ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #6 : MKML ตอน 06 ::: Hold my hand

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.94K
      8
      4 ม.ค. 57

    [Fic] My Kris, My Lay
    Fiction by 2nd Admin





    ตอนที่ 6


    .

    .

    .


    “อู๋ฟาน...”
    “.....”
    “อู๋ฟาน รอด้วยสิ ...โอ๊ะ!”
    “อี้ชิง! เป็นไรมั้ย?”
    “อูยยย... ไม่เป็นไร เข่ากระแทกพื้นนิดหน่อย”
    “ได้แผลมั้ย? ไหนดูซิ”
    “ไม่เป็นไรหรอก เจ็บนิดเดียวเอง”
    “นิดเดียวก็ต้องดู มานั่งนี่ก่อนเลย”

    “...บอกแล้วว่าไม่เป็นไรก็ไม่เชื่อ”
    “ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาก็ไม่เชื่อหรอก ก็รู้อยู่ว่าตัวเองมีแผลไม่ได้ จะเดินจะวิ่งก็น่าจะระวังบ้าง”
    “ไม่ได้จะวิ่ง แต่นายเดินเร็ว ฉันตามไม่ทันนี่นา เรียกก็ไม่หัน”
    “ฉันเดินเร็วเหรอ?”
    “ก็ใช่น่ะสิ”
    “ขอโทษที งั้นทีหลังจะเดินช้าๆ”
    “อื้ม”
    “จะเดินให้ช้ากว่านายด้วย”
    “ดีมาก!”
    “ให้คอยเดินตามข้างหลังเลยก็ได้นะ”
    “ฮะๆๆๆ ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ฉันล้อเล่นหรอกน่ะ”



    งั้นเปลี่ยนเป็นเดินข้างๆ กันได้มั้ย?

    ให้ฉันเดินข้างๆ นาย ...ให้ฉันจูงมือนายไว้ ...ได้รึเปล่า?



    .

    .

    .


    “ฮึ่ม! เจ้าดาร์ธเวเดอร์ ตายซะเถอะ! ย๊ากกก!!”
    “โอ๊ย! พี่ลู่หาน ผมเจ็บนะ เอามานี่เลย นี่แน่ะๆๆ”
    “อ๊ากกก จื่อเทา นายตีพี่ไม่ได้นะ!”
    “ก็พี่ตีผมก่อนนี่นา”
    “แต่ฉันเป็นพี่นะ”
    “แต่ผมเป็นน้อง พี่รังแกน้องได้ยังไง”
    “ไม่ใช่ นายคือดาร์ธเวเดอร์และฉันคือลุค สกายวอล์คเกอร์ เอาคืนมา นี่แน่ะๆๆ!”
    “โอ๊ยๆๆ!!”

    “เสียงเบาๆ กันหน่อยเถอะ ทั้งสองคนน่ะ”  ร่างสูงที่ถูกปลุกให้ตื่นจากการนอนกลางวันเดินออกมาจากห้องพร้อมเสียงบ่น สีหน้าของเขาถึงจะดูหงุดหงิดแต่ก็เพียงเล็กน้อย เสียงดังในห้องพักเวลาที่สมาชิกอยู่กับครบนั่นถือเป็นเรื่องปกติ คริสไม่ได้ตำหนิเรื่องนั้น แต่เมื่อครู่ตอนก่อนออกมาจากห้อง เฉินก็ยังหลับอยู่ แล้วที่คนรองของวงมาเล่นหัวกับน้องเล็กได้แบบนี้ก็คงน่าจะเพราะซิ่วหมินที่เป็นคู่หูกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องเช่นกัน “นานๆ จะได้หยุดพักซักที พวกนายน่าจะพักผ่อนออมแรง แทนที่จะมาเล่นกันแบบนี้นะ”
    “ผมอยู่ของผมดีๆ พี่ลู่หานก็มาแหย่” จื่อเทาแก้ตัวพลางปัดดาบเลเซอร์ ของเล่นที่พี่ลู่หานอุตส่าห์เก็บกลับมาจากเวทีที่ต่างเมืองเมื่อวันก่อนออกจากคอตัวเอง
    “ก็ฉันเบื่อนี่นา อยู่แต่ในห้องแบบนี้ไม่มีอะไรทำเลย”
    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีอะไรให้ทำจนลืมเบื่อแล้ว ตอนนี้เก็บแรงไว้ก่อนดีกว่า”

