ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #25 : เขียวหวานน่ารัก ~ 25 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4K
      49
      3 ก.พ. 61


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 25

    Fiction by 2nd Admin 

    .

    .

    . 

     

                “ชิงชิง ตื่นได้แล้ว สายแล้วนะ”

                “อือ...” คนตัวขาวสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเพราะแรงเขย่า มือก็ควานหาโทรศัพท์ที่ควรจะอยู่บนโต๊ะหัวเตียงเพื่อดูเวลาด้วยความเคยชิน เห็นอย่างนั้นคนที่นอนอยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนก็เอื้อมมือไปหยิบมาให้ “หกโมงกว่าแล้วเหรอเนี่ย...”

                “ตื่นสายเชียว เดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันหรอก”

                “แล้วทำไมตัวตื่นเช้าจัง” ถามพลางยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอามือขยี้ตา ก่อนจะบิดตัวซ้ายขวาไล่ความงัวเงีย ปกติแล้วลู่หานจะตื่นเช้าก็เฉพาะวันที่มีเรียน เสาร์อาทิตย์กว่าจะตื่นก็เกือบสิบโมงโน่น แต่วันนี้กลับตื่นก่อนเขาเสียอีก

                “คงแปลกที่น่ะ ตัวรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ” อี้ชิงพยักหน้าแล้วยื่นสองมือออกไปข้างหน้า บู้ปากทำหน้าอ้อนๆ ใส่ ลู่หานก็รู้หน้าที่ ลุกขึ้นยืนแล้วจับมือเพื่อนไว้ก่อนจะออกแรงดึง “ฮึบ ตัวหนักขึ้นนะเนี่ย”

                “ฮื่อ” ปากอิ่มยื่นออกน้อยๆ อย่างงอนๆ พอลู่หานแกล้งยื่นมือมาทำท่าจะบีบ อี้ชิงก็หันหน้าหลบแล้วลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปเปิดประตูห้องในทันที

                “โอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ?” อารามรีบร้อนจึงไม่ทันสังเกตุ แต่พอมองตามที่ลู่หานชี้ไปถึงได้เห็นว่าที่หน้าประตูมีซองจดหมายเล็กๆ แปะอยู่ เขาดึงมันออกมาแล้วเปิดดูถึงได้รู้ว่าในนั้นมีกระดาษโน๊ตใบเล็กๆ กับการ์ดหนึ่งใบ และลู่หานก็ปรี่เข้ามาแย่งมันไปจากมือด้วยความรวดเร็ว “การ์ดอะไรเนี่ย?”

                แต่อี้ชิงสนใจข้อความในกระดาษโน๊ตมากกว่า ลายมือหวัดๆ ที่เขาไม่เคยเห็น แต่ค่อนข้างแน่ใจว่าใครเป็นคนเขียนมัน

                “มีธุระต้องไปทำ เอาคีย์การ์ดนี่ไว้ใช้ สั่งอาหารเช้าไว้ให้แล้วอยู่บนโต๊ะ”

                “คีย์การ์ดห้องนี้เหรอ? ไหนตัวว่ารุ่นพี่ไม่ทำคีย์การ์ดใหม่ให้ไง”

                “ไม่รู้สิ คงนึกอยากไถ่โทษขึ้นมาล่ะมั้ง” คนตัวเล็กยักไหล่ ใจก็นึกโล่งอกอยู่น้อยๆ คงทำหน้าไม่ถูกถ้าต้องเจอกันตอนนี้ ไม่อยู่เองแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

                “ไปดูอาหารเช้ากันดีกว่า” ลู่หานยัดคีย์การ์ดคืนใส่มือเขาก่อนจะวิ่งไปทางส่วนครัว อี้ชิงจึงต้องเดินตามไปด้วย เห็นจอมซนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินวนรอบโต๊ะอาหารซึ่งมีหลากหลายจานวางอยู่อย่างตื่นเต้น “โว้ววว น่ากินทั้งนั้นเลย ชิงมาดูสิ”

                อี้ชิงเห็นแล้ว และที่เขาอึ้งอยู่นี่ไม่ใช่เพราะแปลกใจกับของกินเยอะแยะ แต่เพราะหลายๆ จานที่วางอยู่นั้นคุ้นตา หลังจากที่กินข้าวด้วยกันมาหลายมื้อ ดูเหมือนคริสจะรู้ได้เองว่าเขาชอบหรือไม่ชอบกินอะไร หลายๆ จานที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นจึงแทบจะเรียกได้ว่าเป็นของโปรดเขาทั้งหมด โดยเฉพาะแกงเขียวหวานชามใหญ่ตรงกลางนั่น

                “เห็นแล้วหิวชะมัด กินก่อนแล้วกัน”

                “นี่ แปรงฟันก่อนสิ”

                “แปรงทำไม กินเสร็จก็ต้องแปรงอยู่ดี มาๆ ตัวมานั่งกินด้วยกัน เดี๋ยวค่อยไปอาบน้ำ” ถอนหายใจเบาๆ แล้วอี้ชิงก็พาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เพื่อนรัก มองจานอาหารหลายหลากตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ขยับมือที่ถือช้อนส้อมไปมา ไม่รู้จะเลือกตักจานไหนก่อนดี

                “อื้ม อร่อยทุกอย่างเลยอ่ะ” แต่รายนี้คงชิมหมดทุกอย่างแล้ว ปากน่ะเคี้ยวตุ้ยๆ เชียว “นี่ถามจริง รุ่นพี่เค้าเลี้ยงตัวดีขนาดนี้ทุกมื้อเลยเหรอ?”

