ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #1 : เขียวหวานน่ารัก ~ 01 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.73K
      74
      27 ก.ค. 58


     

    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 1

     Fiction by 2nd Admin

     

    .

    .

    .

     

    จางอี้ชิงคิดว่าในโลกนี้มีคนอยู่แค่สองประเภท หนึ่งคือคนธรรมดาที่ไม่น่าสนใจ ถูกมองข้ามได้ ถูกลืมก็ได้ ต่อให้ไร้ตัวตนในสายตาใครต่อใครก็ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย กับอีกประเภทที่ต่างกันสุดขั้วก็คือคนดังที่ชอบทำตัวให้เป็นที่สนใจของคนรอบข้าง ชนิดที่ว่าแค่ขยับตัวก็จะต้องเป็นข่าว คนพวกนี้จะไม่ยอมให้ตัวเองด้อยไปกว่าคนอื่นๆ หรืออยู่นอกสายตาใคร

    แน่นอนว่าอี้ชิงจัดตัวเองให้อยู่ในประเภทแรก เขารักสันโดษตัวพ่อและไม่ชอบความวุ่นวายอย่างที่สุด ส่วนตัวอย่างของคนดังในประเภทที่สอง ก็คนที่เขากำลังมองผ่านเลนส์คิทของกล้องดีเอสแอลอาร์ตัวเก่งอยู่ตอนนี้นี่ไงล่ะ นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากประเทศแคนาดา รุ่นพี่ปีสามที่เพิ่งย้ายมาเรียนในมหาวิทยาลัยของเขาได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ สูง ขาว หล่อ ลูกครึ่งหรือเปล่าไม่รู้ แต่หล่ออ่ะ ต้องยอมรับว่าหล่อมาก ผิวขาวสะอาดอย่างผู้ดี ผมสีน้ำตาลอ่อน สีเดียวกับเส้นคิ้วที่เรียงตัวสวยอย่างกับบรรจงวาดก่อนออกมาจากบ้านทุกวัน ดวงหน้าเรียวยาว แม้ว่าปลายคางจะยื่นออกนิดๆ แต่ก็ยังดูดี ตาคม จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่มสวยได้รูปมาก เป็นสีแดงเชอรี่นิดๆ ด้วย หุ่นนี่ก็แบบ เด็กฝรั่งเลยล่ะ ขายาว ไหล่กว้าง มีกล้ามเนื้อนิดๆ พองาม ไม่ได้ใหญ่ก้ามปูจนเทอะทะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผอมตัวโก่งเหมือนพวกขี้โรค สรุปแล้วคือหุ่นดี หน้าตาดี เพอร์เฟคมากๆ มากที่สุดตั้งแต่ที่อี้ชิงเคยพบเจอคนดังมาก็ว่าได้ อันนี้เขาไม่ได้คิดชมเอาเอง แต่ตั้งแต่วันแรกที่หมอนี่ย้ายมา ก็ทำเอาสาวๆ ในมหาวิทยาลัยพากันจับตามองจนไม่เป็นอันเรียน ตกเย็นก็ต้องรวมตัวกันมานั่งเฝ้าถึงในโรงยิมฯของชมรมบาสเก็ตบอลที่เจ้าตัวชอบมาโชว์ออฟฆ่าเวลา ชู๊ตลงห่วงบ้างไม่ลงบ้าง แต่พอได้จับลูกที เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นมาจนน่ากลัวว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในสนามอาจได้รับความกระทบกระเทือนจนหูดับได้

    ที่รู้นี่ก็เพราะตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา อี้ชิงเองก็ต้องมานั่งเฝ้ารุ่นพี่เด็กแลกเปลี่ยนที่นี่ทุกวัน แต่ไม่ใช่เพราะถูกความหล่อกระแทกใจจนเขาคิดจะแปลงร่างจากชายแท้ๆ ไปเป็นอย่างอื่นหรอกนะ แต่เพราะเขามีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา และกล้องโปรฯตัวเก่งที่เก็บภาพหมอนี่ไว้เป็นร้อยๆ พันๆ รูปจนเมมเมอรี่แทบจะเต็มนี่ก็เพราะหน้าที่เหมือนกัน เขาต้องเลือกรูปที่ดีที่สุดไปป้อนให้ชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์ของตัวเองทุกวัน (มันยากตรงที่ไม่ว่าจะถ่ายออกมามุมไหน หมอนี่ก็ดูดีอย่างไม่มีที่ติจริงๆ นี่แหละ) แต่วันนี้เขาต้องทำงานที่ยากยิ่งกว่านั้น ก็หัวหน้าชมรมจอมเฮี้ยบน่ะบอกว่าแค่รูปยังไม่พอ เขาต้องการบทสัมภาษณ์ด้วย เอาแบบเจาะลึกถึงเรื่องส่วนตัว เรื่องของหัวใจ อาหารที่ชอบ สถานที่ที่อยากไป บลาๆๆ แต่ขอโทษเหอะ อย่าว่าแต่สัมภาษณ์เลย เอาแค่คุยกันจะรู้เรื่องมั้ย หมอนี่พูดภาษาเกาหลีได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