    คริสมองนาฬิกาที่ผนังห้องแล้วนับชั่วโมงในใจ ก่อนจะถามเอากับที่คนยังเอาดาบพลาสติกตีหน้าแข้งตัวเองเล่นแก้เซ็ง
    “อี้ชิงทานยารึยัง”
    ลู่หานทำตาโตอย่างนึกขึ้นได้แล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้อง ซักพักก็เดินกลับออกมาพร้อมกับร่างโปร่งบางของน้องชายรูมเมท ดวงหน้าหวานถูกบดบังไปกว่าครึ่งเพราะเจ้าตัวยังงัวเงียเอามือขยี้ตา เส้นผมสีน้ำตาลเข้มแลดูยุ่งเหยิง คงเพราะเพิ่งตื่นนอน พอเห็นหน้าคริสเขาก็โอด
    “ตัวไม่ร้อนแล้ว ไม่ต้องทานยาแล้วก็ได้”
    คริสเผลอยิ้มกับริมฝีปากอิ่มที่ยื่นน้อยๆ ยามพูดจาเอาแต่ใจ ปกติเลย์ไม่ใช่คนทานยายาก ยิ่งเวลาที่ป่วย เจ้าตัวจะรู้ว่าควรจะต้องรักษาตัวเองให้หายเร็วที่สุด แต่หลังจากที่วิ่งตากฝนกลับมาหอพักเมื่อสองวันก่อน ถึงจะไม่มีอาการไข้แต่ก็ตัวรุมๆ มาตลอด พอเห็นว่าไม่เป็นอะไรมาก เด็กดื้อก็เลยไม่ค่อยจะยอมทานยา ถ้าไม่ได้ลู่หานหรือเขาคอยบังคับ เลย์ก็จะทำเนียนลืมไปเสียดื้อๆ นี่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศอีกแล้ว ผิดที่ผิดอากาศแบบนั้นกลัวแต่ว่าคนป่วยง่ายจะไม่สบายขึ้นมาอีก
    “กันไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวต้องเดินทาง เป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก”
    ลู่หานพยักหน้ารัวๆ ในเชิงว่าเห็นด้วยแล้วดุนหลังน้องชายให้เดินเข้าไปในครัว กล่องยาสามัญอยู่ในนั้น

    คริสไม่รู้ว่าเขามองตามแผ่นหลังบางด้วยสายตาแบบไหน แต่รู้ว่าตัวเองหุบยิ้มตอนที่หน้าแป้นแล้นของลู่หานโผล่เข้ามาในระยะสายตาแทน
    “ที่ลุกขึ้นมานี่ไม่ใช่เพราะเสียงเค้า แต่เพราะเป็นห่วงน้องจะลืมเวลาทานยาใช่มั้ยล่ะ”
    “เงียบไปเลยลู่หาน”
    “แหมๆๆๆ ทำเป็นเก๊กกลบเกลื่อนนะ” ดาบเลเซอร์จิ้มจึ้กๆ อยู่ที่เอวแต่คริสไม่ยักกะหัวเราะ เขาปัดมันออกแล้วหันหลังจะเดินหนี แต่ลู่หานก็ยังตามมาแซวไม่เลิก ท่าทางเหมือนจะได้เหยื่อรายใหม่ แต่คริสไม่อยากเล่นด้วย ยืนทนให้ตัวแสบเอาดาบจิ้มหลังอยู่ได้ไม่นานก็หันขวับแล้วแย่งอาวุธมาถือไว้เอง
    “เสร็จแน่ลู่หาน”
    เห็นคนตัวสูงแสยะยิ้มแล้วเดาะปลายดาบกับฝ่ามือจอมซนก็ยิ้มแหย สืบเท้าไปข้างหลังช้าๆ แบบรอจังหวะ พอคริสเงื้อดาบขึ้นทำท่าว่าจะฟาด ลู่หานก็หันหลังวิ่งด้วยเกรงว่างานนี้ลีดเดอร์คงเอาคืนเขาเต็มแรงแน่
    “เฮ้ยอย่านะ!”

    เลย์เดินกลับออกมาจากห้องครัวทันได้เห็นหน้าตาตื่นๆ ของรูมเมทที่วิ่งตรงมา เขายังไม่ทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ลู่หานก็วิ่งมาหลบข้างหลัง แล้วผลักให้เขาถลาไปข้างหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว

    “อ๊ะ?!”


    “เฮ้ย!”


    ปึ้ก!



    ร่างโปร่งบางถลาเข้าชนกับอกกว้างอย่างจัง คริสต้องปล่อยมือจากดาบแล้วรวบกอดร่างรุ่นน้องไว้โดยสัญชาตญาณ  มากกว่าร่างนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขน เขายังรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกช่วงหน้าอก และปลายจมูกของเขาเอง
    “อี้ชิง เป็นไรมั้ย?”
    เลย์ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ยอมเงยหน้า ดูเหมือนใบหน้าอีกฝ่ายจะกระแทกเข้ากับช่วงอกเขาเนี่ยแหละ ถึงจะเนื้อหนังเหมือนกันแต่ก็น่าจะเจ็บไม่น้อยอยู่ ดูสิ ไม่ยอมเงยหน้าเลย
    “เจ็บมั้ย?” เลย์ส่ายหน้ารัวๆ ถอนใบหน้าออกจากอกเขาแล้วยกสองมือขึ้นปิดปากกับจมูกตัวเองไว้ คริสมองเห็นเพียงเนินหน้าผากและข้างแก้มเนียนบางส่วนที่ตอนนี้แดงจัด โถ... คงจะเจ็บมาก เขาประคองดวงหน้ารุ่นน้องไว้ด้วยสองมือเพื่อให้อีกฝ่ายเงยหน้า “ขอดูหน่อย”
    “ไม่ต้อง” แต่ลู่หานกลับปรี่เข้ามาแทรก แกะมือเขาออกแล้วดึงตัวรูมเมทออกไป
    “ลู่หาน น้องเจ็บนะ”
    “น้องชายเค้า เค้าดูแลเองได้”

