ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #9 : MKML ตอน 09 ::: Realized [จบภาค 1]

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 57


    [Fic] My Kris, My Lay

    Fiction by 2nd Admin

     

     

     




    ตอนที่ 9
     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “ไข้ขึ้นตั้งเกือบสี่สิบองศา หมอบอกว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้นายอาจช็อค นี่มันอะไรกัน! คิดจะบอกฉันเมื่อไหร่ห๊ะ? อี้ชิง”

    “......”

    “หรือต้องรอให้ล้มลงไปต่อหน้า นายถึงจะยอมบอกว่าไม่สบายขนาดนี้”

    “......”

    “ทำไมไม่ไปหาหมอ? คิดบ้างมั้ยว่าถ้าฉันกับลู่หานไม่อยู่ด้วยจะเป็นยังไง เอาแต่อดทนอยู่แบบนี้มันจะหายได้เองรึไง!

    “พอเถอะอี้ฟาน น้องไม่สบายอยู่นะ”

    “เจ้าตัวเขารู้รึเปล่าล่ะว่าตัวเองไม่สบาย ไอ้เรารึเป็นห่วงแทบตาย จนป่านนี้ยังเอาแต่เงียบ”

    “ฉัน... ไม่เป็นไร...”

    “ยังจะ...!

    “ฉันไม่อยาก... ให้ใครเป็นห่วง ไม่อยากรบกวนใคร”

    “โธ่เอ๊ย... อี้ชิง เพื่อนพึ่งพากันเขาไม่เรียกว่ารบกวนหรอกนะ จริงมั้ยอี้ฟาน?”

    “......!

    “อี้ฟาน?”

    “...งั้นก็อย่าให้เห็น”

    “......?”

    “ถ้าคิดว่าเป็นการรบกวน ถ้าไม่อยากให้เป็นห่วง งั้นก็อย่าป่วยให้ฉันเห็น เพราะถึงยังไงก็ห้ามไม่ให้ฉันเป็นห่วงนายไม่ได้อยู่ดี”

     

     

     

     

     

    ทำไมถึงไม่อยากให้เป็นห่วง

     

    ไม่เคยมีซักวันที่ฉันหยุดเป็นห่วงนายได้ ...ไม่รู้บ้างเลยรึไง?

     

     

    .

     

    .

     

    .

     


     

    “ไหวมั้ย? ระวังหน่อยนะ” ส่งแขนให้คนเป็นน้องจับตอนจะก้าวลงจากรถตู้ แล้วคนแมนๆ อย่างลู่หานยังคอยวนเวียนอยู่รอบๆ ร่างโปร่งบาง กอดเอวบ้างไหล่บ้าง คุมแจไม่ว่าเลย์จะขยับตัวทำอะไร ขนาดกระเป๋าเป้ก็ยังจะแย่งมาสะพายซะเอง

    “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้เสี่ยวลู่ ฉันยังไหว”

    “ไม่ต้องมาพูดเลย เค้าไม่เชื่อแล้ว” นิ่วหน้าใส่แล้วก็ดึงสายสะพายเป้ที่เลย์พยายามจะยื้อไว้ พอน้องไม่ยอมปล่อยก็ทำเสียงในคอขู่ วันนี้ลู่หานหงุดหงิดก็เพราะความดื้อของคนตัวขาวเนี่ยแหละ ตั้งแต่ตอนที่อัดรายการแล้ว หน้าซีดขนาดนั้นยังบอกว่าไม่เป็นไร ตอนที่โชว์ปิดท้ายรายการก็เต้นหนักจนลืมตัว พอเสร็จงานก็ยืนแทบไม่อยู่ ถ้าไม่เข้าไปช่วยพยุงไว้จะเป็นยังไง เรื่องพวกนี้ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยคิด หอบหนักเพราะหายใจไม่ทันยังมีหน้ามาบอกว่าไม่เป็นไร มันน่าตีนัก!

     

    “ให้ผมช่วยดีกว่า” ระหว่างที่กำลังยื้อแย่งกันไปมา เด็กตัวโตที่เพิ่งลงจากรถตู้อีกคันก็เขามาแทรกตรงกลาง ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าสามคนแย่งกระเป๋าเป้ใบเดียวกัน ลู่หานถอนหายใจแล้วยอมปล่อยมือก่อน แต่เจ้าของเป้ยังดื้ออยู่ “จะให้ผมช่วยถือกระเป๋าแล้วพยุงไป หรือฮยองจะขี่หลัง?”

    “ห๊า?”

    “ผมพูดจริงนะ ฮยองเดินเองแทบจะไม่ไหวแบบนี้ ให้เดินเองพรุ่งนี้จะถึงห้องรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าไม่ให้ช่วยก็ต้องขี่หลังผมไปล่ะ”

    เลย์รีบส่ายหน้าปฏิเสธไม่เลือกทั้งสองทาง หันไปมองหน้ารูมเมทเหมือนจะหาตัวช่วยแต่พอถูกลู่หานทำไม่รู้ไม่ชี้ใส่ก็เลยมุ่ยหน้า รู้สึกเหมือนตัวเองโดนรุมยังไงยังงั้น จะดื้อแพ่งยืนเงียบอยู่อย่างนี้ก็เห็นไคทำท่าจะย่อตัวอยู่ตรงหน้า สุดท้ายก็เลยต้องยอมปล่อยกระเป๋าเป้แล้วทำตัวอ่อน ปล่อยให้ลู่หานกับไคช่วยกันพยุงไปส่งจนถึงห้องพัก

     

     

     

     

    ฟุ่บ!

