกับแทมินก็เลยช่วยกันเอาน้ำเติมใส่ในกระติกให้เต็มแล้วยกไปวางไว้ตรงลานกว้าง พวกปีหนึ่งพอเห็นกระติกน้ำต่างก็กรูกันเข้ามารุม แต่ในกลุ่มนั้นไม่มีคนที่อี้ชิงคิดว่าจะได้เห็น ด้วยความสงสัยก็เลยมองหาดูรอบๆ แล้วก็เห็นเด็กหนุ่มตัวสูงกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ใต้ต้นไม้ข้างๆ โรงอาหาร ท่าทางขมักเขม้นเชียว

                "จงอิน ดื่มน้ำก่อนสิ ข้างนอกนี่ร้อนจริงๆ ด้วย น่าจะมีที่ว่างพอให้ขนชั้นพวกนี้ไปทำในที่ร่มได้เนอะ" อี้ชิงเดินถือแก้วน้ำเข้าไปหาในจังหวะที่จงอินหันหลัง ยืนรออยู่ซักพักรุ่นน้องก็ยังไม่ยอมหันมา จะว่าไม่เห็นก็ใช่ แต่เสียงเขาไม่ใช่เบา จงอินก็น่าจะได้ยินนี่นา อี้ชิงบุ้ยปากพลางเอียงคอน้อยๆ อย่างใช้ความคิด แทมบอกว่าจงอินงอนที่เขาไม่อยู่รอฟังผลวันคัดเลือก หรือว่าจะเป็นเรื่องนี้นะ "นี่ ยังไม่หายงอนอีกหรือไง ก็วันนั้นฉันรีบนี่นา เลยอยู่ฟังผลด้วยไม่ได้ แต่ยังไงนายก็ชนะแล้ว เอาไว้วันหลังฉันกับแทมจะพาไปเลี้ยงอะไรอร่อยๆ ก็แล้วกัน"

                ง้อด้วยของกินขนาดนี้แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่สนใจ เอาแต่ตอกชั้นไม้ปั้กๆ อี้ชิงก็เลยดึงแขนเสื้อเบาๆ หมายให้อีกฝ่ายหันมา

                "นี่ คิมจงอิน"

                "ห๊ะ?" จงอินที่ถูกสะกิดหันมาเห็นรุ่นพี่ตัวขาวที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เลิกคิ้วขึ้นสูง ดึงสายสีขาวออกจากหูแล้วถามงงๆ "พี่ว่าอะไรนะ?"

                มองหูฟังในมือใหญ่แล้วคิ้วบางก็ขมวดฉับ กลีบปากอิ่มยื่นออกจนหน้าหวานๆ ดูมุ่ยตุ้ย อุตส่าห์ง้อตั้งนาน รุ่นน้องไม่ได้ฟังเลย

                "เอาน้ำไปเลย ฉันไม่คุยด้วยแล้ว" ยัดเยียดแก้วน้ำใส่มือรุ่นน้องด้วยความเคืองจนน้ำกระฉอกใส่อกเสื้ออีกฝ่ายแล้วก็หันหลังจะเดินหนี แต่ในทันทีข้อมือบางก็ถูกคว้าให้ต้องหันกลับ

                "ใจเย็นสิ พี่งอนอะไรเนี่ย?"

                "คุยด้วยตั้งนาน นายไม่ฟังอะไรเลย"

                "เอ๊า ก็ผมไม่ได้ยินนี่นา ฮะๆๆๆ ขอโทษที ต้องการแรงบันดาลใจในการทำงานน่ะ ไม่คิดว่าจะมีใครเดินมาหา"

                “ก็นึกว่าแอบหลับ เลยลองเดินมาดูถูกประชดแต่ก็ยังหัวเราะร่า จงอินพาดสายหูฟังไว้กับบ่าแล้วยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้วอย่างชื่นใจ มองดวงหน้าน่ารักที่ยังบึ้งตึงของรุ่นพี่แล้วก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ไม่ใช่ว่าน่าขัน แต่คนตัวเล็กคงไม่รู้ ถึงจะชักสีหน้าให้ดูโกรธเคืองแค่ไหน ในสายตาคนมองก็ยังน่ารักมากๆ อยู่ดี

                ดวงตาเป็นประกายยามที่หัวเราะอย่างมีความสุขนั้นน่ามองมาก และอี้ชิงก็เพิ่งเคยเห็นจงอินจอมง่วงงุนหัวเราะเต็มที่แบบนี้เป็นครั้งแรก แววตาจริงจังยามที่อยู่ในสนามเต้นคัดตัวนั้นก็ดูมีสเน่ห์อีกแบบหนึ่ง แต่อี้ชิงคิดว่าเสียงหัวเราะแบบนี้เหมาะกับเด็กหนุ่มมากกว่า

                "แบบนี้ค่อยดูเหมือนเด็กผู้ชายหน่อย เวลานายหัวเราะแล้วน่ารักดีนะ น่าจะหัวเราะบ่อยๆ" แต่รุ่นน้องก็หยุดหัวเราะแทบจะในทันที

                ...น่ารักอย่างนั้นเหรอ คนที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้านี้ต่างหากที่เหมาะกับคำนั้น ตาคู่สวย กลีบปากอิ่ม ลักยิ้มบุ๋ม จงอินก็ไม่รู้ว่าเขาจดจำความน่ารักเหล่านี้จนฝังเอาไว้ในใจตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะ... ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ตั้งแต่วันนั้น...

               

                "ข้างนอกแดดมันร้อน พี่เข้าไปข้างในก่อนเถอะ"

     

                แล้วหัวใจของพี่ล่ะ มีผมอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า...

     

    .

     

    .

     

    .

     

                เสร็จจากงานคัดแยกหนังสือแล้ว อี้ชิงกับคนอื่นๆ ก็ไปช่วยทำความสะอาดห้องเก็บของต่อ ซึ่งทำอยู่ได้ไม่นานก็ถูกทีมที่กำลังรื้อหลังคาบอกให้ออกไปก่อน เพราะเกรงว่าเศษไม้เศษหญ้าจะหล่นใส่จนเป็นอันตรายได้ พอไม่มีอะไรทำ กลุ่มเด็กปีสองก็เลยออกมาเดินเล่นข้างนอกกัน เห็นเด็กๆ ที่แอบย่องมาดูว่าคนแปลกหน้าพากันมาทำอะไรที่โรงเรียนของพวกเค้า สาวๆ ก็เข้าไปชวนคุยชวนเล่นด้วยความเอ็นดู ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็แยกกันเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้าน บางส่วนก็ไปช่วยพวกปีหนึ่งประกอบชั้นไม้ อี้ชิงกับแทมินที่ไม่มีฝีมือด้านงานช่างก็เลยเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น

                แสงแดดยามเย็นอ่อนลงมากแล้ว อี้ชิงก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจเบาๆ พี่คริสออกไปเกือบสามชั่วโมงแล้วยังไม่กลับมาเลย อยู่ไกลถึงในป่าแบบนี้ อย่าว่าแต่สัญญาณอินเตอร์เน็ต แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ใช้ไม่ได้ เขาไม่รู้จะติดต่อพี่คริสได้ยังไง

                "เดี๋ยวก็มาฮะ" แทมินบอกแล้วยิ้มเหมือนรู้ว่ารุ่นพี่กำลังคิดถึงใคร "พี่มินโฮบอกว่าไปไม่นาน น่าจะกลับมาก่อนค่ำ เราไปเดินเล่นตรงโน้นรอกันดีกว่า"

                เด็กหนุ่มแค่อยากหาอะไรให้รุ่นพี่ทำแก้เหงาแต่ก็ไม่อยากชวนไปไหนไกลเพราะรู้ว่าพี่เลย์คงอยากรอแฟนอยู่แถวนี้มากกว่า พอรุ่นพี่พยักหน้าก็พาเดินไปที่ร่มไม้ข้างโรงอาหาร คิมจงอินยังอยู่ที่นั่น หลังจากปล้ำกับงานไม้มาพักใหญ่ ตอนนี้ก็กำลังทาสีชั้นหนังสือที่ต่อขึ้นมาด้วยตัวเอง แทมินรู้ว่าเพื่อนสนิทไม่ถนัดกับงานพวกนี้ เห็นตั้งอกตั้งใจแบบนี้ก็อดจะชื่นชมไม่ได้

                "งานหนักนะเนี่ย" แซวขำๆ แล้วก็ปีนขึ้นไปนั่งบนแคร่ ไม่ลืมที่จะดึงข้อมือบางให้รุ่นพี่ตัวขาวนั่งลงด้วยกัน จงอินหันมาพยักหน้าให้เพื่อนแล้วก็ยิ้มสนุก

                "เมื่อกลางวันกินเข้าไปเยอะ ต้องออกแรงให้คุ้มหน่อย"

                "ออกแต่แรงก็พอนะ ไม่ต้องออกแดดมาก เดี๋ยวผิวเสียแล้วจะมานอยด์กัน" พอหนุ่มผิวคล้ำหุบยิ้มแล้วปรายตามามองจิก คนแซวก็หัวเราะคิก รุ่นพี่ตัวขาวที่นั่งอยู่ด้วยกันก็พลอยเอามือป้องปากหัวเราะไปด้วย

     

                ถึงจะช้ากว่าคนอื่น แต่ชั้นไม้ของจงอินก็ประกอบเสร็จเรียบร้อยในที่สุด ระหว่างนี้ก็ต้องรอให้สีแห้ง จงอินกำลังยกผลงานตัวเองไปวางผึ่งลมไว้ที่ลานกว้างเหมือนกับของคนอื่นๆ ชั้นไม้หลากสีที่วางเรียงรายอยู่ก่อนดึงดูดให้เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งแอบย่องเข้ามาดูใกล้ๆ แต่พอเห็นพี่ชายแปลกหน้าเดินมาก็รีบวิ่งไปหลบอยู่ตรงมุมทางเข้าโรงอาหาร

                "อยากช่วยหรือไง?" จงอินลองแหย่เล่นๆ พยายามตีสีหน้าให้เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ผลุบโผล่อยู่นั้นให้มากที่สุด แต่เด็กน้อยก็โผล่เพียงแค่หน้ากลมๆ ออกมามองเท่านั้น

                "มาดูใกล้ๆ นี่สิ ชั้นไม้สีสวยๆ พวกนี้ ของหนูทั้งนั้นเลยนะ" น้ำเสียงนุ่มนวลของพี่ชายยิ้มสวยคงทำให้เด็กๆ วางใจได้มากกว่า ถึงได้ค่อยๆ ย่องออกจากที่ซ่อนแล้วจูงไม้จูงมือกันเดินมาหาพี่ๆ ที่กวักมือเรียก เด็กผู้ชายสามคนสนอกสนใจชั้นไม้ในขณะที่เด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กที่สุดยังดูหวาดระแวง และคอยแต่จะแอบอยู่ข้างหลังพี่ๆ แต่เมื่อพี่ชายหน้าหวานยิ้มให้แล้วย่อตัวลงนั่งใกล้ๆ เด็กน้อยก็ไม่ได้ถอยหนี

                "น่ารักจังเลย ชื่ออะไรครับ?"

                "มินอา..."

                "หนูมินอา เรียนที่นี่เหรอ?" เด็กน้อยพยักหน้าทั้งที่อมนิ้วโป้งไว้ในปาก "ร้องเพลงได้มั้ยเอ่ย?"

                คราวนี้เด็กผู้ชายอีกสามคนทิ้งความสนใจจากชั้นไม้แล้วรีบหันมาแย่งกันตอบ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วแซงกันอย่างกระตือรือร้นจนทั้งอี้ชิงและแทมินต้องช่วยกันปรามแล้วบอกให้ช่วยน้องร้อง สาวน้อยคนเล็กบิดตัวด้วยความเขินในทีแรก พอถูกคะยั้นคะยอมากๆ ก็เลยงึมงัมเพลงที่คุณครูสอนให้พวกพี่ๆ ร้องตาม โดยมีพี่ชายหน้าหวานสองคนคอยปรบมือเป็นจังหวะให้ พอเริ่มสนุกก็ออกท่าทางยึกยักพร้อมกันบ้างไม่พร้อมบ้าง แต่ก็ยังน่าเอ็นดูมากๆ อยู่ดี แทมินเหล่มองเพื่อนสนิทที่ยืนกอดอกขมวดคิ้วมองเด็กตัวเล็กๆ ที่แข่งกันอวดเสียงเจื้อยแจ้วพร้อมเต้นดุ๊กดิ๊กๆ แล้วก็นึกหมั่นไส้ในความขี้เก๊ก พอเด็กๆ ร้องเพลงจบก็ปรบมือให้รัวๆ

                "น่ารักจังเลย ร้องอีกสิครับ เดี๋ยวให้พี่จงอินเต้นด้วยนะ"

                "ห๊า?" หนุ่มเท้าไฟเอานิ้วชี้หน้าตัวเองเหรอหราเมื่อเพื่อนสนิทหลอกล่อเด็กน้อยไปแบบนั้น "ฉันเต้นเป็นที่ไหนเล่า"

                "ก็เต้นกับน้องๆ เค้าสิ เอ้าเด็กๆ สอนพี่จงอินเต้นหน่อยเร้ว" ตัวเล็กตัวน้อยต่างกรูกันเข้าไปรุมพี่ชายตัวโตอีกคน ดึงมือบ้างขากางเกงบ้างให้พี่ชายมายืนเรียงหน้ากระดานด้วยกัน แล้วก็เริ่มร้องเพลงเดิมอีกครั้ง พอเด็กๆ ขยับตัวดุ๊กดิ๊กแทมินก็บอกให้จงอินเต้นตาม แต่ร่างสูงยังคงยืนกอดอกแล้วเชิดหน้าน้อยๆ ต้องให้รุ่นพี่คะยั้นคะยอถึงได้ยอมขยับทำท่าตามอย่างเสียไม่ได้ เต้นไปก็ตะขิดตะขวงในใจไป ขยับตัวยึกยักแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าเต้นแน่ๆ หนุ่มนักเต้นกระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก ก่อนจะแตกแถวมาออกสเต็ปเต้นแบบสตรีทแดนซ์ชนิดที่ไม่ได้เข้ากับเพลงหนูมาลีที่เด็กๆ กำลังร้องเลยแม้แต่น้อย จัดเต็มจนเด็กๆ ที่ไม่เคยเห็นท่าเต้นแปลกๆ พากันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ร้องเพลงกันต่อแทบไม่ได้ แม้แต่อี้ชิงกับแทมินที่นั่งปรบมืออยู่ก็ยังหัวเราะตามไปด้วย ใครจะคิดว่าคิมจงอินจอมมึนจะทำอะไรตลกๆ แบบนี้ได้

                "หัวเราะดีนัก มาเต้นด้วยกันเลยมา"

                ".. อะไรนะ?" กำลังหัวเราะสนุกๆ แต่จู่ๆ ก็ถูกฉุดมือให้ลุกขึ้น อี้ชิงจะแย่งมือคืนแต่จงอินก็ไม่ปล่อย จับสองมือเล็กยกขึ้นสูงบังคับให้ร่างโปร่งบางต้องหมุนตัวตาม รอบหนึ่งไม่พอ สองรอบ สามรอบจนอี้ชิงบ่นว่ามึนหัวแล้วนั่นแหละ ถึงได้หยุด แล้วก็หันไปดึงมือเพื่อนสนิทให้ลุกขึ้นมาด้วยกัน จับมือกันเป็นวงกลมแล้วหมุนไปรอบๆ เด็กๆ ที่เต้นกันอยู่ตรงกลาง ทั้งเสียงโวยวายของแทมิน เสียงบ่นง้องแง้งของอี้ชิงกับเสียงหัวเราะของจงอินและเด็กๆ แข่งกันเซ็งแซ่จนบรรยากาศสนุกสนาน แทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใดรอบข้าง ใครบางคนก็สนุกจนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้กำลังรอคอยอะไร กระทั่งเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาไกลๆ

     

                "เฮ้ เรากลับมาแล้ว"

     

                อี้ชิงหันขวับไปตามทิศทางของเสียง แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นรุ่นพี่คนเก่งเดินนำหน้าทีมที่ออกไปซื้อของด้วยกันกำลังโบกมือให้มาแต่ไกล พี่มินโฮกลับมาแล้ว ใครอีกคนที่อี้ชิงกำลังรอก็คงเช่นกัน ชะเง้อคอมองหาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว และคนที่เดินรั้งท้ายสุดนั้นก็คือร่างสูงที่อี้ชิงคิดถึง

     

                "พี่คริส..."