     

    จากที่ตามถ่ายภาพพ่อคนดังในสนามแบบสแนปช็อตมาตั้งแต่แรกจนตอนนี้ก็เอาแต่นั่งท้าวคางมองคนหล่อวิ่งไปวิ่งมาพลางถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสุดเซ็ง เสียงนกหวีดเป่ายาวๆ บอกหมดเวลาในสนามก็ทำให้อี้ชิงกะตือรือร้นขึ้น รีบคล้องสายสะพายกล้องไว้กับคอแล้วลุกขึ้นเตรียมจะวิ่ง อ้อ เกือบลืมเป้แน่ะ กลับมาคว้าเป้ขึ้นสะพายหลังก่อนจะวิ่งลงจากอัฒจรรย์ในทันที แต่ให้รีบแค่ไหนก็ยังช้ากว่าความไวของฝีเท้าของสาวๆ ที่รออยู่รอบๆ กว่าอี้ชิงจะลงไปถึงพื้นสนาม พื้นที่วงในรอบตัวรุ่นพี่สุดหล่อก็ไม่ว่างแล้ว

    “รุ่นพี่เล่นเก่งจังเลยค่ะ”

    “เหนื่อยมั้ยคะ? หิวน้ำหรือเปล่า?”

    “กลับบ้านยังไงคะ? กลับกับฉันก็ได้นะ วันนี้ฉันเอารถมา”

    “ขอโทษนะครับ คือขอทาง... โว้วๆ! ระวังหน่อยสิ กล้องนี่มันแพงนะ!” การแย่งชิงพื้นที่สื่อก็ช่างลำบากลำบนดีแท้ อี้ชิงที่ตัวไม่ได้สูงนักถึงกับเซเสียหลักเมื่อรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งวิ่งเข้ามาทีหลังแต่ต้องการเข้าประชิดตัวคนหล่อ ถึงกับชนเขาจนกระเด็น อี้ชิงไม่ได้อยากจะถือสาถ้าเขาจะแค่เจ็บตัว แต่ถ้าพลาดทำกล้องตัวเก่งหลุดมือหล่นพื้นจนพังไปล่ะก็นะ

    สุดท้ายก็เลยต้องยอมถอยออกมาให้ห่างจากกลุ่มเด็กสาวผู้บ้าคลั่ง อี้ชิงไม่อยากเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ แค่ต้องทนมองภาพเดิมๆ คนเดิมๆ ทุกวันก็เบื่อจะแย่ ทำไมไม่เป็นคนอื่นที่ต้องมาทำข่าวหมอนี่นะ จางอี้ชิงจิ๊ปากอย่างสุดเซ็งแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก พอปลายสายรับปุ๊บก็กรอกน้ำเสียงหงุดหงิดลงไป

    “นี่จงแด เรื่องสัมภาษณ์น่ะเอาไว้วันหลังเถอะ วันนี้เข้าไม่ถึงตัวเลย ...นายจะกลัวอะไร ฉันเข้าไม่ถึงคนอื่นก็ไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ ...ว่าไงนะ? ฉันเนี่ยนะไม่มีความพยายาม? ...เออๆๆ ภายในอาทิตย์หน้าฉันจะเอาบทสัมภาษณ์ไปให้นายลงเวบให้ได้! ...ว่าไงนะ? ช้าไป? ฮึ่ย! งั้นก็ให้คนอื่นทำแล้วกัน ทำไมไม่รับสาวๆ สวยๆ เข้ามาในชมรมซักคนวะ จะได้เข้าถึงตัวหมอนี่ได้ง่ายกว่าฉัน แค่นี้นะ!

    กดวางสายอย่างหัวเสียแล้วก็เก็บมือถือลงกระเป๋า อุตส่าห์ลงทุนนั่งเฝ้าหมอนี่มาทั้งวันแต่เจ้าคิมจงแดตัวแสบกลับหาว่าเขาไม่มีความพยายาม ให้ตายเหอะ! หันกลับไปมองหัวข้อสัมภาษณ์ตัวสูงที่ตอนนี้ถูกกลุ่มสาวๆ รุมล้อมจนเห็นแต่หน้าหล่อๆ ลอยเด่นแล้วก็ย่นจมูกใส่ ชิ! ทำเป็นเก๊กขรึมไม่ยอมยิ้ม ที่จริงก็คงจะดีใจจนตัวพองล่ะสิที่มีสาวๆ เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนี้ น่าหมั่นไส้นัก!

