ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] หวานใจ >///<

    ลำดับตอนที่ #15 : หวานใจ ตอน 14 ::: ฝันร้าย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.64K
      22
      2 เม.ย. 57



    [Fic] หวานใจ >///<

    ตอน 14: ฝันร้าย

    Fiction by 2nd Admin

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

                

                “อี้ชิง...”

               

                “ฮึก.. ผมเจ็บ... พี่คริส.. ฮึก รังแกผมทำไม...”

     

                “ไม่นะอี้ชิง พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ...!

     

     

     

     

                “ฮึก!

                ร่างสูงสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดและเงียบงัน ไม่ได้ยินเสียงใดรอบกายนอกจากเสียงหอบหายใจของเขาเอง คริสลุกพรวดขึ้นนั่งแล้ววาดมือไปบนพื้นเตียงข้างตัว ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามันว่างเปล่าและเย็นเยียบ

     

                “ฝันหรือเนี่ย...”

     

                ใช่ มันก็แค่ความฝัน แต่เป็นฝันร้ายอย่างที่สุด เขาที่กอดรัดร่างบอบบางและทำให้คนรักต้องร้องไห้ คริสที่ลืมตาตื่นอยู่ตอนนี้ไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่ หนุ่มหล่อยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแล้วนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย เขาตวัดผ้าห่มขึ้นแล้วก้มลงมองกางเกงวอร์มที่ใส่นอนของตัวเอง บางส่วนของร่างกายกำลังขยายตัวอยู่ใต้เนื้อผ้าหนานั้น

     

                “บ้าเอ๊ย...!”

     

                ร่างสูงลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้วรีบเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง ครู่ใหญ่ถึงได้กลับออกมานั่งคอตกอยู่ที่เตียง ไม่เคยต้องทรมานและนึกสมเพชตัวเองมากเท่านี้มาก่อน เขาไม่เคยล่วงเกินอี้ชิงไปมากกว่าการกอดและจูบ จากที่เคยมีกินจนพร่ำเพรื่อทุกเมื่อเชื่อวัน สี่เดือนที่ผ่านมานี้เขากลับต้องอดอยาก ถึงกระนั้นก็ยังไม่คิดจะไปยุ่งกับคนอื่นเพื่อหาทางปลดปล่อย คริสรักน้องมาก ยิ่งรักก็ยิ่งต้องการ แต่ให้ต้องการแค่ไหนก็ไม่คิดจะฝืนใจคนตัวเล็ก บอกตัวเองว่าต้องรอ ต้องทนได้ แต่ต่อให้ข่มใจไหวยังไงร่างกายมันก็ฟ้องว่าเขาฝืนตัวเองมากเกินไปอยู่ดี เขากำลังทรมานเพราะความต้องการ ในหัวมีแต่ภาพของดวงหน้าหวานกับเรือนร่างขาวบางแสนสวยที่ไม่ควรนึกถึง แต่ทำยังไงถึงจะหยุดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ได้กัน

     

                รู้ตัวอีกที คริสก็มายืนอยู่หน้าห้องนอนเล็กของคนรักแล้ว มือที่จะเคาะประตูถูกยกค้างแค่กลางอากาศ ทั้งที่อยากเห็นหน้าแต่ร่างสูงก็ยังลังเลด้วยไม่แน่ใจว่าเขาควรมารบกวนคนตัวเล็กในเวลาดึกเช่นนี้หรือไม่ น้องอาจกำลังหลับสนิทและฝันดี เขาไม่ควรมารบกวนให้อี้ชิงต้องเป็นกังวล คิดแล้วก็ลดมือลงพร้อมทอดถอนใจ ตัดใจแล้วว่าควรจะกลับไปข่มตานอนที่ห้องตัวเองตามลำพัง

     

                แต่ในตอนนั้นเองที่ประตูห้องเปิดออก

                “พี่คริส...?” เจ้าของร่างเล็กบางที่อยู่ในชุดนอนเอียงคอมองเขาด้วยความแปลกใจ คริสเองก็ผงะด้วยคาดไม่ถึง

                “อี้ชิง ทำไมถึง...?”

                “ผมหิวน้ำครับ แล้ว... พี่คริสมีอะไรกับผมรึเปล่า?”

                “คือพี่...” คนเป็นพี่กำลังนึกหาคำตอบที่เหมาะสมกับการมายืนอยู่หน้าห้องในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ คิดไปก็จ้องหน้าคนถามไป อี้ชิงที่เพิ่งตื่นนอนยังงัวเงียอยู่เลย ตาคู่สวยหรี่ปรือแทบลืมไม่ขึ้น ผมนุ่มๆ ที่เขาชอบฝังจมูกนั้นยุ่งเหยิง ริมฝีปากอิ่มเผยอออกน้อยๆ อย่างไม่ตั้งใจ น่าเอ็นดูจนอยากดึงเข้ามากอดแล้วฟัดหอมเสียให้จมจมูก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คริสคงไม่ทนยืนหมั่นเขี้ยวอยู่เฉยๆ อย่างนี้แน่ แต่ที่เขาทำได้ตอนนี้คือยืนมองอยู่นิ่งๆ “...อี้ชิง พี่ฝันร้าย”

                บอกไปแล้วก็ใจหายเมื่อประกายตาคู่สวยถูกกลบด้วยแววกังวล อี้ชิงเขย่งปลายเท้าขึ้นแตะมือนุ่มลงบนข้างแก้มเขา เอ่ยปลอบอย่างน่ารัก

                “ขวัญเอ๋ยขวัญมา พี่คริสคนดีของผม”

                คริสยิ้มบาง วางมือกดทับมือเล็กให้ยิ่งแนบกับผิวแก้มเย็นเฉียบ แล้วสอดแขนดึงร่างขาวบางเข้ามากอดไว้แนบแน่น คริสหลับตาลงช้าๆ จังหวะหัวใจที่กระหน่ำอย่างทุรนทุรายอยู่ในอกจนถึงเมื่อครู่เริ่มเต้นช้าลง จมูกโด่งถูกฝังแนบกับข้างขมับขาว กลิ่นหอมหวานเหมือนครีมเค้กของร่างที่กอดทำให้จิตใจที่ฟุ้งซ่านของเขาสงบลง เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ได้กอดร่างนุ่มไว้ในอ้อมแขน คริสอดทนต่อความต้องการของตัวเองมาตลอดก็เพราะว่ารัก เพราะอี้ชิงคือความรัก หาใช่ความใคร่ฉาบฉวยเหมือนที่ผ่านมา เป็นของขวัญมีค่าที่เขาควรต้องถนอม บอกตัวเองอย่างนี้ซ้ำๆ จนภาพฝันเมื่อครู่ค่อยๆ เลือนหาย