     

                ทว่ากลับไม่มีรอยยิ้มตอบอย่างที่หวังจะได้เห็น เมื่อคนรักเงยหน้าและประสานสายตากันเพียงชั่วครู่แล้วเมินมองไปเสียทางอื่น หัวใจดวงเล็กที่กำลังลิงโลดด้วยความดีใจก็ต้องกระตุกวูบ พี่คริสเป็นอะไร ทำไมถึงบึ้งตึงแบบนั้น มีเรื่องอะไรให้ไม่สบายใจหรือเปล่านะ เท้าเล็กขยับก้าวหมายจะเข้าไปหาแต่กลับต้องชะงักเมื่อมือข้างหนึ่งยังถูกยึดไว้

     

                สีหน้าของรุ่นน้องเปลี่ยนไปยามที่ใครคนนั้นกลับมา เพียงแต่อี้ชิงไม่สังเกตุเห็น จงอินสบตากับคนที่ยืนห่างออกไปนับสิบเมตร พลันแรงรัดที่ข้อมือขาวก็มากขึ้นจนคนตัวเล็กเกือบจะต้องสลัดให้หลุด กว่าเด็กหนุ่มจะรู้ตัวก็ตอนที่ได้ยินเจ้าของข้อมือบางครางชื่อเขาด้วยความสงสัย จงอินเลื่อนสายตากลับมามองสบกับตาคู่สวย พลันแววแข็งกร้าวในดวงตาเรียวรีนั้นก็อ่อนลง ยอมคลายมือปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระแล้วยืนนิ่ง มองคนตัวเล็กที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกวูบโหวงในอก

     

    .

     

    .

     

    .

     

                อากาศข้างนอกร้อนเกินไป แม้ว่าขากลับแดดจะอ่อนแสงลงมาก แต่ทั้งฝุ่นดินทั้งควันรถก็ทำให้คนที่นั่งกระบะหลังมาตลอดทางรู้สึกเหนียวตัวไปหมด ไม่นับรวมภาพที่ชวนให้หงุดหงิดใจเมื่อกลับมาถึง หลังจากช่วยคนอื่นๆ ขนของที่ซื้อมาลงจากท้ายรถกระบะแล้วเอามากองไว้ที่ลานกว้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คริสจึงเข้าไปในที่พักชั่วคราวแล้วถอดเสื้อยืดที่ชุ่มเหงื่อของตัวเองออก ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อตัวใหม่ เขาไม่ได้ละเลยเสียงฝีเท้าเบาๆ ที่คอยตามหลังอยู่ตลอดตั้งแต่ข้างนอก เพียงแต่ความขุ่นมัวในใจนั้นยังมีจึงไม่ยอมแม้แต่จะหันหลังไปมอง กระทั่งมือเล็กแตะลงที่ท่อนแขนพร้อมเสียงนุ่มที่เอ่ยถาม

                "พี่คริสเหนื่อยมั้ย?"

                มือใหญ่กำเสื้อที่อยู่ในมือจนแน่น อกกว้างขยับขึ้นลงเมื่อเขาผ่อนลมหายใจรุนแรง คริสยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งคลายแรงกัดที่กรามลงได้แล้วจึงหันมาหาคนตัวเล็กที่ยืนรออยู่ข้างหลังอย่างช้าๆ หัวใจที่กระหน่ำเต้นอย่างรุนแรงด้วยโทสะจนเจ็บแปลบไปทั้งอกนั้นยังไม่จาง แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าเป็นกังวลและแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนรัก ความโกรธเกรี้ยวมากมายที่สุมอยู่ในใจก็ค่อยคลายลง

                "...ร้อนนิดหน่อย" เขาผ่อนเสียงตอบ ใบหน้าที่เครียดขึงมาตลอดค่อยคลี่ยิ้มบาง คริสโอบแขนกอดเอวเล็กแล้วรั้งเข้าหาตัว แต่คนเป็นน้องก็รีบยกมือที่ถือแก้วน้ำพลาสติกมาด้วยขึ้นกันไว้ได้ทันก่อนที่แผ่นอกทั้งคู่จะแนบชิด คริสหลุบตาลงมองแล้วหัวเราะเบาๆ

                "ดื่มน้ำก่อนนะครับ"

                "น้ำอย่างเดียวน่ะ ชื่นใจไม่พอหรอก" คนรู้ไม่ทันกระพริบตาปริบก่อนจะต้องร้องฮื่อเมื่อจมูกโด่งฉวยโอกาสฝังลงสูดกลิ่นหอมของผิวแก้มนิ่มไปฟอดใหญ่ จะปัดป้องก็ไม่ได้เพราะสองมือต้องคอยประคองแก้วไม่ให้น้ำกระฉอก เลยต้องยอมให้แก้มอีกข้างถูกเอาเปรียบไปด้วยกัน คนเป็นน้องอมลมจนแก้มป่อง ตาคู่สวยคอยแต่จะมองไปที่ประตูห้องเหมือนเกรงว่าจะมีใครเข้ามาเห็น แต่คริสรู้ว่าเด็กขี้อายเอาแต่หลบตาก็เพราะเขิน แก้มที่แดงเหมือนผลเชอรี่นั้นคงไม่ใช่แค่เพราะถูกขโมยหอมแน่ๆ "ทำไมไม่มองหน้าพี่ล่ะ เหม็นเหงื่อพี่หรือ?"

                ".. ไม่ใช่หรอกครับ" คนเป็นน้องสั่นหัวดิก สบตากันแล้วก็หลุบตาลงมองแผ่นอกกว้างที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะที่ร่างสูงหายใจ แก้มแดงๆ นั้นก็ยิ่งแดงจัด "ทำไม... พี่คริสไม่ใส่เสื้อล่ะ?"

                "ทำไม เขินพี่หรือ?" น้องเอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมตอบ คริสก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ แกล้งรัดอ้อมแขนให้ร่างเล็กขยับเข้ามาใกล้ กระต่ายน้อยขัดขืนไม่ได้ก็เอาแต่ครางฮื่อแล้วก็ทำหน้ามุ่ย ทว่ายิ่งน่ารักน่าแกล้งในสายตาคนมองนัก

                "ทำไมถึงออกไปข้างนอก พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ออกไปเล่นตากแดด" คนเป็นน้องสั่นหน้าน้อยๆ

                "แค่แป๊บเดียวเองครับ ผมออกไปก่อนพี่คริสกลับมาแค่... แป๊บเดียวเอง"

                "แล้วสนุกหรือเปล่า?"

                ".. ครับ?"

                "ที่เล่นกับเด็กๆ เมื่อกี้นี้ สนุกหรือเปล่า?" ดวงหน้าหวานค่อยคลี่ยิ้มน่ารัก ตาคู่สวยเป็นประกายเมื่อนึกถึงเด็กน้อยไร้เดียงสากลุ่มนั้น

                "สนุกครับ พวกเด็กๆ ร้องเพลงแล้วก็เต้นพร้อมกันด้วย น่ารักมากๆ เลย"

                "แล้วอี้ชิงก็เต้นไปกับเค้าด้วย?"

                "ก็....ครับ..."

                "อยู่กับพี่ตั้งนาน ไม่เห็นเคยเต้นให้พี่ดูบ้าง หืม?" เสียงทุ้มที่แหย่กระเซ้านั้นแทบจะชิดอยูู่ที่ปลายจมูก เช่นเดียวกับลมหายใจอุ่นที่รินรดผิวแก้มจนคนน่ารักต้องถอยหนี ติดก็แต่แขนแข็งแรงที่กอดรัดให้ไปไหนไม่ได้ไกล ยิ่งใบหน้าหล่อโน้มเข้าหาเท่าไหร่ แก้มใสก็ยิ่งแดงจัด คริสรู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะ แต่ความน่ารักของอี้ชิงทำให้เขานึกอยากจะจับฟัดให้หายมันเขี้ยว หลุบตามองแก้วพลาสติกในมือเล็กแล้วคริสก็ยิ้ม

                "แก้วนี้ของพี่หรือเปล่า?"

                "อื้อ..."

                "งั้นก็ป้อนพี่สิ"

                "ครับ?" กระต่ายน้อยทำตาโตเหมือนอยากฟังให้ชัดๆ อีกครั้ง แต่คริสเพียงแค่ยิ้มแล้วสบตาคู่สวยนิ่ง กระทั่งสองมือเล็กค่อยๆ ประคองแก้วน้ำขึ้นจรดกับริมฝีปากได้รูป ป้อนน้ำให้คนรักทั้งที่ยังถูกดวงตาเจ้าชู้ละเลียดมองไม่ละไปไหน เขินสุดจะเขินแต่ก็ทำได้แค่เลี่ยงสายตาไม่กล้ามองสบ ให้เป็นแฟนกันนานแค่ไหน อี้ชิงก็ยังไม่ชินกับการถูกเอาเปรียบแบบนี้เสียที

                "ค่อยชื่นใจหน่อย" ร่างสูงบอกเมื่อดื่มน้ำจนหมดแก้ว ก่อนจะฉวยหยิบแก้วเปล่าวางลงกับพื้นแล้วดึงมือเล็กทั้งสองข้างมากุมไว้

                "สกปรกนะครับ ผมยังไม่ได้ล้างมือเลย"

                “ตัวพี่ก็สกปรก อี้ชิงรังเกียจหรือเปล่า?” คนเป็นน้องสั่นหน้ารัวเร็วแล้วโผเข้ากอดร่างที่ใหญ่โตกว่า  ก่อนที่ทั้งร่างจะแทบจมหายไปกับอกกว้างเมื่อร่างสูงยกสองมือขึ้นกอดตอบ

                คริสผ่อนลมหายใจบางเบายามที่บอกกับตัวเอง ดีเหลือเกินที่อี้ชิงยังเป็นเด็กดีของเขาแบบนี้ หัวใจของคริสร้อนเป็นไฟเมื่อเห็นใครคนอื่นจับมือถือแขนคนที่รัก แต่ต่อให้หวงแหนจนหน้ามืดแค่ไหน เขาก็ยังมีสติพอจะไม่ปรี่เข้าไปทำร้ายใครหน้าไหนอย่างงี่เง่า ไม่ดีกับตัวเขา คริสไม่สน แต่ไม่อยากให้อี้ชิงลำบากใจ น้องยังเลือกเขา อย่างน้อยก็สลัดหมอนั่นทิ้งทันทีที่เขากลับมา แค่ได้รู้ว่าคริสยังสำคัญเสมอสำหรับอี้ชิง ไฟในใจก็ค่อยมอดลง แต่มันคงไม่ดับได้ง่ายๆ คริสยังจำสายตาคู่นั้นได้ดี มือที่จับข้อมือเล็กไม่ยอมปล่อย ขณะที่สายตาประกาศกร้าวอย่างชัดเจนว่าคิดจะเป็นคู่แข่งกับเขา เด็กนั่นคงไม่ยอมรามือแน่ คริสคิดขณะที่รัดแขนกอดร่างเล็กให้ยิ่งแน่น

     

                เห็นทีจะใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว!

     

    .

     

    .

     

    .

     

                ได้บรรดาคุณลุงเจ้าถิ่นมาช่วยงานด้วย งานรื้อหลังคาซึ่งน่าจะเป็นงานใหญ่ก็เสร็จลงตามเวลาที่คาด ที่ทีมงานวางแผนกันไว้คือต้องทำส่วนของหลังคาให้เสร็จก่อน จึงจะเอาชั้นไม้เข้าไปประกอบกับผนังห้องได้ ดังนั้นภายในเย็นวันนี้จึงควรเริ่มมุงหลังคากระเบื้องเข้าไปบางส่วน แล้วค่อยเก็บงานที่เหลือในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ ไม่เช่นนั้นงานส่วนอื่นก็จะล่าช้าตามไปด้วย แต่ดูท่าว่าสมาชิกส่วนใหญ่ที่ทำงานกันมาตั้งแต่ช่วงบ่ายเริ่มจะล้ากันแล้ว มินโฮจึงต้องหาแรงจูงใจเพิ่มแรงฮึดกันอีกซักหน่อย

                 "ตอนที่เรานั่งรถเข้าไปในเมือง ผ่านลำธารสายหนึ่งใกล้ๆ หมู่บ้านนี่แหละ เดี๋ยวเคลียร์งานส่วนของวันนี้เสร็จแล้วเราไปล้างเนื้อล้างตัวที่ลำธารนั้นกันดีกว่า จะได้ไม่ต้องลำบากพวกชาวบ้านขนน้ำมาให้ แล้วก็ไม่ต้องต่อคิวกันเข้าห้องน้ำด้วย" มินโฮบอกกับสมาชิกขณะที่ทุกคนกำลังพักดื่มน้ำและทานขนมเติมพลัง แล้วเสียงตอบรับส่วนใหญ่ก็ฟังดูกะตือรือร้นอย่างที่คาด ทนร้อนทนเหนียวตัวกันมาทั้งวัน แค่นึกถึงน้ำเย็นๆ ก็คงรู้สึกสดชื่นจนมีกำลังใจกันขึ้นมา

                “อาบน้ำในลำธารเหรอ? ฟังดูน่าสนุกจังแทมินเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน หันมาชวนรุ่นพี่ตัวขาวที่ยืนข้างๆ อย่างอารมณ์ดี พี่เลย์ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า?”