    คริสส่ายหน้าตอนที่ลู่หานพาเลย์เดินเข้าห้อง ยังมีหน้ามาเสียงดังใส่ ลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองนั่นแหละที่ผลักน้องมา แล้วเลย์เงียบไปแบบนั้น แถมยังหน้าแดงก่ำอีก เจ็บตรงไหนบ้าง จมูกเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้
     
    จมูก... คริสลูบปลายจมูกตัวเองเบาๆ ดูเหมือนเมื่อครู่จมูกเขาจะโดนชนเหมือนกัน แต่ไม่ยักรู้สึกเจ็บ แล้วกลิ่นหอมๆ ที่ติดอยู่ปลายจมูกนี่... อะไรกัน


    .

    .

    .


    สี่ทุ่มกว่าแล้วตอนที่คริสเดินวนอยู่หน้าประตูห้องที่ไม่ใช่ของตัวเอง อันที่จริงเขาไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางและควรจะรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ แต่เหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายทำให้เขาอดห่วงไม่ได้ ลู่หานพาเข้าห้องแล้วเขาก็ไม่เห็นหน้าเลย์อีกเลยแม้กระทั่งมื้อเย็นที่เจ้าตัวอ้างว่าไม่หิวแล้วก็ไม่ยอมออกมาร่วมโต๊ะ เป็นอะไรมากรึเปล่าก็ไม่รู้

    ร่างสูงปล่อยลมหายใจหนักๆ อย่างชั่งใจเป็นรอบที่สี่แล้วก็ตัดสินใจเคาะประตูในที่สุด
    “จัดกระเป๋ากันเสร็จรึยัง?” เขาเยี่ยมหน้าเข้าไปทักทายก่อน พอเห็นว่าสองสมาชิกผู้เป็นรูมเมทยังตื่นอยู่ทั้งคู่ถึงได้เดินเข้ามาในห้อง
    “เรียบร้อย” เป็นลู่หานที่หันมาบอก คริสพยักหน้ารับรู้ก่อนจะวาดสายตาไปทางอีกคนที่ยังนั่งจัดกระเป๋าอยู่บนอีกเตียง เลย์เงยหน้าขึ้นมองเขาเพียงแว่บเดียวแล้วก็ก้มลงไปใหม่ คริสเผลอมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร กระทั่งเสียงกระแอมของลู่หานทำให้เขาสะดุ้ง “แล้วเฉินล่ะ?”
    “อยู่ในห้องแน่ะ ยังเก็บของไม่เสร็จ”
    “เค้าไปช่วยดีกว่า”
    ลู่หานลากกระเป๋าสัมภาระของตัวเองไปทิ้งไว้ที่ปลายเตียงแล้วโดดแผล็วไปที่ประตู ไม่ลืมจะหันมายักคิ้วอย่างมีความนัย (ที่คริสไม่เข้าใจ) ก่อนออกจากห้องแล้วทิ้งรูมเมทตัวเองไว้กับหล่อหัวหน้าตามลำพัง


    คริสย้ายตัวเองมานั่งอยู่อีกเตียงแทนที่คนที่เพิ่งออกไป มองเจ้าของห้องอีกคนที่ยังง่วนกับการจัดของที่วางกองไว้บนเตียงลงกระเป๋า ผมม้าที่เริ่มยาวพอไม่ได้เซ็ตแล้วก็ปิดหน้าปิดตาจนเขานึกอยากจะเข้าไปช่วยจับทัดหูให้นัก เจ้าตัวก็เอาแต่ก้มหน้ามองกระดาษโน้ตในมือ ซึ่งน่าจะเป็นลิสต์รายการของทุกอย่างที่ต้องใช้ เลย์มักจะเป็นแบบนี้แหละ ชอบจดทุกอย่างไว้ล่วงหน้ากันลืม แล้วก็เอามาใช้เมื่อถึงเวลา