     

                “เข้ามาในห้องก่อนมั้ยครับ?” น้องคงอยากให้เล่าเรื่องราวในฝันนั้น ถ้าเป็นคริสในเวลาอื่นคงรีบฉกฉวยโอกาสแล้วทำเนียนขอนอนในห้องให้น้องกอดปลอบทั้งคืนไปแล้ว แต่เขาในตอนนี้จิตใจสั่นไหวเกินไป บอกตรงๆ ว่าคริสไม่แน่ใจขีดจำกัดของร่างกายตัวเอง เขากลัวว่าถ้าเข้าใกล้น้องเกินไปก็อาจจะทนอยู่นิ่งๆ อย่างที่ผ่านมาไม่ได้

                “พี่ไม่อยากกวน อี้ชิงไปนอนเถอะ” คริสตัดใจเอ่ยขึ้นในที่สุด ดันร่างน้องออกให้มองหน้ากันตรงๆ แล้วยิ้มให้ ก่อนจะกดจูบเหนือหน้าผากเนียน “ฝันดีนะ”

     

                บอกตัวเองเช่นกัน ขออย่าให้ฝันร้ายแบบเมื่อครู่นี้อีกเลย

     

     

     

    เอาเข้าจริงคริสก็ได้แต่กลับไปนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงตัวเอง กว่าจะข่มตาให้หลับได้จริงฟ้าก็เกือบสว่างแล้ว ดังนั้นพอถึงเวลาที่ต้องตื่นก็เลยลุกยากหน่อย เขาได้ยินเสียงอี้ชิงเรียกอยู่ไกลๆ แต่หนังตามันหนักเกินกว่าจะเปิดขึ้นก็เลยได้แต่ครางอืออาตอบ ครู่หนึ่งก็รู้สึกถึงความอุ่นที่สัมผัสข้างแก้ม

    “พี่คริส ทำไมตื่นสาย ไม่สบายหรือเปล่าครับ?”

    กลิ่นหอมครีมเค้กจางๆ แบบนี้เขาจำได้ คริสจับมือนิ่มที่แตะแก้มมาหอมจนชื่นใจแล้วดึงมารองแก้มไว้ พลิกตัวตะแคงหันเข้าหาร่างที่นั่งอยู่ขอบเตียง ครางเสียงตอบทั้งที่ยังไม่ลืมตา

    “อือ... นอนไม่หลับเลย”

    “กลัวฝันร้ายหรือครับ?”

    คนบนเตียงถอนหายใจก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ มองดวงหน้าหวานของคนรักด้วยแววตาละห้อย คริสไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้น่าสงสารแค่ไหน รู้แต่ว่าอี้ชิงดูจะเป็นห่วงมาก พอเห็นเขาไม่ตอบ น้องก็เอียงคอมองแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ครู่หนึ่งก็เม้มริมฝีปาก แก้มขาวที่คริสเฝ้ามองนั้นค่อยๆ แดงเรื่อ อี้ชิงสบตาเขาแล้วถามเสียงเบา

     

    “คืนนี้... ให้ผมมานอนเป็นเพื่อนมั้ย?”

     

                คริสอยากจะร้องไห้เมื่อได้ยินอย่างนั้น จางอี้ชิงเด็กขี้อาย แค่คิดว่าน้องต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนกว่าจะถามออกมาแบบนั้น หัวใจของคริสก็เต้นโครมครามไม่ยอมหยุด ทั้งที่คริสเคยต้องเป็นฝ่ายออดอ้อนขอให้น้องมานอนด้วยกันแทบทุกคืน แต่ในตอนนี้ คริสกลับไม่อยากให้น้องเข้าใกล้ตัวเองซักเท่าไหร่ ร่างสูงซ่อนทั้งความชื่นใจและหนักใจไว้ภายใต้รอยยิ้มบาง ก่อนจะยันกายให้ลุกขึ้น โน้มใบหน้าจูบหน้าผากเนียนเบาๆ

    “ไม่เป็นไรหรอก อี้ชิงเพิ่งหายไข้ พี่ไม่อยากกวน” ไล้หลังมือกับแก้มนิ่มอย่างทะนุถนอมแล้วร่างสูงก็ผุดลุกขึ้นจากเตียง คว้าผ้าขนหนูได้ก็เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ได้เหลียวกลับมามองว่าดวงตาคู่สวยกำลังมองตามแผ่นหลังของเขาด้วยรอยยิ้มที่หมองลง ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมามองมือเล็กๆ ของตัวเองที่เหลือเพียงไออุ่นของคนที่เพิ่งลุกจาก

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “ตอนกลางวันพี่มารับนะ” คริสบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกวันที่เขามาส่งคนรักที่หน้าคณะ และอี้ชิงก็จะพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มหวาน ที่ไม่เหมือนกันคือทุกครั้งหนุ่มหล่อจะฉวยจูบทับรอยบุ๋มน่ารักที่ข้างแก้มนิ่ม ตุนความชื่นใจเผื่อไว้อีกหลายชั่วโมงที่จะไม่ได้เจอกัน ก่อนจะยอมปล่อยน้องลงจากรถ  แต่ที่คริสทำในวันนี้คือแค่ลูบผมนุ่มเบาๆ แล้วยิ้มส่งจนกระทั่งคนตัวเล็กเปิดประตูรถลงไป 

     

    คริสยังจอดรถมองจนกระทั่งคนตัวเล็กเดินไปถึงหน้าตึก และเพื่อนสนิทตัวสูงอีกสองคนก็เดินมาสมทบ คงจะแหย่อะไรกันอีกแล้ว อี้ชิงถึงได้ยิ้มหน้าแดงแล้วก็ตีแขนเพื่อนกลับแบบนั้น คริสยิ้มเมื่อนึกถึงความน่าเอ็นดูของคนรัก เถียงไม่ทันเพื่อนก็คงได้แต่บ่นงุ้งงิ้งไปเรื่อย เวลาอี้ชิงอยู่กับเพื่อนจะไม่เหมือนตอนที่อยู่กับเขา น้องจะพูดได้เยอะ หัวเราะร่าเริงจนตาคู่สวยเป็นประกายสดใส ผิดกับเด็กขี้อายที่อยู่กับเขา คริสเห็นเพียงแววหวานทุกครั้งที่มองเข้าไปในดวงแก้วคู่นั้น พอจ้องนานๆ เข้าคนตัวเล็กก็เอาแต่จะก้มหลบ คริสชอบเวลาที่น้องอายแล้วก็ซุกซบใบหน้าลงกับอกของเขา แล้วเขาก็จะทำเนียนกอดน้องเอาไว้  เขาเคยพอใจแค่นั้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนโลภ คริสหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้าๆ