                "ไม่เป็นหรอก"

                "งั้นเราเล่นน้ำตื้นๆ กันนะฮะ จะได้ไม่อันตราย"

                “อื้ออี้ชิงยิ้มแล้วพยักหน้า ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ อย่าว่าแต่ลำธารตามป่าเขาแบบนี้เลย แม้แต่สระว่ายน้ำหรือในทะเล เขาก็ยังไม่เคยได้ลงเล่น นึกถึงตอนอยู่ที่บ้านเกิด พ่อของเขามักจะพาเขาปีนขึ้นภูเขาไปเล่นน้ำที่ลำธารบนนั้นบ่อยๆ อี้ชิงยังจำได้ว่ามันสนุกแค่ไหน

                "พี่คริสครับ ถ้าอย่างนั้นเรา..."

                "อาบที่นี่เถอะ เดี๋ยวพี่ไปขนน้ำมาให้" แต่สิ่งที่คนรักบอกเหมือนทำลายภาพความสนุกเหล่านั้น รอยยิ้มบนดวงหน้าหวานจางลงอย่างน่าใจหาย

                “ทำไมล่ะครับ?”

                "ค่ำแล้วอากาศจะเย็นลง ไปเล่นน้ำเย็นๆ แบบนั้นจะไม่สบายได้นะ"

                "แต่คนอื่นๆ เค้าก็... เราลงไปเล่นแค่แป๊บเดียวก็ได้นะครับ"

                "ถึงจะไม่เจอลำธาร เราก็ต้องอาบในห้องอาบน้ำอยู่แล้วจริงมั้ย?" รอยยิ้มราบเรียบกับมือใหญ่ที่วางลงบนผมนั้นทำให้อี้ชิงไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ พอร่างสูงหันหลังแล้วเดินแยกตัวออกไปจากกลุ่ม อี้ชิงก็ยังเลือกที่จะเดินตามคนรักออกไปด้วย แทมินก็ได้แต่หันไปมองหน้ากันกับมินโฮซึ่งก็แค่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เพราะรู้สึกเสียดายแทน ทว่าแววตาหม่นหมองและสีหน้าที่ผิดหวังนั้นบีบหัวใจใครบางคนจนเผลอขยำแก้วพลาสติกในมืออย่างแรง

     

                ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มทยอยกันแยกย้ายไปทำงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ พวกปีหนึ่งที่เพิ่งมีโอกาสได้คลุกคลีกับคู่รักแห่งปีแบบตัวเป็นๆ ไม่ได้ผ่านเวบเพจของมหาวิทยาลัยก็พากันซุบซิบสนุกปาก

                "หน้านิ่งๆ แต่กูว่านอยด์"

                "สงสัยจะหวง ไม่อยากให้ใครเห็นผิวขาวๆ กับหุ่นเซ็กซี่ของแฟนตอนเปียกน้ำล่ะมั้ง

                "ข้าวใหม่ปลามันก็เงี้ย เห็นว่าคบกันยังไม่ถึงครึ่งปีเลย"

                "เห่อล่ะสิ แต่จะว่าไปรุ่นพี่อี้ชิงเขาก็น่ารักดีนะ เป็นกูก็หวงว่ะ"

                "แบบนี้ไม่ใช่แค่หวงหรอก แต่เรียกว่าเผด็จการ" เสียงที่แทรกขึ้นนั้นฟังดูจริงจังเสียจนคนที่ยังเหลือต่างก็หันไปมอง แต่เด็กใหม่ยังว่าต่ออย่างไม่แคร์หน้าไหน "เอาแต่ใจตัวเองไม่นึกถึงใจคนอื่น คนที่คบด้วยคงไม่มีความสุขหรอก"

                คิมจงอินขยำแก้วพลาสติกจนบี้แบนคามือแล้วก็โยนทิ้งถังขยะ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง พวกปีหนึ่งที่เหลือมองหน้ากันด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ต่างแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ เหลือเพียงแทมินที่ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

                "เพื่อนแทมนี่ปกติไม่ค่อยพูด แต่พอพูดก็พูดแรงไปหน่อยนะ" แม้แต่พี่มินโฮยังเอ่ยปากเตือน แทมินก็เลยยิ่งไม่สบายใจใหญ่ ภาวนาในใจขออย่าให้เพื่อนสนิทคิดทำอะไรบุ่มบ่ามไปกว่านี้เลย ไม่เช่นนั้นเขาเองนี่ล่ะ ที่คงจะรู้สึกผิดอย่างที่สุด

                "ผมไปดูไคก่อนนะฮะ"

     

    .

     

    .

     

    .

     

                ถึงจะแกล้งแหย่ว่าจะอาบน้ำด้วยกันจนอี้ชิงงอแงไม่ยอมเดินไปห้องน้ำจนแทบจะต้องอุ้มกันไป แต่เอาเข้าจริงคริสก็แค่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลายามเย็น แต่ไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟในชนบทไม่ได้มีให้ใช้เหลือเฟือเหมือนในเมือง ดังนั้นความสว่างจึงส่องไปไม่ทั่วถึงบางพื้นที่ของหมู่บ้าน รวมไปถึงส่วนของห้องน้ำด้วย คอกไม้กั้นทรงสี่เหลี่ยมสูงแค่บังหัวมิดแบบไม่มีหลังคาปิด มีเพียงหลอดไฟเก่าๆ ดวงเล็กๆ ที่แขวนอยู่บนต้นไม้ที่คอยส่องแสงสลัวๆ ให้

                “มืดหรือเปล่า? กลัวมั้ย?" คริสถามเพราะเห็นว่าอี้ชิงเข้าไปในห้องน้ำนานแล้ว แต่ยังไม่ได้ยินเสียงตักน้ำอาบเลย นึกเป็นห่วงว่าน้องอาจจะกลัวความมืด แต่คำตอบที่น่าเอ็นดูทำให้เขาอดขำไม่ได้

                "ผมกลัวพี่คริสแอบดูมากกว่า"

                "ทำไมต้องแอบ พี่ปีนเข้าไปตอนนี้เลยก็ยังได้นะ"

                "ฮื่อ อย่านะ" คริสหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนในห้องน้ำยิ่งงอแงใหญ่ นึกถึงแก้มป่องๆ กับปากยื่นๆ เหมือนทุกครั้งที่น้องง้องแง้งแล้วคริสก็อยากจะจับออกมาฟัดให้หายมันเขี้ยวนัก แกล้งแหย่ทำนองนี้ทีไร อี้ชิงก็หลงกลตีโพยตีพายไว้ก่อนทุกที ก็เพราะว่ากระต่ายน้องของเขายังไร้เดียงสาไม่เปลี่ยนอยู่แบบนี้น่ะสิ จะไม่ให้หวงนักหนาได้อย่างไร

                ร่างสูงยกมือขึ้นกอดอกพลางถอนหายใจยาว พิงแผ่นหลังกับต้นไม้แล้วแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า นอกจากต้นไม้สูงๆ แล้วก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใดมาบดบังวิวทิวทัศน์ของท้องฟ้าสีเข้มเหมือนเช่นในเมือง แต่ตอนนี้ยังไม่มืดเท่าไหร่ เชื่อว่าหากเป็นเวลาค่ำกว่านี้ต้องได้เห็นดาวดวงเล็กๆ แข่งกันอวดแสงเต็มท้องฟ้าเป็นแน่

                “อี้ชิง คืนนี้อย่าเพิ่งรีบนอนนะ

                “ครับ?”

                “ที่นี่ต้องเห็นดาวชัดแน่ๆ คืนนี้ถ้าไม่หลับไปซะก่อน พี่จะพาออกมาดูดาวนะ"

                “อื้อคริสรู้ว่าน้องต้องกำลังพยักหน้ารัวๆ แล้วก็อมยิ้มน้อยๆ จะว่าไปวันนี้ก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานจนแทบไม่มีเวลาได้ดูแลอี้ชิงเลย ไหนจะมีเรื่องให้ต้องขุ่นใจอีก หากได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังในบรรยากาศที่เป็นใจบ้าง คงทำให้ทั้งเขาและอี้ชิงอารมณ์ดีขึ้น

                คริสยังชวนคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนอี้ชิงอาบน้ำเสร็จถึงได้เดินมาส่งถึงห้องพัก แล้วตัวเองค่อยออกมาอาบน้ำตามลำพัง อันที่จริงเขาเองก็ไม่คุ้นเคยกับชีวิตเรียบง่ายแบบนี้นัก แต่คริสไม่ใช่คนเรื่องมาก ให้ตักน้ำอาบจากถังไม้ ใช้สบู่ก้อนเนื้อหยาบหรือยาสระผมราคาถูกไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง อี้ชิงอยู่ที่ไหนเขาก็อยู่ที่นั่น ให้ลำบากกว่านี้คริสก็ยังไหว หนุ่มหล่อไม่ได้พิถีพิถันกับการอาบน้ำนักเพราะนึกถึงคนตัวเล็กที่รออยู่ในห้องพักตามลำพัง ดังนั้นไม่ถึงยี่สิบนาทีคริสก็เดินกลับมา

                เพราะว่าต้องอาศัยห้องเรียนของเด็กๆ เป็นห้องพักชั่วคราว สมาชิกที่มาออกค่ายทั้งหมดจึงต้องนอนรวมกัน โดยปูฟูกที่ชาวบ้านเตรียมไว้ให้เรียงกันเป็นสองแถวไปตามแนวยาวของห้อง คริสกับอี้ชิงเลือกมุมด้านในสุดที่ติดกับหน้าต่าง และเพราะว่ามีแค่พวกเขาสองคนที่อาบน้ำเสร็จก่อน ระหว่างรอคนอื่นๆ กลับมาจากลำธารเพื่อไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน อี้ชิงก็เลยจัดการปูที่นอนทั้งของตัวเองแล้วก็คนรักเอาไว้ ตอนที่คริสเดินเข้ามาในห้องก็เห็นคนตัวเล็กกำลังยงโย่ยงหยกกับการปูผ้าทับฟูกนอนอีกที ท่าทางตั้งอกตั้งใจจนน่าเอ็นดูเกินไปแล้วจริงๆ

                ร่างสูงผึ่งผ้าเช็ดตัวไว้ที่กรอบหน้าต่างซึ่งมีผ้าของอี้ชิงตากอยู่ก่อนแล้ว เหลือแค่ผ้าขนหนูผืนเล็กไว้สำหรับเช็ดผมพาดอยู่บนคอ คนตัวเล็กยังไม่ยอมวางมือจากการปูที่นอนเขาก็เลยเข้าไปทางด้านหลังแล้วขโมยหอมแก้มนิ่มไปฟอดใหญ่ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนฟูกนั้น อี้ชิงร้องฮื่อแล้วก็ใช้สายตาตำหนิแต่คริสไม่สำนึก น้องก็เลยดึงอีกฟูกที่ว่างอยู่ให้ห่างออกไปจนติดผนัง

                “อะไร? ขยับหนีพี่ทำไม?"

                "ก็พี่คริสชอบนอนละเมอ"

                “ละเมอ?” คริสเหวอไปครู่หนึ่งก่อนจะต้องกลั้นขำเมื่อนึกออก ที่น้องว่าละเมอนั่นคือข้อแก้ตัวของเขาเอง คืนไหนที่อ้อนให้น้องมานอนด้วยกันแล้วคริสฉวยโอกาสคว้าคนตัวเล็กเข้ามากอดต่างหมอน เขาก็จะอ้างว่าละเมอ แต่เพราะว่าคืนนี้เป็นห้องนอนรวม อี้ชิงคงจะกลัวว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาแล้วจะมีคนอื่นมาเห็นว่าตัวเองซุกอยู่กับอกใคร แต่คริสสนซะที่ไหน ยืดมือไปดึงฟูกให้เข้ามาชิดกัน อี้ชิงร้องฮื่อแล้วดึงออก คริสก็ดึงกลับมาใหม่ ไม่วายขู่สำทับ "ตามใจนะ ถ้าพี่ละเมอไปกอดคนอื่น จะมาว่ากันไม่ได้"

                ปากอิ่มยื่นออกน้อยๆ เมื่อเด็กดื้ออมลมจนแก้มป่อง พอคริสปล่อยมือจากฝูกนอนแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ อี้ชิงก็เลยดันเบาะของตัวเองให้เข้ามาชิดเหมือนเดิม เพียงเท่านั้นชัยชนะก็เป็นของคนตัวโตกว่า ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วแกล้งบีบจมูกเล็กเบาๆ อย่างมันเขี้ยว  

                "ขยับหนีอีก พี่จะเอาเบาะมาวางซ้อนแล้วให้เรานอนเบียดกันบนเบาะเดียวเลยคอยดู"

                "ฮื่อ"

                คู่รักยังหยอกล้อกันแล้วหัวเราะคิกคักราวกับโลกนี้มีเพียงเราสอง ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ใช่ห้องพักหรูที่มีแอร์เย็นฉ่ำ ไม่มีโซฟาใหญ่ในห้องนั่งเล่นให้เอนอิงซบกันอย่างเช่นทุกวัน แต่คนสองคนกลับยิ้มอย่างมีความสุขเพียงแค่เห็นว่าใครอีกคนยังอยู่ตรงหน้า รู้สึกอบอุ่นเพียงแค่รับรู้ว่ามีเพียงเงาของกันและกันในดวงตาคู่นั้น คริสยิ้มเมื่ออี้ชิงยิ้ม เขาไม่สนว่าโลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่โลกของเขามีเพียงจางอี้ชิงเท่านั้น แค่มีกระต่ายน้อยที่คอยยิ้มให้เขาแบบนี้ คริสก็ไม่ต้องการสิ่งใดในโลกแล้ว

     

                แต่ภวังค์หวานกลับถูกทำลายเพราะเสียงกุกกักที่หน้าห้องพักบอกให้รู้ว่ามีคนกำลังมา เด็กหนุ่มร่างสูงเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วชะงักเหมือนไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ในห้อง ก่อนจะยิ้มตอบรุ่นพี่ตัวขาวที่พอเห็นเขาก็ยืดตัวขึ้นมาส่งยิ้มให้ก่อน

                “จงอินกลับมาแล้วเหรอ ทำไมมาคนเดียวล่ะ?”