                “ก็แล้วแต่”

                “แล้วแต่อะไร? แล้วแต่อารมณ์พี่เค้า หรือแล้วแต่ว่านายอยากกินอะไร?”

                “ไม่รู้สิ”

                “จะว่าไป อาหารบนโต๊ะนี่มีแต่ของจืดๆ ผักก็น้อย แถมยังไม่ใส่กระเทียมอีก ดูสิ ขนาดผัดผักกับเบคอนยังไม่ใส่กระเทียมเลย อย่างกับรู้เลยว่าตัวไม่ชอบกินอะไร”

                “บังเอิญล่ะมั้ง” ลู่หานปรายตามองอาการยักไหล่หน้านิ่งของเพื่อนสนิทแล้วก็อดจะขัดใจไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ผิดมากมายอะไร ยังจะทำใจแข็งอยู่ได้อีก

                “เลิกเล่นตัวได้แล้วน่า” หมั่นไส้จนต้องเอาศอกกระทุ้งให้สะดุ้งซักที “ยอมรับเถอะว่ารุ่นพี่เค้าใส่ใจตัวแค่ไหน เอาใจขนาดนี้น่ะตั้งใจง้อแน่ๆ ตัวก็เลิกหลบหน้าทำเป็นงอนได้แล้ว”

                อี้ชิงบู้ปากตีหน้ามุ่ย ก่อนจะวางช้อนคืนจานแล้วยกมือขึ้นท้าวคางอย่างคิดหนัก รู้ว่าเขาไม่เคยโกรธใครจริงจัง แต่เพื่อนรักก็ยังย้ำให้ละอายใจอยู่เรื่อย หลบหน้าที่ไหนกัน หมอนั่นออกไปก่อนเองแท้ๆ จะให้ไปพูดคุยกันตอนไหนได้เล่า เขาเสียใจที่กล้องพังมันก็ใช่ เมื่อคืนก็แค่เสียใจจนพูดไม่ออก หมอนั่นไม่เห็นต้องง้อเสียใหญ่โตขนาดนี้เลย

                ถอนหายใจอีกครั้งแล้วหัวกลมๆ ก็ตกพับลงเหมือนสองมือที่ช่วยกันค้ำนั้นจะรับน้ำหนักไว้ไม่ไหว อี้ชิงหงุดหงิดหัวใจเสียจนอยากจะร้องออกมาดังๆ

     

                ไม่โกรธแล้วก็ได้ เลิกง้อให้ยิ่งรู้สึกผิดซักที

     

     

                นอกจากจะตื่นนอนก่อนแล้ว ลู่หานยังมาเจ้ากี้เจ้าการจัดเป้ให้ระหว่างที่อี้ชิงไปอาบน้ำอีก อ้างว่ากลัวไปทำงานไม่ทัน ทีชวนให้นั่งกินข้าวด้วยกันยังไม่กลัวเลย แต่ทั้งหมดนั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่าเมื่อได้เห็นเพื่อนตัวดีมายืนยิ้มแฉ่งต่อแถวรอที่หน้าเค้าท์เตอร์ตอนใกล้เวลาเลิกงาน เมื่อเช้าก็ไม่ได้นัดกันไว้เสียหน่อย

                “มาทำไมเนี่ย?”

                “ถามเหมือนไม่อยากเจองั้นอ่ะ”

                “เปล่า ก็เมื่อเช้าตัวไม่เห็นบอกว่าจะมาหา”

                “ไม่ได้มาหา แต่มารับ”

                “รับเหรอ?” ลู่หานยักคิ้วสองทีอย่างขี้เล่น

                “ใช่สิ ก็ตัวบอกอยากกลับไปค้างที่หอซักคืนไม่ใช่เหรอ เราโทรไปบอกรุ่นพี่ให้แล้ว เขาอนุญาต นี่ก็เลยมารับ”

                ถ้าเป็นเมื่อวาน อี้ชิงคงดีใจกว่านี้ ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปค้างกับเพื่อนนะ แต่มันน้อยกว่าเมื่อวานแล้วไง ก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่

                “งั้นเหรอ”

                “อะไร? นี่อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจ อยากกลับไปให้แฟนง้อมากกว่าน่ะ”

                “เปล่าซักหน่อย ก็แค่... เราไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา ชุดนักศึกษาก็ด้วย”

                “ใส่ของเราก่อนก็ได้ เมื่อก่อนเราก็แลกเสื้อผ้าใส่กันบ่อยๆ นี่นา” อี้ชิงพยักหน้าเนือยๆ หารู้ไม่ว่าอาการเหม่อลอยนั้นถูกเพื่อนรักจับสังเกตุได้หมด ลู่หานลอบยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนตัวขาวพรูลมหายใจ แกล้งทำเป็นเคาะนิ้วมือกับเค้าท์เตอร์เบาๆ

                “อีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเลิกงานใช่ป่ะ งั้นเอาเฟรนซ์ฟรายให้หน่อย เดี๋ยวเราไปรอที่โต๊ะ” บอกแล้วเดินออกจากแถวไปหาโต๊ะนั่ง กว่าอี้ชิงจะรู้ตัวก็ตอนที่กดสั่งออเดอร์ลงในเครื่องจนเรียบร้อยแล้ว

                “แล้วตังล่ะ?”

