ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #35 : เขียวหวานน่ารัก ~ 35 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.01K
      132
      16 พ.ค. 63


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 35

    Fiction by 2nd Admin


    .

    .

    . 

     

                เสียงอื้มอ้ามอย่างพึงใจนั้นทำให้คริสต้องแบ่งความสนใจจากงานครัวตรงหน้าแล้วหันไปมองทางต้นเสียงอยู่หลายครั้ง มุมปากหยักคอยแต่จะยกยิ้มเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กมีความสุขกับซาชิมิแซลมอนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยอยู่เต็มปากนั่นแค่ไหน คิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่ซื้อเนื้อแซลมอนสดแบบหั่นชิ้นพร้อมซอสโชยุญี่ปุ่นติดมาให้อี้ชิงได้กินเล่นเป็นอาหารรองท้องระหว่างที่รออาหารจานหลัก คริสจึงมีเวลาพิถีพิถันกับการต้มซุป หั่นผัก และย่างเนื้อโดยไม่มีเสียงจ้อกแจ้กของน้ำย่อยในกระเพาะใครบางคนมาคอยกดดัน แต่ถึงอย่างนั้น อาหารที่ตั้งใจทำทุกอย่างก็พร้อมเสริฟในเวลาไม่นาน

                “เสร็จแล้ว” พอคริสบอกแบบนั้น คนตัวเล็กก็กุลีกุจอลุกจากโต๊ะมายืนเกาะเคาท์เตอร์หน้าครัวในทันที

                “ว้าววว” มองอาหารที่คริสยกมาวางทีละจานด้วยอาการตื่นเต้นเหมือนยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาก่อน จานแรกเป็นสเต็กปลาแซลมอน เสริฟพร้อมบร็อคโคลี่และแครอทย่างไฟพอให้อ่อน ส่วนมะเขือเทศที่อี้ชิงเลือกมากับมือนั้นอยู่ในชามสลัดผักที่คริสยกตามขึ้นมาวางบนเคาท์เตอร์ทีหลัง คนตัวเล็กมองอาหารทั้งสองจานด้วยดวงตาเป็นประกาย “น่ากินจัง ชิมได้ไหม?”

                “ระวังร้อนนะ”

                “โอ๊ะ” ครั้นพอคริสหันไปแค่จะหยิบส้อมมาให้ยังไม่ทัน อี้ชิงใช้สองนิ้วหยิบแครอทขึ้นมาแล้วก็ต้องสะดุ้ง รีบปล่อยมือในทันที “หวา~ ร้อนๆๆ”

                เพราะเพิ่งขึ้นจากกระทะใหม่ๆ ควันยังไม่ทันจาง รีบร้อนหยิบเอาแบบนั้นเลยลวกนิ้วเข้าให้ อี้ชิงผงะถอยแล้วสะบัดมือไปมาหน้าเหยเก

                “เตือนแล้วไง” ไม่วายตวัดค้อนใส่คนที่ยิ้มขำจนคริสต้องส่ายหน้า “มานี่มา”

                ทั้งงอนทั้งเสียหน้า รู้สึกเหมือนตัวเองตะกละจนถูกเยาะเอาได้ ถึงได้ทำเมินใส่มือที่ยื่นมาหา คริสจึงต้องคว้ามือเล็กเข้ามาใกล้แล้วเป่าลมให้แผ่วเบา

                “ดีขึ้นหรือยัง?” คนถูกโอ๋เม้มปากจนแก้มป่อง ดูเหมือนอาการแสบร้อนที่ปลายนิ้วจะไม่หายไปไหน ย้ายมาร้อนที่สองแก้มแดงๆ แทนนี่แหละ

                “หายแล้ว”

                “งั้นช่วยยกไปรอที่โต๊ะได้ไหม” คริสหมายถึงอาหารทุกจาน พอเขายิ้มสำทับ อี้ชิงก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย ค่อยทยอยย้ายของกินที่คริสนำขึ้นมาวางบนเคาท์เตอร์ไปทีละอย่าง รวมทั้งสเต็กเนื้อซึ่งคริสย่างไฟไว้ก่อนหน้าเพราะต้องใช้เวลามากกว่าเนื้อปลาแซลมอน เมนูสุดท้ายที่คริสเพิ่งตักใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นมาวางคือซุปครีมเห็ด เมื่อเสร็จงานทุกอย่างแล้วจึงถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินอ้อมเคาท์เตอร์ออกมาจากส่วนครัว มองคนตัวเล็กที่สาละวนกับการจัดชุดมีดและส้อมบนโต๊ะแล้วก็อดจะอมยิ้มไม่ได้ ยิ่งตอนที่เห็นอี้ชิงห่อปากเป่าลมใส่น้ำซุปในถ้วยของตัวเองเบาๆ ท่าทางคงอยากชิม ซาชิมิแซลมอนนั่นคงไม่ระคายท้องน้อยๆ ของอี้ชิงซักเท่าไหร่ เด็กกินเก่งนี่ช่างน่าเอ็นดูนัก