                “ผมกลับมาทางลัดน่ะ ก็เลยถึงก่อนบอกพลางใช้ผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนคอซับผมสีเข้มที่ยังหมาดน้ำของตัวเอง ก่อนจะมองผ่านรุ่นพี่ร่างสูงอีกคนที่นั่งประกบคนรักไม่ห่างแล้วนั่งลงที่อีกมุมของห้องเพื่อเก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า ขณะที่เสียงใสยังถามต่ออย่างกะตือรือร้น

                “ไปเล่นน้ำมาเป็นยังไงบ้าง สนุกมั้ย?”

                “ก็เย็นชื่นใจดี ในลำธารมีปลาตัวเล็กๆ ว่ายอยู่เป็นฝูงเลย ไม่รู้ปลาอะไร ถ้านั่งแช่อยู่ในน้ำอยู่นิ่งๆ พวกมันจะเข้ามาตอด จั๊กจี้ดี

                “เหรอ? ฟังดูน่าสนุกจัง"

                "อื้อ เสียดายพี่ไม่ได้ไป

                “นั่นสิ... แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ พี่คริสสัญญาแล้วว่าพรุ่งนี้จะพาไปเดินเล่น ใช่มั้ยครับ?" ประโยคหลังเอี้ยวตัวกลับมาถามคนที่ตอนนี้กลายเป็นว่าย้ายมานั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง ยิ้มแล้วเอียงคอรอคำตอบอย่างน่ารัก และคนที่รักก็โปะผ้าขนหนูลงบนผมที่เกือบจะแห้งแล้วของเขาก่อนจะขยี้เบาๆ

                "แค่เดินเล่นพอนะ"

                "ฮื่อ~ ผมขอเอาขาหย่อนน้ำด้วยได้มั้ย อยากเล่นกับปลาตัวเล็กๆ พวกนั้น" หัวกลมๆ โยกไปมาตามแรงขยี้ของมือใหญ่ อี้ชิงปรือตาเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ ยามถูกเจ้าของเกาขนและคริสก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู

                "คนน่ารักขอทั้งที ทำไมจะไม่ได้ล่ะ" คนตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงหาแล้วเกลี่ยจมูกปัดปลายจมูกเล็กเบาๆ ด้วยแสนจะเอ็นดู และคนตัวเล็กก็ตีมือแปะลงบนหน้าขาของเขาก่อนจะหัวเราะออกมา บรรยากาศหอมหวานอวลฟุ้งไปทั่วทั้งห้องพัก และคริสเกือบจะดึงโลกทั้งใบให้มาอยู่ในมือได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะเสียงดังรบกวนที่ทำให้ร่างเล็กสะดุ้งด้วยความตกใจ

     

                จงอินเก็บของที่หล่นลงพื้นขึ้นมาถือไว้ในมือในอย่างช้าๆ แล้วจ้องมองมัน ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                "ขอโทษครับ พอดีหลุดมือ" อี้ชิงสั่นหน้าไม่ได้ว่าอะไร หันกลับไปหาคนรักแล้วดึงผ้าขนหนูบนผมตัวเองออกแล้วช่วยเช็ดผมให้คนตัวโตบ้าง แววตาอ่อนโยนที่มองกลับมานั้นแทนคำขอบคุณที่คริสไม่อยากเอ่ยให้ต้องรู้สึกห่างเหิน พวกเขาดูแลกันแม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่ามีกันและกัน แต่สำหรับคนที่ไม่มีใคร น่าสงสารที่คงต้องดูแลตัวเอง

                "ระวังหน่อยนะจงอิน ถ้าเป็นฉันจะถือมันไว้ให้ดี เพราะของบางอย่างมีคนอยากได้แล้วก็คอยจ้องจะแย่ง ทำหลุดมือแค่ครั้งเดียวอาจไม่ได้คืนอีก

                เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปาก

                “แต่ของบางอย่างก็เปราะบางมาก ถ้าจับไว้แน่นจนเกินไปก็อาจจะแหลกคามือได้สีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปนั้น คงมีแต่คริสที่สังเกตุเห็น อี้ชิงที่หันซ้ายทีขวาที มองคนรักกับรุ่นน้องคุยกันอย่างไม่เข้าใจนัก สุดท้ายก็ได้แต่เอียงคอแล้วกระพริบตาปริบ กระทั่งดวงตาเรียวรีของรุ่นน้องเลื่อนมามองสบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ พอดีผมเป็นคนถนอมของ ก็เลยปล่อยให้นิ้วมือมีช่องว่างบ้าง ถึงจะอันตรายไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ฝืนจนของในมือต้องบอบช้ำ ยังไงก็ขอบคุณรุ่นพี่ที่เตือน ถึงทัศนคติของเราจะไม่ตรงกันซักเท่าไหร่ก็เถอะ

     

    .

     

    .

     

    .

     

                อาหารเย็นมื้อนี้ไม่อร่อยเอาซะเลย!

     

                ในขณะที่คนอื่นๆ ยังสนุกกับกิจกรรมสันทนาการรอบกองไฟหลังมื้อเย็นที่ชาวบ้านจัดให้อย่างเป็นกันเอง คริสก็ขอปลีกตัวแล้วเดินจูงมือคนรักกลับห้องพักกันมาเงียบๆ ระหว่างทางอี้ชิงยังคุยฟุ้งเรื่องอาหารรสชาติอร่อยที่วันนี้ได้ชิมหลายอย่าง พอรู้ว่าพอจะกินเผ็ดได้ก็เลยลองแทบทุกจาน ยิ่งมีคนคอยตักให้ก็เลยเพลินใหญ่ จนคริสต้องปรามเพราะเห็นว่าน้องกินข้าวคำน้ำคำแล้วก็เกรงว่าจะปวดท้อง ถึงอย่างนั้นอี้ชิงก็ยังดูจะติดอกติดใจเอามากๆ ในขณะที่คริสกินอะไรก็ไม่อร่อยซักอย่าง ได้แต่ยิ้มตอนที่ฟังน้องคุยอวด ทั้งที่ในอกมันร้อนเหมือนถูกไฟสุม เขาไม่ชอบเวลาที่เห็นใครเข้าใกล้อี้ชิง และยิ่งหึงหวงหากว่าคนรักให้ความสนิทสนมกับคนอื่นมากเป็นพิเศษ แต่คิมจงอินได้สิทธิ์นั้นโดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้ คริสเกลียดที่ต้องคอยบอกตัวเองว่าเพราะหมอนั่นเป็นรุ่นน้อง เมื่อครู่นี้ตอนที่ทั้งสองคนหัวเราะต่อกระซิกกัน คริสนึกภาพตัวเองที่ขาดสติตรงเข้าผลักอกจนร่างสูงโปร่งล้มหงายแล้วตามเข้าไปกระชากคอเสื้อขู่สำทับว่าอย่ามายุ่งกับแฟนเขาอีก ภาพมันชัดเจนเสียจนคริสนึกว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นจริง มือของเขากำแน่น ทว่าเมื่อน้องหันมายิ้มตาหยีแล้วจับแขนเขาแค่เพียงเบาๆ ภาพความคิดที่รุนแรงนั้นกลับสลายไปง่ายๆ ราวกับเงาในน้ำ เขาชอบเวลาที่อี้ชิงยิ้ม ...ยิ้มอย่างไร้เดียงสา และหากความคิดเลวร้ายของเขาจะทำให้น้องต้องผิดหวังหรือไม่สบายใจ คริสคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้

                สุดท้ายที่เขาทำก็คือได้แต่หนี คริสเดินหนีออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้ความคิดงุ่นง่าน พาน้องเดินกลับมาจนถึงห้องพัก แต่อารมณ์ขุ่นมัวก็ยังไม่จาง เขาไม่อยากนึกถึงและไม่อยากได้ยินเรื่องอะไรที่ทำให้ต้องคิดฟุ้งซ่านอีก พอคริสล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาในทันที อี้ชิงก็ถามเสียงอ่อน

                “พี่คริสจะนอนเลยหรือครับ?”

                "อืม พี่รู้สึกเพลียๆ อยากพัก" คริสไม่รู้ว่าน้ำเสียงราบเรียบของเขาทำให้คนฟังหน้าม่อย นั่งมองคนรักที่ยกท่อนแขนขึ้นก่ายหน้าผากแล้วหลับตานิ่งอยู่ซักพัก อี้ชิงก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอนบนฟูกข้างกัน ตะแคงกายหันหน้าไปทางคนรัก มองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูอ่อนล้าและออกจะคล้ำแดดไปเล็กน้อยแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยรู้สึกผิด อี้ชิงอยู่แต่ในที่ร่มทั้งวัน ในขณะที่พี่คริสต้องออกไปทำงานตากแดดข้างนอก เป็นเพราะเขาแท้ๆ ที่อยากมาออกค่าย เลยทำให้พี่คริสต้องพลอยลำบากไปด้วย

                คนตัวเล็กค่อยยืดตัวข้ามเบาะนอนออกไป แตะริมฝีปากที่ข้างแก้มคนรักพร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบา

                "ฝันดีนะครับพี่คริส" ...ไม่มีแม้แต่เสียงครางงึมงัมตอบ รออยู่ซักพักอี้ชิงก็ถอยกลับมานอนที่เดิม พี่คริสคงจะเพลียมากจริงๆ พอหัวถึงหมอนก็หลับสนิทไปเลย ถอนหายใจเบาๆ แล้วอี้ชิงก็หลับตาลงบ้าง

     

                ที่นี่ต้องเห็นดาวชัดแน่ๆ คืนนี้ถ้าไม่หลับไปซะก่อน พี่จะพาออกมาดูดาวนะ"

     

                นอนเถอะนะจางอี้ชิง คืนนี้คงอดดูดาวแล้วล่ะ

     

     

                ดึกมากแล้วและทุกคนก็กำลังหลับสนิท แต่ร่างเล็กยังขยับดิ้นอยู่บนฟูกนอนเพราะรู้สึกไม่สบายตัว สุดท้ายก็ต้องดันกายให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ

                “ปวดท้องจัง...” อี้ชิงพึมพัมในความมืดพลางเอามือกุมท้อง นอกจากแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างคอยช่วยให้ความสว่างแล้วก็ไม่มีแสงไฟอื่นใดอีก แต่เพราะคุ้นชินกับความมืดแล้ว พอมองไปรอบๆ กายถึงได้เห็นว่าทุกคนกำลังหลับสนิท แม้แต่ร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งปกติจะรู้สึกตัวได้ไวก็ยังไม่ขยับตัวเลย แทมินที่นอนอยู่อีกข้างของเขาก็หลับสนิทเช่นกัน อี้ชิงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหยิบไฟฉายที่อยู่ข้างหมอนขึ้นมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องพักอย่างเงียบเชียบ

                ทางเดินตอนกลางคืนนั้นไม่เหมือนกลางวัน ยิ่งไฟฟ้ามีน้อยก็ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวัง อี้ชิงออกจากห้องพักแล้วเลี้ยวขวา ลงบันไดแล้วก็เดินช้าๆ ไปตามทางที่จำได้ว่าจะพาไปถึงห้องน้ำ มือข้างหนึ่งยังกุมท้องที่รู้สึกปวดหน่วงๆ มืออีกข้างถือไฟฉายกวาดแสงไปตามทางเดินอย่างระแวดระวัง และเพราะมัวแต่จดจ่อกับทางเดินตรงหน้าเลยไม่รู้ตัวว่ามีเสียงฝีเท้าตามมาข้างหลัง กระทั่งน้ำหนักของมือหนึ่งวางลงบนไหล่ให้ต้องสะดุ้ง

                “อ๊ะ!” อี้ชิงรีบหันหลังขวับ ยกไฟฉายขึ้นส่องจนร่างสูงที่เข้ามาประชิดด้านหลังต้องหรี่ตาและเบี่ยงหน้าหลบความจ้าของแสง

                “ทำอะไรของพี่เนี่ย"

                “คิมจงอิน! มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด

                “อย่าเอาไฟส่องหน้าผมสิเด็กหนุ่มจับข้อมือเล็กแล้วยึดไฟฉายมาถือไว้เอง หรี่ตาแล้วถามรุ่นพี่ร่างเล็กอย่างจับผิด

                “พี่นั่นแหละ ย่องออกมาทำอะไรค่ำๆ มืดๆ

                “อยากเข้าห้องน้ำน่ะสิ

                “แล้วทำไมออกมาคนเดียว ไม่ปลุกแฟนพี่มาด้วยล่ะ

                “ก็พี่คริสเค้าหลับสนิท คงจะเพลียน่ะ ฉันเลยไม่อยากกวน อีกอย่าง ห้องน้ำอยู่แค่นี้ฉันมาเองได้อี้ชิงชี้นิ้วไปข้างหน้าตามทางที่กำลังจะไป แต่จงอินกลับชี้นิ้วโป้งข้ามไหล่ไปด้านหลัง

                “แต่พี่เดินเลยมาแล้วนะ ห้องน้ำอยู่ทางโน้นต่างหาก

                “อ้าวเหรอ?”

                “ก็ใช่น่ะสิ เดินเลยไปอีกนิดนี่ก็เข้าป่าแล้วนะอี้ชิงเขย่งปลายเท้าชะเง้อคอมองข้ามไหล่รุ่นน้องไปตามทางที่เพิ่งผ่านมาแล้วก็ขมวดคิ้ว เริ่มจะคลับคล้ายคลับคลาแล้วว่าเดินเลยห้องน้ำมาจริงๆ พี่นี่นอกจากจะซุ่มซ่ามแล้วยังหลงทางเก่งด้วยนะ ไหวป่ะเนี่ย?”