                “ตัวก็เลี้ยงสิ”

                “ว่าไงนะ?”

     

     

                หลังเลิกงาน ลู่หานก็พาอี้ชิงไปเดินเล่นและหาอะไรกินกันในตลาดก่อนจะกลับไปนอนผึ่งพุงที่หอ ทั้งคู่นอนเล่นกันอยู่บนเตียงของอี้ชิง เปิดรูปในโทรศัพท์มือถือลู่หานดูไปคุยกันไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งมีสายเรียกเข้าให้เพื่อนสนิทต้องเด้งตัวขึ้นจากเตียงแล้วขอตัวออกไปคุยนอกห้อง อี้ชิงซึ่งเพิ่งจะมีโอกาสได้อยู่ลำพังคนเดียวถึงได้ถอนหายใจออกมา ลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่ถูกทิ้งไว้ในเป้ตรงปลายเตียงมาเปิดดูบ้าง เขาปิดเสียงเรียกเข้าเอาไว้ตั้งแต่อยู่ที่ร้าน อาจจะมีใครโทรเข้ามาก็ได้

                ...แต่ก็เปล่า ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ ไม่มีแม้กระทั่งข้อความส่งเข้ามาทางไลน์ด้วยซ้ำ คาดหวังอะไรกันล่ะจางอี้ชิง คิดว่าจะมีใครโทรมาถามว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร กินข้าวหรือยังอย่างนั้นเหรอ จะถามไปทำไม ในเมื่อปล่อยให้มานอนกับเพื่อนยังไม่คิดจะบอกกันซักคำ คนตัวขาวถอนหายใจเบาๆ ขณะที่นิ้วเรียวยังสไลด์หน้าจอในแอพพลิเคชั่นไลน์ไปเรื่อยๆ เหมือนเกรงว่าอาจจะมีแจ้งเตือนอะไรที่เขาไม่ทันเห็น

                “รุ่นพี่ไลน์มาเหรอ?” แล้วลู่หานก็กลับมาเห็นเข้าพอดี เพื่อนตัวดียิ้มร่าแล้วยื่นหน้ามามองหน้าจอโทรศัพท์อย่างถือวิสาสะ

                “เปล่า” แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ซ้ำอี้ชิงยังปิดเครื่องแล้วโยนโทรศัพท์ไปทิ้งไว้ตรงหัวเตียงอีก อาการหัวเสียสลับกับเซื่องซึมโดยไม่รู้ตัวนั้นทำให้เพื่อนรักแซวเอาได้

                “นั่นแน่ คิดถึงแฟนล่ะสิ”

                “เปล่าซักหน่อย”

                “แต่เราว่าใช่ ตัวน่ะชอบปากแข็ง ทั้งดื้อทั้งปากแข็งเลยยยย”

                “โอ๊ยยย เจ็บนะ” อี้ชิงตีมือเพื่อนให้ยอมปล่อย ก่อนจะลูบสองมือปลอบแก้มตัวเองที่ถูกดึงป้อยๆ เจ็บนิดหน่อยแต่เคืองมากกว่า เห็นเจ้ากวางแสบไม่ทันระวังตัวจึงยืดมือไปหยิกแก้มกลมๆ เอาคืนบ้าง

                “แล้วเมื่อไหร่ตัวจะแยกแยะเรื่องจริงกับเรื่องโกหกออกซักที ห๊าาาา?”

                “โอ๊ยยยย เจ็บๆๆ” แต่ลู่หานไม่กล้าตีคืนหรอก ได้แต่ร้องโอดโอย ปล่อยให้เขาเอาคืนจนพอใจนั่นแหละ

                “อย่าลืมสิว่าเรากับหมอนั่นไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ที่สำคัญคือหมอนั่นไม่ได้ชอบผู้ชาย”

                “รู้ได้ยังไง ตัวถามแล้วเหรอ?”

                “นั่นมันเรื่องที่เรากุขึ้นมาเพื่อเขียนข่าวนะ”

                “ก็แล้วถามรึยังเล่า?” อี้ชิงส่ายหน้า คว้าหมอนมากอดแล้วหันข้างให้เพื่อนเสียอย่างนั้น “งั้นก็ถามเลยสิ”

                “ไม่อ่ะ”

                “ทำไมล่ะ?”

                “ก็แล้วทำไมต้องถามด้วยเล่า”

                “ต้องถามให้รู้สิ ถ้าเขาชอบแค่ผู้หญิงจริงก็จบ แต่ถ้าเขาชอบผู้ชาย ตัวจะได้ยอมรับซักทีว่าที่พี่เค้าทำดีด้วยขนาดนี้ก็เพราะเค้าจีบ”

                อี้ชิงตวัดสายตามองเพื่อนสนิทก่อนจะหันกลับมาหา ยื่นมือออกไปให้ลู่หานผวาเล่นแต่สุดท้ายก็แค่ประกบสองแก้มกลมไว้ให้อีกฝ่ายจ้องตากันตอนที่บอก

                “งั้นเอางี้ ถ้าหมอนั่นชอบแค่ผู้หญิง ก็หมายความว่าที่ผ่านมาเป็นแค่การแสดงตามที่ตกลงกันไว้ ตัวต้องเลิกมโนจับคู่เรากับรุ่นพี่ซักที โอเคไหม?” ใบหน้าจริงจังของเพื่อนรักชวนให้นึกขัดใจ จางอี้ชิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ารุ่นพี่ไม่ได้ชอบตัว แต่เอาเถอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ลู่หานเองก็แน่ใจว่าเขาไม่มีทางเงิบแน่

                “งั้มถ้ารุ่มพี่บอกว่าโชบผู้ชาย ตัวก็โต้งโยมรับว่าที่ผ่านมาพี่เค้าจีบ แล้วก็เปิดใจซะที โอโคโม๊ะ?”    ประกบแก้มนิ่มจนล้นด้วยสองมือเช่นกัน ปากอิ่มๆ ที่บู้ออกน่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างลู่หานคงจับฟัดไปแล้ว

                “ได้! โตะโลตันนั้น”

                “โตะโลตันนั้น!