     

    ถ้าห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ก็อย่าเข้าใกล้น้องเลยจะดีกว่า

     

     

     

     

    “น่าอิจฉาคนมีแฟนจังน้า~ มีรถคอยรับส่ง กลางวันก็พาไปกินข้าว” เสียงแซวนั้นทำให้คนที่กำลังจะเดินขึ้นตึกชะงักฝีก้าว อี้ชิงหันไปมองก็เห็นจองชินกันมินฮยอกกำลังเดินยิ้มมา รายหลังนั่นแหละที่ส่งเสียงแซวเขาเมื่อครู่ “ฉันล่ะอยากมีบ้างจัง มีคนไปไหนมาไหนด้วย กลับบ้านก็ได้ขลุกอยู่ด้วยกัน ดีจริงๆ เลยน้า~

                “อย่าแซวนักเลย นายก็มีจองชินอยู่แล้วนี่ไง”

                “เหมือนกันที่ไหน หมอนี่น่ะ ฉันต้องจำใจอยู่ด้วยต่างหาก” หนุ่มหัวยุ่งเบะปากเมื่อรูมเมทมาดเซอร์ที่ถูกพาดพิงปรายหางตาใส่เขาแล้วทำเสียงเหอะ

                “เรื่องมากขนาดนั้นก็อย่ามีเลยแฟน เพราะต่อให้หาได้ก็คงไม่โชคดีอย่างอี้ชิง แฟนที่ไหนจะใจดีนั่งทำรายงานให้ตอนที่นายป่วยล่ะ”

                “ฮื้อ จองชิน...” มือบางตีแปะลงบนต้นแขนแข็งแรงของเพื่อน แหย่กันไปมาแต่สุดท้ายคนเป็นเหยื่อก็กลายเป็นอี้ชิงทุกที อุตส่าห์จะทำเป็นลืมๆ ไปแล้วเชียว ห่วงแต่จะไปเที่ยว หักโหมทำรายงานจนตัวเองล้มป่วย เดือดร้อนให้พี่คริสต้องมาทำรายงานให้อีก น่าดีใจตรงไหน น่าอายจะตายไป

     

                “อ้าว นั่นรุ่นพี่คริสเพิ่งจะออกรถไปนี่” พอมินฮยอกบอกอี้ชิงก็หันไปมองตาม รถพี่คริสจริงๆ ด้วย นึกว่าไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้วเสียอีก

                “ทำไมเพิ่งจะออกไปล่ะ ปกติมาส่งนายแล้วก็ออกไปเลยไม่ใช่เหรอ?”

                “แหมมม คู่ข้าวใหม่ปลามันก็อย่างนี้แหละ คนเค้าหวงเค้าห่วง ก็คอยตามดูทุกฝีก้าว คนไม่มีแฟนอย่างนายไม่เข้าใจหรอก”

                หนุ่มมาดเซอร์ตวัดตามองรูมเมทตัวดีแล้วยกยิ้มมุมปาก

                “ตอนนี้ชักอยากมีขึ้นมาละ ว่างมั้ยล่ะ เป็นแฟนให้หน่อย”

                “อ.. อะไร! อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะจองชิน ฉันขนลุก”

                “เห็นบ่นว่าอยากมีแฟนไม่ใช่รึไง ฉันว่างอยู่นะ สนใจรึเปล่า?”

                “ไม่สนเฟ้ย! ป๊อปอย่างฉันน่ะต้องคู่กับดาวคณะสวยๆ”

                “ฉันก็ป๊อบนะ”

                “แต่ฉันไม่เอา! อย่าเข้ามาใกล้นะ ออกไปห่างๆ เลยไป!

                “ไม่เอาน่า นี่ฉันเสียสละตัวเองให้นายควงเลยนะ”

                “ก็บอกว่าไม่เอาไง! ไม่ต้องตามมาเลยนะ ไปเดินห่างๆ โน่น”

                “มินฮยอกอ่า”

                “ไม่ต้องมาเรียกเลยนะ!

     

                สองหนุ่มเดินเถียงกันขึ้นตึกไปแล้ว แต่ร่างโปร่งบางยังยืนอยู่ที่ขั้นบันได มองไปตามทางที่รถสปอร์ตสีแดงแล่นหายไปเมื่อครู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหวานที่หมองลงนั้นไม่มีใครได้สังเกตุ อันที่จริงอี้ชิงก็ไม่ได้อยากให้ใครเห็น บางที... เขาอาจจะคิดไปเองก็ได้

     

                “คิดมากอีกแล้วนะจางอี้ชิง”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

                คริสสนใจเสียงพลิกหน้าหนังสือเบาๆ มากกว่าเสียงเอฟเฟ็คในหนังแอคชั่นเรื่องโปรดที่กำลังฉายอยู่บนจอแอลอีดีติดผนังนั่นเสียอีก สนใจเพราะคนที่ถือหนังสือคือเจ้าของร่างขาวนุ่มที่นั่งพิงหลังอยู่กับต้นแขนของเขา อี้ชิงยกขาทั้งสองข้างขึ้นบนโซฟาแบบเดย์เบดด้วยท่าทางสบายๆ ถึงจะชอบอ่านหนังสือมากกว่าดูหนัง แต่อี้ชิงก็ไม่เคยปฏิเสธเวลาที่เขาชวนมานั่งดูหนังเป็นเพื่อน คนตัวเล็กคงมีความสามารถพิเศษในการอ่านหนังสือท่ามกลางเสียงอึกทึกและการกวนใจจากเขา นึกถึงเวลาที่ได้เนียนโอบไหล่บางแล้วดึงร่างขาวให้พิงลงมากับอกแล้วคริสก็ลอบยิ้ม เขาชอบเวลาที่ได้หัวเราะกับฉากหนังตลกแล้วฝังจมูกลงเหนือกลุ่มผมนุ่มหอม แต่ถ้าเป็นฉากดราม่าบีบหัวใจก็จะลูบมือกับแขนเล็กนิ่ม ให้น้องจับมือเขาไว้แล้วบีบเบาๆ เพื่อปลอบ

     