    ยังไงจางอี้ชิงก็เชื่ออยู่ดี ว่าพวกคนดังแตกต่างจากคนธรรมดาอย่างเขาก็ตรงที่นิสัยเสีย ต่อให้เรียนเก่ง เล่นกีฬาดี หล่อ รวยยังไง คนพวกนี้ก็ต้องมีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น อย่างหมอนี่ก็เหมือนกัน หล่อๆ แบบนี้ต้องเจ้าชู้แน่ๆ แค่ยังไม่ได้เผยธาตุแท้ออกมาให้ใครเห็น

    กลีบปากอิ่มที่ปิดสนิทเผยรอยยิ้มน้อยๆ ส่งให้ดวงตาคู่สวยเป็นประกายเช่นเดียวกับความคิดที่ผุดขึ้นในหัว ถ้าคิมจงแดอยากได้บทสัมภาษณ์เขาก็จะจัดให้ อยากให้คลุกวงในก็จะเข้าไปตีสนิทจนกว่าจะได้คุย แล้วเขานี่แหละที่จะตีแผ่ตัวตนของหมอนั่นให้คนอื่นๆ ได้เห็น ตัวตนด้านที่จะยืนยันว่าตรรกะของเขานั้นเป็นจริง

     

    คริสคนนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ได้ดีเชียว!



     



                ...มีแต่รูปซ้ำๆ กันทั้งนั้น หน้านิ่งๆ ดูเย็นชา ริมฝีปากสีสดไม่เคยแย้มยิ้มเลย ตาคู่คมไม่เผยแววให้รู้ซักนิดว่ากำลังคิดอะไร

    คริสคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่นะ?

                “เฮ้อออ น่าเบื่อชะมัด” จางอี้ชิงถอนหายใจออกมาในที่สุด หลังจากนั่งจับผิดรูปที่ตัวเองถ่ายมาทั้งอาทิตย์อยู่ร่วมค่อนชั่วโมง เขาก็ปิดโปรแกรมพรีวิวรูปแล้ววางกล้องลงบนเป้ซึ่งอยู่ข้างตัว ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะทำหน้ายู่เมื่อพบว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมานานแล้ว เพื่อนตัวดีบอกให้มารอที่ข้างสนามฟุตบอล ป่านนี้ยังไม่โผล่มาเลย โทรไปจิกซักหน่อยดีกว่า

                “เสี่ยวลู่ นายอยู่ไหน? ฉันหิวข้าวจะแย่แล้วนะ”

                [โอ๊ะ อี้ชิง โทษที ฉันลืมไปเลย วันนี้ไปกินข้าวคนเดียวนะ พอดีที่คณะมีรับน้องอ่ะ มีข้าวกลางวันให้กินด้วย]

                “ข้าวฟรีเหรอ? แล้วทำไมไม่ชวนฉันล่ะ”

                [นายมาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้คนนอกเข้า]

                “โหย อะไรกัน ฉันเป็นเพื่อนนายนะ”

                [ก็คนละคณะกันนี่นา]

                “ใจร้ายอ่ะ”

                [เอาน่า เดี๋ยวเย็นนี้พาไปเลี้ยงราเมง แต่กลางวันนี้ไปกินคนเดียวก่อนแล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ ต้องไปดูแลน้องๆ อ่ะ]

                “เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ แต่ฉันมี...!” ไม่ทัน เพื่อนตัวแสบชิงวางสายไปก่อนแล้ว ยังไม่ทันได้ปรึกษาอะไรเลย อี้ชิงถอนหายใจอีกครั้งอย่างเซ็งๆ