     

    .

    .

    .

     

                ผ่านไปอีกแล้วครึ่งวัน อี้ชิงชักเริ่มไม่แน่ใจว่าสมาร์ทโฟนราคาแพงนั้นยังทำงานได้ดีอยู่หรือเปล่า หรืออาจจะเป็นที่เครือข่ายโทรศัพท์ แต่คนซื้อก็จ่ายค่าบริการไว้ล่วงหน้าตั้งหลายเดือนนี่นา ไม่น่ามีปัญหาโทรเข้าหรือใช้งานอินเตอร์เน็ตไม่ได้ แต่ทำไม...

                “ทำไมไม่โทรมานะ”

                “เขาคงเบื่อนายแล้วน่ะสิ” ทั้งที่ก็พึมพัมกับตัวเองเบาๆ แต่สาวๆ ที่หูดีพอๆ กับหน้าตาก็ยังตามมาได้ยินจนได้ อุตส่าห์รีบจ้ำออกจากห้องทันทีที่อาจารย์บอกเลิกคลาส จะรีบไปเจอลู่หานที่แคนทีนตามที่นัดกันไว้ แค่แวะพักเพื่อจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คดูเท่านั้นเอง สามสาวเพื่อนร่วมคณะเขาก็ไวเสียจนเหมือนตั้งใจจะตามมาให้ทัน อี้ชิงได้แต่กรอกตาเมื่อพวกเธอก้าวเรียงกันมาดักหน้าเหมือนทุกครั้งที่จงใจหาเรื่องกัน

                “นี่คงไปทำตัวน่ารำคาญจนรุ่นพี่เขาเบื่อเอาใช่ไหม?”

                “ฉันทำอะไร?”

                “ยังไม่รู้ตัวอีก? ได้ข่าวว่าเมื่อวานรุ่นพี่ไปซ้อมบาสอยู่กับทีมทั้งวัน แล้วยังอยู่ซ้อมต่อคนเดียวจนดึกดื่น มีคนเห็นว่าเขาขี่มอเตอร์ไซค์กลับออกไปคนเดียว แฟนอย่างนายมัวไปอยู่ที่ไหนซะล่ะยะ”

                อี้ชิงหรี่ตามองพวกเธออย่างไม่เชื่อในทีแรก ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อวานเขาไม่เจอคริสตั้งแต่เช้า ทั้งวันก็แทบไม่ได้ติดต่อกัน ซ้ำเมื่อคืนเขายังไปนอนค้างที่หอพักกับลู่หานอีก คริสทิ้งโน๊ตบอกไว้แค่ว่ามีธุระ หรือธุระที่ว่าจะเป็นเรื่องนี้ เพิ่งหายไข้ไม่ทันไรก็หักโหมออกกำลังจนหนัก ไม่กลัวไข้กลับหรือยังไงกัน

                “ไงล่ะ แก้ตัวไม่ออกเลยล่ะสิ”

                “ก็... ฉันไม่ว่างนี่” อี้ชิงไม่ได้โกหก เขาทำงานพิเศษทั้งวัน แต่ถึงไม่ได้ทำก็ไปนั่งเฝ้าคนดังข้างสนามไม่ได้อยู่ดี ก็เจ้าตัวไม่ได้ชวนนี่ ไม่บอกกันด้วยซ้ำ

                “ไม่ว่างจริงๆ หรือคิดจะเรียกร้องความสนใจ? วันหยุดแท้ๆ แต่รุ่นพี่กลับเอาแต่ซ้อมทั้งวัน เหมือนไม่อยากกลับไปเห็นหน้าใครอย่างนั้นล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะนายทำตัวน่าเบื่อจนเขาอ่อนใจ แล้วจะเพราะใคร?”

                “ไหนๆ ก็โชคดีได้คนดังเป็นแฟนทั้งที หัดทำตัวดีๆ ให้พี่เขาได้สบายใจบ้างสิยะ”

                “ทำเป็นไหม แฟนที่ดีน่ะ ถ้าไม่เป็นก็ลาออกไปซะ จะได้ไม่เป็นภาระพี่เค้า ชิ!” สามสาวทิ้งท้ายก่อนจะตวัดแขนไพล่กันบนอกแล้วสะบัดหน้าพรืดใส่ พร้อมเพรียงซะจนเหมือนนัดกัน ก่อนจะเดินเรียงกันออกไปจากตรงนั้นเหมือนตอนที่มา ทิ้งให้อี้ชิงยืนพ่นลมหายใจอยู่ลำพัง