                แต่ในวันนี้คริสทำได้แค่มอง ปล่อยให้น้องนั่งพิงแขนแล้วแอบมองอยู่เงียบๆ มีบางครั้งที่อี้ชิงคงรู้สึกว่าเขาเงียบไปก็จะเงยหน้าขึ้นมามองเสียที คริสทำได้แค่ยิ้มแล้วไล้หลังมือกับแก้มนิ่มเบาๆ น้องก็จะยิ้มตอบอย่างน่ารักก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ ลับสายตาน้องแล้วนั่นแหละ หนุ่มหล่อถึงได้ถอนหายใจออกมา มันเศร้ายิ่งกว่าหนังดราม่าที่มีคนรักอยู่ข้างๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ คริสอยากกอดอี้ชิง อยากฟัดอยากหอมให้ชื่นใจ แต่เขาต้องอดใจไว้ ให้ทรมานแค่ไหนก็ต้องทนให้ได้ ตอนนี้เขายังไหว แต่ก็ไม่รู้ว่าหักห้ามใจตัวเองไปได้นานแค่ไหนเหมือนกัน

     

                ร่างสูงลอบมองคนที่รักแล้วแนบแก้มลงกับกลุ่มผมนุ่ม

                “อี้ชิง”

                “ครับ?”

                “พี่รักอี้ชิงนะ”

                “ผมก็... รักพี่คริสเหมือนกัน”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

                ผ่านไปหลายวันจนนับเป็นอาทิตย์ ยิ่งพยายามหักดิบตัวเองเท่าไหร่ ฝันร้ายก็ยิ่งทำให้คริสต้องทรมานอยู่ทุกค่ำคืน จะทำอย่างไรในเมื่อบังคับกายให้ห่างเหินแต่ในใจกลับโหยหาจนแทบคลั่ง คริสแทบไม่กล้าแตะต้องร่างขาวนุ่มแม้ว่ามีโอกาส อี้ชิงก็ช่างดีแสนดี ยิ่งเขาจะเป็นจะตายเท่าไหร่ น้องก็ยิ่งเอาใจใส่ด้วยความเป็นห่วง คอยดูแลถามไถ่จนคริสละอายแก่ใจที่ทำให้คนตัวเล็กต้องเป็นกังวล อี้ชิงไม่รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร และคริสก็ทำอะไรไม่ได้ ...เขาทำอะไรกับความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมของตัวเองได้เลย

     

                กระทั่งเช้าวันนี้ที่คริสตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่ค่อนข้างอิดโรย อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้อง ตามกลิ่นหอมของอาหารเช้ามาที่ห้องครัว เห็นไข่ดาวสุกแบบพอดีกับไส้กรอกทอดที่ถูกจัดพร้อมผักสลัดและมะเขือเทศฝานใส่จานวางไว้บนโต๊ะอย่างน่ากินแล้วเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็คลี่ยิ้ม อี้ชิงน่ารักที่รู้ใจและใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเขาเสมอ คริสไม่ชอบกินของทอดที่เลี่ยนๆ น้องก็ทอดไข่ดาวและไส้กรอกในกระทะน้ำให้ ร่างสูงยื่นหน้าเข้าไปมองในครัว เห็นหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาก็เดาว่าคงเป็นซุปอะไรซักอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อให้มื้อเช้านี้มีสารอาหารครบถ้วน

     

                หนุ่มหล่อแอบย่องเข้าไปในครัวระหว่างที่พ่อครัวตัวเล็กกำลังเผลอ กะจะแอบดูว่าน้องกำลังทำอะไร แต่พอเข้าไปใกล้แล้วเห็นหม้อแก้วใบใสเหนือเตาไฟฟ้าจนถนัดแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว คริสลองมองลงไปในหม้ออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ มีแต่น้ำเปล่าที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในนั้นโดยไม่มีเครื่องปรุงอะไรซักอย่าง หันไปมองคนที่เข้าใจว่ากำลังง่วนอยู่กับการหั่นผักหรืออะไรซักอย่างที่เค้าท์เตอร์แล้วก็ยิ่งแปลกใจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่คนตัวเล็กกลับยืนนิ่งเหมือนไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับมัน

                “เหม่ออะไรอยู่ครับคนเก่ง น้ำเดือดแล้วนะ”

                คนที่ถูกทักถึงกับสะดุ้งเมื่อมือใหญ่วางลงบนบ่าทั้งสองข้าง หันมองหน้าคนตัวสูงที่เข้ามายืนซ้อนหลังแล้วก็หันไปมองน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในหม้อ

                “อ๊ะ จริงด้วยสิ ลืมไปเลย” รีบร้อนหยิบผักและเนื้อที่เตรียมไว้มาเทใส่ลงในหม้อจนคริสต้องรีบหรี่ไฟที่เตาแล้วหันไปหยิบทัพพีมาช่วยคนให้เพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะทำน้ำร้อนๆ กระเด็นลวกมือเสียก่อน “หิวหรือยังครับ?”

                “นิดหน่อยเอง” ส่งทัพพีคืนให้พ่อครัวตัวจริงแล้วร่างสูงก็ถอยออกมายืนรออยู่ข้างๆ กอดอกพิงสะโพกกับเค้าท์เตอร์แล้วมองมือเล็กที่สาละวนกับการปรุงรสน้ำซุปในหม้อ วันนี้คงเป็นซุปน่องไก่น้ำใส คนที่ชอบกินไก่คลี่ยิ้มบาง แฟนเขาช่างเอาใจอีกแล้ว คริสเลื่อนสายตาขึ้นมองดวงหน้าหวานที่เขารักนักหนา ตาคู่สวยที่เขาหลงใหลนั้นสนใจเพียงแค่น้ำซุปในหม้อ กลีบปากอิ่มขบเม้มกันเบาๆ แม้เวลาที่ตั้งอกตั้งใจแบบนี้ก็ยังปรากฏรอยจางๆ ที่ข้างแก้มขาว คริสเอ็นดูลักยิ้มน่ารักนั้นจนต้องกดจมูกทับทุกครั้งที่ได้เห็น แต่ครั้งนี้เขาทำได้แค่ยืนมองอยู่ห่างๆ

                “มีอะไรติดหน้าผมรึเปล่า?” พอคนถูกมองรู้ตัวแล้วเงยหน้าขึ้นถามพร้อมกระพริบตาปริบ คริสก็ได้แต่ยิ้มแล้วยื่นมือออกไป

                “ตรงนี้น่ะ” เกลี่ยปลายนิ้วกับแก้มนิ่มเบาๆ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีอะไร แก้มขาวใสไร้รอยตำหนิใดๆ ทั้งนั้น คริสคงไม่รู้ว่าสีหน้าที่เปื้อนยิ้มจางๆ ของตนนั้นทำให้อีกฝ่ายแคลงใจ สายตาที่มองไม่ได้วาบหวามจนทำให้คนตัวเล็กเขินอายเช่นทุกครั้ง เสียงถอนหายใจเบาๆ เหมือนมีเรื่องที่เป็นกังวล ยิ่งพยายามปิดบังความรู้สึกเท่าไหร่ คริสไม่รู้หรอกว่าท่าทีของเขายิ่งทำให้คนที่รักต้องสับสน

                “พี่คริส... คือ...”