     

     

    เหวี่ยงกระเป๋าทิ้งตรงปลายเตียงแล้วร่างสูงก็ทิ้งทั้งตัวลงนั่ง เหยียดสองแขนไปด้านหลังเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง ลมหายใจที่ถูกอัดอั้นมาร่วมสิบนาทีถูกปล่อยให้ลอยฟุ้งไปในอากาศ แต่ไม่ว่าจะถอนหายใจทิ้งซักเท่าไหร่ ก็ไม่ทำให้ความขุ่นมัวในใจลดลงได้

     

    วันนี้คริสทำได้ดีทีเดียว เป็นการทำงานที่สมาชิกทุกคนมีอารมณ์ร่วมอย่างสมบูรณ์แบบ รูปแบบรายการที่สนุก แฟนคลับสนุก เขาเองก็สนุก จริงๆ นะ คริสไม่ได้เสแสร้ง เขาสนุกมากจนตอนที่ได้เห็นร่างโปร่งบางเดินเซเหมือนจะล้มเมื่อผู้กำกับสั่งคัท เขารีบหมุนตัวกลับไปหาแต่ก็ยังช้ากว่าลู่หาน

     

    ...ถ้าสมาชิกคนหนึ่งอยู่ในสภาพไม่ปกติ สมาชิกที่เหลือไม่ควรเข้าไปรุมให้เป็นจุดเด่น คริสจำสิ่งที่พี่ผู้จัดการเคยบอกได้ดีถึงต้องหยุดอยู่แค่นั้น แล้วก็ทำได้แค่มอง

     

    ตอนอยู่บนรถตู้ลู่หานก็แย่งที่นั่งเขา ประกบคนตัวเล็กไม่ยอมห่าง จนเขาที่อยากจะถามไถ่อาการก็ยังเข้าใกล้ไม่ได้ แต่นั่นยังไม่ทำให้คริสขุ่นเคืองใจเท่าตอนที่รองมักเน่ฝั่งเคเข้ามาช่วยประคองร่างขาวที่ลานจอดรถ ท่อนแขนที่โอบรอบช่วงเอวบางกับมือใหญ่ที่จับต้นแขนขาวไว้ทำให้อกเขาแทบระเบิด ใช่ว่าไม่รู้ว่าเมนเต้นทั้งสองฝั่งสนิทกัน ใจก็คอยแต่จะคิดแบบนี้ตอนที่เห็นภาพทั้งสองคนแสดงความสนิทสนมกันอยู่บ่อยๆ คอยเตือนตัวเองอยู่อย่างนี้ถึงยังทำเป็นใจเย็นอยู่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะทุกครั้ง เพราะใกล้กันเกินไป ดูแลกันดีเกินไป

     

    คริสไม่ได้โกรธ เขาก็แค่อิจฉา เด็กนั่นทำทุกอย่างที่เขาอยากทำ ...แต่ทำไม่ได้  

     

     

    จื่อเทาที่เพิ่งตามเข้ามาหยิบเพียงไอแพ็ดออกมาแล้ววางกระเป๋าทิ้งไว้บนโต๊ะหน้ากระจก เฉินขอแลกห้องนอนกับเขาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน เห็นสีหน้าตุ้ยจางวันนี้ก็รู้แล้วว่าทำไม คนหัวอ่อนอย่างพี่เฉินคงทนอยู่กับคนที่ชอบตีหน้าเครียดบ่อยๆ ไม่ได้ แต่กับเขาสบายมาก

     

    เด็กหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งเอนหลังพิงพนักหัวเตียงแล้วตวัดขาขึ้นไขว้กันด้วยท่าทางสบายๆ ปรายตามองหัวหน้ากลุ่มที่ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ค่อยปกติเพียงแว่บเดียว แล้วก็ตรึงความสนใจไว้ที่หน้าจอไอแพ็ด

    “พี่ดูหงุดหงิดนะ” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ก็เรียกความสนใจจากคนเป็นพี่ได้ คริสเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นนั่งหลังตรงแต่ยังพรูลมหายใจก่อนตอบ

    “แค่เหนื่อยน่ะ”

    “แค่นั้นเหรอฮะ?”

    คริสพยักหน้าทั้งที่รู้ว่าเทาไม่ได้หันมามอง ก่อนจะยืดตัวไปหยิบกระเป๋าที่ทิ้งไว้ปลายเตียงเมื่อครู่มาค้นๆ หาสมาร์ทโฟนของตัวเอง เห็นจื่อเทาเล่นแล้วก็อยากหาอะไรเล่นแก้เซ็งทำบ้าง

     

    “พี่อี้ชิงไม่สบาย” เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มพูดลอยๆ คริสมองหน้าแล้วก็รู้ว่าน้องไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่ตัวเองพูดนัก

    “อืม”

    “พี่ไม่ไปดูหน่อยเหรอ?”