                “ระวังหน่อย ถ้าลวกปากจะไม่เป่าให้แล้วนะ” พอแกล้งเตือนก็ถูกหันมาค้อนใส่ คนถูกรู้ทันแอบบ่น แต่เสียงไม่เบาเกินกว่าคริสจะได้ยิน

                “ไม่เป่าก็ไม่เป่าสิ ดื่มน้ำเอาก็ได้” ดื้อแบบนี้มันน่าโดนลงโทษไหม คริสผุดยิ้มพรายด้วยนึกมันเขี้ยวนัก เดินเข้าไปหาแล้ววางมือทับมือเล็กที่ยังประคองถ้วยซุปไว้ ให้อี้ชิงต้องเงยหน้าขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงหาเช่นกัน 

                “ไม่เป่า แต่จะทำแบบนี้”

                ตาคู่ใสเบิกกว้างเมื่อเขาแนบริมฝีปากโดยไม่ให้ตั้งตัว คริสแกล้งดูดดึงริมฝีปากอวบอิ่มจนอี้ชิงร้องอื้อ แต่ไม่อาจหนีไปไหน ในเมื่อต้นคอขาวถูกล็อคไว้ในขณะที่มือยังต้องประคองถ้วยซุปไม่ให้หก สุดท้ายจึงได้แต่นั่งตัวแข็งอยู่อย่างนั้นให้คริสรังแกด้วยจูบจนพอใจแล้วจึงยอมถอยไปเอง

                “กลัวหรือยัง จะดื้ออีกไหม?” จางอี้ชิงมุ่ยหน้า กลืนริมฝีปากที่ยังเคลือบน้ำวาวใสไปซ่อนไว้ แม้แก้มจะแดง แต่แววตาดื้อดึงนั้นบอกชัดว่าไม่ยอมลงง่ายๆ ครั้นพอคริสยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ก็รีบหันหลบ หลับหูหลับตาร้อง

                “อื้อ ไม่เอาแล้ว พอแล้ว หิวแล้ว” ให้คริสหลุดขำเอาจนได้ มีอย่างที่ไหน กินซาชิมิอยู่คนเดียวจนเกือบหมดแพ็คแล้วยังมาบ่นว่าหิวได้ พอเขาทำท่าว่าจะไม่ยอมถอย อี้ชิงก็หันกลับมากระเง้ากระงอดใส่ “อยากกินสเต็กแล้วจริงๆ จะเย็นหมดแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่อร่อยหรอก”

                คริสอยากกินเสียที่ไหน สเต็กนั่น เขากัดปากเพราะยิ่งเห็นกลีบปากอิ่มแดงก็นึกอยากกินอะไรที่มันหวานกว่านั้นนัก แต่อี้ชิงคงงอแงไปกันใหญ่ ให้ขัดใจเรื่องกินนี่คงได้งอนเป็นวันแน่ สุดท้ายจึงต้องตัดใจ ให้มันเขี้ยวแค่ไหนก็ทำได้แค่กดจมูกและปากลงบนหัวเหม่งให้หนัก

     

                ฝากไว้ก่อน คราวหน้าจะไม่ยอมอดใจแบบนี้แน่!

     

    .

    .

    .

     

                เพราะเวลาที่เพิ่งผ่านเพียงไม่นาน อี้ชิงจึงไม่รู้ตัวว่าเริ่มเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างคนมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเริ่มติดคริสมากขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน ขนาดที่กลายเป็นฝ่ายส่งข้อความหรือโทรหาก่อน ขนาดที่กล้าออกอาการงอนเมื่อถูกปล่อยให้รอหรือขัดใจ อาจเพราะคริสตามใจกันทุกอย่าง ไม่ว่าอี้ชิงจะอยากไปไหนหรือทำอะไร แม้ว่าคนตัวใหญ่จะยังคงดุและเอาแต่ใจอย่างคาดไม่ถึง แต่พอมีเรื่องแง่งอนกันทีไร สุดท้ายก็เป็นฝ่ายมาง้อก่อนอยู่ดี เพราะอย่างนี้อี้ชิงถึงปล่อยตัวเองให้ทำตามใจได้มากกว่าแต่ก่อน บางครั้งก็ปล่อยให้คริสเป็นฝ่ายเอาใจเสียเองด้วยซ้ำ แม้กระทั่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน

                “กลางวันนี้กินอะไรดี?” อย่างวันนี้ที่ทั้งคู่ยังอ้อยอิ่งกันอยู่ที่ลานจอดรถทั้งที่มีเรียนช่วงเช้า คริสรับหมวกกันน็อคจากมืออี้ชิงแล้วหย่อนสะโพกลงพิงเบาะรถมอเตอร์ไซค์ไว้ ให้สองเรามองหน้าในระดับสายตากันและกันให้ถนัด อี้ชิงแทบไม่ต้องคิดอะไรเลยด้วยซ้ำตอนที่ส่ายหน้า

                “อืม ไม่รู้อะ นายคิดสิ”

                “ไม่ได้กินอาหารไทยนานแล้วนี่ อยากกินไหม?”