                “พี่ออกไปรอข้างนอกนะ”

                เขาไม่รู้ เพราะหากว่ารู้เขาคงหยุดฟังและไม่ทำให้อี้ชิงต้องหวาดกลัว ...ว่าวันสุดท้ายของพวกเขาทั้งสองคนคงกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “มินฮยอกนี่ชักช้าชะมัดเลย มาคุยกับอาจารย์อะไรกันตอนนี้นะ หิวข้าวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย” หนุ่มมาดเซอร์บ่นแล้วก็ฟุบหน้าลงบนแขนที่เหยียดไปตามความยาวของโต๊ะอย่างขี้เกียจ นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ้าหัวยุ่งนั่นบอกให้รอก่อนเขาคงหนีไปกินข้าวกับอี้ชิงก่อนแล้ว อ้อ ไม่ได้สิ เขาคงต้องไปกินคนเดียว เพราะรายอี้ชิงน่ะอีกเดี๋ยวแฟนเค้าก็คงมารับออกไปกินข้างนอกเหมือนเคย นึกถึงตรงนี้แล้วจองชินก็เงยหน้าขึ้นจากแขน ไม่ได้ยินเสียงเพื่อนตัวเล็กมาพักใหญ่ๆ ตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว ปกติเวลาเขาบ่นแบบนี้จะต้องมีเสียงงุ้งงิ้งคอยปราม แต่ทำไมคนตัวขาวที่นั่งตรงข้ามกันถึงได้เงียบนัก “เป็นอะไรไปอี้ชิง นายดูซึมๆ ไปนะ”

    คนถูกถามดึงสายตาที่เหม่อลอยอยู่เมื่อครู่กลับมามองเพื่อนสนิทแล้วถอนหายใจเบาๆ กลีบปากอิ่มขบเม้มกันเองด้วยทั้งกังวลและลังเล แต่พอเห็นจองชินยืดหลังขึ้นนั่งตัวตรง กอดอกแล้วจ้องหน้าเขาอย่างตั้งใจฟังถึงได้ตัดสินใจ

    “จองชิน คือ... สมมุตินะ สมมุติว่านายมีเพื่อนที่สนิทกันมากๆ คือสนิทมากกว่ามินฮยอกน่ะ ไปไหนมาไหนด้วยกัน อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แล้วอยู่มาวันนึง เพื่อนนายคนนั้นก็ทำตัวห่างเหิน ไม่ยอมเข้าใกล้ ไม่พูดคุยสนิทสนมเหมือนเดิม นายคิดว่า... ทำไมเค้าถึงเปลี่ยนไป?”

    “อืม... โกรธกันมั้ง คงไปทำอะไรให้ไม่พอใจ”

    “แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องโกรธล่ะ คือถ้ายังพูดคุยกันได้เหมือนเดิม แต่ไม่สนิทใจเหมือนก่อนหน้า”

    “งั้นก็คงมีเพื่อนใหม่ที่สนิทกว่าแล้วก็เลยเริ่มจะเบื่อฉันล่ะมั้ง”

                “งั้นเหรอ...” พึมพัมตอบรับเสียงเบาแล้วดวงหน้าหวานก็ม่อยลง อี้ชิงก้มหน้าจองชินก็ก้มตามลงไปมอง แม้จะพยายามหลบเลี่ยงเท่าไหร่ แต่ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววกังวลก็ฟ้องชัด คนตัวเล็กขี้เกรงใจเกินกว่าจะเอาปัญหาส่วนตัวมาเล่าให้เพื่อนฟัง และจองชินก็ไม่เคยคาดคั้นถาม แต่หลายวันที่ผ่านมา คนตัวเล็กพูดน้อยลงแล้วก็ไม่ค่อยยิ้มเลย บางทีเวลาเผลอๆ ก็แอบเหม่อลอยด้วยซ้ำ อาการแบบนี้น่าเป็นห่วง จองชินก็รอให้สบโอกาสเหมาะๆ เพื่อจะถามอยู่แล้ว คนมองโลกในแง่ดีอย่างอี้ชิงคงไม่ไปมีปัญหาอะไรกับใครถึงขนาดต้องเก็บเอามาคิดมากหรอก จะทำให้ซึมขนาดนี้ได้ก็คงมีแค่คนเดียว

                “ที่ถามเนี่ย มีเรื่องอะไรกับรุ่นพี่รึเปล่า?”

                “เปล่าหรอก”

                “นายโกหกไม่เก่งหรอกนะอี้ชิง”

                อาการที่เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วถอนหายใจเบาๆ นั่นแสดงว่าจนใจจะปฏิเสธ จางอี้ชิงใสซื่อและไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ แต่ก็เป็นคนปากแข็งประเภทที่เลือกที่จะยิ้มแล้วบอกใครๆ ว่าสบายดีแม้ว่ากำลังป่วยหนัก ต่อให้นั่งกดดันแล้วรอให้พูดความจริงอยู่แบบนี้อี้ชิงก็คงเงียบอยู่ได้เป็นวันโดยไม่ยอมพูดอะไร จองชินรู้จักนิสัยเพื่อนดีถึงได้ต้องหาวิธีให้คนตัวเล็กยอมเปิดปากเล่าเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจออกมา

                “อยากเล่าให้ฉันฟังหรือจะให้ฉันไปถามจากรุ่นพี่?”