                ไม่เสียหน้าที่หลงทางแต่จะเคืองก็เพราะเสียงหัวเราะหึๆ ที่ดังอยู่ข้างหูนี่แหละ คนตัวเล็กกว่าเหล่มองคนที่ลอยหน้าลอยตาล้อเขาแล้วกัดปาก ดวงหน้าหวานยิ่งมุ่ยตุ้ยเมื่ออุตส่าห์ออกแรงผลักต้นแขนล่ำแต่ก็ไม่ได้ทำให้ร่างสูงสะเทือนแม้แต่น้อย

                “แล้วทำไมไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้เล่า

                “เอ๊า! ก็พี่ไม่ได้ถามผมนี่เถียงไม่ออกก็ร้องฮื่อแล้วตะบึงตะบอนเดินย้อนกลับไปทางห้องน้ำ แต่ไปได้แค่สองก้าวก็ต้องหันกลับ งอแงให้คนที่แซวต้องยิ่งหัวเราะหนัก

                “ฉายไฟให้ด้วยสิ

                “ฮะๆๆๆ โอเคๆ

     

     

                อี้ชิงใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำครู่ใหญ่ๆ ก็กลับออกมา แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนที่ยัดเยียดไฟฉายคืนใส่มือแล้วบอกว่าจะกลับไปก่อนยังยืนรออยู่แถวนั้น

                “อ้าวจงอิน ยังอยู่อีกเหรอ?”

                “รอพี่นั่นแหละ กลัวจะหลงทางเดินกลับไม่ถูกอีก

                “ดูถูกอ่ะไม่ได้หลงซักหน่อย แค่เดินเลยมานิดเดียวเอง ว่าแต่ตัวเองเถอะ ออกมาทำอะไรตอนดึกๆ

                “นอนไม่หลับน่ะ เลยว่าจะออกมาหาน้ำกิน พอดีเห็นเงาตะคุ่มๆ นึกว่าขโมยก็เลยตามมาฟังพูดเข้าสิ ตัวเองเป็นรุ่นน้องแท้ๆ แต่ชอบวางท่าเหมือนเป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่เรื่อย ไม่น่าเอ็นดูเอาซะเลย อี้ชิงบู้ปากแล้วย่นจมูกน้อยๆ "พูดแล้วก็หิวน้ำขึ้นมา ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ"

                "ว่าไงนะ?" รุ่นน้องไม่พูดซ้ำ ฉวยโอกาสที่รุ่นพี่ยังเหรอหรา คว้าข้อมือเล็กแล้วยึดไฟฉายเอามาถือไว้เอง ก่อนจะเดินนำไปทางที่จะไปโรงอาหารโดยไม่ถามความสมัครใจของคนที่ถูกดึงให้ตามมาด้วยเลยซักคำ

     

                “แล้วตกลงวันนั้นคัดตัวผ่านหรือเปล่า ถามตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่ตอบเลยนะจงอินกดน้ำจากกระติกใส่แก้วสองใบแล้วส่งให้รุ่นพี่ใบหนึ่ง ส่วนตัวเองก็ดื่มน้ำจากแก้วอีกใบแบบรวดเดียวจนหมดก่อนจะใช้หลังมือเช็ดปากแบบลวกๆ

                “ก็ผ่าน

                “จริงเหรอ? งั้นก็ต้องดีใจสิ ทำเป็นหน้าบึ้งอยู่ได้ทั้งวัน

                “ก็นึกว่าพี่ไม่สนใจ วันนั้นยังไม่ทันประกาศผลก็รีบวิ่งออกไปแล้ว

                “ก็ฉันรีบนี่นา เอาไว้วันหลังจะพาไปเลี้ยงชดเชยให้แล้วกันนะรุ่นพี่ตบไหล่รุ่นน้องแปะๆ แล้วก็ยกแก้วน้ำตัวเองขึ้นดื่มบ้าง ส่งเสียงฮื่อฮ่าอย่างชื่นใจ เพียงแค่กลีบปากอิ่มนั้นคลี่ยิ้มน้อยๆ ซีกแก้มด้านขวาก็ปรากฏรอยบุ๋มเล็กๆ ที่คิมจงอินจำได้ เด็กหนุ่มลอบมองเพียงด้านข้างของดวงหน้าหวานแล้วก็ยิ้มบาง เขาเคยแอบมองความน่ารักนี้แต่ในที่ไกลๆ ใกล้ที่สุดก็แค่ที่นั่งเยื้องกันในร้านไก่ทอดหน้าโรงเรียน แต่เขากลับขี้ขลาด เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าเพื่อมองสบดวงตาคู่สวยด้วยซ้ำ แต่เสียงหัวเราะสดใสนั้นกลับก้องกังวาลอยู่ในหัว ในตอนนั้น หัวใจของจงอินเต้นแรงจนเจ็บไปทั้งอกเพราะความรู้สึกที่ทั้งยินดีและสิ้นหวังปะปนกัน สิ้นหวัง... เพราะรู้ว่ารอยยิ้มและเสียงหวานนุ่มหูนั่นไม่ใช่ของเขา รุ่นพี่เลย์จะหัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้ได้... ก็เพราะมีรุ่นพี่มินโฮอยู่ข้างๆ

                "อื้อ..."

                “เป็นอะไรหรือเปล่า?” จู่ๆ ดวงหน้าหวานที่จงอินลอบมองนั้นก็ซีดเผือด เด็กหนุ่มค่อนข้างตกใจเมื่อรุ่นพี่เอามือกุมท้องแล้วงอตัวอย่างผิดปกติ

                “ปวดท้อง อยากเข้าห้องน้ำอีกแล้วอ่ะ

                “ท้องเสียเหรอ?”

                “ไม่รู้เหมือนกัน

                “ผมพาไปห้องน้ำนะไม่รอให้อีกฝ่ายพยักหน้า จงอินจับต้นแขนเล็กช่วยพยุงเผื่อว่าคนปวดท้องจะเดินไม่ไหว แล้วพาเดินกลับไปที่ห้องน้ำอีกครั้ง เด็กหนุ่มยืนรออยู่ข้างนอกกระทั่งรุ่นพี่กลับออกมา เห็นดวงหน้าหวานที่ยิ่งซีดหนักแล้วก็ชวนให้ใจหาย เขาพาอี้ชิงมานั่งพักที่แคร่ใต้ต้นไม้ได้เพียงครู่เดียว คนตัวเล็กก็บอกเสียงอ่อนว่าอยากเข้าห้องน้ำอีก

                “ไหวมั้ยเนี่ย?” หลังจากเข้าห้องน้ำไปแล้วสามรอบ ร่างเล็กก็อ่อนระโหยจนแทบหมดแรง ถึงจะอยากฝืนบอกว่าไม่เป็นไรแต่สองขาก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะเดินเองได้ ต้องส่ายหน้าว่าไม่ไหวแล้วให้รุ่นน้องเข้ามาช่วยพยุงถึงหน้าห้องน้ำ

                “ปวดท้องชะมัดเลย...”

                “นั่งพักก่อนนะ ผมไปหายาให้จงอินให้รุ่นพี่นั่งรออยู่ที่แคร่ เขาตั้งใจจะวิ่งกลับไปที่ห้องพักคนเดียวแล้วรีบกลับมา แต่พอคิดว่าจะต้องทิ้งให้รุ่นพี่นั่งตัวซีดอยู่คนเดียวแล้วก็นึกห่วงจนลังเล ได้แต่มองสีหน้าที่ทรมานเพราะความเจ็บปวดอย่างไม่รู้จะทำยังไง

                “อี้ชิงกระทั่งเสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้คนทั้งคู่หันไปมอง ร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินตรงมายิ่งเร่งฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนกลับ

                “พี่คริส...”

     

                คริสต้องระงับความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่อึดใจก่อนจะเดินเข้าไปหา จากที่ใจหายเมื่อตื่นมาแล้วไม่เห็นคนตัวเล็กนอนอยู่ข้างๆ กลายเป็นร้อนใจเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องร่างสูงที่คอยตามติดคนรักของเขานั้นก็หายไปด้วย คริสหงุดหงิดตัวเองที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง อี้ชิงหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้ และคงโทษตัวเองมากกว่านี้หากว่าน้องเป็นอันตรายอะไรไป แต่เมื่อมาเห็นกับตาว่าคนที่หายไปทั้งคู่นั้นอยู่ด้วยกัน โทสะชั่ววูบก็ทำให้ใจสั่นจนเกือบจะหันหลังกลับโดยไม่คิดจะถามไถ่อะไรด้วยซ้ำ โชคยังดีที่เขาคุมสติตัวเองได้ ทั้งที่เห็นเต็มตาแต่คริสต้องทำเป็นมองไม่เห็นว่ามีมือหนึ่งกำลังจับต้องเนื้อตัวคนรัก ตรงเข้าจับแขนเล็กอีกข้างแล้วข่มน้ำเสียงไม่ให้ดุดันยามที่เอ่ยถาม

                “ออกมาทำไมไม่บอก พี่ตื่นมาไม่เจอ ตกใจแทบแย่

                “ผมมาเข้าห้องน้ำน่ะครับ เห็นพี่คริสหลับสนิทก็เลยไม่อยากกวนไม่ปลุกพี่แต่มากับคนอื่นได้ นึกแคลงใจแต่คริสไม่ได้เอ่ยให้ต้องขุ่นใจกัน บางอย่างสะกิดใจเขาจนลืมความคิดฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ แม้มีเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟดวงน้อยแต่ก็ยังพอมองเห็นว่าดวงหน้าหวานนั้นซีดเซียวแค่ไหน

                “เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ นะคริสแตะหลังมือสัมผัสแก้มนิ่มเบาๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ชื้นซึมมาจากไรผม ทำไมเหงื่อออกเยอะแบบนี้ล่ะ

                “ผม... ปวดท้องมากเลย...”

                “ปวดแบบไหน? แล้วปวดตรงไหน?”

                “ตรงนี้ครับร่างสูงต้องย่อตัวลงคุกเข่าจึงจะเห็นว่ามือเล็กวางอยู่ในตำแหน่งของช่องท้องด้านบน น่าจะเป็นกระเพาะอาหาร แต่อี้ชิงไม่เคยมีอาการของโรคกระเพาะมาก่อน ไม่น่าจะปวดท้องเฉียบพลันแบบนี้ มันแสบๆ ยังไงไม่รู้ เมื่อกี้ก็เข้าห้องน้ำไปตั้งสามรอบ

                “น่ากลัวจะอาหารเป็นพิษ คงเพราะทานของเผ็ด ถึงจะไม่รู้สึกเผ็ดแต่ท้องเราไม่เคย ก็เลยปวดแบบนี้ แล้วนี่ยังถ่ายท้องอยู่หรือเปล่า?”

                "ไม่แล้วล่ะครับ ตอนนี้ปวดท้องอย่างเดียว"

                “เดินไหวหรือเปล่า?”

                “......” อี้ชิงส่ายหน้า

                "ถ้าอย่างนั้นเข้าไปพักข้างในก่อน พี่จะไปหายาที่กองสวัสดิการให้

                จงอินถอยออกมาจนห่างเมื่อรุ่นพี่ลุกขึ้นยืนแล้วสอดสองแขนช้อนร่างที่อ่อนปวกเปียกขึ้นแนบอกอย่างไม่ลังเล และร่างเล็กก็ซุกเข้าหาแผ่นอกกว้างอันเป็นที่พึ่งราวกับลูกแมวตัวน้อยที่ถูกทำร้ายกำลังออดอ้อนผู้อารีย์หมายฝากชีวิต ทั้งที่น่าสงสารออกอย่างนั้น แต่สายตาคนนอกที่ยืนมองอยู่ตรงนี้จนกระทั่งแผ่นหลังกว้างของคนที่อุ้มลูกแมวน้อยจากไปค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในความมืดกลับเจือไว้ด้วยความริษยา ขณะที่เขามัวแต่ละล้าละลังไม่รู้จะทำอย่างไร คนที่มาทีหลังกลับถามไถ่อย่างใจเย็นและอุ้มร่างเล็กจากไปโดยไม่แม้แต่จะปรายตามามองเขาซึ่งยืนอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ความมั่นใจที่ถูกทำลายนั้นกลายเป็นความเจ็บใจเมื่อคิดได้ว่ารุ่นพี่ผู้เป็นศัตรูหัวใจนั้นต้องการจะฉีกหน้ากัน

     

                อาหารเป็นพิษเพราะทานของเผ็ดอย่างนั้นหรือ? คิดจะโทษว่าเป็นความผิดของเขาสินะ

     

                คิมจงอินกำมือที่กำลังสั่นไว้จนแน่น ...ไม่มีทางยอมแพ้หรอก เขาที่อยู่ตรงนี้ก็ดูแลพี่อี้ชิงได้ดีไม่แพ้กัน จะไม่มีทางยอมแพ้คนเห็นแก่ตัวแบบนี้เป็นอันขาด!

     

    .

     

    .

     

    .

     

                ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงจนแสงจ้าส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างแล้ว อี้ชิงถึงได้ปรือตาลืมขึ้นอย่างช้าๆ เสียงเจื้อยแจ้วของนกนานาพันธุ์ที่ดังแว่วนั้นน่าจะทำให้บรรยากาศยามเช้าในชนบทสดชื่นยิ่งขึ้น ทว่าสำหรับคนที่ต้องทนทรมานเพราะอาการปวดท้องอยู่เกือบครึ่งคืนกว่าจะหลับไปเพราะฤทธิ์ยา แค่ยันกายให้ลุกขึ้นนั่งได้ก็ยังรู้สึกวิงเวียนจนอยากจะหงายหลังลงไปนอนเสียอีกรอบ

                “ตื่นแล้วเหรอฮะ?” อี้ชิงลดมือที่กุมศีรษะซึ่งยังปวดตุ้บๆ ไว้ลงแล้วหันไปทางต้นเสียง รุ่นน้องร่างเล็กบางนั่งทับส้นเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ข้างๆ ฟูกนอนของเขา ส่งยิ้มให้อย่างน่ารัก

                “แทม...”

                “อรุณสวัสดิ์ฮะ พี่เลย์เป็นยังไงบ้าง ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า?” อี้ชิงเลื่อนมือขึ้นจับท้องเพื่อสำรวจอาการตัวเองก่อนจะส่ายหน้า

                “ไม่แล้วล่ะ

                “ค่อยยังชั่วหน่อยลีแทมินถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก เมื่อคืนพี่ดูแย่มากเลย ทำเอาผมใจคอไม่ดีไปด้วย

                "เมื่อคืน... อย่างนั้นเหรอ...?" เอียงคอน้อยๆ อย่างใช้ความคิดแล้วอี้ชิงก็นึกได้ จริงด้วยสิ เมื่อคืนนี้เขาท้องเสียจนหมดแรง ต้องให้พี่คริสอุ้มกลับมา ยังไม่ทันถึงห้องพักก็อาเจียนออกมาอีก ลำบากต้องให้พี่คริสมาคอยลูบหลังให้ นึกแล้วก็น่าอายที่ต้องให้คนรักมาคอยดูแลในสภาพแบบนั้น อี้ชิงยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วครางเสียงเบาๆ เห็นแบบนั้นแทมินก็รีบขยับเข้ามาใกล้

                “เป็นอะไรหรือเปล่าฮะ ปวดหัวหรือเปล่า?”