                “จริงด้วย พูดแล้วก็คิดถึงแกงเขียวหวานขึ้นมาเลย” บอกแล้วก็ยิ้มอวดรอยบุ๋มบนแก้มขาว ที่คริสเคยบอกว่าชอบมองมันนัก หนนี้ยังแตะข้อนิ้วทักทายมันเบาๆ ให้อี้ชิงแก้มร้อนเล่นอีกด้วย

                “ไม่ชอบกินเผ็ด ทำไมถึงชอบแกงเขียวหวานนัก ไม่เผ็ดเหรอ?”

                “ไม่หรอก คุณป้าร้านอาหารไทยในแคนทีนน่ะ ทำแกงเขียวหวานอร่อยมากเลยนะ แล้วก็ไม่เผ็ดมากด้วย”

                “งั้นกลางวันนี้เราไปกินข้าวที่แคนทีนกัน” อี้ชิงพยักหน้าระรัว ไม่ได้กินของโปรดหลายวันแล้วจริงๆ นั่นล่ะ ครั้นพอนึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่ทั้งคู่ไม่ได้ย่างกรายไปที่แคนทีนเลย เพราะสายตาที่เอาแต่คอยจะสอดส่องเหล่านั้น อี้ชิงก็อดจะกังวลไม่ได้

                “แล้วนายจะไม่... อึดอัดเหรอ”

                “นายอึดอัดหรือเปล่าล่ะ?” เขาสั่นหน้า ไม่ชอบก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขนาดรับมือไม่ไหว เรื่องยุ่งยากตั้งหลายด่านยังผ่านมาได้

                “ก็แค่ไม่ต้องไปสนใจ” เพราะความที่เป็นแค่ จางอี้ชิงคนธรรมดา แต่คริสนั้นไม่เหมือนกัน เพราะคนตัวโตเคยรำคาญสายตาเหล่านั้นถึงขนาดยอมให้เขากุเรื่องโกหกขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา จะให้มองข้ามอย่างไรได้ แต่คริสกลับยิ้ม เกี่ยวนิ้วมือกับนิ้วของเขาแล้วแกว่งมือสองเราเล่นเบาๆ

                “ฉันก็ไม่สน เพราะฉันสนแค่นาย” คำพูดเอาแต่ใจแต่ก็เรียกยิ้มเขินอายจากคนเป็นแฟนได้ดีนัก อี้ชิงหลบตาแล้วกัดปากกระทั่งถูกข้อนิ้วเกลี่ยจมูกเล่นเบาๆ “แต่อย่ากินเยอะนักล่ะ เก็บท้องไว้เผื่อมื้อเย็นด้วย”

                “จริงด้วยสิ เกือบลืมนัดพี่กัปตัน เย็นนี้แล้วนี่นา” ไม่ทันสังเกตุว่าเรียวคิ้วเข้มขมวดฉับ

                “นัดใครนะ?”

                “พี่กัปตันไง ...โอ๊ย” แล้วจู่ๆ มือที่จับกันนั้นก็ถูกหงายแล้วยังถูกอีกฝ่ายตีเพียะเข้าให้  “ตีทำไมเนี่ย เจ็บนะ”

                “นัดกับทั้งทีม ไม่ใช่กัปตันคนเดียว”

                “ก็พี่กัปตันเป็นคนมาชวนนี่นา”

                “ฉันก็อยู่ตอนนั้น”

                “แต่พี่กัปตัน... โอ๊ย ตีอีกแล้วนะ” คราวนี้อี้ชิงกระทืบเท้าแล้วกัดปาก มองหน้าคริสด้วยความขัดใจ คิดจะดึงมือคืน แต่ก็ถูกขืนไว้ด้วยแรงที่มากกว่า

                “คำก็พี่กัปตัน สองคำก็พี่กัปตัน ห้ามเรียกชื่อคนอื่นเกินวันละสองครั้ง เข้าใจไหม”

                “ทำไมจะไม่ได้?”