                ความหงุดหงิดที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มทวีคูณเมื่อได้รู้ว่าคริสหายไปไหน อุตส่าห์รู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้ทำแง่งอนเกินไปจนนึกว่าอีกฝ่ายหลบหน้า แต่ที่แท้ก็แอบไปซ้อมกับทีม เรื่องแค่นี้จะบอกกันหน่อยก็ไม่ได้ ทีตอนไม่สบายทำเป็นอ้อนอย่างนั้นอย่างนี้ พอหายดีแล้วก็โหมซ้อมจนหนัก ไม่รู้จักห่วงตัวเองซะบ้าง คอยดูเถอะ ถ้าล้มป่วยขึ้นมาอีก จะไม่สนใจแล้วจริงๆ

                อารมณ์ขุ่นมัวนั้นทำเอาอี้ชิงไม่เป็นอันเรียนไปตลอดช่วงบ่าย ยิ่งคริสหายเงียบไป ทำเหมือนไม่สนใจกัน อี้ชิงก็นึกอยากประชดด้วยการกลับไปอยู่หอพักกับลู่หานอย่างถาวรเสียให้รู้แล้วรู้รอด ติดก็แค่ต้องกลับไปเก็บข้าวของที่คอนโดฯพ่อคนดังเสียก่อน ดีที่ตอนนี้มีคีย์การ์ดอยู่กับตัว เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วจะรีบเข้าไปจัดการให้เรียบร้อย เสร็จแล้วจะเขียนโน๊ตทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเหมือนกันเลยคอยดู

                วางแผนไว้ต่างๆ นานา แต่สุดท้ายยังไม่ทันได้ทำอะไร หลังจากหมดชั่วโมงเรียนในตอนเย็น สองเท้าที่กำลังรัวฝีก้าวผ่านทางลัดหลังตึกคณะกลับต้องชะงักเมื่อร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเข้ามาขวางทางข้างหน้า ชุดนักศึกษาถูกสวมทับด้วยเสื้อหนังสีดำอย่างที่เจ้าตัวชอบใส่เวลาขับรถมอเตอร์ไซค์ มือทั้งสองข้างล้วงลงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ เหนือมุมปากได้รูปนั่นปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าอี้ชิงหยุดอยู่กับที่ไม่ยอมเดินต่อ ทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงสิบก้าว และดูเหมือนคริสกำลังจะเป็นฝ่ายลดระยะความห่างนั้น

                “ฉันมารับ” น้ำเสียงทุ้มที่ได้ยินทำเอาใจดวงเล็กเต้นไม่เป็นส่ำ อี้ชิงเข้าใจว่าคงเป็นเพราะความโกรธ เขาโกรธคนที่ทำอะไรเอาแต่ใจ นึกอยากจะหายก็หายไปเสียเฉยๆ นึกอยากจะมาก็ก้าวมาขวางทางข้างหน้า ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ในระยะที่สบตากันได้ชัด อี้ชิงจึงผินใบหน้าเมินมองไปเสียอีกทาง

                “ไม่เห็นบอกว่าจะมา”

                “ขอโทษที ฉันเสร็จธุระแล้วก็รีบมา เลยไม่ทันได้บอก”

                “ไม่เป็นไร ตอนจะให้ฉันกลับไปนอนที่หอ นายก็ไม่ได้บอกเหมือนกัน” ปากอิ่มๆ มันยื่นออกไปเองตอนที่อี้ชิงยกมือขึ้นกอดอก ถึงตอนนี้คริสก็มาหยุดอยู่ในระยะที่ห่างกันเพียงช่วงแขนกั้นแล้ว

                “โกรธหรือ?” อี้ชิงไม่ตอบ แต่ใช่ เขาตวัดสายตาเคืองขุ่นมองคนตัวสูงกว่าแทนคำตอบนั้น “ขอโทษนะ”

                อี้ชิงยังคงนิ่ง นึกเรียบเรียงคำพูดอยู่ในหัวว่าควรจะตำหนิคนดังในเรื่องไหนก่อนดี สองวันมานี้ทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย ไหนจะเรื่องที่ตัวเองอยากกลับไปอยู่หอพักอีก พ่นลมหายใจทิ้งเสียหนึ่งทีแล้วริมฝีปากอิ่มก็เริ่มขยับ

                ทว่าก่อนที่คำตัดพ้อใดๆ จะหลุดออกมา มือเล็กที่กำลังกำแน่นก็ถูกดึงไปกุมไว้ มือใหญ่ออกแรงบีบเพียงเบาๆ กำปั้นเล็กก็คลายแรง นิ้วเรียวจึงสอดเข้าเกี่ยวประสานสองมือไว้ด้วยกันได้โดยง่าย ออกแรงดึงเพียงนิด ร่างเล็กก็ถลาเข้าไปใกล้ให้คริสได้เอ่ยคำคุ้นเคยที่ข้างหู

                “กลับกันเถอะ”

     

     

                หลังจากนั้นคริสก็ไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดทางที่กลับ ทั้งที่ปกติจะต้องชวนคุย หิวข้าวไหม อยากกินอะไร แต่วันนี้กลับเอาแต่เงียบ เงียบเสียจนอี้ชิงเกือบจะรู้สึกอึดอัด ดีที่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงคอนโดฯที่พัก หลังจากคริสใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องให้แล้ว อี้ชิงก็รีบตรงไปยังห้องนอนตัวเองในทันที