                ลู่หานหรือเสี่ยวลู่เป็นเพื่อนสนิทกับเขามาตั้งแต่ไฮสคูล ด้วยความที่เป็นเด็กต่างชาติซึ่งย้ายมาเรียนที่เกาหลีเหมือนกัน พูดภาษาเดียวกันได้ก็เลยสนิทกันง่าย เพราะอี้ชิงไม่ชอบความวุ่นวายก็เลยไม่มีเพื่อนเยอะนัก ผิดกับลู่หานที่ขี้เล่น อารมณ์ดี อัธยาศัยดี เข้ากับคนได้ง่าย เพื่อนฝูงเลยมากมายจนจำหน้าไม่หมด แต่กระนั้นก็มีแค่เขาคนเดียวที่จอมซนมักจะหนีบไปไหนมาไหนด้วยตลอด พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ย้ายมาอยู่หอเดียวกัน ปกติแล้วก็ตัวติดกันตลอดเวลา เพิ่งจะตั้งแต่เปิดเทอมใหม่มานี่แหละที่อี้ชิงรู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งอยู่บ่อยๆ ก็เพื่อนสนิทชอบอ้างว่าไปทำกิจกรรมของคณะฯ คงจะมีรุ่นน้องที่เข้ามาใหม่สวยๆ ใสๆ ถูกใจเค้าบ้างล่ะ ถึงได้ไม่ยอมพลาดแบบนี้

                “กินคนเดียวก็ได้” ออกจะนอยด์เล็กน้อยแต่ก็ช่างเถอะ อี้ชิงหยิบกล้องขึ้นมาเช็ดๆ ถูๆ อย่างทะนุถนอมก่อนจะยกขึ้นเล็งหามุมถ่ายภาพเล่นๆ แล้วกดถ่ายไปสองสามภาพ สบายใจแล้วถึงได้ลุกขึ้นจากสนามหญ้า แต่แค่ขยับตัวก็ได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องจ๊อกๆ อี้ชิงหน้าม่อยพลางครางเสียงเบาๆ กว่าจะเดินไปถึงแคนทีนก็ตั้งอีกหลายนาที โชคยังดีที่เขามักจะพกขวดน้ำดื่มติดกระเป๋า ดื่มน้ำเปล่ารองท้องไปก่อนแล้วกัน

                “นี่นาย แคนทีนไปทางไหน?”

                “หือ?” หันหลังไปมองทั้งที่ปากขวดน้ำยังค้างอยู่ที่ปาก เรียวคิ้วบางเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อระดับสายตาเห็นเพียงสีขาวของอกเสื้อกว้างๆ ต้องเงยหน้าขึ้นอีกสี่สิบห้าองศาถึงจะเห็นหน้าค่าตาเจ้าของน้ำเสียงทุ้มห้วนนั้นชัดๆ ดวงตาคมดุนี่ดูคุ้นๆ นะ ไหนจะริมฝีปากสีแดงที่ปิดสนิทนี่อีก...

     

                เดี๋ยวก่อนนะ หมอนี่มัน...

     

                พรวด!

     

                ตาที่โตอยู่แล้วยังโตได้อีกด้วยทั้งอึ้งทั้งตกใจ ตกใจที่จู่ๆ คนดังก็มายืนอยู่ตรงหน้า แถมยังพูดภาษาเกาหลีได้ชัดต่างจากที่เคยแอบนินทาไว้ และที่อึ้งนี่ก็เพราะหน้าหล่อๆ ที่เขามองผ่านเลนส์กล้องทุกวันต้องเปียกปอนเพราะถูกน้ำผสมน้ำลายตัวเองพ่นเข้าใส่แบบเต็มๆ

     

                ตายแน่จางอี้ชิง!

     

                “นาย...” แค่เสียงคำรามในคอเบาๆ ก็ทำเอาอี้ชิงสะดุ้ง รีบขอโทษอย่างลนลาน

                “ข.. ขอโทษ! คือ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ เปียก... ทำไงดี เปียกหมดเลย ตายๆๆ ผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหนเนี่ย  ไม่มีๆ กระดาษทิชชู่ก็แล้วกัน อ่ะนี่ ฉันยังไม่ได้...”

                “หยุดเลย” แค่ยื่นมือออกไปหมายจะช่วยเช็ดน้ำให้ แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสโดนหน้าหล่อๆ ด้วยซ้ำ ข้อมือก็ถูกคว้าหมับ “แคนทีน-ไป-ทาง-ไหน”

                น้ำเสียงกดต่ำตอนที่ถามทีละคำอย่างช้าๆ ทำให้อี้ชิงแทบไม่กล้ากลืนน้ำลาย ยกมืออีกข้างขึ้นช้าๆ แล้วชี้นิ้วไปทางสนามฟุตบอล ตอบตะกุกตะกัก

                “ด.. เดินตัดสนามฟุตบอลไปแล้วเลี้ยวซ้าย...”