    “ก็มีลู่หานอยู่แล้วนี่”

    “พี่ลู่หานคนเดียวจะไหวเหรอ? พี่อี้ชิงน่ะดื้อจะตาย ทั้งที่ป่วยง่ายมาแต่ไหนแต่ไร อากาศเปลี่ยนนิดหน่อยก็เป็นไข้ ซ้อมหนักหน่อยก็เจ็บหลัง ยิ่งถ้าเจ็บหลังแล้วมีไข้ด้วยก็ยิ่งหนัก แต่ชอบทำปากแข็งไม่ค่อยจะยอมให้คนอื่นดูแล ผมว่าพี่ลู่หานเอาไม่อยู่หรอก”

    คริสชะงักไปครู่หนึ่ง ปล่อยให้แววกังวลฉายอยู่ในดวงตาเพียงแว่บเดียว แต่แล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “เดี๋ยวก็มีคนเสนอตัวไปช่วย”

    “จงอินน่ะเหรอ? อืม ก็จริง หมอนั่นไม่ใช่แค่สนิท คนเคยมีอาการบาดเจ็บเหมือนกันก็น่าจะดูแลกันได้ดี แต่ก็อย่างที่บอกแหละ ให้เป็นสิบคนรุมเข้าไป บทพี่อี้ชิงจะดื้อ ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้” คราวนี้จื่อเทาแอบปรายตามองท่าทีของพี่ชายสุดหล่อ คริสถือไอโฟนไว้ในมือ ปลายนิ้วก็เลื่อนไปเรื่อยบนหน้าจอ แต่ดวงตาคมกลับเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ใจคงลอยไปถึงไหนต่อไหน เด็กหนุ่มแอบยิ้ม ก่อนจะทำน้ำเสียงราบเรียบว่าต่อ “น่าแปลกนะฮะ ทั้งที่รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้มาก ทั้งพี่ลู่หานกับจงอินก็ยังพยายาม แต่คนเดียวที่น่าจะดูแลพี่อี้ชิงได้ดีกว่าใคร กลับไม่ยอมไปอยู่ดูแลใกล้ๆ เวลาที่พี่เขาเจ็บ”

     

    คริสเลื่อนสายตามามองหน้าน้องชายแทน จื่อเทาสบตาเขาแล้วส่งยิ้มใสๆ เหมือนไม่ตั้งใจถ้าคำพูดของตัวเองจะกระทบใจใครเข้า ก่อนจะให้ความสนใจกับหน้าจอไอแพ็ดต่อ ปลายนิ้วเรียวของเด็กหนุ่มขยับไปมา และคริสก็มองดูด้วยแววตาเลื่อนลอย

     

    จื่อเทาพูดถูก เลย์ดื้อมาก ดื้อมาตั้งแต่เด็ก เวลาป่วยจะไม่ยอมบอกใคร ไม่เคยออดอ้อนให้ใครต้องมาคอยดูแลเหมือนน้องคนอื่นๆ เอาแต่อดทนไว้จนใครๆ ก็นึกว่าไม่เป็นไรจริงๆ นั่นเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย ครั้งหนึ่งยังเคยทะเลาะกันรุนแรงก็เพราะเรื่องนี้ ฝ่ายนั้นก็เอาแต่นิ่งเงียบ ทุกวันนี้ก็เลยมีแต่ลู่หานที่คอยประคับประคอง แต่จื่อเทาพูดถูก ลู่หานทำได้แค่ดูแล ถ้าลองอี้ชิงดื้อเงียบขึ้นมาจริงๆ ใครก็เอาไม่อยู่แน่

     

    ร่างสูงลุกพรวดขึ้น ขนาดอย่างนั้นจื่อเทาก็ยังสนใจหน้าจอไอแพ็ดมากกว่า

    “พี่จะออกไปเดินเล่นหน่อย นายนอนได้เลยนะ ไม่ต้องรอ”

     

    มักเน่ฝั่งจีนกระตุกยิ้มที่มุมปาก หน้าแฟนเพจที่เปิดดูอยู่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็มีแค่คลิปที่ตุ้ยจางของพวกเขาเดินออกจากจากลิฟท์แล้วหยุดรอให้สมาชิกคนสำคัญตามมาทัน นอกนั้นแล้วก็ยังไม่มีโมเม้นท์อะไรให้เก็บไปแซวพี่ๆ คนอื่นได้เลย จื่อเทาปิดหน้าจอแล้ววางไอแพ็ดไว้ที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะปิดไฟ

     

    ไว้รอดูรูปงานแจกลายเซ็นกับมินิโชว์เคสพรุ่งนี้ดีกว่า น่าสนใจกว่าเยอะ

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เลย์อาบน้ำทันทีที่กลับมาถึงห้องพัก ตอนแรกลู่หานแทบจะตามเข้าไปเฝ้าเพราะกลัวว่าเขาที่อยู่ในสภาพยืนแทบไม่ไหวจะลื่นล้ม ต้องรับปากว่าจะคอยส่งเสียงอยู่ตลอดเวลาถึงจะยอมวางใจได้

     

    พอถึงตาลู่หานเข้าไปอาบน้ำบ้าง เลย์ก็เอากระเป๋าเป้มารื้อๆ ดู ฝืนทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรมากอยู่ได้นานก็จริงแต่เลย์ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ตาของเขาพร่ามากๆ ลมหายใจก็ร้อนระอุราวกับจะพ่นไฟได้ ในหัวปวดตุ้บๆ เหมือนนาฬิกาที่พร้อมจะระเบิด อาการทั้งหมดนี้จะหายไปถ้าเขาได้กินยา แต่เมื่อค้นจนเจอกระปุกยาที่พกติดตัวประจำเด็กหนุ่มก็ต้องถอนใจ ...กระปุกว่างเปล่า ไม่มียาเหลือซักเม็ด

     