                “เดี๋ยวก่อนเขียวหวาน” แต่ก็ต้องหยุดเมื่ออีกฝ่ายเรียกไว้ เพราะอารมณ์ยังไม่คงที่เท่าไหร่ พอคริสเพยิดหน้าไปทางห้องรับแขก อี้ชิงจึงทำหน้าเนือยใส่ “ฉันมีอะไรจะให้ดู”

                “เอาไว้ก่อนได้ไหม อยากนอน”

                “แป๊บเดียว” ไม่ทนกับคนตื๊อก็ใช่ แต่เพราะความอยากรู้ก็มีส่วน จะยังไงอี้ชิงก็เดินตามคริสไปหยุดหน้าโซฟาแดงในห้องรับแขกจนได้ มีกล่องใบหนึ่งวางอยู่บนนั้นในลักษณะจงใจให้สะดุดตา ขนาดของมันไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ท่าทางจะมีน้ำหนักพอควร คริสจึงต้องใช้ทั้งสองมือตอนที่ยกมันขึ้นมาแล้วยื่นให้ “เปิดดูสิ”

                อี้ชิงเอียงคอมองกล่องปริศนาด้วยความสงสัย จะอวดอะไรก็ไม่รู้ แต่ท่าทางที่สองมือใหญ่ประคองมันอย่างระมัดระวังทำให้อี้ชิงอดระแวงไม่ได้ มองหน้าคนถือสลับกับของในมือแล้วยิ่งไม่กล้ารับมัน เกิดพลาดหลุดมือขึ้นมาจะทำยังไง ยิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย แค่เปิดดูก็พอ มือเล็กจึงค่อยๆ ยื่นออกไป ยกฝากล่องขึ้นอย่างระมัดระวัง

                และของที่อยู่ในนั้นก็ทำเอาอี้ชิงต้องตาโตด้วยความแปลกใจ

                “นี่มัน...” มองหน้าคริสแล้วก็มองของในกล่องนั่นอีกครั้ง พอคิดเดาเรื่องราวไปเองแล้วอี้ชิงก็นึกโกรธจนโวยวายออกมา “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เอากล้องใหม่ กล้องตัวไหนก็ไม่เหมือนตัวนั้น!

                “ใจเย็นๆ ดูให้ดีก่อนสิ” แต่อี้ชิงไม่ฟัง หุนหันจะกลับเข้าห้องท่าเดียว คริสจึงต้องคว้าต้นแขนเแล้วบังคับให้นั่งลงบนโซฟา ก่อนจะวางกล่องนั้นลงบนตัก อี้ชิงไม่กล้าขยับเพราะกลัวว่ามันจะทำมันหล่น แต่ยังค้อนใส่คนที่นั่งประกบอยู่ข้างตัวด้วยนึกเคืองไม่หาย

                “ดูก่อนได้ไหม” ยังมาทำเสียงดุใส่ จะดูไปทำไมกัน มองแว่บเดียวก็รู้ว่ากล้องสีดำราคาแพงที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องนั้นเป็นยี่ห้อและรุ่นเดียวกับที่อี้ชิงมี เพียงแต่มันดูใหม่กว่า ทั้งพื้นผิวมันเงาและฝาครอบเลนส์ใหม่เอี่ยม

                แต่เดี๋ยวก่อน ตรงมุมหนึ่งของมันมีรอยบิ่นเล็กๆ และรอยขีดข่วนจางๆ ซึ่งพอจะดูออกว่าผ่านการซ่อมแซมมาก่อน กล้องใหม่ไม่ควรมีตำหนิแบบนี้สิ หรือว่าไม่ใช่? ด้วยความเอะใจ สองมือจึงช่วยกันประคองยกกล้องขึ้นมาดูใกล้ๆ จับพลิกไปพลิกมา สำรวจดูทั่วกระทั่งแน่ใจ

                “นี่มัน...” เพราะจำได้ว่ารอยบิ่นนั้นเป็นตำหนิเดียวกันกับที่มีบนกล้องของเขาตอนที่ตก เพียงแต่ฝาครอบเลนส์ที่แตกไปแล้วนั้นถูกเปลี่ยนใหม่ ยิ่งได้จับต้องก็ยิ่งคุ้นมือนัก “...ของฉัน นี่กล้องฉันใช่ไหม?”

                คริสพยักหน้า สีหน้าและแววตาดูจริงจังเกินกว่าจะคิดว่าล้อกันเล่นได้  

                “ทำไมถึงได้...?”

                “ฉันซ่อมมาคืนให้”

                “ซ่อม? ไม่จริงอ่ะ ฉันถามจนทั่วแล้ว ไม่มีร้านไหนซ่อมมันได้” ทั้งเลนส์ที่ร้าวเช่นเดียวกับฝาครอบ ไหนจะอุปกรณ์ภายในซึ่งไม่รู้ว่ากระทบกระเทือนอะไรบ้าง ระบบสแตนบายกล้องถึงเปิดไม่ติดตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ว่าร้านไหนๆ ในโซลก็ส่ายหน้าไม่รับซ่อมกันหมด

                “ที่เกาหลีซ่อมไม่ได้ แต่บ้านเกิดมันต้องซ่อมได้”

                “บ้านเกิดมันงั้นเหรอ?” คริสพยักหน้า สีหน้าดูผ่อนคลายเมื่ออี้ชิงดูจะหายหงุดหงิดลงไปบ้าง