                ได้ผลเมื่อคนตัวเล็กรีบส่ายหน้า จองชินใช้สายตาคาดคั้นอีกหน่อยคนตัวขาวก็ยอมบอกเสียงเบา

                “ฉัน... อาจจะคิดมากไปเองก็ได้ แต่ว่า... เพลย์บอยน่ะ คนที่เคยเป็นเพลย์บอย... เค้าจะเบื่อที่ต้องอยู่กับคนๆ เดียวทุกวันรึเปล่า ...ฉันก็แค่คิดน่ะ”

                จองชินอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพรูลมหายใจออกมา มันต้องมีเรื่องอะไรที่ทำให้อี้ชิงคิดแบบนี้ แต่เขาไม่อยากซักต่อ เรื่องของคู่รักมันไม่เหมาะที่คนนอกอย่างเขาจะเข้าไปยุ่ง จองชินไม่ได้รู้จักรุ่นพี่อดีตเพลย์บอยคนนั้นดีนัก เขาไม่ค่อยได้ยินด้านดีของหนุ่มหล่อคนดังของมหาวิทยาลัยซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยเห็นพี่คริสทำให้อี้ชิงเสียใจเลยซักครั้ง (ถ้าไม่นับครั้งที่เข้าใจผิดกันเรื่องน้องรหัสนั่นน่ะนะ) ออกจะดูแลเอาใจใส่กันดีจนเกินไปด้วยซ้ำ จะเพราะเรื่องอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้อี้ชิงกำลังไม่สบายใจ หน้าที่ของเพื่อนอย่างเขาก็คงต้องทำให้เด็กคิดมากยอมพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกไปบ้างก็เท่านั้น

                “อี้ชิง... จางอี้ชิง นายเป็นคนคิดมากนะ ถ้ามีอะไรที่สงสัยหรือไม่สบายใจ นายน่าจะคุยกับแฟนนายให้รู้เรื่อง อย่าคิดเอาเองแบบนี้ มันไม่แฟร์กับรุ่นพี่นะ ถ้าเป็นแบบที่นายถามฉัน บางทีรุ่นพี่เค้าอาจจะมีปัญหาอะไรหรือมีเรื่องไม่สบายใจ เค้าอาจไม่รู้ตัวว่าทำให้นายคิดมาก แต่นายสองคนเป็นแฟนกันนะ คุยกันซะสิ”

                อี้ชิงยังก้มหน้าจองชินก็ใช้ปลายนิ้วชี้ช้อนใต้คางให้ดวงหน้าหวานเงยขึ้น พอสบตากันแล้วเขาก็ยิ้ม แกล้งยีผมนิ่มเสียจนยุ่งเหยิงให้อี้ชิงงอแงแล้วปัดมือเขาทิ้ง สุดท้ายก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

                “ฉันจะลองดูนะ”

                จองชินยักคิ้วแทนคำตอบรับ มองเลยไปที่หน้าคณะก็เห็นรถปอร์ตสีแดงแล่นเข้ามาจอดพอดี หนุ่มหล่อเพยิดหน้าให้เพื่อนตัวเล็กหันไปมองตาม

                “มารับแล้วล่ะ”

     

     

     

     

                “มาแล้ว มาแล้วววว”

                ได้ยินเสียงโวยวายมาก่อนเจ้าตัวเสียอีก จองชินลุกขึ้นยืนแล้วคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย หันไปกอดอกนิ่วหน้าใส่คนที่กำลังวิ่งลงบันไดตึกคณะมา

                “ชักช้าจริงนายนี่”

                “ก็ฉันต้องคุยกับอาจารย์เรื่องเวลาเรียนนี่นา ยิ่งลาไปซ้อมบ่อยๆ อยู่”

                “ลาไปซ้อมหรือโดดไปเหล่สาว เอาให้แน่”

                “เออนั่นแหละ ก็ปนๆ กัน” มินฮยอกโยนลูกบอลที่อุ้มมาด้วยให้เพื่อนตัวโย่งรับไว้แล้วกระโดดขาคู่ลงบันไดขั้นสุดท้ายมายืนบนพื้น ทันได้เห็นรถสปอร์ตคุ้นตาเพิ่งจะแล่นออกไปพอดี หนุ่มหล่อดีกรีนักฟุตบอลมหาวิทยาลัยหันไปกระตุกแขนเสื้อเพื่อนสนิทแรงๆ

                “อ้าว นันอี้ชิงเพิ่งจะออกไปเหรอ?”

                “แฟนเค้าเพิ่งมารับ” จองชินบอกแล้วโยนลูกบอลคืนให้เจ้าของ ออกเดินนำหน้ามาก่อน ปล่อยให้หนุ่มหัวยุ่งเดินเดาะลูกบอลตามหลังมาเรื่อยๆ

                “นี่นะ ฉันว่าพักนี้อี้ชิงไม่ค่อยยิ้มเลย มีเรื่องกับพี่คริสแหงๆ”

                “สังเกตุด้วย? ฉันเห็นนายเอาแต่มองสาวๆ”

                “หมอนั่นก็เพื่อนนะ ฉันก็ต้องสนใจสิ แต่พูดก็พูดเถอะ สองคนนั้นคู่ข้าวใหม่ปลามันแท้ๆ ทั้งที่ดูรักกันจะตาย ทำไมถึงง้องแง้งกันบ่อยนักก็ไม่รู้”

                “ก็เพราะว่ารักกันมากเกินไปไง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่บอกสิ่งที่ตัวเองคิดหรือรู้สึกเพราะกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจกัน พอมีเรื่องเข้าใจผิดก็เลยยิ่งบานปลาย”

                “แบบนี้ไม่ดีเลยน้า....”

                “ทำไงได้ล่ะ เพื่อนเราเป็นคนคิดมาก ส่วนรายแฟนเค้านั่นก็ท่าทางไม่ค่อยพูด”

                “มีแฟนนี่แย่จัง ฉันว่าอยู่เป็นโสดเหล่สาวไปวันๆ แบบนี้ดีกว่า”

                “ไหนวันก่อนยังบอกว่าดี อยากมีแฟนกะเค้าบ้างอยู่เลย”

                “ตอนนี้ไม่อยากแล้ว มีคนให้รัก คอยดูแลห่วงใยกันมันก็ดี แต่ถ้าให้มีเรื่องต้องทะเลาะกันทุกวัน ฉันไม่เอาดีกว่า”

                จองชินถอนหายใจพลางยักไหล่อย่างปลงๆ

                “มีไปเถอะแฟนน่ะ ถ้าหาได้ก็มีไป แต่อย่ารักกันให้มากนักก็พอ”

      

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “เอ๋? วันเกิดรุ่นพี่จงฮยอนเหรอครับ?”