    “ให้ช่วยมั้ย?” คริสถาม และคนที่กำลังจัดของก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ ก่อนจะส่ายหน้า
    “ไม่เป็นไร”
    คริสพยักหน้าช้าๆ เพิ่งจะตอนนี้เองที่เขาได้เห็นหน้าเลย์ชัดๆ ดวงหน้าขาวไม่มีร่องรอยช้ำอะไรที่เกิดจากการชนเมื่อบ่าย แม้ว่าสองข้างแก้มจะเรื่อสีแดงแต่คริสเดาเอาว่าคงเป็นเพราะอากาศในห้องนี้ค่อนข้างร้อน
    “ไม่เจ็บแล้วนะ?”
    “....?”
    “ก็ที่... เมื่อตอนบ่าย”
    “อ๋อ... ไม่เจ็บหรอก” เลย์ยังคงก้มหน้าเหมือนหาอะไรซักอย่างไม่เจอ แต่คริสก็ช่างสังเกตุพอจะเห็นความผิดปกติ
    “นี่ยังมีไข้อยู่รึเปล่า?”
    “หือ? ...ไม่นี่”
    “แล้ว... ตัวไม่ร้อนแล้วใช่มั้ย ไม่เป็นหวัด ไม่ปวดหัวอะไรนะ?”
    “อื้ม”
    เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าที่แก้มใสแดงขึ้นนั่นเป็นเพราะอาการไข้เสียอีก สงสัยอากาศในห้องคงร้อนเกินไปจริงๆ
    “ไปต่างประเทศคราวนี้ตารางงานยาวเหยียด อากาศก็ไม่เหมือนบ้านเรา นายต้องรักษาสุขภาพดีๆ นะ เกิดทำงานหนักจนล้มป่วยไปจะแย่”
    “อื้ม”
    เลย์ยังพยักหน้าแล้วตอบรับในลำคอเบาๆ เหมือนทุกครั้ง ดีหน่อยก็ตรงที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้จนเห็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม และนั่นก็ทำเอาเจ้าของร่างสูงใหญ่ถึงกับใจแกว่ง

    คริสยกมือเกาท้ายทอยเก้อๆ ฝ่ายตรงข้ามไม่ค่อยโต้ตอบ เขาเองก็นึกเรื่องอื่นที่จะพูดไม่ออก เลยลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ห้องเหมือนจะสำรวจความเรียบร้อย
    “งั้นก็... เก็บของเสร็จแล้วรีบเข้านอนนะ พรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องแต่เช้า”
    “อื้ม”



    สิ่งที่คริสไม่เห็นเมื่อบานประตูปิดลงแล้ว คือรอยยิ้มเรียบง่ายกลายเป็นเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก เลย์ยกมือขึ้นตีแก้มที่ร้อนผ่าวของตัวเองเพื่อหยุดอาการผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่บ่าย อุตส่าห์สงบมาได้เสียตั้งนาน กลับมากำเริบอีกครั้งตอนที่คริสเดินเข้ามาในห้อง ...อาการหนักใหญ่แล้ว

    แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมามัวฟุ้งซ่าน ตบอกตัวเองเบาๆ สองสามทีแล้วเลย์ก็ก้มหน้าตั้งใจจัดของต่อ ยังไม่ทันถึงไหนประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
    “คืนนี้ฉันคงต้องนอนกับนายแล้วล่ะ” คริสบอก เขาหอบเอาผ้าห่มมาด้วย
     “....?”
    “คือ... ลู่หานไปหลับอยู่ที่ห้องฉันน่ะ”
    “อ้อ ...อืม” เลย์พยักหน้าโดยไม่ถามอะไรต่อ ชินเสียแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่หานไปค้างที่ห้องคนอื่น หรือคริสต้องระเห็จมานอนที่ห้องเขาแบบนี้

    คนไม่เรื่องมากโยนผ้าห่มไว้ปลายเตียง ปัดที่นอนสองสามทีแล้วพลิกหมอนให้กลับข้าง ก่อนจะล้มตัวลงนอน เขาตะแคงตัวแล้วตั้งศอกรองหัวมองคนที่อยู่อีกเตียงหยิบของลงกระเป๋าทีละชิ้นอย่างใจเย็นจนเสร็จ ก่อนที่เลย์จะลากกระเป๋าตัวเองไปทิ้งไว้ข้างๆ เตียงแล้วตบหมอนปุๆ ทำท่าว่าจะล้มตัวลงนอนบ้าง
    “ไม่ปิดไฟเหรอ?” แต่คริสทักขึ้นและคนเป็นน้องก็ผงกหัวกลับขึ้นมา
    “อ้อ.. โทษที เสี่ยวลู่กลัวความมืดน่ะ ปกติก็เลยเปิดไฟนอน”
    คริสพยักหน้าแล้วมองดูเจ้าของห้องเดินย่องๆ ไปปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ข้างประตู พอได้ยินเสียงคลิก ภายในห้องก็มืดลง คริสถึงได้เอนตัวลงนอน ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

    กึก!

    “โอ๊ะ!”

    “อะ.. เฮ้ย!”

    ปึ้ก! โครม!


    มันมืดมากจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร ตอนที่คริสลุกขึ้นเพราะได้ยินเสียงเหมือนของหล่น เขาถูกแรงปะทะเข้าที่ตัวอย่างจังจนต้องลมลงบนเตียงอีกครั้ง มือใหญ่ปัดป่ายไปทั่วด้วยความตกใจ ก่อนจะรู้ว่าสิ่งที่กองอยู่บนตัวเขานั้นคือร่างโปร่งบางของคนที่เพิ่งเดินไปปิดไฟเมื่อครู่
    “อี้ชิง! เป็นไรมั้ย?”
    “อูยยย...”
    “เจ็บเหรอ? ได้แผลรึเปล่า?”
    “ไม่ ไม่...”
    “แป๊บนะ!” คนตัวโตผุดลุกขึ้นแล้วประคองเพื่อนร่วมวงให้นั่งบนเตียง ส่วนเขาก็กระโจนขึ้นไปกดสวิชต์เปิดไฟ “ไหนดูซิ”
    เลย์ยังนั่งมึนๆ อยู่ที่เตียงตอนที่คริสกลับมาแล้วจับหน้าจับไหล่เขาให้หันซ้ายหันขวา  
    “...ไม่มีแผลนี่”
    “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
    “บอกแล้วเหรอ?”
    “อื้ม”
    “ตอนไหนกัน?” คริสถามเหมือนบ่น หันไปมองปลายเตียงตรงที่เป็นจุดเกิดเหตุ กระเป๋าเดินทางของลู่หานยังอยู่ที่เดิมของมันอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขาส่ายหน้าแล้วลากมันไปทิ้งไว้ข้างเตียง ตรงที่น่าจะปลอดภัยกว่าแทน
    “ลู่หานประมาทหรือว่านายซุ่มซ่ามกันแน่เนี่ย”
    อีกฝ่ายกลับมองหน้าเขาแล้วกระพริบตาปริบๆ เกือบจะเจ็บตัวอยู่แล้วแท้ๆ ยังจะทำตาใสไม่รู้เรื่องรู้ราวได้อีก คริสถอนหายใจ มองนานๆ ก็คร้านจะใจอ่อนดุไม่ลง เลยเดินไปที่สวิตช์ไฟแทน
    “ฉันจะปิดไฟแล้วนะ”
    “อื้ม”



    ทั้งคู่ล้มตัวลงนอนอีกครั้งบนเตียงใครเตียงมัน อันที่จริงพอดวงตาปรับสภาพจนชินกับความมืดแล้ว ก็พอจะมองเห็นอะไรๆ ได้บ้าง ตอนนี้คริสเองก็กำลังนอนมองเพดานห้องอยู่ เสียงพลิกตัวเบาๆ บอกให้รู้ว่าคนที่อยู่บนเตียงข้างๆ ก็ยังไม่หลับเหมือนกัน
    “นี่ตุ้ยจาง...”
    “หืม?” คริสหันไปตามเสียงถึงได้รู้ ว่าตอนนี้เลย์กำลังนอนตะแคงหันมา และตาใสๆ คู่นั้นกำลังจ้องมองเขา
    “นายตัวโตดีจังเลยเนอะ เมื่อกี้ตอนล้มลงไปทับตัวนายพอดี ฉันเลยไม่เจ็บตัว” เลย์คงจะรู้ว่าในห้องมันไม่ได้มืดมากถึงขนาดมองอะไรไม่เห็น ถึงได้จงใจส่งยิ้มมาให้ “...ขอบใจนะ”
    คริสนิ่งไปนานกว่าจะกระแอมเสียงในคอเบาๆ

    “...นอนเถอะ ...ราตรีสวัสดิ์”


    .

    .

    .


    “เร็วหน่อย! สายแล้ว”
    ช่วงขายาวก้าวเร็วๆ ออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิด ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูรถตู้ซึ่งมาจอดรอ แล้วไล่ต้อนให้สมาชิกคนอื่นๆ ทยอยขึ้นรถไปก่อนทีละคน

    อันที่จริงมันก็ยังไม่สาย จริงๆ ต้องบอกว่าตรงเวลาเป๊ะด้วยซ้ำ สมาชิก EXO-M ค่อนข้างอยู่ในระเบียบกันอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าคริสบอกว่าเจ็ดโมงเช้า ทุกคนก็จะต้องมาถึงรถตู้ตรงเวลาพร้อมกันอย่างไม่มีเงื่อนไข

    จะมียกเว้นก็แค่... ใครบางคนที่ไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น

    “เดี๋ยวลู่หาน” ข้อมือของคนที่วิ่งกระหืดกระหอบมาเป็นคนเกือบสุดท้ายถูกคริสดึงไว้ก่อนจะได้ก้าวขึ้นรถ นั่นเพราะเขาเป็นรูมเมทของสมาชิกอีกคนที่ยังมาไม่ถึง “อี้ชิงล่ะ?”
    “กำลังตามมา”
    คริสมองนาฬิกาแล้วเริ่มกระวนกระวายนิดๆ พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากะว่าจะโทรตาม ก็เห็นเลย์วิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากลิฟท์