                “เพราะฉันจะหึงไง” คนที่เชิดหน้าตั้งท่าจะเถียงจำต้องงับปาก อาการแง่งอนถูกบางคำละลายพฤติกรรมไปจนสิ้น ยิ่งถูกคริสจ้องตาเอา นานเข้าก็เป็นอี้ชิงที่แก้มร้อนจนต้องหลบสายตาเองจนได้ “หรือจะไม่ให้ไปดีนะเย็นนี้”

                “หื้อ ไม่ได้นะ ฉันรับปากพี่... รับปากคนในทีมนายไว้แล้ว รับปากแล้วก็ต้องไปสิ”

                “อยากไป?” อี้ชิงพยักหน้าจริงจัง ก่อนจะต้องเอียงคอด้วยความสงสัยเมื่อมือที่ยังจับกันนั้นถูกดึงเบาๆ ให้ขยับเข้าไปใกล้ “ทำให้ฉันอารมณ์ดีก่อน”

                “ยังไงอ่ะ?” มองคนที่กดยิ้มเพียงมุมปากก่อนจะเอียงแก้มให้ แล้วก็นึกเคืองตัวเองที่ไปรู้ใจเขานัก อาจจะเพราะพักหลังๆ โดนเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ งอนทีก็หอมแก้มที อารมณ์ดีก็มาขโมยจูบกันเสียอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะเคยชินจนยอมตามใจคนตัวใหญ่ง่ายๆ หรอกนะ ก็นี่น่ะลานจอดรถของมหาวิทยาลัย อี้ชิงหันมองซ้ายขวาก่อนจะอ้อมแอ้มถามย้ำ “ตรงนี้เนี่ยนะ?”

                “แล้วไง?”

                “ก็ เดี๋ยวคนเห็น” คนดังดึงหน้าในทันที

                “งั้นตามใจนะ” อาการถอนใจแล้วบ่ายหน้าหนีคืองอนแล้วล่ะ ที่ผ่านมาก็คือไม่เคยหายเองได้ซักครั้ง ต้องให้อี้ชิงตามใจอะไรซักอย่าง คราวนี้ก็คงเหมือนกัน สมองน้อยๆ เร่งประมวลเพื่อเทียบผลได้เสีย ปิ้งย่างชุดใหญ่แลกกับยอมอายเพื่อเอาใจคนที่ได้ชื่อว่าแฟน ก็ไม่ถือว่าขาดทุนเท่าไหร่ คิดแล้วจึงตัดสินใจในที่สุด

                “ก็ได้ๆ” ใบหน้าที่เคยมึนตึงนั้นแย้มยิ้มพราย คริสยังคงเอียงแก้มให้แถมบุ้ยปากจนเนื้อแก้มล้น คนเป็นแฟนเห็นแล้วยังอดจะอมยิ้มไม่ได้ ใครจะคิดว่าคริสคนดังที่ขี้เก๊กสารพัดจะงัดไม้นี้ขึ้นมาเล่น น่าเอ็นดูน้อยอยู่ที่ไหน หันมองซ้ายขวาแล้วอี้ชิงก็ทำใจกล้า สูดหายใจเข้าจนลึกแล้วหลับตา พุ่งใบหน้าเข้าหา กะว่าจะหอมแค่ฟืดเดียวแล้วรีบถอย แต่ทันเสียที่ไหน ถูกคนที่รอจังหวะอยู่ก่อนรังแกเอาจนได้ “อื้อ!

                มือข้างที่ว่างทั้งทุบทั้งตีอกกว้างอยู่หลายครั้งกว่าที่คริสจะคลายมือที่จับล็อคต้นคอกัน อี้ชิงถอยหลังแต่ก็ติดที่มือหนึ่งยังถูกจับไว้ ได้แต่ใช้หลังมือปิดปากตัวเองที่เพิ่งโดนขโมยจูบไป

                “ขี้โกงนี่!

                “ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้หอมแก้มเสียหน่อย” คนฉวยโอกาสยังเผยยิ้มร้ายให้อี้ชิงหงุดหงิดเล่น ไม่กล้าชำเลืองมองรอบตัวด้วยซ้ำว่ามีใครคนอื่นมองอยู่ไหม รู้ว่าไม่ใช่คนขี้อาย แต่ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรโจ่งแจ้งในมหาวิทยาลัยแบบนี้เลย อี้ชิงได้แต่ขยับตัวฮึดฮัดกระทั่งเอวเล็กถูกรวบด้วยสองแขนแล้วดึงรั้งให้เข้าหา กลายเป็นว่าสองคนใกล้ชิดกันกว่าเดิม

                “ฉันต้องให้นายไปด้วยอยู่แล้ว งานเลี้ยงส่งฉัน แฟนฉันก็ต้องไปด้วยสิ จริงไหม?” ย้ำให้รู้ว่าเสียทีคนเจ้าเล่ห์ไปง่ายๆ กลายเป็นเปลืองตัวฟรีเสียอย่างนั้น อี้ชิงได้แต่ครางเสียงกระเง้ากระงอดและแน่นอนว่าคนเป็นแฟนก็รู้ตัวว่าคงต้องง้อกันไปทั้งวัน

     

     