    เลย์ผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัวแล้วก็ต้องล้มลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง ตอนนี้ยืนไม่อยู่จริงๆ แล้ว ทั้งพิษไข้ทั้งอาการปวดหลังกำลังทรมานเขาช้าๆ แต่เขาต้องไปขอยาที่ห้องพี่ผู้จัดการ ร่างโปร่งบางพยายามรวบรวมกำลังเท่าที่เหลือแล้วลุกขึ้นยืนให้ได้ ก่อนจะลากขาไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออกไปอย่างเงียบเชียบ

     

     

    ภาพข้างหน้ามองไม่ชัดเอาเสียเลย เลย์ต้องสะบัดหัวอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก อาการปวดเอวทำให้เขาต้องงอตัวเล็กน้อย ที่ยังเดินอยู่ได้นี่ก็เพราะอาศัยผนังทางเดินพยุงตัวไว้ ...อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องพี่ผู้จัดการแล้ว

    “อี้ชิง”

    แต่เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกทำให้เลย์ต้องสะดุ้ง พอหันไปมองถึงได้เห็นร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีสว่างกำลังเดินตรงมาทางเขา

    “จะไปไหนน่ะ?”

    “ห้องพี่ผู้จัดการ”

    “มีอะไรรึเปล่า?”

    เขาชักมือที่ซ่อนกระปุกยาไปไว้ข้างหลังก่อนจะส่ายหน้า

    “เปล่า แล้วตุ้ยจางล่ะ มาทำอะไรแถวนี้?”

    “คือฉัน...” คริสดูอึกอัก เพราะมีเรื่องในใจเขาถึงไม่ทันสังเกตว่าคนตัวเล็กมีอาการผิดปกติ ร่างสูงเลี่ยงสายตาไปทางอื่นแทนที่จะสบตาคนตรงหน้าตรงๆ

    เลย์ในตอนนี้หมดแรงที่จะพยุงตัวแล้ว ร่างโปร่งบางเซเข้าหาผนังพร้อมกับสติที่กำลังจะดับวูบ

    อี้ชิง!” เพียงก้าวเดียวคริสก็สอดแขนเข้ารับร่างขาวไว้ได้ทันก่อนที่เลย์จะทรุดลงไปกับพื้น สัมผัสจากผิวกายที่ร้อนระอุทำให้คริสต้องตกใจ “ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะ!

    เลย์ตัวอ่อนและซบลงกับอกของเขา หยดน้ำที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวยบอกให้รู้ถึงความทรมานที่ร่างโปร่งบางกำลังเผชิญ ถึงขนาดนั้นแล้วเลย์ก็ยังพยายามเผยอปากจะพูด แต่ลมหายใจร้อนผ่าวที่ปะทะเข้ากับช่วงลำคอก็ทำให้คริสไม่ใจเย็นพอจะรอให้น้องตอบ เขาดึงลำแขนขาวขึ้นพาดคอแล้วอุ้มร่างโปร่งบางขึ้น รีบพากลับไปที่ห้อง

     

     

    พอได้ยินเสียงตะโกนที่ร้อนรน ลู่หานก็รีบวิ่งมาเปิดประตู เห็นรูมเมทตัวเองถูกอุ้มกลับมาในสภาพนั้นก็รีบเปิดทางให้ร่างสูงพาเข้ามาในห้อง

    “อี้ชิงเป็นอะไร?” ลู่หานตามมาที่ข้างเตียงที่คริสวางร่างน้องลง ตอนนั้นเลย์ก็แทบไม่รู้สึกตัวแล้ว

    “ตัวร้อนมาก ทำไมปล่อยให้ออกไปเดินแบบนั้น”

    “เค้าไปอาบน้ำแป๊บเดียว ออกมาก็ไม่เจอแล้ว เมื่อกี้ยังว่าจะออกไปตาม”

    “ยาล่ะ ยาอยู่ไหน?” ลู่หานรีบลุกไปคว้ากระเป๋าเป้น้องมาค้นๆ ดู แต่คริสกลับเห็นสิ่งที่หาถูกกำไว้ในมือขาวซีด เขาหยิบมันขึ้นมา ...ไม่มียาซักเม็ดอยู่ในกระปุก คริสสบถกับตัวเองก่อนจะหันไปบอกเพื่อน “ลู่หาน ฉันวานหน่อยเถอะ”

     

     

     

    ลู่หานวิ่งออกไปจากห้องแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพี่ผู้จัดการสองคน คริสรีบลุกขึ้นเพื่อเปิดทางให้ฮยองเข้ามาใกล้เตียง ชายหนุ่มแตะมือที่หน้าผากและตามเนื้อตัวของเด็กในความดูแล ก่อนจะพูดขึ้น

    “ไข้ขึ้นสูง เมื่อตอนหัวค่ำยังไม่เป็นขนาดนี้นี่”

    “เขากินยาตลอดนะครับ ผมเห็น แต่คงเพราะยาหมด” ลู่หานส่งกระปุกยาให้พี่ผู้จัดการดู ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วตอนที่อ่านฉลากข้างกระปุก ก่อนจะทำเสียงจิ๊อย่างไม่พอใจ

    “ว่าแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้ ยานี่แรงมาก ฉันเป็นคนให้เขาไว้เอง ฤทธิ์ของมันช่วยทำให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงก็จริง แต่พอยาหมดฤทธิ์ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันให้กินเฉพาะตอนทำงาน ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ต้องไปหาหมอ แต่นี่คงกินต่อเนื่องกันจนหมดกระปุก แล้วยังฝืนตัวเองอีก ร่างกายจะรับไหวได้ยังไงกัน”

     

    ลู่หานหันมองคริส ทั้งสองแลกสายตากันแล้วก็รับรู้ได้ว่าไม่มีใครรู้เรื่องยาที่เลย์กินมาก่อนเลย