                “กล้องรุ่นนี้ผลิตที่ญี่ปุ่น ฉันส่งอีเมลล์ไปติดต่อกับบริษัทที่ผลิตมัน เขารับปากว่าจะซ่อมให้ ก็เลยให้คุณเฮนรี่เป็นธุระจัดการ”

                “คุณลุงเหรอ?” คริสพยักหน้า คุณเฮนรี่คือคนเดียวกับคุณลุงพ่อบ้านที่อี้ชิงเคยเจอแค่ครั้งเดียว

                “ใช่ เขาบินมาถึงนี่เมื่อวานช่วงสายๆ รับของแล้วก็บินต่อไปญี่ปุ่นเลย อยู่รอจนกระทั่งซ่อมเสร็จแล้วก็บินเอามาให้เมื่อเย็นนี้เอง” ตาคู่ใสเบิกกว้างก่อนจะกระพริบปริบอย่างทึ่งๆ ยกนิ้วขึ้นนับให้คริสเห็น

                “แค่สองวันเนี่ยนะ?”

                “ใช่” คราวนี้ปากอิ่มห่อเป็นรูปตัวโอ ทุกอย่างเกิดขึ้นกับกล้องตัวโปรดโดยที่เขาไม่รู้เรื่องเลย ถูกส่งกลับไปบ้านเกิดมานี่เอง มิน่าล่ะ นอกจากซ่อมแซมแล้วยังทำความสะอาดให้จนเหมือนใหม่ รอยตำหนิเล็กๆ นั่น ถ้าไม่สังเกตุให้ดีก็แทบมองไม่เห็นด้วยซ้ำ แค่สองวัน คริสก็เอากล้องตัวเดิมมาคืนเขาได้จริงๆ

                “ว่าแต่ ทำไมถึงเร็วนักล่ะ ขนาดส่งกลับไปซ่อมที่ศูนย์ยังต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์เลยนะ” แล้วนี่ส่งกลับไปถึงโรงงาน น่าจะต้องใช้เวลามากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่คริสกลับยิ้ม เอนหลังพิงไปกับเบาะพลางวาดแขนอ้อมหลังอี้ชิงไปพาดไว้บนพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้เสียจนอี้ชิงต้องย่นคอหนีตอนที่บอก

                “ฉันขอร้องเขาเป็นกรณีพิเศษ บอกว่ากล้องนี่สำคัญมาก สำหรับใครบางคนที่สำคัญ”

                นัยน์ตาวิบวับนั้นห่างออกไปไม่ไกล แล้วทำไมอี้ชิงต้องใจสั่นเพียงแค่มองสบด้วยก็ไม่รู้ ใจมันเต้นแรงเสียจนแทบจะกระโดดออกมานอกอก จะลิงโลดอะไรกันนักหนา คนสำคัญที่ว่านั่นมีจริงเสียที่ไหน แค่บอกเพื่อจะให้ทางนั้นรีบซ่อมให้เร็วๆ ก็เท่านั้น ปรามตัวเองแล้วอี้ชิงก็ต้องขยับถอยเพื่อเพิ่มระยะห่าง หลบตาคมยามลูบมือกับข้างแก้มร้อนของตัวเองเบาๆ

                “เกรงใจคุณลุงเฮนรี่จัง คงต้องหาโอกาสโทรไปขอบคุณซักหน่อย”

                “แล้วคนทางนี้ล่ะ?” ยังตามมากระซิบไม่ให้ลืมกัน ทวงซึ่งหน้าแบบนี้อี้ชิงจึงตวัดสายตาใส่

                “ก็นายทำมันพัง ซ่อมให้ก็ถูกแล้ว”

                “นั่นสินะ” พยักหน้าช้าๆ พลางดุนลิ้นกับกระพุ้งแก้ม นัยน์ตาเป็นประกายนั้นน่าหมั่นไส้จนอี้ชิงนึกอยากจะเอานิ้วจิ้มให้หงายเงิบนัก โซฟาก็ตั้งยาว ต้องขยับมาเบียดกันทำไมก็ไม่รู้

                “ว่าแต่ เมื่อวานนายก็ออกไปแต่เช้า กล้องก็อยู่ในห้องฉัน แล้วนายมาเอาไปตอนไหน?”

                “เพื่อนนายเอาออกมาให้”

                “ลู่หานน่ะนะ?” คริสพยักหน้า

                “ฉันขอร้องให้ช่วย เพราะถ้าขอดีๆ นายคงไม่ให้” เลยต้องขโมยกัน มิน่าล่ะ เมื่อวานลู่หานถึงได้ตื่นเช้านัก เจ้ากี้เจ้าการอยู่เรื่อย เพื่อนใครกันแน่ก็ไม่รู้ “ตัวแสบ”

                “เพื่อนนายก็แค่ไม่อยากเห็นนายเอาแต่ซึมเศร้า เขาแค่อยากช่วย” อี้ชิงได้แต่งับปาก เคืองเพื่อนแค่นิดเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่คนที่นั่งอยู่ข้างกายเนี่ยสิ จะขอบคุณก็พูดได้ไม่เต็มปาก ก็ก่อนหน้านี้เล่นแง่ใส่เค้าไว้เสียเยอะ พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายไถ่โทษโดยการส่งกล้องสุดที่รักไปซ่อมให้แล้วก็พูดไม่ออก ได้แต่ลูบๆ คลำๆ ลูกรักที่ได้กลับมาอยู่ในมือเบาๆ อย่างทะนุถนอม กระทั่งคริสทักขึ้น

                “จะไม่ลองกล้องหน่อยเหรอ?”