                งานปาร์ตี้เลี้ยงส่งคริสในเย็นวันนั้นครึกครื้นกว่าที่อี้ชิงคิดไว้ เพราะนอกจากจะมีสมาชิกในทีมบาสเก็ตบอลตามที่คุยกันแล้วยังมีรุ่นพี่ในคณะเดียวกันกับคริสบางกลุ่มขอตามมาด้วย แม้กัปตันจะย้ำนักหนาว่าเป็นปาร์ตี้ภายในของทีม ให้คนที่ไม่ได้รับเชิญแยกโต๊ะแยกบิลกัน แต่กระนั้นก็ยังมีการข้ามโต๊ะมาขอแจมด้วยอยู่เนืองๆ ว่าไม่ได้ คริสเป็นคนดังในมหาวิทยาลัยขนาดไหน ในคณะที่เรียนก็คงไม่ต่าง นั่นทำให้นอกจากกินแล้วก็ฟังคนอื่นๆ คุยเรื่องสนุกๆ กันแล้วอี้ชิงก็ไม่มีอะไรให้ทำนัก ได้แต่นั่งเฉยๆ หรือไม่ก็ทายตัวอักษรที่คริสใช้นิ้วเขี่ยบนฝ่ามือตัวเองเล่น ในขณะที่ลู่หานซึ่งเข้ากับคนอื่นๆ ได้ง่ายกว่า กำลังสนุกสนานเฮฮากับเกมที่พวกพี่ๆ คิดขึ้นมาเพื่อให้คนแพ้โดนลงโทษแบบขำๆ ส่วนจงแดก็ถูกพี่ๆ ในทีมสองสามคนชักชวนให้ดูอะไรในโทรศัพท์มือถือ คงจะแอบถามข้อมูลของดาวคณะคนไหน ถึงได้กระซิบกระซาบกันแบบนั้น อี้ชิงซึ่งเริ่มจะรู้สึกเบื่อจึงอาสาเป็นตากล้องให้งาน แน่นอนว่าคริสดูจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ แต่เพราะรู้ว่าอี้ชิงจะไม่ยอมให้ใครถือกล้องทั้งนั้น จึงต้องยอมตามใจ และให้เพื่อนๆ ถ่ายรูปตัวเองคู่กับแฟนลงในโทรศัพท์มือถือแทน

                กว่าปาร์ตี้จะเลิกก็ปาเข้าไปมืดค่ำ หลังใช้เวลาร่ำลาคนอื่นๆ ซึ่งค่อนข้างนานแล้วคริสจึงพาอี้ชิงกับเพื่อนๆ เดินแยกไปทางลานจอดรถ ซึ่งระหว่างทางต้องผ่านแยกที่จะออกสู่ถนนสายหลัก แน่นอนว่าลู่หานกับจงแดไม่ได้ขับรถอะไรมาทั้งนั้น อี้ชิงจึงถามขึ้น

                “เสี่ยวลู่กลับยังไง ให้เดินไปเป็นเพื่อนไหม?” ทั้งที่รู้ว่าร้านนี้อยู่ไม่ไกลหอพัก แต่เพราะเห็นว่าลู่หานเล่นเกมแพ้แล้วก็โดนให้ดื่มโซจูไปหลายแก้วอยู่ ถึงเจ้าตัวจะคุยนักหนาว่าคอแข็งแต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ คริสเองก็เช่นกัน

                “ไปส่งได้นะ” รุ่นพี่เสนอ แต่ลู่หานปัดมือแล้วส่ายหน้าในทันที

                “ไม่เป็นไรฮะ ใกล้แค่นี้เอง ผมเดินไปเองได้ ว่าแต่ แล้วจงแดล่ะ กลับยังไง?”

                “ฉันว่าจะไปขึ้นรถเมล์”

                “งั้นเดี๋ยวเดินไปส่งที่ป้าย”

                “ไม่เป็นไร ฉันกลับคนเดียวได้” ทั้งลู่หานและอี้ชิงจึงพยักหน้าตามนั้น “ว่าแต่ รุ่นพี่กำหนดวันกลับหรือยังครับ หลังสอบเสร็จเลยหรือเปล่า พวกเราจะได้ไปส่ง”

                เมื่อจงแดทำหน้าที่สายข่าวคนสำคัญ ทุกสายตาจึงหันไปโฟกัสที่รุ่นพี่สุดหล่อเพื่อรอฟังในทันที แต่มีเพียงอี้ชิงที่คริสมองตอบ

                “อาจจะไม่ทันที ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ต้องแล้วแต่เขา”

                “ทำไมต้องแล้วแต่อี้ชิงล่ะครับ ไม่ใช่แฟนกันจริงๆ เสียหน่อย” คิมจงแดถามย้อนกลั้วเสียงขำ นั่นทำให้สองเพื่อนรักมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

                “จงแด คือว่านะ...” เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเพียงหนุ่มแว่นที่ยังคิดว่าเรื่องที่อี้ชิงเป็นแฟนกับรุ่นพี่นั้นเป็นแค่การจัดฉาก ครั้นลู่หานจะอธิบาย อี้ชิงก็ว่าขัด

                “นั่นสินะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันซักหน่อย” พอลู่หานทำหน้าเหวอก็เจอถลึงตาใส่ แล้วยังส่ายหน้าห้ามเสียจริงจัง แต่กลับหันไปยิ้มให้จงแดกับรุ่นพี่คริสเสียอย่างนั้น “นายอยากกลับเมื่อไหร่ก็กลับสิ แล้วแต่ฉันทำไม”

                “จะไม่เกี่ยวได้ไง ก็ตัวน่ะ...!