     

    นูน่าร่างอวบเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกระปุกยาขึ้นมาสองสามกระปุก เธออ่านฉลากอย่างละเอียดก่อนจะเปิดฝาแล้วเทเม็ดยาใส่มือ

    “ปวดหลังด้วยใช่มั้ย คงต้องให้ยาลดไข้ธรรมดา แล้วก็ยาแก้ปวดไปก่อน ยาแรงกว่านี้ร่างกายจะรับไม่ไหว ถ้าไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอ ลู่หานช่วยพยุงขึ้นหน่อย”

     

    เด็กหนุ่มรับคำแล้วขยับขึ้นไปนั่งบนเตียง สอดแขนรองแผ่นหลังบางแล้วดันตัวน้องชายให้ลุกขึ้น มืออีกข้างก็ประคองไหล่เล็กไว้ เลย์ตัวอ่อนแต่ยังมีเสียงครางเครือในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวอยู่ตลอด พอพยุงให้ลุกขึ้นนั่งได้ลู่หานก็เลยบอกน้อง

    “อี้ชิง กินยาหน่อยนะ”

    แต่พอได้กลิ่นยาคนป่วยก็หันหน้าหนี ลู่หานพยายามจับหน้าเขาให้หันไปทางนูน่าที่รอป้อนยาให้ แต่เลย์ก็ดิ้นขัดขืนอยู่ตลอด เสียงครางและสีหน้าที่ดูทรมานบอกให้รู้ว่าเลย์กำลังเพ้อเพราะพิษไข้ เขาปฏิเสธทุกอย่างทั้งที่ไม่รู้สึกตัว นูน่าจึงตัดสินใจใช้มือข้างหนึ่งบีบปลายคางของเด็กหนุ่มให้อ้าปาก แต่พอจะป้อนยา เลย์ก็ปัดมือเธอออก ลู่หานตกใจมาก แต่คนกำลังถูกพิษไข้ทำร้าย ไม่ว่าลู่หานจะทั้งดุทั้งปลอบยังไง เลย์ก็ยังดิ้นรนจะเอาตัวเองออกจากอ้อมแขนเล็กๆ ของลู่หานให้ได้ จะรัดให้แน่นกว่านี้ก็กลัวว่าน้องจะยิ่งเจ็บหลัง ลู่หานไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว

     

    “ขอร้องล่ะอี้ชิง นายต้องกินยานะ”

    “อื้อ...”

    “ดื้ออย่างนี้เค้าจะโกรธจริงๆ ด้วย” ทั้งที่ขู่อย่างนั้นแต่ใบหน้าคนเป็นพี่ก็เหมือนจะร้องไห้มากกว่า ทั้งสงสารน้องแล้วก็หงุดหงิดที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ตอนนั้นเองที่มือใหญ่แตะลงบนไหล่ของเขา

    “ลู่หาน ฉันเอง” คริสพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงว่าให้ถอยไปก่อน ก่อนที่ช่วงแขนยาวจะรับเอาร่างโปร่งบางมาพิงไว้กับอก พอมือเล็กเริ่มปัดป่ายเพราะรู้สึกไม่สบายตัว คริสก็จับข้อมือบางทั้งสองข้างไว้แล้วไขว้ทับด้วยแขนตัวเอง คนป่วยยังส่งเสียงครางเหมือนไม่พอใจ แขนขยับไม่ได้ก็สะบัดใบหน้าไปมาหวังเป็นอิสระ คริสต้องกดปลายคางตัวเองลงกับช่วงไหล่เล็กเพื่อให้น้องหยุดดิ้น พลางกระซิบปลอบคนที่กำลังไม่มีสติ “อี้ชิง อี้ชิง ชู่ว... นี่พี่เอง ไม่เป็นไรนะ นายไม่เป็นไร กินยาหน่อยนะ เดี๋ยวก็หายแล้ว”

     

    ร่างที่เล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กลงเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของคริส และยิ่งดูบอบบางเมื่อยอมนอนนิ่งๆ ให้คริสกอดโดยไม่ดิ้นรนอีก เลย์หอบหนักจนแผ่นอกบางกระเพื่อมไหว ส่งเสียงครางเครือด้วยความทรมาน ลู่หานยืนมองน้องด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ เป็นหนักขนาดนี้คนใกล้ตัวอย่างเขายังไม่รู้ เลย์ต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกัน

     

    นูน่าส่งยาให้คริสเป็นคนป้อน ก่อนจะส่งแก้วน้ำตามให้ เธอให้แผ่นเจลลดไข้ไว้กับลู่หาน ก่อนออกจากห้องยังกำชับให้คอยดูให้ดี ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้เช้าจะพาไปหาหมอ

     

     

    ส่งพี่ผู้จัดการทั้งสองและปิดประตูห้องลงแล้วลู่หานก็กลับมานั่งข้างเตียง ร่างขาวยังอิงซบอยู่กับอกกว้างเพราะคริสยังไม่วางน้องลง เลย์เพิ่งกินยาแล้วก็ดื่มน้ำตามไป เขาเกรงว่าจะสำลัก ลู่หานแกะซองพลาสติกแล้วแปะแผ่นเจลลงบนหน้าผากน้องก่อนจะลูบผมนุ่มเบาๆ เด็กหนุ่มถอนใจแล้วมองหน้าเพื่อนที่ตอนนี้เอนหลังลงพิงพนักหัวเตียงไว้เพื่อไม่ให้คนป่วยฝืนแผ่นหลังมากนัก