    “ใช่แล้วครับคุณรุ่นน้อง แล้วที่มานี่ก็เพราะอยากจะขออนุญาตพาแฟนของน้องไปฉลองวันเกิดด้วยกัน” เจ้าของรูปร่างสัดทัดที่หน้าตาไม่ขี้เหร่เท่าไหร่เอ่ยขอด้วยถ้อยคำสุภาพอย่างที่สุด ประสานมือเอี้ยมเฟี้ยมแล้วค้อมหลังลงอย่างนอบน้อมเช่นเดียวกับเพื่อนในก๊วนอีกสองคนที่ยืนเป็นแบคอัพอยู่ข้างหลัง ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะเกรงใจรุ่นน้องตัวขาวที่ยืนทำปริบอยู่ตรงหน้า แต่เพราะไอ้หล่อตัวสูงที่ยืนกอดอกด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์อยู่ข้างๆ แฟนสุดที่รักมันนั่นต่างหาก 

    “พี่บอกพวกมันแล้วนะว่าไม่อยากไป ยังตื๊อจะมาเจอเราให้ได้”

    “โหยย! ไอ้ใจดำ! วันเกิดเพื่อนทั้งทีไม่คิดจะไปอวยพรกันหน่อยรึไง!

    “ก็อวยพรไปแล้ว ของขวัญก็ซื้อให้ จะเอาอะไรอีกวะ?”

    “ปาร์ตี้ไงปาร์ตี้ เข้าใจป่ะ? ปาร์ตี้หนุ่มโสดหน้าตาดีแบบที่เคยจัดกันทุกครั้งไง”

    “งั้นพวกมึงไปกันสามคน กูไม่โสดแล้ว กูขอตัว” คริสบอกปัดแล้วก็จับแขนเล็กพาคนรักให้หันหลังทำท่าจะเดินหนี แต่กลุ่มเพื่อนจอมตื๊อก็ยังรีบยิ่งมาดักหน้า

    “เฮ้ย มึงอย่าทำแบบนี้ดิ พวกเราไม่ได้ไปสังสรรค์กันแบบครบก๊วนกันนานแค่ไหนแล้วจำได้รึเปล่า แล้ววันนี้ก็วันเกิดกู ตามใจกูหน่อยไม่ได้รึไง?”

    “ก็กูบอกว่า...!

    “พี่คริสครับ” เจ้าของเสียงนุ่มปรามพร้อมกับจับแขนคนรักไว้ ไล่มองสายตาทั้งสามคู่ที่ส่งมาขอความช่วยเหลือแล้วถก็บอกเสียงอ่อน “ออกไปกับเพื่อนๆ เถอะ วันเกิดพี่จงฮยอนทั้งที”

    “เห็นมั้ยกูบอกแล้วว่าแฟนมึงต้องอนุญาต ทีนี้มึงเลิกเรื่องมากได้ยัง?” พอได้ทีมีพวกไอ้เพื่อนตัวดีก็ท้าวสะเอวเริ่ดหน้าใส่ คริสถึงได้แยกเขี้ยวใส่อย่างไม่สบอารมณ์ รู้ว่าอี้ชิงต้องใจอ่อนถึงได้ตามมาตื๊อกันดีนัก เขาเองก็ไม่ได้อยากขัดใจเพื่อน วันเกิดมันก็รู้ ไม่ได้ไปเมาด้วยกันนานแล้วก็รู้ แต่เขาจะปล่อยให้อี้ชิงอยู่คนเดียวได้ยังไง ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจ

    “งั้นกูพาอี้ชิงไปด้วย”

    “เฮ้ย ไม่ได้ดิ!” สามตัวแสบรีบส่ายหน้าโบกไม้โบกมือกันหน้าตาตื่น มีพิรุธจนคริสขมวดคิ้วถึงได้รีบแก้ตัว “คือพวกกูหมายถึง น้องอี้ชิงน่ะใสขนาดนี้ ไม่เหมาะที่มึงจะพาเค้าไปนั่งผับนั่งบาร์นะเว้ย”

    “น้องไม่ไป งั้นกูก็ไม่ไป”

    “อ้าวไอ้นี่! เออๆๆ! ให้มันรู้ไป วันเกิดเพื่อนทั้งทีมึงไม่คิดจะไปฉลองวันเกิดร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้ ไอ้คนมีแฟนแล้วลืมเพื่อน!” ตัดพ้อแล้วก็ทำหน้าตาน้อยอกน้อยใจ คนเป็นเพื่อนน่ะรู้ว่ามันเสแสร้ง แต่แฟนเพื่อนไม่รู้ไง คนใจอ่อนถึงได้เห็นใจเจ้าของวันเกิดจนต้องยอมอ้อนเสียเอง

    “พี่คริส... นะครับ...?”

    คนตัวสูงถอนหายใจอย่างอ่อนใจ

    “จะให้พี่ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วทิ้งเราให้เหงาอยู่ที่บ้านคนเดียวได้ยังไง”

    “แต่ผมไม่ชอบที่ๆ คนเยอะๆ เสียงดังๆ ถึงไปก็คงไม่สนุก อย่าให้ผมไปเลยนะครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไม่ไป ทิ้งเราไว้คนเดียวพี่ก็สนุกไม่ลงหรอก” คนเป็นน้องได้ฟังก็เม้มปาก อุ่นใจที่พี่คริสเป็นห่วงก็จริง แต่เขาไม่อยากเป็นสาเหตุให้คนรักมีปัญหากับกลุ่มเพื่อน อี้ชิงควรจะทำยังไงให้พี่คริสไม่เป็นกังวลดี

    “เอาอย่างนี้ ผมไปนั่งเล่นที่ห้องของจองชินก่อนก็ได้ รอพี่คริสไปฉลองกับเพื่อนเสร็จแล้วค่อยมารับผม นะครับ?”

    ร่างสูงถอนหายใจอีกครั้ง จับร่างขาวบางให้หันมามองหน้ากันตรงๆ เขาเป็นห่วงน้องถึงไม่อยากให้อยู่ห่างสายตา แต่พวกไอ้ตัวแสบคงไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ ถ้าให้อี้ชิงอยู่กับเพื่อนๆ ก่อนคงไม่เป็นไร อย่างน้อยน้องก็ไม่เหงา เขาไปฉลองกับเพื่อนแป๊บเดียวแล้วรีบกลับมารับก็ได้

    “อย่างนั้นก็ได้ งั้นพี่ไปส่งเราที่หอจองชินก่อน” เห็นน้องยิ้มคริสก็ยิ้มตาม เลื่อนมือขึ้นลูบผมนุ่มเบาๆ อย่างแสนรักแล้วประคองสองแก้มนุ่มไว้ในอุ้งมือ โน้มใบหน้าลงให้น้องสบตาชัดๆ

     

    “รอพี่ที่นั่น อย่าไปไหนจนกว่าพี่จะมารับ ตกลงนะ?”