                “เสี่ยวลู่!”

                “ตรงนี้ไม่มีใคร รุ่นพี่ไม่ต้องแกล้งทำเป็นแฟนกับอี้ชิงก็ได้นะครับ ผมกับลู่หานจะเข้าใจผิดเอาได้” เจอจงแดตัดบทไปแบบนั้นก็ทำเอาลู่หานเกือบหน้าหงาย มีพิรุธขนาดนี้ยังไม่นึกสงสัย ผิดวิสัยช่างสังเกตุของหัวหน้าหน่วยข่าวกรองนัก เด็กหนุ่มยังคงยิ้ม แต่อาจเพราะแสงไฟยามค่ำที่ค่อนข้างสลัว ทำให้มองไม่เห็นดวงตาเบื้องหลังแว่นเลนส์ใสนั้นชัดนัก

                “ฉันไม่ได้แกล้งทำ” กระทั่งเสียงทุ้มพูดขึ้น จงแดจึงพยักหน้าช้าๆ พร้อมเสียงครางในลำคอ

                “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยระวังหน่อย ทำดีด้วยมากๆ ก็เหมือนให้ความหวังกัน อี้ชิงอาจจะเข้าใจผิดคิดว่ารุ่นพี่จริงจัง พอถึงวันที่รุ่นพี่ต้องไป เพื่อนผมคงเสียใจมากแน่ๆ ขอตัวก่อนนะครับ” ทั้งที่ยังยิ้มเหมือนไม่ติดใจอะไร แต่ประโยคทิ้งท้ายก่อนที่จงแดจะค้อมศีรษะลานั้นชวนให้คิดชอบกล ทั้งที่ไม่เคยมีปัญหากัน แต่เหตุใดจึงใช้คำพูดเหมือนเหน็บแนมรุ่นพี่ขนาดนั้น ยิ่งคิด ลู่หานก็ยิ่งไม่เข้าใจ และไม่อาจล่วงรู้ความคิดของหัวหน้าชมรมคนเก่งได้เลย

                “จงแดนี่ยังไง พูดเหมือนไม่อยากให้ตัวกับรุ่นพี่เป็นแฟนกันจริงๆ” อี้ชิงส่ายหน้าอย่างไม่มีความเห็น ที่กังวลยิ่งกว่าความคิดของจงแดนั้นคือสายตาของคนที่ยืนอยู่ข้างกาย คริสไม่มองกันอีกเลยตั้งแต่ที่อี้ชิงเฉไฉไม่อยากให้จงแดรู้เรื่องของเรา ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าคงถูกงอนแน่ๆ

                 “กลับเถอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนที่คนตัวสูงจะเดินนำโดยไม่คิดจะแตะแขนอี้ชิงให้เดินตามอย่างที่ชอบทำนั้นยืนยันได้ดี คนตัวเล็กจึงถอนหายใจหนัก ก่อนจะครางเสียงในคอพลางเกาะแขนเพื่อนรักหมายจะขอความเห็นใจ

                “เสี่ยวลู่ คืนนี้เรา...” เพียงเท่านั้นก็ถูกรู้ทัน

                “ไม่ต้องเลย ทำแฟนงอนแล้วก็ไม่ต้องหนีมานอนกับเราเลยนะ กลับบ้านไปง้อแฟนเลยไป” แล้วอี้ชิงจะทำอย่างไรได้ มองตามหลังคนเป็นแฟนแล้วก็ต้องพ่นลมด้วยความเหนื่อยใจ

     

                คริสไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดทางที่กลับมาด้วยกัน และอี้ชิงที่มีชนักติดหลังก็ไม่กล้าที่จะชวนคุยก่อน ได้แต่ปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเราเงียบอยู่อย่างนั้นกระทั่งมาถึงห้อง และคริสก็เดินแยกเข้าห้องตัวเองไปโดยไม่บอกอะไรซักทำ ทุกๆ วันหลังจัดการเรื่องของตัวเองเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็จะมาเจอกันที่ห้องนั่งเล่น เลือกแผ่นหนังหรือซีรี่ส์ที่จะดูด้วยกัน แต่วันนี้ อี้ชิงที่อาบน้ำเปลี่ยนตัวเองมาอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วออกมาเดินวนๆ รออยู่ในห้องนั่งเล่นพักใหญ่ๆ ก็ไม่เห็นวี่แววว่าคริสจะออกมาเสียที กล้าดีถึงขนาดแอบเอาหูไปแนบฟังกับบานประตูด้วยซ้ำ ก็ยังไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ในห้องนั้น หรือคริสจะเข้านอนไปแล้วก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ดึกเลยนี่นา แล้วไหนล่ะข้อความบอกราตรีสวัสดิ์แบบที่ชอบส่งมาทุกคืน ท่าทางจะงอนจริงๆ นั่นล่ะ คนตัวเล็กได้แต่ถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน จะให้ปล่อยไปแบบนี้ก็ไม่ได้ด้วย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานพิเศษแต่เช้า ถ้าไม่รีบง้อมีหวังงอนกันข้ามวันแล้วง้อยากกว่าเดิมแน่ๆ คิดแล้วจึงตัดสินใจ ทำใจกล้าเคาะประตูไปสามครั้ง แล้วรอฟังกระทั่งได้ยินเสียงคนในห้องบอกให้เปิดเข้าไปได้  

                “ฉันมาถาม เผื่อว่านายอยากจะ...” ดูหนังไหม ให้เปิดเครื่อเล่นรอเลยหรือเปล่า กะจะตีมึนถามไปแบบนั้น แต่พอได้เห็นข้าวของที่กองเป็นระเบียบอยู่บนพื้นห้อง พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ที่เปิดอ้าและเสื้อผ้าที่พับรออยู่ในนั้น อี้ชิงก็ลืมคำพูดที่คิดไว้ไป “นาย เก็บกระเป๋าอยู่เหรอ”

                ไม่รู้ตัวว่าถามออกไปด้วยน้ำเสียงแบบไหน ไม่รู้ว่ามันเบาหวิวเช่นเดียวกับความรู้สึกในอก วูบโหวง เหมือนทำอะไรซักอย่างหล่นหาย ทั้งที่รู้อีกไม่นานคริสก็ต้องไป แต่เพราะเจ้าตัวไม่เคยใส่ใจ อี้ชิงจึงไม่เคยนึกถึงมัน กระทั่งได้เห็นข้าวของทุกอย่างที่ซักวันมันจะหายไปพร้อมเจ้าของ หัวใจก็พลันหล่นหายโดยไม่รู้ตัว

                “เข้ามาก่อนสิ” ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูกระทั่งคริสบอกแล้วตีมือกับพื้นข้างตัวเองเบาๆ “มานั่งนี่มา”

                อี้ชิงจึงปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ กวาดสายตามองข้าวของแต่ละอย่างก่อนจะนั่งลงข้างกันอย่างที่คริสชวน

                “กระเป๋าใบเดียว ใส่ของนายหมดเหรอ”

                “ฉันเอาไปแต่ของที่จำเป็น ที่เหลือค่อยจัดการทีหลัง” คงจะให้คุณลุงพ่อบ้านมาขนกลับไปให้ คนอย่างคริสจะต้องลำบากขนย้ายข้าวของเองด้วยตัวเองไปทำไมกัน จะว่าไปก่อนหน้านี้คริสยังบอกว่าไม่รีบ แต่จู่ๆ ก็เอากระเป๋าออกมากางแบบนี้ หรือจะเปลี่ยนใจแล้วไม่รู้ หากเป็นผลพวงจากความไม่พอใจที่อี้ชิงไม่บอกจงแดไปตอนนั้น ถ้าอย่างนั้นอี้ชิงก็ไม่ควรลืมว่าตัวเองเข้ามาในห้องนี้เพื่ออะไร

                “นาย โกรธฉันหรือเปล่า เรื่องเมื่อหัวค่ำน่ะ” คริสถอนหายใจบางเบาก่อนจะหันมามองหน้ากัน

                “ไม่ได้โกรธ แค่น้อยใจ ว่าทำไมนายถึงไม่อยากให้จงแดรู้ว่าเราคบกันจริงจัง”

                “ก็ ฉันไม่อยากถูกหมอนั่นซักไซ้นี่นา”

                “ถ้าแค่นั้นก็แล้วไป นึกว่านายก็คิดอย่างที่จงแดคิดเสียอีก”

                “แล้ว เรื่องวันกลับ ที่นายบอกว่าแล้วแต่ฉันน่ะ จริงๆ หรือเปล่า?” คริสพยักหน้า

                “ฉันพูดจริง สอบเสร็จแล้วก็อยากพานายไปเที่ยวไกลๆ บ้าง นายอยากไปไหนล่ะ?” โยนเสื้อตัวที่พับอยู่ลงกระเป๋าแล้วคริสก็หันทั้งตัวมาหากัน บอกให้รู้ว่าคำถามนั้นจริงจัง แต่คนฟังกลับหน้าม่อย ชำเลืองมองกองเสื้อผ้าในกระเป๋าแล้วยังอดใจหายไม่ได้ ต่อให้ยังไม่ใช่อาทิตย์หน้า แต่ไปเที่ยวกลับมาแล้วยังไง

                “หลังจากนั้น นายก็ต้องกลับไปจริงๆ ใช่ไหม?”