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เลย์ป่วยหนักถึงขั้นไม่รู้สึกตัว ครั้งหนึ่งก่อนที่จะเดบิวต์ ตอนที่อากาศหนาวจัด เลย์ไข้ขึ้นสูงจนล้มลงไปต่อหน้า เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีสติ คริสกับเขาเป็นคนพาน้องไปส่งโรงพยาบาล ร่างสูงนั่งเฝ้าน้องอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปไหนตลอดทั้งคืน แต่พอตื่นเช้ามาคริสกลับต่อว่าคนป่วยสารพัด จนลู่หานเองอดจะสงสารน้องที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบไม่ได้ ก็รู้หรอกว่าคริสเป็นห่วง แต่ถ้าห่วงแล้วจะโมโหขนาดนั้นเขาก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ตั้งแต่นั้นลู่หานก็เลยตั้งใจจะดูแลน้องให้ดี นี่เป็นครั้งแรกหลังจากตอนนั้นที่เลย์ป่วยหนักโดยที่เขาไม่รู้ เมื่อครู่เขาทำอะไรไม่ถูกจนเกือบจะร้องไห้แล้วด้วยซ้ำ แต่คริสกลับมีสติมากกว่า

     

    “โชคดีที่ตุ้ยจางอยู่ด้วย ไม่งั้นเค้าคงทำอะไรไม่ถูก”

    คริสเพียงสบตาแสดงอาการรับรู้โดยไม่ตอบคำใด ดูเหมือนเลย์จะหลับคาอกเขาไปแล้ว คริสถึงค่อยๆ วางร่างขาวที่อ่อนปวกเปียกลงกับพื้นเตียง ห่มผ้าห่มให้จนถึงอก ลู่หานมองมือใหญ่ที่แตะลงตรงซอกคอและตามเนื้อตัวขาวซีดเพื่อวัดไข้ ก่อนจะลูบผมน้องที่ตอนนี้หลับสนิทอย่างเบามือ บุคลิกที่อ่อนโยนของคริสอาจเป็นสิ่งที่เจนตาใครต่อใคร แต่แววตาห่วงใยที่เจือความห่วงหาอาทรณ์แบบนี้ คริสมีให้คนๆ เดียว

     

    “ตุ้ยจางจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน” ลู่หานงับปากตัวเองอย่างชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจจะพูด คริสเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อยในเชิงไม่เข้าใจคำถาม “นายก็เห็น น้องติดนายมากกว่าคนอื่น เชื่อฟังนายที่สุด มีนายคนเดียวที่ดูแลอี้ชิงได้ดีกว่าใคร ทำไมเค้าจะไม่รู้ว่าตุ้ยจางพยายามตีตัวออกห่างน้องมาตั้งแต่ช่วงใกล้จะเดบิวต์ เค้าไม่รู้ว่าตุ้ยจางคิดอะไร แต่นายนึกถึงใจอี้ชิงบ้างรึเปล่า พวกนายเคยสนิทกันแค่ไหน อยู่ดีๆ นายก็ทำเหมือนเป็นคนอื่น อี้ชิงเขาคิดว่ามันเป็นเพราะเรื่องงาน ถึงไม่อยากเซ้าซี้นายมาก น้องต้องฝืนตัวเองแค่ไหน นายไม่มีทางรู้หรอก เค้าแอบเห็นน้องมองหานายบ่อยๆ เผลอเรียกชื่อนายทั้งที่ไม่ได้อยู่แถวนั้น อี้ชิงพยายามแล้ว แต่นายเองที่ทำให้เขาสับสน เดี๋ยวก็เป็นห่วง เดี๋ยวก็ทำเป็นไม่สนใจ ไม่สงสารน้องบ้างหรือ?”

     

    ลู่หานมองหน้าคริสที่ไม่ยอมสบตาเขา ดวงตาอ่อนแสงทอดมองเพียงใบหน้าขาวซีดเพราะพิษไข้ของร่างบนเตียง เขารู้ว่าคริสจะไม่ตอบ คนอย่างคริสปากแข็งพอๆ กับหัวใจที่กักกั้นความรู้สึกตัวเองไว้ได้อย่างแน่นหนา ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะเรียบเฉย ลู่หานรู้ว่าคริสซ่อนความรู้สึกไว้มากมาย ...เพราะดวงตาไม่เคยโกหก ลู่หานมั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดมันไม่ผิด แค่ไม่รู้เหตุผลเท่านั้น คริสไม่ต้องตอบเขาก็ได้ ลู่หานก็แค่อยากให้คริสทำตามความรู้สึก บางที... ตัวคริสเองนั่นแหละ อาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้

     

     

    “เสี่ยวลู่~

    มีเสียงเรียกที่หน้าประตูห้อง และลู่หานก็ทำตาโตพร้อมอุทานเบาๆ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านัดใครไว้ เขารีบลุกขึ้นไปเปิดประตูให้มักเน่ขี้อ้อนที่ยืนยิ้มตาปิดรออยู่ “นอนด้วยกันนะ~

    เซฮุนกอดหมอนมาด้วยหนึ่งใบ พอเห็นลู่หานฮยองไม่ตอบก็แทรกกายผ่านประตูห้องเข้ามา ก่อนจะมาชะงักเอาตอนที่ได้เห็นร่างสูงของหัวหน้าฝั่งจีนนั่งอยู่ข้างเตียงของอี้ชิงฮยอง