    “เร็วหน่อยอี้ชิง คนอื่นรอ”
    “โทษที เหมือนว่าฉันจะลืมของ” คนถูกเร่งหยุดยืนหอบอยู่หน้าอพาร์ตเม้นท์ ทำท่าลังเลเหมือนยังไม่พร้อมไปขึ้นรถ ตบกระเป๋ากางเกงทั้งซ้ายขวา แล้วยกข้อมือซ้ายตัวเองขึ้นมาดู “เฮ้ย! นาฬิกา รอแป๊บนึงนะ!”
    “เดี๋ยวอี้ชิง! มือขวา!”
    ร่างโปร่งบางที่หันหลังเตรียมจะออกวิ่งเลยต้องชะงัก พอก้มลงมองข้อมือขวาตัวเองอย่างที่คริสตะโกนบอกแล้วก็ยิ้มแหย
    “จริงด้วย โทษที”
    “อะไรกัน พี่อี้ชิงจำไม่ได้ว่าตัวเองใส่นาฬิกามือไหนรึไง?”
    “เงียบน่าจื่อเทา” คริสหันไปดุใส่ แล้วดันไหล่น้องเล็กของวงที่อุตส่าห์ชะโงกหน้ามาแซวให้กลับไปนั่งที่ ก่อนจะเดินไปแย่งกระเป๋าจากมือเลย์ไปโยนไว้ที่ท้ายรถ “เร็วเถอะ เดี๋ยวสาย”
    คนขี้ลืมพยักหน้าหงึกๆ แล้วก้าวขึ้นรถตามหลังลีดเดอร์ไป

    ที่นั่งแถวหลังสุดยังว่างอยู่ เลย์เล็งไว้ก่อนแล้ว แต่พอเขาจะเดินไปกลับถูกคนที่นั่งแถวหน้าดึงข้อมือลงให้นั่งข้างกัน
    “นั่งนี่แหละ นายเอ๋อแบบนี้ฉันยิ่งต้องดูแล”


    .

    .

    .


    ตอนที่รถตู้มาถึงสนามบิน รอบนอกก็เต็มไปด้วยบรรดาแฟนคลับที่อุตส่าห์มารอ หวังแค่จะมาส่งศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ขนาดข้างนอกคนยังเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องเดาเลยว่าข้างในคนจะเยอะขนาดไหน

    พี่ผู้จัดการที่มาด้วยกันยังแอบถอนหายใจด้วยใบหน้าเคร่งเครียด การที่ต้องเดินฝ่ากลุ่มคนมากมายเหล่านั้นเพื่อเข้าไปเช็คอินให้ทันเวลา โดยไม่เกิดอุบัติเหตุและไม่ให้มีฝ่ายใดต้องบาดเจ็บ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก

    แต่เด็กหนุ่มเหล่านี้ถูกฝึกให้รับมือกับสถานการณ์ที่วุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนจะเดบิวต์ ดังนั้นทุกคนจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม คริสซึ่งเป็นลีดเดอร์รู้ดี เขาสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วหันไปบอกสมาชิก
    “พร้อมนะ”



    ทันทีที่ประตูรถตู้ถูกเปิดออก เสียงกรีดร้องของบรรดาแฟนคลับที่เริ่มกรูกันเข้ามา ทำให้ทั้งหกหนุ่มต้องรีบเดินไปให้ถึงทางเข้าสนามบินโดยเร็วที่สุด ระหว่างนั้นวงล้อมของคนที่รุมรักก็ตีวงแคบเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งการ์ดทั้งผู้จัดการพยายามช่วยกันกันไว้เท่าไหร่ แต่ก็ถูกแรงคนที่มีจำนวนมากกว่า เบียดเข้ามาจนประชิดตัวพวกเขาจนได้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชุลมุนแบบนั้น คริสที่เดินนำหน้ามาตั้งแต่แรก ยอมถอยตัวเองมาอยู่รั้งท้ายเพื่อที่จะดูแลสมาชิกทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ความสูงที่โดดเด่นทำให้เขามองเห็นคนอื่นๆ ได้ชัด

    แต่เมื่อนับหัวสมาชิกได้ไม่ครบ เขาก็ต้องตกใจ

    คริสกวาดตามองไปรอบๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่รายล้อมอย่างแน่นหนา ใครบางคนหลุดจากการคุ้มกันของการ์ด และหลงเข้าไปอยู่ในวงล้อมของบรรดาแฟนคลับ ขนาดตัวที่ไม่ได้สูงนักทำให้ไม่มีใครสังเกต คริสนึกโทษตัวเองที่แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้  

    ...อี้ชิงหายไปตอนไหนกัน!

    เสียงกรีดร้องยิ่งดัง หูของเขาก็ยิ่งอื้อ มัวแต่พะวงหันซ้ายหันขวาจนแทบจะลืมเดิน

    ตอนนั้นเองที่มือข้างหนึ่งของเขาถูกจับยึด และดึงไว้

    “....?!”