                “ไม่หรอกอี้ชิงส่ายหน้าช้าๆ ค่อยลดมือลงพร้อมเสียงถอนหายใจ เลื่อนสายตามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็ไม่เห็นใครคนอื่นอีก แล้วพี่คริสล่ะ?”

                “อยู่ข้างนอกน่ะฮะ คนอื่นๆ ออกไปกันตั้งแต่เช้าแล้ว แต่รุ่นพี่คริสอยากให้พี่นอนนานๆ ก็เลยขอให้ผมอยู่เป็นเพื่อนที่นี่ กลัวพี่ตื่นมาแล้วไม่เจอใครจะตกใจ" แทมินบอกแล้วหันไปหยิบกระติกน้ำใบเล็กที่ตั้งอยู่ข้างๆ ขึ้นมา หมุนฝาให้เปิดออกแล้วเทน้ำที่อยู่ในนั้นใส่ลงไป ยื่นให้รุ่นพี่ "พี่เลย์ดื่มน้ำก่อนนะ นี่น้ำเกลือแร่ รุ่นพี่คริสอุตส่าห์ชงไว้ให้ตั้งแต่เช้า บอกว่าถ้าพี่ตื่นขึ้นมาให้เอาให้ดื่ม จะได้หายเพลีย ค่อยๆ จิบนะฮะ

                อี้ชิงใช้สองมือรับและช่วยกันประคองฝากระติกไว้อย่างระมัดระวัง มองน้ำสีใสในนั้นแล้วก็ยิ้มบาง ค่อยๆ ยกขึ้นจิบช้าๆ อย่างที่แทมินบอก ความเป็นห่วงเป็นใยของคนรักนั้นทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นเสมอ คุณคนใจดีของอี้ชิง... เมื่อคืนนี้หลังจากที่กินยาไปแล้วก็ยังรู้สึกปวดท้องจนนอนไม่หลับ ปวดจนอยากจะร้องไห้ ได้แต่นอนขดตัวอยู่กับฟูกด้วยความทรมาน ดีที่ได้ความอบอุ่นจากร่างสูงใหญ่ที่คอยกอดเอาไว้ไม่ห่าง พี่คริสคอยกระซิบเสียงปลอบอย่างอ่อนโยนจนเขาผล็อยหลับ ทั้งที่ตัวเองก็คงจะอดนอนจนอ่อนเพลียไม่แพ้กัน แต่พี่คริสกลับอยากให้อี้ชิงนอนพัก ขณะที่ตัวเองต้องออกไปทำงานหนักข้างนอนนั่น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำตัวให้กลายเป็นภาระกับคนรักแบบนี้

                “กี่โมงแล้วแทม?”

                “แปดโมงกว่าแล้วล่ะ

                “แย่จริง ต้องรีบแล้วล่ะอี้ชิงวางแก้วลงแล้วลุกลี้ลุกลนจะลุกขึ้นจากฟูกนอน แต่แล้วอาการหน้ามืดก็ทำให้ต้องทรุดตัวกลับลงมานั่งอีกครั้ง แทมินเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้ามาช่วยพยุงไว้

                “ช้าๆ ดีกว่านะฮะ เดี๋ยวจะล้มลงไป พี่แทบไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนนี้คงยังไม่ค่อยมีแรง" อี้ชิงพยักหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ

                "แย่จังนะ มาออกค่ายแท้ๆ นอกจากจะไม่ค่อยได้ช่วยงานอะไรแล้วยังต้องเป็นภาระให้คนอื่นมาคอยดูแลอีก

                “อย่าพูดแบบนั้นสิฮะ พี่ไม่ได้อยากไม่สบายซักหน่อย อาจจะแค่ไม่คุ้นเคยกับอาหารพื้นบ้านแบบนี้ก็เลยท้องเสีย

                “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...” ถอนหายใจเบาๆ แล้วคนตัวเล็กก็ก้มหน้าลงต่ำ มองดวงหน้าหวานที่ดูซีดเซียวของรุ่นพี่แล้วแทมินก็อดจะเห็นใจไม่ได้ เมื่อคืนกลางดึกตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอคนทั้งคู่ ยังคิดอยู่เลยว่าคงแอบไปเดินเล่นหรือดูดาวกันสองต่อสอง ใครจะคิดว่าพี่เลย์จะถูกรุ่นพี่คริสอุ้มเข้ามาในสภาพแบบนั้น พอจะถาม รุ่นพี่ก็เอานิ้วจุ๊ปากเพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ ตื่นขึ้นมากันหมด แทมินช่วยได้ก็แค่ไปหายาแก้ปวดท้องมาให้ตามที่บอก แต่ถึงอย่างนั้นคนที่คอยดูแลพี่เลย์ตลอดเวลาจนแทบไม่ได้นอนก็ยังเป็นรุ่นพี่คริสอยู่ดี นึกถึงตอนที่เรียนไฮสคูล ภาพของรุ่นพี่เลย์ที่แทมินจำได้นั้นคือรุ่นพี่ตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่มักจะถูกพี่มินโฮกับแก๊งค์ซ่อนเอาไว้ข้างหลังเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ พี่เลย์ก็ดูบอบบางน่ารักน่าทะนุถนอม และในสายตาของแทมิน รุ่นพี่คริสก็คือคนที่ดูแลปกป้องพี่เลย์ได้ดีที่สุด แต่ใครจะอยากให้คนอื่นต้องมาคอยดูแลตลอดเวลากัน พี่เลย์เองก็คงคิดเหมือนกันกับเขา ไม่อยากให้ใครมองว่าอ่อนแอจนทำอะไรเองไม่เป็น แทมินเอื้อมมือไปแตะแขนขาวเบาๆ ให้รุ่นพี่เงยหน้า

                “เราออกไปข้างนอกกันมั้ย?”

                “เอ๋...? ข้างนอกเหรอ?”

                “ก็เผื่อว่าจะมีอะไรที่เราพอช่วยได้ ออกไปดูกันหน่อยดีกว่า แต่ท่าทางพี่เลย์ไม่ค่อยมีแรงแบบนี้ ออกไปไหนไม่ได้แน่ๆ ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปเอาข้าวต้มมาให้ทานดีกว่าเนอะ ผมต้มไว้เมื่อเช้า พี่เลย์ทานเยอะๆ จะได้มีแรง จะได้ออกไปช่วยคนอื่นๆ ทำงาน ตกลงนะฮะ?” รุ่นน้องยิ้มกว้างจนตายิบหยี และอี้ชิงก็รู้ว่าเขากำลังถูกหลอกล่อเหมือนเด็กเล็กๆ แต่แทมินก็พูดถูกที่เขาควรจะต้องกินอาหารให้ร่างกายแข็งแรงเข้าไว้ จะได้หายป่วยเร็วๆ พี่คริสจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วก็ไม่ต้องเป็นภาระให้คนอื่นมาคอยดูแลด้วย

                “ขอบใจนะแทมรุ่นน้องพยักหน้ารัวๆ

                "งั้นพี่เลย์ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ เดี๋ยวผมมา แป๊บเดียว"

     

     

                แทมินอยู่เป็นเพื่อนจนรุ่นพี่กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ แล้วถึงได้เดินออกมาที่ลานกว้างด้วยกัน สายมากแล้ว แสงแดดก็แรงมากด้วย ทำเอาคนที่เพิ่งออกมาจากที่ร่มต้องหยีตาหลบแสงจ้า แต่ก็ยังเอามือป้องตาพยายามมองหาร่างสูงใหญ่ของคนรักที่น่าจะทำงานอยู่แถวห้องสมุด ดูเหมือนสมาชิกผู้ชายจะอยู่ตรงนั้นกันเกือบทั้งหมด ในขณะที่พวกผู้หญิงเข้าไปช่วยบรรดาแม่บ้านเตรียมอาหารกลางวันกันอยู่ในครัวอย่างที่แทมินบอก กว่าอี้ชิงจะหาเจอก็กลายเป็นว่าพี่คริสซึ่งอยู่ในแถวที่กำลังช่วยกันลำเลียงแผ่นกระเบื้องเพื่อส่งให้สมาชิกที่อยู่บนหลังคานั้นหันมาเห็นเข้าเสียก่อน อี้ชิงขยับเท้าจะเดินไปหาแต่ก็ถูกคนเป็นพี่ยกมือห้ามไว้ ร่างสูงหันไปบอกอะไรคนข้างๆ สองสามคำแล้วก็ออกจากแถว เดินตรงมาหาคนตัวเล็กทั้งสองในทันที

                “รุ่นพี่คริสมาแล้ว งั้นผมขอตัวดีกว่าพอหมดหน้าที่รุ่นน้องก็ทำท่าจะชิ่ง แต่อี้ชิงยังตื๊อไว้

                “รอไปพร้อมกันสิแทมลองแฟนเดินหน้าเครียดมาหาเองแบบนี้ พี่เลย์คงไม่ได้ออกไปไหนเป็นแน่ แต่ดูท่าเจ้าตัวจะยังไม่รู้ แทมินเอาแต่อมยิ้มกระทั่งร่างสูงเดินมาถึง

                “รุ่นพี่รับช่วงต่อเลยนะฮะ ผมไปช่วยงานทางโน้นต่อเอง

                “ขอบใจนะแทมิน

                “สบายมากหันไปยิ้มให้รุ่นพี่ตัวขาวอีกครั้งก่อนจะเดินย้อนไปทางที่คริสเพิ่งเดินมาเมื่อครู่ เขาตั้งใจจะชวนพี่เลย์ออกมาหาอะไรทำแก้ว่างจริงๆ แต่ถ้าแฟนไม่อนุญาตก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่นะ ปล่อยให้คู่รักเค้าเคลียร์กันเองก็แล้วกัน

                “พี่คริสเดินมาทำไม ผมเดินไปหาเองก็ได้

                “เรานั่นแหละออกมาตากแดดทำไม ค่อยยังชั่วแล้วหรือ?” อี้ชิงพยักหน้ารัวๆ ตอนที่แขนเล็กถูกจับแล้วพาให้เดินไปหลบที่ใต้ร่มไม้

                “ไม่ปวดท้องแล้วล่ะครับ

                “แต่สีหน้าเรายังดูเพลียๆ อยู่เลย มีไข้หรือเปล่า?” คริสถอดถุงมือที่สวมอยู่ออกแล้วแตะหลังมือกับหน้าผากเนียนเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาแตะที่แก้มนิ่ม ...ตัวอุ่นๆ แต่ไม่ถึงกับร้อน คงเพราะโดนแดดเมื่อครู่ ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ ด้วยคลายกังวล เขาถอดหมวกแก๊ปที่ตัวเองสวมอยู่ออกแล้วสวมให้คนตัวเล็กแทน ยังไงก็อย่าเพิ่งโดนแดดแรงๆ จะดีกว่า

                “ฮื่อ พี่คริสสวมเอาไว้เถอะ พี่ต้องทำงานกลางแดด

                “พี่น่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าเราไม่สบายขึ้นมาอีกจะทำยังไง เมื่อคืนก็ทำเอาพี่ใจคอไม่ดีเลยนะ

                “ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เมื่อคืนได้นอนที่นอนอุ่นๆ ตื่นเช้ามาก็ได้กินยาวิเศษอีก ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ

                “หืม? ยาวิเศษ?” ที่นอนอุ่นๆ น่ะพอเข้าใจ นอนกอดกันอยู่เกือบทั้งคืน อุ่นยิ่งกว่าผ้านวมผืนไหนๆ ในโลก แต่ยาวิเศษที่น้องว่า หรือจะเป็นยาแก้ปวดท้องกัน

                “ก็น้ำเกลือแร่ที่พี่คริสชงไว้ให้ ผมดื่มเข้าไปปุ๊บ รู้สึกแข็งแรงปั๊บเลยคนเป็นน้องบอกแล้วยิ้มโชว์แก้มบุ๋ม ตาคู่สวยเป็นประกายน่ารักน่ามองแล้วก็น่าจับมาฟัดให้หายมันเขี้ยวนัก คริสลืมความเข้มงวดของตัวเองก็เพราะหัวใจที่เต้นแรงนี่แหละ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มน้อยๆ ยามที่ยื่นมือออกไปบีบปลายจมูกเล็กเบาๆ

                “อย่าปากหวานนัก พี่ไม่ชงให้กินบ่อยๆ หรอกนะน้องร้องฮื่อแล้วย่นคอหนีคริสก็กอบสองมือประกบแก้มนิ่มรั้งไว้แล้วโน้มใบหน้าลงปัดปลายจมูกเบาๆ อย่างมันเขี้ยว จนได้ยินเสียงงอแงที่ปนมากับเสียงหัวเราะนั่นแหละ ถึงได้หยุด แล้วนี่ทานอะไรหรือยัง?”

                “ทานข้าวต้มฝีมือแทมไปแล้วล่ะครับคริสพยักหน้าพลางลูบมือกับผมนิ่มเบาๆ หมวกของเขายังอยู่ในมือเล็กและดูท่าว่าเด็กดื้อคงไม่ยอมใส่มัน

                “ตกลงว่าจะไม่ยอมใส่หมวก?” อี้ชิงส่ายหน้าอย่างมาดมั่น โอเค ไม่ใส่ก็ไม่ใส่ แต่ห้ามออกไปข้างนอก ห้ามออกไปตากแดด เข้าใจหรือเปล่า?”