                เสียงหงอยๆ ทำให้คริสอดใจหายไม่ได้ มองตามสายตาเศร้าสร้อยแล้วก็ให้นึกโทษตัวเองนัก เขาผิดเองที่รื้อกระเป๋าออกมาจัดข้าวของเอาตอนนี้ ไม่คิดว่าอี้ชิงจะเข้ามาเห็น ยิ่งไม่คิดว่าคำพูดของคิมจงแดอาจสะกิดใจคนตัวเล็กเข้า ที่เขาไม่พูดไม่จาคงยิ่งคิดมากไปถึงไหน

                “มานี่มา” คริสไม่รอให้อี้ชิงสงสัย เขารวบเอวเล็กแล้วดึงร่างที่ไม่หนักนักถ้าเทียบกับเด็กหนุ่มวัยเดียวกันขึ้นมานั่งบนตัก ตอนนั้นเองที่อี้ชิงเม้มริมฝีปาก ตาคู่สวยเริ่มคลอน้ำใส คริสจึงกดจมูกให้จมลงในแก้มนุ่มแล้วเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น คิดแค่ว่าอยากไปไหน อยากทำอะไร ฉันจะพานายไปทุกที่ ตกลงไหม?”

                สิบนิ้วเล็กที่วางทับบนมือคริสซึ่งยังกอดเอวอีกคนไว้อยู่นั้นจิกแน่น อี้ชิงไม่เอ่ยคำใด แต่คนที่แนบแก้มอยู่กับแก้มใสไม่ห่างได้ยินเสียงลมหายใจติดขัดคล้ายก้อนสะอื้นตีขึ้นมาแต่ถูกกลืนลงไป ก่อนจะได้ยินเสียงพรูลมหายใจแผ่วเบา อี้ชิงจึงค่อยพยักหน้า คริสกดหอมบนแก้มนุ่มอีกครั้งก่อนจะดึงร่างเล็กให้ลุกขึ้นไปด้วยกัน

                “ช่างเถอะ เอาไว้เก็บทีหลังก็ได้ ฉันง่วงแล้ว ไปนอนกันดีกว่า” อี้ชิงพยักหน้าอีกครั้งแล้วหันหลัง

                “จะไปไหน?” แต่ก็ถูกเรียกไว้ จึงหันมาทำตาใสตอบกลับ

                “ก็ไปนอนไง”

                “นอนนี่แหละ”

                “ห ห๊ะ?”

                “นอนที่นี่ นอนกับฉัน” อี้ชิงไม่ทันได้ส่ายหน้าด้วยซ้ำตอนที่ถูกคว้าแขนแล้วดึงให้เดินไปที่เตียงใหญ่ด้วยกัน

                “ม ไม่เอา!

                “มาเถอะน่า” แต่ต่อให้ขืนจนตัวโก่งยังไงก็สู้แรงนักกีฬาบาสเก็ตบอลทีมมหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายร่างที่เล็กกว่าก็ถูกกดให้นอนลง คริสเหวี่ยงทีเดียวผ้านวมผืนใหญ่ก็ห่มทับลงมาให้ยิ่งลุกไม่ไหว แล้วยังถูกแขนแข็งแรงของคนที่ตามลงมานอนข้างกันกอดรัดไว้อีก หมดทางหนีในทันที

                “ด เดี๋ยว ฉันไม่...!”

                “อยู่เฉยๆ เถอะน่า ฉันไม่ทำอะไรหรอก” ถึงจะระแวงแต่จะทำอะไรได้ ได้แต่ยอมว่าง่ายตามนั้น แอบมองตามตอนที่คริสปล่อยมือเพื่อเอี้อมไปหยิบรีโมทมากดปิดไฟดวงใหญ่กลางห้อง เหลือไว้แค่ไฟดวงเล็กที่หัวเตียง นึกถึงเรื่องที่เคยหาอ่านจากอินเตอร์เน็ตแล้วก็อดจะหวั่นใจไม่ได้ เกิดคริสนึกอยากจะทำอะไรอย่างที่... คนเป็นแฟนเขาทำกัน อี้ชิงจะทำยังไง ถ้าบอกว่ายังไม่พร้อม คริสจะหยุดให้ไหม ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ไม่กล้าขยับตัวใดๆ ทั้งนั้น กระทั่งเมื่อจมูกและปากอุ่นๆ กดลงที่แก้มพร้อมเสียงประกอบฟอดใหญ่ “แค่อยากนอนกอดเฉยๆ ไม่ทำอะไรที่นายไม่ชอบแน่ๆ สัญญา”

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×