    “อ้าว คริสฮยองก็จะนอนที่นี่ด้วยเหรอฮะ?” เซฮุนเอียงคอถามตาใสแจ๋ว แต่คริสไม่ได้ตอบ ลู่หานนั่นแหละที่ต้องบอกน้องเอง

    “เซฮุน ขอโทษนะ ฮยองให้นอนด้วยไม่ได้แล้วล่ะ อี้ชิงไม่สบาย ฮยองต้องดูแล”

    พอถูกพี่ชายคนโปรดปฏิเสธให้ผิดหวัง คนน้องก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ซอยเท้าเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ

    “งื้อออออ~ แต่ฮยองสัญญาแล้วนี่ เราไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ ฮยองไม่คิดถึงผมเหรอ~

    “เซฮุน อย่างอแงสิ อี้ชิงฮยองไม่สบายนะ”

    “ไม่เอาอ่ะ~!

    “เซฮุน”

    “นายไปนอนกับน้องเถอะลู่หาน” คริสหยุดการถกเถียงของสองพี่น้องด้วยความเห็นตัวเอง เซฮุนไม่ออมเสียงเลย เกรงว่าจะรบกวนคนป่วยได้ แต่ลู่หานยังกัดปากลังเล

    “แต่ว่า...”

    “นายอยู่ก็คงไม่ได้นอน ให้ฉันอดนอนคนเดียวดีกว่า”

    “...เอางั้นเหรอ? ตุ้ยจางไหวนะ?”

    “อื้ม ไม่เป็นไร ฉันดูแลอี้ชิงเอง”

     

     

     

    ลู่หานกับเซฮุนออกไปแล้ว คริสถอนใจเบาๆ เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงเขากับร่างโปร่งบางที่หลับสนิท แค่เสียงครางเบาๆ คริสยังละเลยไม่ได้ สีหน้าที่ทรมานเพราะพิษไข้ทำให้เขาต้องโน้มตัวเข้าหา มือใหญ่ลูบปลอบผมนุ่มแล้วเลยมาซับเหงื่อที่ข้างขมับ ไม่นานนักคนป่วยก็หยุดคราง 

     

    คริสมองใบหน้าขาวซีดด้วยความรู้สึกหน่วงในอก ร่างสูงหลับตาแล้วยกสองมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ ...นี่เขากำลังทำบ้าอะไร!

     

    เอาแต่คิดอยู่คนเดียวตลอด ว่าสิ่งที่ทำมันดีที่สุดแล้ว เขายอมปล่อยมือจากเลย์ในวันที่ยังปล่อยได้ เพราะความน่ารักของคนตัวเล็กทำให้ความรู้สึกของเขามันมากขึ้นทุกวัน มากจนคริสกลัวว่าจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว กลัวว่าความเห็นแก่ตัวนั้นจะทำให้เลย์ต้องอึดอัด ...เขาถึงยอมปล่อยมือ ฝืนเอาตัวเองออกมาให้ห่าง ไม่อยากให้เลย์รังเกียจจนเป็นฝ่ายผลักไสเขาออกมาเอง

     

    คิดว่าทางที่ตัวเองเลือกมันดีสำหรับน้อง แต่คริสผิดทั้งหมด!

     

    ลู่หานพูดถูก เขาไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคนตัวเล็กเลย คริสยึดคืนความสนิทสนมในฐานะเพื่อนทั้งหมด แล้วยัดเยียดความห่างเหินตามหน้าที่ให้เลย์ต้องรับไปโดยไม่มีทางเลือก ...ไม่บอกกล่าว ...ไม่มีคำอธิบาย เขาปล่อยให้คนตัวเล็กที่เคยเดินเคียงข้างต้องถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง นี่น่ะหรือที่เขาคิดว่าดี? คิดถึงแต่ตัวเองล่ะไม่ว่า

     

    ดูสภาพเลย์ตอนนี้สิ ความงี่เง่ามากมายแค่ไหนที่บังตา ทำให้เขาไม่รู้ว่าน้องป่วยหนัก ทั้งที่ยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ต้องรอจนร่างโปร่งบางล้มลงไปก่อนคริสถึงจะรู้สึกตัว ตอนที่พี่ผู้จัดการบอกเขาเรื่องยา คริสนึกโมโหตัวเองขึ้นมาติดหมัด ถ้าเขาคอยอยู่ดูแลใกล้ๆ เลย์คงไม่ทำเรื่องที่ทำร้ายตัวเองแบบนี้ ไหนว่าห่วงนักห่วงหนา มีแต่คิดจะผลักไสน้องไปให้คนอื่น

    หัวใจตัวเองแค่นี้ก็ยังดูแลไม่ได้!

    ควรแล้วหรือที่เลย์จะเรียกหา คนงี่เง่าอย่างเขาจะคู่ควรกับรอยยิ้มหวานจากคนตัวเล็กได้ยังไงกัน!