                “ขอบใจ” อี้ชิงก็อยากจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่เพราะสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้เขาทำได้แค่ยิงฟัน ก่อนที่ข้อมือจะเป็นอิสระเมื่อนิ้วใหญ่คลายออก

                คนถามทางเดินจากไปแล้ว ขณะที่คนบอกทางยังยืนตัวแข็งในท่าเดิม ทำได้แค่เหลือบตามองตามหลังอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะแอบเห็นว่าคนตัวสูงใช้เพียงหลังมือเช็ดน้ำที่เปียกหน้าตัวเองด้วยท่าทางรังเกียจ ก็แหงล่ะ ใครจะชอบที่คนอื่นมาพ่นน้ำใส่ แถมยังเป็นคนที่เพิ่งจะเคยเจอหน้ากันครั้งแรกด้วย ครั้งแรกก็ประทับใจขนาดนี้แล้ว แผนการณ์คลุกวงในรุ่นพี่คนดังเพื่อให้ได้บทสัมภาษณ์มาสังเวยหัวหน้าชมรมอย่างที่ลั่นปากไว้คงไม่ต้องพูดถึง

               

                จางอี้ชิงยิ้มขื่น หัวเราะเหอะๆ ก่อนจะกลายเป็นครางเสียงอย่างสิ้นหวัง

     

                “ตายแน่ๆ คิมจงแดฆ่าฉันแน่ๆ”

     

    .

     

    .

     

    .

     

                มากินข้าวที่แคนทีนตอนใกล้บ่ายก็มีข้อดีเหมือนกัน ที่อี้ชิงชอบมากๆ ก็คือคนไม่เยอะ เขาไม่ต้องต่อแถวเพื่อรอซื้ออาหาร แล้วที่นั่งก็ว่างเยอะแยะ ไม่ต้องเสียเวลามองหา แต่จะดีกว่านี้ถ้าเสี่ยวลู่มาด้วยกัน หมอนั่นมักจะอาสาเป็นคนไปซื้อกับข้าวมาให้ในขณะที่เขาเพียงแค่นั่งรอที่โต๊ะ เพราะเป็นคนฉลาดพูด(ออกไปทางกะล่อนนิดๆ) ใช้เงินแค่ไม่กี่ร้อยวอนก็มักจะได้อาหารดีๆ กลับมาแบ่งกันกินทุกครั้ง และในทุกๆ มื้อก็จะต้องมีของโปรดของเขาอยู่ด้วย แต่มื้อนี้อี้ชิงต้องกินคนเดียว ก็เลยเลือกกับข้าวมาแค่อย่างเดียวเท่านั้น

                มองจานข้าวกับชามแกงตรงหน้าแล้วก็ถูมือพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างน่าอร่อย โชคดีเหลือเกินที่เขาเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ เพราะความที่มีนักศึกษาจากต่างประเทศค่อนข้างเยอะ อาหารในแคนทีนก็เลยเป็นแบบนานาชาติไปด้วย อี้ชิงค้นพบรักแรกก็เมื่อตอนปีหนึ่ง ปกติแล้วเขาไม่ชอบอาหารเผ็ดก็เลยไม่ชอบกินแกงทุกชนิด แต่มีวันนึงที่ลู่หานไปทำปากหวานใส่คุณป้าร้านอาหารไทยจนได้แกงหน้าตาแปลกๆ มาให้ชิม ตอนแรกที่ได้เห็นน้ำแกงสีเขียวอ่อนก็รู้สึกว่ามันน่ารักดีนะ ไม่เคยเห็นแกงเผ็ดเป็นสีพาสเทลมุ้งมิ้งละมุนตาแบบนี้ พอตักชิมคำแรก รสชาติหวานมันของน้ำแกงกับเนื้อไก่นุ่มๆ ก็ทำให้อี้ชิงตกหลุมรักมาตั้งแต่นั้น แล้วเจ้าแกงเขียวหวานก็กลายมาเป็นหนึ่งในอาหารโปรดของเขา ถ้าวันไหนคุณป้าร้านอาหารไทยทำแกงนี้ ลู่หานก็ต้องไปจีบมาให้ทุกครั้ง

                “จะกินล่ะนะ” ช้อนกับส้อมเตรียมพร้อมอยู่ในมือแล้ว กลีบปากอิ่มตึงจุดยิ้มน้อยๆ เพียงนึกถึงรสชาติแสนอร่อยของมัน น้ำแกงแตกมันกำลังดี กินกับข้าวร้อนๆ ต้องอร่อยมากแน่ๆ แค่ตักขึ้นมาหนึ่งช้อนยังไม่ทันส่งเข้าปากก็รู้สึกฟินอย่างบอกไม่ถูกแล้ว

                “ทานคนเดียวหรือคะ? ให้ฉันนั่งเป็นเพื่อนมั้ย?”