    คริสเกือบจะสะบัดมืออยู่แล้ว ถ้าไม่หันไปเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย... ไม่สิ ใบหน้าที่เหมือนไม่เข้าใจโลกอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ดูจะหวาดกลัวนิดๆ ดวงตาใสซื่อไร้พิษภัยกำลังมองมาทางเขาอย่างขอความช่วยเหลือ

    “อี้ชิง...!”

    คริสกระชับมือนั้นตอบแล้วดึงร่างที่ออกจะโปร่งบางกว่าให้กลับมารวมกลุ่ม มืออีกข้างก็โอบรอบช่วงไหล่ไว้ กันไม่ให้สมาชิกที่เอ๋อแสนเอ๋อคนนี้หลุดออกนอกไปแถวได้อีก

    ความชุลมุนเกิดขึ้นและกินเวลาต่อเนื่องไปอีกไม่ถึงสิบนาที คริสยังคงสอดส่ายสายตาดูแลสมาชิกทุกคนไปตลอดทาง ในขณะที่มืออีกข้างก็ยังกระชับแน่นไม่ยอมปล่อย

    จนกระทั่งถึงที่เช็คอินของสายการบิน ซึ่งเป็นบริเวณที่แฟนคลับจะเข้าไม่ถึง ทั้งตัวศิลปินและผู้จัดการต่างถอนหายใจกันคนละเฮือกสองเฮือกอย่างโล่งอก คริสเองก็เหมือนกัน เขาพึมพำอะไรอยู่คนเดียวเบาๆ ก่อนจะหันไปถามคนที่ถูกเขาดึงมือเอาไว้ตลอดทาง
    “ไม่เป็นไรนะ?”
    เลย์ส่ายหน้า รอยยิ้มน้อยๆ ของเจ้าตัวในเวลานี้แลดูไม่สบายใจนัก
    “โทษที ตอนนั้นคนเยอะ ฉันตกใจน่ะ ...ขอบใจนะ”
    “ขอบใจอะไรกัน นี่มันหน้าที่ฉัน แล้วก็ไม่ต้องขอโทษด้วย นายทำถูกแล้ว เวลาแบบนี้ต้องอยู่ใกล้ๆ ฉันไว้”
    “เหรอ?”
    “ใช่สิ! ก็นายบอกเองไม่ใช่หรือว่าฉันตัวใหญ่ ฉันปกป้องนายได้อยู่แล้ว อยู่ใกล้ฉันนายไม่เจ็บตัวหรอก”
    เลย์ยังคงยิ้ม แต่ก็เป็นยิ้มที่ไม่มั่นใจเอาซะเลย
    “...เพราะฉันความรู้สึกช้า”
    “หืม?”
    “...แล้วก็ขี้ลืมสุดๆ”
    “ม..ไม่หรอก เรื่องนั้นน่ะ...”
    “จื่อเทายังบอกเลยว่าฉันขี้ลืม”
    “เอ่อ...”
    “แล้วนายก็บอกว่าฉันเอ๋อ”
    “อี้ชิง... คือ...”
    “แต่ฉันมองเห็นนายนะ”
    “.....?”
    “ตอนนั้นคนเยอะมาก ฉันหาพวกเราไม่เจอเลย แต่ว่า... ฉันเห็นแผ่นหลังของนาย ก็เลยกลั้นใจแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปหา” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้ม แล้วก็ก้มหลบสายตาไปอีก คริสเสียดายเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นแววตาของเลย์ขณะที่พูด “ฉันอยู่ข้างหลังมาตลอด แผ่นหลังของนาย... ฉันถึงจำได้ดี”

    ทั้งที่ผ่านเหตุการณ์ชุลมุนนั้นมาแล้ว แต่คริสก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ

    เขาเคยคิดว่าท่าทางนิ่งๆ เงียบๆ ของเลย์คือการที่เจ้าตัวไม่เคยสนใจความเป็นไปรอบตัว ไม่เคยรับรู้ หรือเก็บเอามาเป็นสาระ เลย์ที่มักจะมีโลกส่วนตัวเงียบๆ เวลาที่คนอื่นสนุกสนานเฮฮากัน เลย์ที่ชอบหลบไปยืนข้างหลังในขณะที่คนอื่นๆ เล่นกล้อง ...เลย์ที่เข้าถึงยาก
     
    แต่มือเย็นๆ ที่ยังอยู่ในความดูแลของเขาบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่ เลย์ที่แสนเงียบ ..ขี้ลืม ..และขี้อายอย่างที่สุด เป็นเลย์ที่ตื่นเต้นเป็น ...ตกใจและรู้จักหวาดกลัว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงมันออกมายังไงเท่านั้น
    ...เลย์ที่แสนเอ๋อของเขา