     

     

     

    แม้จะรับปากให้คนรักได้สบายใจ แต่อี้ชิงก็นั่งเล่นอยู่ที่หอพักของเพื่อนแค่ชั่วโมงเดียวแล้วก็ขอตัวกลับ มินฮยอกพยายามรั้งไว้เท่าไหร่ อี้ชิงก็ดื้อจะกลับบ้านให้ได้อยู่ดี สุดท้ายจองชินก็เลยต้องขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งเพื่อนตัวเล็กที่คอนโดฯ พอจะขอขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย อี้ชิงก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร

     

    แต่เมื่อบานประตูปิดลงและเหลือเพียงอี้ชิงตามลำพังในห้องกว้าง รอยยิ้มหวานก็จางลง เจ้าของร่างขาวบางพรูลมหายใจเพื่อปลดปล่อยทุกความรู้สึกที่เก็บกลั้นไว้ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะแล้วก็เดินช้าๆ เข้ามาในห้องพัก แต่ทุกห้องหับกลับดูกว้างขวางเกินไปจนอี้ชิงไม่รู้จะเดินไปทางไหน ฝีก้าวเล็กๆ จึงหยุดอยู่เพียงทางเดินหน้าห้องรับแขก อี้ชิงมองลึกเข้าไปที่มุมด้านในของห้องนั้น ของบางอย่างทำให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นในอก เขาปลดกระเป๋าเป้ลงจากหลังวางไว้บนโซฟา แล้วค่อยๆ เดินลากเท้าเข้าไปหาเปียโนอัพไรท์สีขาวที่แทบไม่ถูกแตะต้องเลยตลอดหนึ่งอาทิตย์ วางมือสัมผัสพื้นผิวเรียบลื่นของมันด้วยความคิดถึง ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งยาว ไล้เรียวนิ้วไปตามคีย์บอร์ดที่เรียงตัวสลับสีขาวดำอย่างหงอยเหงา เมื่อออกแรงที่ปลายนิ้วกดคีย์หนึ่งลงไป อี้ชิงก็แว่วยินเสียงหัวเราะของตัวเองกับคนรักยามนั่งฟังเพลงหวานที่เขาบรรเลงอยู่ตรงนี้ด้วยกัน

     

    “เล่นให้พี่ฟังทุกวันเลยได้มั้ย”

     

    พี่คริสคงจะเบื่อที่ต้องฟังเพลงเดิมๆ ซ้ำๆ กันทุกวันเต็มทีแล้ว...

     

     

    ความจริงแล้ววันนี้อี้ชิงตั้งใจจะคุยกับพี่คริส อยากไต่ถามความรู้สึก ร่างสูงอาจมีเรื่องไม่สบายใจที่ต้องคิด เขาไม่ได้อยากก้าวก่าย แค่อยากรับฟังในฐานะคนรัก แต่การที่พี่คริสได้ออกไปสนุกกับเพื่อนๆ บ้างคงจะดีกว่า ได้คุยกับคนที่สนิทคุ้นเคยกัน อาจจะสะดวกใจมากกว่าเล่าให้เขาฟังก็ได้ เพราะคิดอย่างนั้นอี้ชิงยอมปล่อยคนรักไป

     

    คำที่บอกว่า ไม่เป็นไร ย้อนกลับมาทำร้ายเมื่ออี้ชิงต้องอยู่ตามลำพังคนเดียว เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องเป็นห่วงถึงได้ขอกลับบ้านมาก่อน แต่พอมาถึงสถานที่ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพของคนรักเต็มไปหมด หัวใจดวงน้อยๆ ก็เบาโหวงราวกับภายใต้อกบางๆ นี้ไม่มีสิ่งใดที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิต อี้ชิงได้แต่ยึดเก้าอี้ยาวหน้าเปียโนเป็นที่พักพิง เขาไม่กล้าเดินไปไหนอีก ไม่อยากผ่านห้องนั่งเล่น ไม่อยากกลับเข้าห้องนอน แม้แต่ห้องครัวก็ไม่อยากเข้าไป ทุกๆ ที่ทำให้นึกถึงเรือนร่างใหญ่โตที่คอยโอบกอดเอาเปรียบเขา น้ำเสียงทุ้มที่ชอบกระซิบคำหวานที่ข้างหู รอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้เขินอายได้ทุกครั้ง นานแค่ไหนแล้วนะ ที่พี่คริสหมางเมินจนทำให้เขาคิดถึงสัมผัสเหล่านั้นมากขนาดนี้

     

    อี้ชิงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดเข้าไปในแกลลอรี่ เลือกหาไฟล์ที่พี่คริสโหลดเข้ามาให้เมื่ออาทิตย์ก่อน เมื่อกดปุ่มเล่นคลิป เสียงดนตรีจากกีตาร์โปร่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ภาพต่างๆ ค่อยผ่านเข้ามาบนหน้าจอมือถือ ...ภาพถ่ายของเขากับพี่คริสหลายสิบรูป พี่คริสทำคลิปนี้ขึ้นเองเพื่อเป็นของขวัญวันครบรอบสี่เดือนที่คบกัน ทุกครั้งที่เปิดดู อี้ชิงจะต้องอมยิ้มด้วยหัวใจที่พองโต แต่คราวนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น 

    เด็กหนุ่มกดปุ่มเลือกให้คลิปเล่นวนซ้ำๆ แล้ววางมันลงบนคีย์เปียโน ปล่อยลมหายใจบางเบาแล้วแนบแก้มนุ่มกับผิวเรียบเย็นของเปียโนสีขาว ความรู้สึกที่เก็บกลั้นมาตลอดทั้งสัปดาห์ถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำใสๆ ที่ไหลลงจากหางตา หยดลงบนคีย์เปียโนที่ไม่อาจบรรเลงเพลงใดๆ ปลุกปลอบร่างเล็กที่สะอื้นเบาๆ อย่างเหงาหงอยได้

     

    “...ผมคิดถึงพี่คริสนะครับ”

     

    .

     

    .

     

    .

     


    [ตัดฉับ!!]

     

     

     

     




     



     

    จบตอน ^^









    ฉากที่ถูกตัดออกไปนั้นเพราะก่อนหน้านี้ถูกแบนค่ะ ก็เลยต้องย้ายไปลงไว้ในห้องแห่งความลับ
    ใครรู้ทางก็ตามไปกันได้เลย
    แต่ถ้าใครไม่รู้ รบกวนส่งเมลล์มาหาคนรองนะคะ ^^

    ปอลอ อย่าแปะเมลล์ทิ้งไว้นะคะ บางทีเราไม่ได้เข้ามาเช็คน่ะค่ะ ส่งเมลล์มาหาเราดีกว่านะ ^^"

     

     

     


     


    [BG song: สิ่งที่ดีที่สุด by Nink] 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×