                ช้อนจ่ออยู่ที่ปากแล้วแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหวานถามขึ้น เปล่าหรอก สาวคนนั้นไม่ได้ถามเขา แต่ถามคนที่นั่งข้างหลังนั่นต่างหาก ตอนเลือกที่นั่งอี้ชิงก็มองดีแล้วนะว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่ด้วย แล้วคนที่นั่งหันหลังชนกันอยู่นี่มายังไง?

                “อุ๊ย รุ่นพี่ทานอาหารเกาหลีได้ด้วยหรือคะ ไม่ถูกปากหรือเปล่า อาหารฝรั่งก็มีนะคะ สปาเก็ตตี้ดีกว่ามั้ย?”

                “ผมกินได้” ทำเป็นเก๊กเสียงขรึมตอบได้เล่นตัวจนน่าหมั่นไส้ คนที่แอบฟังเบะปากใส่ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัว สาวเจ้าก็ช่างกระไร ยังตื๊อต่อได้จนน่ายกย่อง เห็นท่าว่าคงจะจีบกันอีกนาน อี้ชิงก็ไม่อยากเอาตัวเองไปรับรู้เรื่องของคนอื่น อยู่ตรงนี้นานๆ พาลจะรำคาญเอา สละที่นั่งไปหาที่ใหม่ดีกว่า

                คิดแล้วก็แอบลุกขึ้นเงียบๆ แบบไม่ให้รบกวนคนที่นั่งข้างหลัง ค่อยๆ ประคองถาดอาหารขึ้นมาถือไว้อย่างระมัดระวัง เขียวหวานจ๋า~ รอพี่อีกแป๊บนึงนะ ><

                “ถ้าอย่างนั้นให้ฉัน...”

                “ช่างเถอะ ผมอิ่มแล้ว”

     

                ครืด!

     

              พลั่ก!

     

                “โอ๊ะ!”

     

                เสียงเลื่อนเก้าอี้ไม่ได้ทำให้ตกใจเท่ากับแรงกระแทกจากข้างหลัง มันไม่ได้แรงจนทำให้ล้ม แต่มันทำให้อี้ชิงถลำไปข้างหน้า

     

                “แว๊กกก!”

     

                และคงไม่ลืมว่าเขายังประคองถาดอาหารไว้ในมือด้วย!

     

                “เฮ้ย! เสื้อฉัน!”

     

                จางอี้ชิงแผดเสียงลั่น ตกใจที่แกงเขียวหวานของโปรดมีอันต้องกระฉอกออกจากชามจนเกือบหมดยังไม่เท่าไหร่ แต่คราบน้ำแกงสีเขียวอ่อนที่เปรอะเปื้อนอยู่บนพุงเสื้อนี่ก็ทำเอาลมแทบจับ เขาหันหลังไปพร้อมๆ กับที่คนต้นเหตุก็หันมามองเช่นกัน

                “ขอโทษที ฉันไม่เห็นว่านาย...”

                “น.. นี่นาย...!” ผู้เสียหายเบิกตากว้างพลางชี้นิ้วออกไปจนแทบจะจิ้มหน้าคู่กรณีหากฝ่ายนั้นไม่เอียงหน้าหลบไปเสียก่อน สุดแสนจะเซอร์ไพรซ์เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอคนดังแบบประชิดตัวเป็นครั้งที่สองของวัน แต่แล้วเมื่อเหตุการณ์เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแว่บเข้ามาในหัว เรื่องราวต่อจากนั้นก็ถูกมโนต่อขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ “นายจงใจใช่มั้ยเนี่ย!

                “ว่าไงนะ?”

                “นายตั้งใจจะแกล้งฉันใช่รึเปล่า!

                “ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไม?”

                “ก็... ก็นายโกรธที่ถูกฉันพ่นน้ำใส่หน้า ก็เลยคิดจะเอาคืนน่ะสิ!”

                “พ่นน้ำใส่หน้า? ตายจริง!” สาวสวยที่ยืนประกบข้างไม่ยอมห่างทวนคำเสียงสูงพลางทำสีหน้าตกอกตกใจราวกับเขาเอาน้ำกรดไปสาดใส่หน้าหล่อๆ นั่น ส่วนรุ่นพี่คนดังน่ะนิ่งไปครู่หนึ่งก็แค่นยิ้มออกมา ยกมือขึ้นกอดอกอย่างใจเย็น

                “งั้นตอนที่นายพ่นน้ำใส่หน้าฉัน นายจงใจสินะ”

                “ฉันเปล่า! มันเป็นอุบัติเหตุ นายไม่เข้าใจรึไง?”