    “...งั้นทีหลังก็ไม่ต้องมองแค่หลังฉันนะ” เพราะว่ามืออีกข้างไม่ว่าง คริสเลยต้องใช้หลังมือข้างที่ยังจับกุมมืออีกฝ่ายไว้ แตะที่แก้มเจ้าตัวเบาๆ ให้เงยหน้าขึ้น “มือข้างนี้ฉันว่าง นายจับมือฉันเอาไว้ ถ้าลืมอะไรหรือไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง นายก็จับมือฉัน แล้วบีบให้แน่น ...แบบนี้”
    คริสกระชับแรงมือให้ยิ่งแน่น แล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกระชับตอบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสว่างไสวด้วยรอยยิ้มที่ดูจะสบายใจขึ้น แล้วก็ทำเอาคนปลอบมีอันเสียศูนย์จนต้องกระแอมเบาๆ
    “ที่สำคัญ เวลาอยู่ใกล้ฉัน อย่ายิ้มแบบนี้อีกนะ รู้รึเปล่า”
    “ทำไมล่ะ?”
    “ก็ฉันเป็นลีดเดอร์ ฉันต้องเข้มแข็ง จริงจัง น่าเกรงขาม นายยิ้มแบบนี้ทำไร ฉันเสียสมาธิทุกทีเลย”
    คริสพูดแล้วแสร้งทำสีหน้าตำหนิ แต่ก็รู้ดีว่าเลย์ไม่มีทางทำได้ ก็ขนาดห้ามอยู่อย่างนี้ เจ้าตัวยังส่งยิ้มหวาน แถมยังทำตาใสไม่รู้เรื่องรู้ราวได้อีก ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุชัดๆ
    “เฮ้อ... ช่างเถอะ”


    สมาชิกคนอื่นๆ กำลังเข้าแถวเพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ตรวจเช็คเอกสาร เขาสองคนก็ต้องไปต่อแถวเช่นกัน คริสไม่ได้ปล่อยมือที่จับไว้ให้เป็นอิสระ เขาแค่คลายแรงมือแล้วปล่อยให้ปลายนิ้วเกี่ยวกันไว้หลวมๆ
    “ไปเถอะ”




    ลู่หานยืนกอดอกมองหล่อหัวหน้ากับรูมเมทตัวเองคุยกันด้วยสายตาจับผิดเหมือนเด็กๆ ก่อนจะกระทุ้งศอกใส่คนที่ยืนต่อแถวเพื่อรอตรวจเอกสารเดินทางอยู่ข้างหน้า
    “นี่ซิ่วหมิน”
    “หือ?”
    “ฉันว่ากลับจากต่างประเทศคราวเนี้ย ฉันแลกห้องนอนกับตุ้ยจางไปเลยดีกว่า”
    “ทำไมอ่ะ?”
    “ก็หมอนั่นจะได้ไม่ต้องคอยหาข้ออ้าง หอบผ้าผ่อนมายึดเตียงฉันซักทีไงล่ะ”
    “เออ ก็ดีนะ แต่ว่า... แล้วจงแดจะไม่รำคาญแย่เหรอ นายยิ่งเสียงดังอยู่ด้วย”
    “ฉันที่ไหน?! นายนั่นแหละที่ชอบหัวเราะเสียงดังน่ะ”
    “นายต่างหาก! ไม่งั้นเมื่อคืนคริสจะบอกให้นายนอนที่ห้อง แล้วเขาก็หอบผ้าห่มไปนอนกับอี้ชิงแทนรึไง?”
    “นี่เปาจื่อ!” แขนขาวๆ โอบรอบคอเพื่อนสนิทแล้วดึงเข้ามาใกล้จนแก้มชนแก้ม ก่อนจะกระซิบเสียงรอดไรฟันให้เปาน้อยของวงตาสว่าง “นายเข้าใจคำว่า ‘ข้ออ้าง’ มั้ย?”
    ซิ่วหมินทำหน้างงๆ แต่พอถูกจับหน้าให้หันไปมองอีกสองคนที่ยังยืนคุยกันอยู่ที่ปลายแถว เขาก็ร้องอ๋อ
    “ฮี่ๆๆ งั้นฉันว่า คราวหน้าถ้ากลับเกาหลี เราก็ยุจงแดให้แลกห้องกับตุ้ยจางด้วยซะเลยสิ สองคนนั้นจะได้...”
    “อ๊า...~ คิกๆๆๆ”
    “ฮี่ๆๆๆ”
    “ฮะๆๆๆ”
     










    TBC.









    Talk: ไปต่างประเทศกันแล้ว เดาออกมั้ยคะว่าไปไหน ^^
    ตอนหน้าจะเจอแก๊งค์เคอีกแล้ว เตรียมตัวปวดหัวกันได้เลย
    ตอนนี้จัดให้ยาวๆ คนรองกำลังพยายามปั่นให้ทันโมเม้นท์ปัจจุบันนะคะ เวลาอ่านจะได้ไม่ต้องระลึกชาติมาก ฮะๆๆๆ ^^”
    ขอบคุณทุกคอมเม้นท์จากทุกๆ คนมากเลย ฟิคมันไม่ค่อยจะมีอะไรแต่ก็ยังอุตส่าห์มีความสุขกับมัน คนเขียนชื่นใจค่ะ

    เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×