                “จริงด้วยสิ” ถึงได้นึกได้ กดปุ่มเปิดระบบแล้วยกกล้องขึ้นเล็ง มองผ่านเลนส์ไปรอบๆ ห้องกระทั่งมาหยุดที่ใบหน้าหล่อคมของคนข้างๆ ระบบก็ปรับความคมชัดตามระยะให้โดยอัตโนมัติ “ว้าว โฟกัสแจ่มกว่าของเก่าเสียอีก”

                “ทางโรงงานเขาแถมอุปกรณ์เสริมตัวที่ใช้ได้กับรุ่นนี้มาให้ด้วยนะ” คริสแตะมือเล็กที่ถือกล้องเล็งตรงมาที่หน้าตัวเองให้ลดลงเบาๆ ก่อนจะเพยิดหน้าไปยังกล่องใบหนาซึ่งยังวางอยู่บนหน้าขาอีกฝ่าย อี้ชิงจึงหันมาสนใจตาม

                ภายในกล่องนั้นมีสองชั้น ถูกคั่นไว้ด้วยกระดาษแข็งซึ่งพอดึงขึ้นก็จะได้เห็นอุปกรณ์อีกหลายชิ้นที่ถูกจัดเรียงมาอย่างดี คนที่ชอบเล่นกล้องถึงกับตาลุกวาว ยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น

                “โห~ ของแพงๆ ทั้งนั้นเลยอ่ะ” คริสพยักหน้าแล้วยิ้มตาม “ฉันเคยอยากได้นะ แต่ไม่มีปัญญาซื้อ เจ้าตัวนี้ก็เลยถ่ายได้แต่แบบเดิมๆ ไม่ค่อยได้เล่นลูกเล่นเลย”

                “เห็นคุณเฮนรี่บอกว่าทางโรงงานเขาปรับลูกเล่นในกล้องให้ถ่ายได้สวยขึ้นด้วยนะ อยากออกไปลองถ่ายเล่นดูไหม?”

                “ถ่ายตอนนี้จะไปเห็นอะไร มืดค่ำป่านนี้แล้ว”

                “ไปเถอะน่า จะได้ลองโหมดกลางคืนด้วยเลยไง” คริสบอกแล้วลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือให้อีกฝ่ายจับยึดเพื่อลุกตาม แต่อี้ชิงกลับชี้นิ้วออกไปนอกหน้าต่าง

                “ถ้าจะถ่ายแค่วิวตึก ถ่ายจากหน้าต่างนี่ก็ได้” อยู่สูงตั้งชั้นที่ยี่สิบกว่า จะถ่ายฟ้าถ่ายดาว หรือถ่ายแสงไฟวิบวับจากตึกสูงข้างนอกก็ยังได้ ต้องลำบากออกไปหาที่ลองกล้องทำไมกัน

                “ออกไปข้างนอกเถอะน่า ป่ะ เดี๋ยวพาไปเดินเล่นที่คลองชองกเยชอน”

                “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ นี่ เดี๋ยวก่อนสิ” พอคริสไม่ฟังเสียงแย้ง คว้ามือแล้วดึงจะให้ลุกขึ้นตามท่าเดียว อี้ชิงก็ต้องยื้อมือคืนจนหลุดมาได้ หันมาเก็บกล้องลงกล่องแล้วยัดทั้งกล่องนั้นใส่ลงเป้อีกที รูดซิปปิดจนเรียบร้อยดีแล้วถึงได้ยกขึ้นสะพายหลัง ก่อนจะหันไปจับมือที่ยังยื่นออกมารอไว้ตามเดิมอย่างลืมตัว

                คนลืมตัวนั้นได้แต่ตื่นเต้นที่จะได้ออกไปข้างนอก นึกถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในเป้บนหลังแล้วก็อยากจะลองใช้มันเสียทุกๆ ชิ้นเร็วๆ ส่วนอีกคนที่เดินจูงมือนำอยู่ข้างหน้านั้นก็ตื่นเต้นเช่นกัน หัวใจอีกดวงที่เต้นแรงและหนักหน่วงยิ่งกว่า ยิ่งเมื่อมือเล็กกระชับตอบเพียงแค่เขากดปลายนิ้วลงบนหลังมือนุ่มเบาๆ ริมฝีปากได้รูปก็แทบปิดกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ความสุขมากมายเพียงแค่ได้เห็นคนตัวเล็กยิ้มอย่างอารมณ์ดีไปตลอดทาง แม้ไม่ได้ยินคำให้อภัยหรือขอบใจในความหวังดีที่ทำ แต่คริสก็พอใจแล้ว

                เพราะที่เขาตามหาและเฝ้ารอมาตลอดก็เพียงแค่สิ่งนี้ รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วเช่นเดียวกับในตอนนั้น ...เพียงจางอี้ชิงคนนี้ คนเดียวเท่านั้น

     

     

     

     

      

    ทู บี คอนตินิว...

      

     

     

    คนรอง: อารมณ์ดีเลยต่อได้แบบรวดเดียวจบ เดี๋ยวมาต่อที่เค้าไปเดทกันในตอนหน้านะฮะ เรื่องมันเริ่มจะดีละ เดี๋ยวต้องมีใครหลุดสารภาพอะไรกันออกไปก่อนกันบ้างล่ะ งื้ออออ ><

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้า ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×