                “ถ้าอย่างนั้นที่ฉันชนนายเมื่อครู่ก็เป็นอุบัติเหตุเหมือนกัน ถือว่าเราหายกันก็แล้วกันนะ” ยิ้มมุมปากพลางยักคิ้วอย่างน่าหมั่นไส้ อี้ชิงอ้าปากจะเถียงแต่สุดท้ายก็ต้องงับปาก คนมองกันใหญ่แล้ว ดูจากสถานการณ์ ถ้าพูดอะไรตอนนี้ก็คงมีแต่เข้าตัว

                “ฮึ่ย!” สุดท้ายก็วางถาดอาหารที่ไม่เหลืออะไรให้กินแล้วลงกับโต๊ะก่อนจะพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดขั้นสุด

     

                ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้รุ่นพี่บ้า!

     

     

     

     

    “ไอ้บ้าเอ้ย! บ้าๆๆๆ!” สองมือช่วยกันขยี้แรงๆ หวังให้คราบสีเขียวอ่อนนั้นหลุดออกจากเนื้อผ้า ดีที่เขามักจะสวมเสื้อกล้ามไว้ข้างในชุดนักศึกษาเสมอ นี่ก็เลยถอดเสื้อออกมาซักในอ่างล้างมือในห้องน้ำได้ แต่ดูเหมือนแค่น้ำเปล่าจะไม่ช่วยให้ดีขึ้นเท่าไหร่ บิดน้ำออกจนหมาดแล้วอี้ชิงก็ยกเสื้อขึ้นมามองอีกครั้งก่อนจะต้องร้องครางอย่างสิ้นหวัง

    “โหยย ยังเลอะอยู่เลยอ่ะ จะซักออกมั้ยเนี่ย ข้าวก็ไม่ได้กิน แถมเสื้อยังมาเลอะแบบนี้อีก ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ เพราะไอ้บ้านั่นแท้ๆ!”

    “ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นอุบัติเหตุ” เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาคนที่กำลังหัวเสียสะดุ้งน้อยๆ หันขวับไปมองก็เห็นคนตัวสูงยืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องน้ำอยู่ ทำเสื้อเขาเลอะขนาดนี้แล้วยังจะตามมาเยาะเย้ยกันอีกหรือไงนะ

    “ฉันไม่เชื่อนายหรอก” ก็ได้แต่พึมพัมกับตัวเองเพราะไม่อยากต่อความให้เข้าตัว ตอนนี้เขาสนใจว่าจะล้างคราบเจ้าปัญหานี่ออกได้ยังไงมากกว่า ช่วงบ่ายยังมีชั่วโมงเรียนด้วย หันมองซ้ายขวาหาตัวช่วยแล้วก็เอื้อมมือไปกดสบู่ล้างมือมาลองถูๆ ที่รอยเปื้อนดู เผื่อมันจะช่วยอะไรได้บ้าง ลองขยี้ๆ ดูอีกทีแล้วล้างน้ำก่อนจะยกขึ้นมาส่องดูก็พบว่าความดีของมันช่วยแค่ให้รอยเปื้อนจางลงเท่านั้น อี้ชิงครางเสียงอย่างทดท้อ หันไปมองที่หน้าประตูโดยไม่ตั้งใจก็พบว่าคู่กรณีของเขายังยืนอยู่ที่เดิม สายตาที่มองมานั่นก็ดูแปลกๆ

    “มองอะไร?” ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะเพยิดหน้ามาที่เสื้อเชิ๊ตขาวในมือเขา

    “เลอะขนาดนั้นซักไม่ออกหรอก ทิ้งไปเถอะ”

    “เสื้อตัวนึงราถาไม่ใช่ถูกๆ เลอะนิดเลอะหน่อยจะให้ทิ้ง นายนี่ต้องเป็นประเภทไม่รู้จักคุณค่าสิ่งของแน่ๆ” ไม่รู้ค่าของเงินด้วย เขาต้องทำงานพิเศษอยู่เป็นอาทิตย์กว่าจะได้ค่าแรงมาพอซื้อเสื้อนักศึกษาซักตัว แถมยังต้องประหยัดเงินไว้จ่ายค่ากินอยู่อีก ไม่อยากสิ้นเปลืองกับเรื่องเสื้อผ้าเพราะอย่างนั้นก็เลยมีชุดนักศึกษาอยู่แค่สามชุด ใส่แล้วก็ซักอยู่วันเว้นวัน นี่ถ้าทิ้งไปซักตัวเขาก็เหลือแค่สอง ไม่ต้องซักตากทุกวันเลยรึไง แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว

    ตวัดสายตามองรุ่นพี่คนดังอีกครั้งก็พบว่าสายตาของฝ่ายนั้นยังคงจับจ้องมาที่เขาไม่ละไปไหน เรียวคิ้วได้รูปขมวดน้อยๆ ราวกับกำลังใช้ความคิด อี้ชิงก้มลงมองตัวเองแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติที่ตรงไหน เสื้อกล้ามถึงจะบางไปหน่อยแต่ก็ปิดมิดชิดดี จะมีเผยให้เห็นบ้างก็แค่แขนอวบๆ กับคอขาวๆ นิดหน่อย

    จริงสิ! เสี่ยวลู่เคยบอกว่าเนื้อตัวเขาน่ะทั้งขาวทั้งอวบ ดูนุ่มนิ่มน่าฟัด ขนาดผู้ชายด้วยกันอย่างเสี่ยวลู่ยังพูดทีเล่นทีจริงอยู่หลายครั้งเลยเวลาที่เห็นเขาใส่เสื้อกล้ามอยู่หอ ว่าจะจับฟัดซักวัน หรือว่าหมอนี่เองก็คิดแบบนั้น?

    “มองอยู่ได้ โรคจิตรึไง?” คนคิดลึกเอี้ยวตัวหลบสายตาไม่น่าไว้ใจนั้น อีกฝ่ายมองที่เขาทำแล้วก็หัวเราะหึ

    “นายเขินหรือ?”

    “ก็...!”

    “ผู้ชายด้วยกัน จะเขินไปทำไม”

    “ไม่ได้เขินเว้ย! ก็นายจะจ้องเอาจ้องเอาทำไมเล่า!” แค่สายตาก็ว่าน่ากลัวแล้ว เสียงทุ้มต่ำเวลาที่หัวเราะในคอนี่ยิ่งน่าระแวงใหญ่ พออีกฝ่ายหยุดจ้องแล้วเดินเข้ามาล้างมือที่อ่างใกล้ๆ กัน อี้ชิงก็เลยแสดงความไม่เขินโดยการเขยิบตัวหลบ ยังจะแกล้งเอื้อมมือมาดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องที่อยู่ใกล้ตัวเขาอีก เฉี่ยวไหล่ขาวๆ ไปนิดเดียวเอง ทำเอาอี้ชิงขนลุกซู่ ยิ่งเขยิบหนีเสียจนตัวแทบจะติดกำแพง เสร็จธุระแล้วก็ยังปรายตามามองพลางกดยิ้มไม่น่าไว้ใจก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำ

     

    “อ.. ไอ้รุ่นพี่บ้า!”

     

    กว่าจะรู้ตัวว่าโดนแกล้ง คนแน่จริงทำได้แค่ตะโกนตามหลังเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไปพ้นจากระยะที่จะได้ยินเสียงแล้ว อี้ชิงโมโหจนทั้งหน้าทั้งเนื้อตัวร้อนผ่าวไปหมด เขารู้ว่าพวกคนดังน่ะไม่น่าไว้ใจ แต่ใครจะคิดล่ะว่าคนที่ทำสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลาจะทำตัวกวนโมโหได้ขนาดนี้ นึกว่าจะดีแต่ขี้เก๊ก เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปตอนที่หมอนั่นยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะได้เอาไปให้คิมจงแดอัพลงเวบ เอาให้พวกสาวๆ ที่ตามกรี๊ดรู้กันให้หมดเลยว่ารุ่นพี่สุดหล่อของพวกเธอๆ น่ะร้ายกาจแค่ไหน

    ฮึ่ย! คิดแล้วก็น่าโมโห อุตส่าห์รู้สึกผิดตอนที่ไปพ่นน้ำใส่หน้า รู้อย่างนี้เปลี่ยนเป็นน้ำหวานเอาให้หน้าหล่อๆ เหนียวเหนอะไปทั้งวันเลยก็ดี เจ็บใจนัก! เขาต้องหาทางเอาคืนให้ได้

     

    “คอยดูเถอะ ฉันจะเล่นงานนายให้เรทติ้งตกเลย รุ่นพี่ตัวแสบ!

     

     

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

     

     

    คนรอง: จบแล้วตอนแรก ฮี่ๆๆๆ ><

    พระ-นาย ของเราเจอกันแบบประทับใจขั้นสุด ชอบๆๆ ^^ (คนอ่านชอบหรือเปล่าไม่รู้ แต่คนเขียนชอบบบ >< )

    อ่านเรื่องนี้ไปพลางๆ ก่อนนะคะ คนเขียนกำลังปั่นตอนพิเศษสำหรับรวมในเล่มหวานใจอยู่ คงจะหายจากการอัพเดทเรื่องอื่นไปซักพัก แต่ยังไงจะพยายามมาต่อเรื่องนี้เรื่อยๆ ค่ะ ^^

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×