                “ฮื่อ แต่ผมอยากช่วย คนอื่นๆ เค้าก็มีงานทำกันหมด มีผมว่างงานอยู่คนเดียวน้ำเสียงกับสีหน้าอ้อนๆ ของคนตัวเล็กทำให้คริสต้องถอนหายใจหนัก เขาไม่อยากให้น้องต้องทำงานตรากตรำกลางแดด แต่ถ้าจะให้นั่งรออยู่เฉยๆ อี้ชิงก็คงไม่ยอม มีงานอะไรง่ายๆ ที่ไม่ต้องออกไปกลางแดดให้คนตัวเล็กทำบ้างมั้ยนะ... สองมือท้าวสะเอวแล้วก็มองไปรอบๆ บริเวณนั้นอย่างใช้ความคิด วันนี้ที่หน้าห้องสมุดมีผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน เพราะนอกจากจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันดูแลเผื่อว่าขาดเหลืออะไรแล้ว ยังมีเด็กๆ ที่เริ่มคุ้นเคยกับพี่ๆ แปลกหน้าเข้ามาวิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้น คริสมองเจ้าตัวเล็กทั้งหลายที่กำลังวิ่งซนแล้วก็พยักหน้าช้าๆ

                “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเลี้ยงเด็กให้หน่อย

                “เด็กหรือครับ?” วางมือจับไหล่เล็กแล้วพลิกตัวน้องให้หันไปมองทางหน้าโรงเรียนซึ่งมีกลุ่มเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกัน บางทีก็เฉียดๆ เข้าไปใกล้กับบริเวณที่ทุกคนกำลังทำงานกันอยู่      

                “วิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้น พี่กลัวจะถูกตะปูตำเอาอี้ชิงมองตามแล้วก็พยักหน้าช้าๆ ก่อนที่ดวงหน้าหวานจะคลี่ยิ้มสนุกเมื่อเห็นสาวน้อยคนหนึ่งซึ่งเขาคุ้นหน้าอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

                "หนูมินอาจ๊ะ" เอามือป้องปากตะโกนเรียกแล้วกวักมือน้อยๆ พอเด็กหญิงหันมาเห็นพี่ชายหน้าหวานที่เล่นด้วยกันเมื่อวานก็ยิ้มร่า รีบวิ่งเข้ามาหาในทันที

                “อันยองจ้ะพี่ชายยย~”

                “อันยองครับ โอ๊ะ!” อี้ชิงย่อตัวลงแล้วอ้าแขนหมายจะรับตัวเด็กหญิงที่โถมทั้งตัวเข้าใส่แบบเต็มรัก แต่ก็ยังตั้งตัวไม่ดีพอจะมีแรงรับจนตัวเองแทบจะหงายหลัง ดีที่คริสเอามือรับไว้ได้ทัน

                "ระวังหน่อยค่ะคนสวย พี่ชายไม่ค่อยสบายอยู่นะ" บอกเสียงหวานแล้วยังขยิบตา แถมยิ้มหล่อให้อีก นั่นใช่กิริยาที่ควรทำกับเด็กเล็กเสียที่ไหน ดูเอาเถอะ สาวน้อยมองหน้าพี่ชายสุดหล่อซึ่งย่อตัวลงนั่งใกล้ๆ แล้วก็เริ่มบิดตัวด้วยความเขิน อี้ชิงปรายตามองคนรักพลางอมยิ้ม โปรยสเน่ห์ใส่เด็กก็ได้ด้วย นิสัยเพลย์บอยไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

                “ไม่เป็นไรครับพี่คริส ผมไหวพยักหน้าน้อยๆ ให้คนรักเบาใจแล้วก็เริ่มหลอกล่อสาวน้อย มาช่วยพี่ๆ ทำงานหรือครับ?”

                “ป่าว~”

                “ไม่ใช่เหรอ? เอ... หรือว่าจะมาร้องเพลงให้พี่ฟัง?” เด็กหญิงหัวเราะคิกคักตามประสา บิดตัวไปมาเพราะสายตาคนหล่อที่ยังจ้องมองแถมยิ้มกรุ้มกริ่มให้อีก สุดท้ายก็เลยซบหน้าแดงๆ ซ่อนปุ้บลงไปบนไหล่เล็กของพี่ชายหน้าหวานจนคู่รักพากันหัวเราะกับกิริยาน่าเอ็นดูนั้น ก่อนที่อี้ชิงจะอุ้มเด็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนหมายจะพาเดินออกไปหาเพื่อนๆ ที่ยังวิ่งเล่นกันอยู่ ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตุเห็นว่ารองเท้าสานคู่เล็กที่มินอาใส่อยู่นั้นเก่ามากจนใกล้ขาด ผิวเนื้ออ่อนเสียดสีกับเนื้อหยาบของหญ้าแห้งที่ใช้เป็นวัสดุจนน่ากลัวว่าจะช้ำและอาจถูกหินแหลมคมบาดเอาได้หากว่ารองเท้าเกิดขาดเข้าซักวัน มองดูรองเท้าของเด็กคนอื่นๆ ก็เช่นกัน บางคนขาดจนนิ้วเล็กๆ โผล่ออกมาแล้วก็มี

                "ทำไมไม่ใส่ถุงเท้ากันล่ะ?"

                "ถุงเท้า...?"

                "เป็นผ้านิ่มๆ ที่เราใส่ก่อนที่จะใส่รองเท้าไงจ๊ะ แบบที่พี่ใส่ ทำไมหนูไม่ใส่ล่ะ?

                "ก็ไม่มี ...ถุงเท้า"

                "ไม่มีเลยเหรอ?" เด็กน้อยส่ายหน้ากระพริบตาใสปริบๆ "อย่างนี้เวลาวิ่งเล่นก็เจ็บเท้าแย่เลยสิ"

                "ไม่เจ็บ" อี้ชิงพยักหน้าช้าๆ เด็กๆ ในหมู่บ้านที่ห่างไกลแบบนี้คงไม่ได้มีของใหม่ให้ใช้อยู่ตลอด แต่ก็วิ่งเล่นกันได้ทุกวันอย่างสนุกสนาน คงเพราะความเคยชินและถูกฝึกให้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดหรือต้องอดทนกับความยากลำบากที่ตรงไหน แต่ถึงอย่างไร เขาก็อยากจะให้เด็กๆ ได้รับความสะดวกสบายมากกว่าที่เป็นตอนนี้อยู่ดี

                “พาเด็กๆ ไปเล่นข้างในเถอะคนเป็นพี่กระซิบบอกเมื่อเห็นว่าอี้ชิงนิ่งไปนาน คนตัวเล็กถึงนึกขึ้นได้ พยักหน้ารัวๆ แล้วก็ย่อตัวลงหย่อนร่างเล็กให้กลับไปยืนบนพื้น

                “ไปเล่นในโรงอาหารกันดีกว่าเนอะ เดี๋ยวพี่เล่านิทานให้ฟัง ไปตามเพื่อนๆ มาด้วยนะ

                “ได้จ้ะเด็กหญิงพยักหน้าแล้ววิ่งตื๊อกลับไปหากลุ่มพี่ๆ พร้อมตะโกนเสียงเรียกชื่อแต่ละคนจนเด็กๆ ทั้งกลุ่มหันมาสนใจเธอได้ อี้ชิงมองภาพนั้นแล้วก็หัวเราะเบาๆ นึกถึงกิจกรรมสนุกๆ ที่จะชวนเด็กๆ เล่นด้วยกันแล้วก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้ กระทั่งมือใหญ่วางลงบนผมของเขาแล้วลูบเบาๆ

                “พี่ไปทำงานต่อนะ ตอนกลางวันจะมารับไปทานข้าว

                “ครับความชื่นใจเดียวของคริสพยักหน้ารับแล้วยิ้มหวานโชว์รอยบุ๋มที่ข้างแก้มให้คนตัวสูงได้มองจนนึกอยากจะอ้อยอิ่ง ชื่นใจเสียจนไม่อยากไปไหนกันเลยทีเดียว

     

     

                ยังไม่ทันถึงเที่ยงดี คริสก็แอบมายืนมองคนรักอยู่เงียบๆ ที่ทางเข้าโรงอาหาร อี้ชิงกับเด็กๆ อีกหกถึงเจ็ดคนนั่งล้อมวงกันอยู่บนพื้น กำลังตั้งอกตั้งใจวาดรูปกันอยู่ คริสพอจะรู้ว่าอี้ชิงสอนเด็กๆ ให้วาดรูปกระต่าย แต่รูปร่างยึกยือผิดจากแบบที่คุณครูจำเป็นวาดเป็นตัวอย่างให้นั้นทำให้ร่างสูงอดจะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แต่อี้ชิงดูจะจริงจังกับหน้าที่ที่ได้รับจนไม่ทันสังเกตุว่ามีใครมาแอบมองอยู่ คนตัวขาวมีนิสัยน่ารักแบบนี้ ให้ความสนใจกับเรื่องสำคัญได้แค่ทีละเรื่อง ถ้ามีอะไรเข้ามาแทรกก็จะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจค่อนข้างนาน จนบางครั้งเกิดอาการอึ้งไปเลยก็มี คริสชอบเวลาที่น้องเอ๋อแบบนั้นถึงได้ชอบแหย่อยู่บ่อยๆ แต่คราวนี้เขาตั้งใจจะไม่รบกวน มองคนตัวเล็กที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเด็กๆ แล้วก็เพลินดี น่าเอ็นดูไม่แพ้กันเลย ร่างสูงยกมือขึ้นกอดอกแล้วยืนพิงเสาแอบมองอยู่เงียบๆ กระทั่งมือหนึ่งวางลงบนไหล่แรงๆ หมายให้ตกใจ

                “เฮ้ย! แอบอู้งานมาเฝ้าแฟนรึไงแต่ผิดคาดเมื่อคริสเพียงแค่ปรายหางตามามองแล้วก็ถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบจนมือที่ไม่ต้องประสงค์นั้นหลุดจากไหล่ไปเอง

                “ไม่ได้อู้ งานฉันเสร็จแล้วนายก็เห็นวางท่าเย็นชาเสียจนชเวมินโฮต้องเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อุตส่าห์เล่นงานทีเผลอแต่ก็ยังไม่ยอมหลุดมาด แหย่เพลย์บอยขี้เก๊กไม่ได้ก็หาเรื่องแหย่แฟนมันแทนดีกว่า นักกีฬาหนุ่มมองพี่เลี้ยงเด็กตัวขาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรซักอย่างให้เด็กๆ ดูแล้วก็กระตุกยิ้มมุมปาก เดินอาดๆ เข้าไปในโรงอาหารแล้วแกล้งผลักเข้าที่ไหล่ของรุ่นน้องแรงไม่เบา ทำเอาตัวบางๆ ถึงกับถลำไปข้างหน้า

                “ไง? เจ้าเด็กเนิร์ด!” คนตัวขาวเงยหน้าขึ้นมาเหวอๆ ก่อนจะรู้สึกชาที่ไหล่จนต้องเอามือลูบป้อยๆ อยู่ดีๆ ก็มาเล่นแรง ตกใจหมด

                “รุ่นพี่มินโฮ

                “มาเล่นกับเด็กแบบนี้ หายป่วยแล้วรึไง?”

                “ค่อยยังชั่วแล้วล่ะครับ”

                “ก็ดี เมื่อคืนเล่นเอาใจตกอกตกใจกันหมด อยู่ดีๆ ก็หายไปแล้วก็ให้แฟนอุ้มกลับมาแบบนั้น นึกว่าจะต้องพาไปส่งหมอในเมืองตอนกลางดึกซะแล้ว

                “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ

                “รู้ก็ดี คราวหน้าจะกินอะไรก็ระวังหน่อย อย่าตะกละให้มันมาก เข้าใจ๋?

                “ฮื่อ! รุ่นพี่อ้ะคราวนี้แกล้งยีผมจนยุ่งให้อี้ชิงต้องวุ่นวายจัดใหม่ พลางส่งสายตายิ้มเยาะไปให้ร่างสูงที่เดินถลกแขนเสื้อตรงมาด้วยท่าทางพร้อมมีเรื่องเต็มที่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วทำเป็นว่าเดินไปหาแฟนตัวเองที่เพิ่งตามเข้ามาสมทบทีหลัง

     

                คริสก้าวยาวๆ ออกมาจากที่มั่นตั้งแต่ตอนที่ชเวมินโฮผลักไหล่แฟนของเขาแล้ว รังแกแฟนชาวบ้านแบบนี้ต้องสั่งสอนเสียหน่อย แต่ไปได้แค่ครึ่งทางก็ถูกไหล่หนาของคนที่ตัวสูงพอๆ กันเบียดเข้าจนต้องชะงัก มองเด็กหนุ่มผิวเข้มที่เดินเนิบนาบแซงหน้าเขาไปโดยไร้ซึ่งคำขอโทษแล้วเรียวคิ้วได้รูปก็ขมวดฉับ หากคริสไม่ทันเห็นเสี้ยวหน้าที่เรียบเฉยของฝ่ายนั้นว่าไม่แม้แต่จะปรายตามามองกัน เขาคงคิดว่ารุ่นน้องจงใจกระแทกไหล่เพื่อตัดหน้าเป็นแน่ ร่างสูงหรี่ตามองกระทั่งเด็กหนุ่มหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ กันกับคนรักของเขา หยิบรูปวาดของเด็กๆ ขึ้นมาดูแล้วก็เบะปาก

                “ตัวอะไรเนี่ย ไม่เห็นจะสวยเลย

                “จงอินเนี่ย!” มือเล็กตีเพียะเข้าให้ที่ต้นแขนใหญ่พลางใช้สายตากระต่ายดุตำหนิรุ่นน้อง "พูดแบบนั้นได้ยังไง เด็กๆ ตั้งใจวาดนะ

                “ก็มันจริงนี่นา ดูสิ หมูอะไรหูยาวขนาดนี้

                “หมูที่ไหน นี่กระต่าย

                “กระต่ายจริงอ่ะ?”

                “ก็ใช่น่ะสิ ฉันสอนเด็กๆ วาดเอง”  

                “งั้นก็ต้องโทษว่าคนสอนวาดไม่สวย

                “จงอินอ้ะ!” ใบหน้าคมเข้มที่ดูไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลากลับค่อยๆ ระบายยิ้มอย่างชอบใจที่ได้เห็นดวงหน้าหวานบูดบึ้ง คริสรู้ว่าคนรักของเขานั้นน่ารักแม้กระทั่งยามงอน และเขาก็ชอบแหย่ให้น้องงอนบ่อยๆ ...คริสรู้ ...และดูเหมือนรุ่นน้องคนสำคัญก็จะรู้เช่นกัน คิมจงอินรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ แต่ทั้งที่รู้ก็ยังใช้สายตาแบบนั้นมองคนรักของเขา ไม่เรียกว่าท้าทายยังจะเรียกว่าอะไร

                “อี้ชิงคนตัวเล็กหันมาเห็นเขาก็ส่งยิ้มให้ เสียงหวานนุ่มหูที่ขานรับนั้นทำให้คริสคลายมือที่กำลังกำแน่นด้วยโทสะลง ฝืนยิ้มตอบแม้ว่าริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นจะสั่นระริก คริสเดินเข้าไปหาแล้วหย่อนตัวลงนั่งอีกข้างโดยไม่สนใจใครอีกคนที่มาก่อน และในทันทีน้องก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าเขาอย่างกะตือรือร้น

                “พี่คริสดูสิครับ เด็กๆ วาดรูปกระต่าย น่ารักมั้ย?”

                คริสพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ

                “น่ารักสิ ขาวๆ อวบๆ เหมือนคนวาดเลย

                “ผมเหรอ? ว่าผมอ้วนเหรอ?”

                “พี่ว่าอวบ ไม่ใช่อ้วนเสียหน่อย

                “ก็นั่นแหละปกติแล้วอี้ชิงไม่เคยกังวลเรื่องรูปร่าง แต่พักหลังๆ คริสชอบแหย่ว่ากินขนมหวานมากไปจนตัวกลม บ่อยๆ เข้าก็คงเริ่มจะคิดมาก ดูจากเมื่อคืนตอนที่อุ้มกลับมาที่ห้องพัก น้องคอยถามอยู่ตลอดว่าหนักหรือเปล่า ทั้งที่ตัวเองก็ปวดท้องขนาดนั้นยังจะเป็นกังวลเรื่องที่เขาแซวเล่น คริสทั้งขำทั้งสงสาร แต่ทำไงได้ อี้ชิงชอบทำตัวให้น่ารักน่ารังแกเองนี่นา ทีหลังไม่ให้อุ้มแล้ว

                ก้มหน้าบอกเสียงเบาคงเพราะกลัวคนที่นั่งอยู่อีกข้างจะได้ยิน งอนเสียแล้ว หน้ายิ้มๆ กลายเป็นบึ้งตึง แก้มขาวป่องออกเน้นรอยบุ๋มให้ยิ่งชัด คริสมองกลีบปากอิ่มที่ยื่นออกน้อยๆ แล้วก็ลอบเลียริมฝีปาก อยู่ที่บ้านหน่อยไม่ได้ จะจูบง้อให้หายงอนเลยทีเดียว แต่ตอนนี้มีพยานรู้เห็นเยอะ ขืนเอาเปรียบน้องยิ่งงอนหนักแน่ (ถึงคิดจะอยากทำเย้ยคนที่ได้แต่มองก็เถอะ) ที่คริสทำจึงแค่เกลี่ยข้อนิ้วกับแก้มนิ่มเบาๆ แล้วโน้มใบหน้าลงกระซิบถ้อยคำให้เจ้าของแก้มต้องร้อนผ่าวไปทั้งหน้า

     

                “หนักกว่านี้พี่ก็อุ้มไหว ก็บอกแล้วไงว่าน่ารัก กระต่ายอวบๆ น่าฟัดออก

     

                เสียงใครบางคนพ่นลมหายใจระบายความอึดอัดอยู่ไม่ไกล แต่คนปากหวานหาได้สน นัยน์ตาวิบวับจับจ้องเพียงข้างแก้มที่เรื่อสีแดงอย่างน่ารัก เด็กขี้อายไม่ยอมหันหน้ามาสบตากัน แต่คริสรู้ว่ากลีบปากอิ่มที่เหยียดออกน้อยๆ ทั้งที่เม้มแน่นนั้นเป็นเพราะน้องพยายามกลั้นยิ้มเขิน ความคิดที่ว่ามีเพียงเขาที่ทำให้คนตัวเล็กขวยอายได้ขนาดนี้นั้นทำให้คริสยิ้มพราวด้วยรู้สึกพองในอก เขาไม่จำเป็นต้องเอาชนะใคร เพราะอี้ชิงทำให้รู้ว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาเป็นคู่แข่งของเขาได้ทั้งนั้น

                "อะแฮ่ม อะแฮ่ม ขอขัดจังหวะเวลาสวีทคุยเรื่องการเรื่องงานหน่อยนะ" เสียก็แต่ก้างชิ้นโตที่คอยจะหาเรื่องขัดใจกันอยู่ก็เท่านั้น ชเวมินโฮจับบ่าหนาแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างกันกับคริสอย่างถือวิสาสะ พอคริสปรายตามองก็ยังไม่รู้ตัว ทำเป็นยิ้มจนร่างสูงถอนหายใจเอือมๆ

                "ก็ว่ามา"

                "คืออย่างนี้ พรุ่งนี้เช้าพอส่งมอบห้องสมุดเสร็จแล้วว่าจะเลี้ยงขนมเด็กๆ ก่อนกลับ แต่ให้เข้าเมืองไปซื้อพรุ่งนี้กลัวจะไม่ทัน พอดีมีของที่ต้องใช้เพิ่มอยู่แล้วก็เลยว่าจะออกไปซื้อช่วงบ่ายนี้เลย แต่ฉันต้องอยู่ปิดงานทางนี้ให้เสร็จทันตอนเย็น เลยว่าจะวานนายเข้าไปในเมืองให้หน่อย พาเลย์กับแทมไปช่วยเลือกขนม แล้วก็รายการของที่ต้องซื้อฉันให้จงอินไปแล้ว" ให้คนที่เคยเข้าเมืองไปจะสะดวกกว่า อย่างน้อยก็รู้ว่าต้องซื้ออะไรที่ร้านไหน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินหา คริสพยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะที่คนตัวเล็กข้างๆ นั้นยืดตัวขึ้นถามมินโฮอย่างกะตือรือต้น

                “เข้าเมืองหรือครับ ที่นั่นมีของขายเยอะหรือเปล่า?

                “อ่า ก็เป็นตลาดอ่ะนะ นายอยากซื้ออะไรที่นั่นมีหมด”

                “ดีจัง ผมมีของที่อยากซื้ออยู่พอดี ให้ผมไปด้วยนะครับพี่คริส” อี้ชิงเกาะแขนคนรักแล้วยิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อยที่รู้ว่าจะได้ไปเที่ยว และคริสก็ยิ้มบางด้วยความเอ็นดู เลื่อนมือขึ้นลูบผมนุ่มเบาๆ

                “อยากได้อะไรพี่จะซื้อมาให้ อี้ชิงรออยู่ที่นี่เถอะ”

                “แต่ว่า... ทำไมล่ะครับ?

                “จากนี่เข้าไปในเมืองน่ะไกลมากนะ ถนนก็ขรุขระตลอดทาง นั่งกระแทกไปในรถแบบนั้นอี้ชิงจะปวดหลังได้ แล้วแดดตอนบ่ายก็แรงออกขนาดนี้” คนตัวเล็กส่ายหน้าจนผมปลิว

                “ผมไม่เป็นไรหรอก ให้ผมไปด้วยนะ ผมอยากช่วย"

                “แค่ซื้อของนิดหน่อย ไปกันสองสามคนก็พอ"

                “แต่ว่า...

                “อย่าดื้อสิ พี่บอกให้รออยู่ที่นี่ไง” รอยยิ้มหวานนั้นจางลงตั้งแต่ตอนที่คริสไม่อนุญาต ถึงน้ำเสียงที่ปฏิเสธนั้นจะอ่อนโยนเพียงไร อี้ชิงก็คงอดจะผิดหวังไม่ได้อยู่ดี ดวงหน้าหวานที่ม่อยลงของคนรักทำให้คริสอดจะใจหายไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจใจอ่อน เขายอมให้น้องมองว่าเป็นคนใจร้ายดีกว่าจะต้องเสียใจภายหลัง

                “...ก็ได้ครับ” คนตัวเล็กก้มหน้าแล้วบอกเสียงเบา ท่าทางหงอยๆ นั้นพอเป็นจางอี้ชิงแล้วยิ่งน่าสงสารจับใจ และไม่ใช่แค่คริสที่คิดแบบนั้น

                “อ่า เด็กๆ หิวข้าวกันแย่แล้วเนอะ ไปกินข้าวกันดีกว่า เสียงเฮรับประสานกันดังเจี๊ยวจ๊าวแล้วตัวเล็กตัวน้อยก็แย่งกันลุกขึ้นแล้ววิ่งกรูไปที่โต๊ะอาหารจนมินโฮต้องให้แทมินตามไปช่วยต้อนและจัดกลุ่มเด็กๆ ให้นั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่อี้ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามไปอย่างเนือยๆ ชเวมินโฮเลิกคิ้วมองรุ่นน้องแล้วก็เลื่อนสายตามามองเพลย์บอยหนุ่มที่นั่งข้างๆ พลางบุ้ยปาก ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะขัดคอใครซักคนในตอนนี้

                "ถ้าอย่างนั้นให้ใครไปช่วยซื้อของอีกคนก็แล้วกัน เดี๋ยวให้แทมินพาเพื่อนด้วย"

                "ไม่ต้องหรอก ผมคนเดียวก็พอ" เสียงห้าวนั้นมาจากรุ่นน้องที่นั่งเงียบอยู่นาน คิมจงอินลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ต่างคณะ "เพราะคงมีแค่ผมที่ไม่ควรอยู่ที่นี่"

                แววตาที่แข็งกร้าวและเรียวคิ้วที่เลิกขึ้นน้อยๆ นั้นจงใจท้าทายและคริสก็รู้สึกได้จึงลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าเข้าประชิดตัวรุ่นน้อง

                “นายหมายความว่ายังไง?

                “ก็หมายความตามนั้น ถ้าผมไป พี่อี้ชิงก็ไปไม่ได้ แต่ถ้าพี่อี้ชิงอยู่ที่นี่ ผมก็ไม่ควรอยู่”

                “ไค!” วาจายั่วยุอารมณ์เสียจนมินโฮต้องขัดขึ้น เจตนาของจงอินนั้นชัดเจนในคำที่พูด ต่อให้คิดแค่จะเข้าข้างรุ่นพี่ก็ดูจะก้าวร้าวเกินไป และคริสก็รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ได้แค่จะเหน็บแนมเขาเล่นๆ

                “ฉันไม่ได้งี่เง่าถึงขนาดแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานไม่ออก” ทว่ารุ่นน้องกลับยักไหล่ไม่ยี่หร่ะ

                “ผมก็แค่พูดตามที่เห็น ถ้าเข้าใจผิดก็ขอโทษด้วย” แค่นยิ้มทั้งที่ดวงตาเรียวรีนั้นเป็นประกายวาบ จดจ้องและสู้สายตาคมอย่างไม่ลดละ กิริยาที่ท้าทายนั้นไม่ใช่แค่คริสซึ่งยืนเผชิญหน้าจะรู้สึกได้เพียงคนเดียว ชเวมินโฮเองก็ฉลาดพอจะจับเรื่องได้และเขาก็เกรงว่าหากทั้งคู่ยังเผชิญหน้ากันแบบนี้อาจจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นก็ได้

                “คริส ถ้าจะไปซื้อของก็ต้องรีบไปนะ เดี๋ยวแดดจะร้อน” คว้าต้นแขนใหญ่เอาไว้แล้วออกแรงบีบเพื่อดึงความสนใจของเพลย์บอยหนุ่ม ก่อนจะตะโกนบอกคนรักที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเด็กๆ ที่โต๊ะอาหาร “แทมไปตามเพื่อนมาอีกสองคนแล้วให้ไปรอที่รถเลย ส่วนไค นายอยู่ช่วยงานทางนี้ก็แล้วกัน”

                เด็กหนุ่มพยักหน้ารับน้ำเสียงเข้มงวดนั้นพลางกดยิ้มมุมปาก ถือเอาคำตัดสินของรุ่นพี่นั้นเป็นชัยชนะ ทว่าคริสเพียงแค่ปรายตามองคนที่จับต้นแขนเขาแต่ไม่ได้คิดจะเอ่ยค้าน

     

                อย่างน้อยอี้ชิงก็ไม่ต้องออกไปข้างนอก ใครอยากจะนั่งเฝ้าแฟนชาวบ้านอยู่ที่นี่ก็ตามใจ!

     

     

                “เฮ้ คริส”

                มินโฮกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เดินจ้ำไม่หยุดตั้งแต่ออกจากโรงอาหารมาจนถึงลานกว้างนี้ รถที่จะเข้าไปในเมืองยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ คริสจึงหยุดยืนอยู่แค่นั้นพร้อมระบายลมหายใจคลายความอึดอัด

                “อย่าไปถือสาเลย เด็กมันอาจจะพูดตรงไปหน่อย”

                “พูดตรงกับจงใจกระแนะกระแหนน่ะ ไม่เหมือนกันนะ”

                “นายก็อย่าหึงจนหน้ามืดบ่อยนักสิว้า”

                “นี่นายก็คิดว่าที่ฉันไม่ให้อี้ชิงไป เป็นเพราะรุ่นน้องนายงั้นเหรอ?

                “ก็หรือไม่ใช่? เมื่อวานตอนที่กลับมาจากในเมือง ฉันเห็นนายมองสองคนนั้นจับมือกันแล้วก็เดินหนีไปอีกทาง ไม่เรียกหึงจะเรียกอะไร? ถึงเลย์จะไม่สบายแต่ก็ไม่ใช่เด็กอ่อนแอถึงขนาดนั่งรถไปช่วยเลือกซื้อของในเมืองไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะไคมันไปด้วยแล้วจะเป็นเพราะอะไร?

                คริสไม่มีคำแก้ตัวหรืออธิบายใดๆ นอกจากจ้องตาฝ่ายตรงข้ามแล้วถอนหายใจหนัก

                “ถ้าแม้แต่นายก็คิดแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

     

     

     

    จบตอน ^^

     

     

     

     

     

    คนรอง: จบไปอีกหนึ่งตอนแบบหืดขึ้นคอทั้งคนเขียนทั้งคนรออ่าน เอาเป็นว่าไม่ขอแก้ตัวใดๆ แต่ขอบคุณสำหรับคนที่ยังรอคอยกันสม่ำเสมอแล้วกันเนอะ ^^

     

    ตอนนี้มีคนย้ายไปอยู่ทีมจงอินกันเยอะเลย ชอบแบบพูดน้อยต่อยหนักกันสินะ แต่พระเอกปากหวานของเราก็ไม่ยอมแพ้ คนที่ควรต้องลำบากใจที่สุดก็คือจางอี้ชิงนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่านางจะใสซื่อเกินไปเลยยังไม่รู้อะไร ^^”  

    ตอนหน้าก็จะจบแล้วววว รุ่นน้องจะยิ่งรุกหนัก และเมื่อคนกลางรู้เรื่องทุกอย่างแล้วก็ต้องเคลียร์หัวใจกันไปว่าระหว่าง #ทีมพี่คริส กับ #ทีมจงอิน ใครจะชนะใจกระต่ายน้อยได้ เอาใจช่วยกันด้วยนะจ๊ะ (อย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดหน้ามาไว้ใกล้มือด้วยล่ะ)

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^ 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×