     

    มือขาวที่ร้อนจัดเพราะพิษไข้ถูกดึงไปกุมไว้ คริสบีบมือน้องเบาๆ ก่อนจะแนบแก้มรับสัมผัสร้อนผ่าวนั้น


    “ขอโทษ... ให้โอกาสฉันแก้ตัวอีกครั้งได้มั้ย”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    ตอนที่ร่างขาวขยับน้อยๆ เพราะเพิ่งรู้สึกตัว ฟ้าข้างนอกยังไม่สว่างมาก เปลือกตาบางกระพริบช้าๆ จนภาพเบื้องหน้าชัดเจนแล้วคนบนเตียงก็ยังนอนนิ่งมองเพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับพลิกตัวตะแคงข้าง

     

    ร่างสูงที่นั่งหมิ่นเหม่ออยู่ขอบเตียงทำให้ตาคู่สวยเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม คริสพิงหลังไว้กับพนักหัวเตียง เหยียดขาไปตามความยาวของเตียง เขาหลับทั้งที่มือสองข้างยังกอดอกตัวเองไว้ มองใบหน้าอิดโรยของคนที่หลับสัปหงกหัวคลอนอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์แล้วเลย์ก็เผลอยิ้ม แต่พอคิดได้ว่าร่างสูงหลับเฝ้าเขาอยู่อย่างนี้นานแค่ไหนแล้ว เลย์ก็รู้สึกเหมือนไข้จะกลับ ร้อนผ่าวไปทั้งหน้าและลำคอ หัวใจก็เต้นแรงจนต้องเลื่อนมือมากุมไว้

     

    เสียงกระซิบเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันสินะ?

     

    ศีรษะของคริสตกลงมาด้านหน้าพร้อมอาการสะดุ้งเล็กน้อย เลย์รีบหลับตาและทำเหมือนว่าตัวเองยังไม่ตื่นขึ้นมาเห็นอะไรทั้งนั้น

     

     

     

    ร่างสูงขยับตัวไล่ความเมื่อยขบที่เกาะกินมาตลอดครึ่งคืนก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ จิตใต้สำนึกสั่งเขาไม่ให้เหยียดแขนขาเต็มที่นัก สติแรกคริสยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อดวงตาคมวาดมองไปยังร่างโปร่งบางที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็กลับเข้ามาอยู่ในสมอง เขาทอดถอนหายใจพลางลูบมือกับเรือนผมนุ่มอย่างเบามือ

     

    ทีแรกคริสนึกว่าคนป่วยยังหลับสนิท แต่รอยบุ๋มจางๆ ที่ข้างแก้มขาวทำให้เขานึกเอะใจ ร่างสูงเลื่อนกายลงนอนราบกับพื้นเตียง พลิกตัวตะแคงหันหน้าเข้าหาร่างที่เล็กกว่า แล้วตั้งศอกเอามือรองศีรษะไว้ต่างหมอน ใบหน้าที่ห่างกันเพียงฝ่ามือกั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง คริสไม่อยากทำร้ายตัวเองแบบนี้ แต่อารมณ์อยากแกล้งคนขี้เซามันมีมากกว่า ปลายนิ้วเรียวยาวเกี่ยวเก็บปอยผมที่ตกลงมาระใบหน้าหวานก่อนจะแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กอย่างแสนเอ็นดู

     

    “ไง... ตื่นแล้วยังไม่ยอมลืมตาหรือ?”

    คนป่วยหดคอหนีเล็กน้อย มุ่ยหน้าเหมือนเด็กงอแงทั้งที่ไม่ยอมลืมตา

    “อือ... อยากนอนต่อ ยังไม่อยากตื่นเลย”

    “อะไรกัน เลย์คนเก่งจะอู้งานหรือวันนี้”

    คนตัวขาวครางเสียงในคอก่อนจะยอมลืมตา รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้าหล่อในระยะลมหายใจกั้นทำเอาเลย์ชะงัก เมื่อครู่ไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่ ตาคู่สวยสบมองฝ่ายตรงข้ามนิ่งนานก่อนจะกระพริบถี่ๆ และยกมือขึ้นขยี้ตาในที่สุด คริสหัวเราะเบาๆ จับมือสวยให้หยุดทำร้ายดวงแก้วคู่งามแล้วเกลี่ยปลายนิ้ววนๆ บนเปลือกตาบางเพื่อบรรเทาความระคายให้

     

    เลย์ลืมตาขึ้นอีกครั้งแต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังไม่ห่างไปไหน ประกายตาคู่สวยฉายแววใคร่รู้ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยปาก ...น่าเอ็นดูในสายตาคนมองยิ่งนัก คริสไล่สายตาละเลียดจนทั่วดวงหน้าหวานก่อนจะหยุดอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้แม้จะซีดสีแต่ก็ยังดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส หัวใจของเขายังเต้นกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง มันเร่งเร้ารุนแรงเสียจนร่างสูงนึกสงสัยว่าเลย์อาจจะได้ยินมันได้ คริสคิดว่า... เขาควรจะเลิกแกล้งคนป่วยได้แล้ว

     

    มือใหญ่แตะลงที่หน้าผากเนียนเพื่อวัดไข้ ก่อนจะเลื่อนลงมาที่ข้างแก้มขาว

    “ตัวไม่ร้อนแล้ว ยังปวดหัวอยู่มั้ย?” คนป่วยเพียงส่ายหน้า แต่แค่นั้นเขาก็ยิ้มอย่างโล่งใจ พลิกกายหันหลังแล้ววาดขาลงจากเตียง “ทานอะไรหน่อยนะ เดี๋ยวฉันไป...”

    “ไม่ต้องหรอกอู๋... เอ่อ ตุ้ยจาง” แต่มือเล็กที่คว้าชายเสื้อทำให้ร่างสูงชะงัก นั่นยังไม่เท่ากับครึ่งคำที่ทำให้คริสคิดว่าเขาหูฟาด ...ชื่อเรียกที่ไม่ได้ยินมานานจนคริสเองก็เกือบลืมไปแล้ว

     

    ชื่อเล่นที่เจ้าของมือเล็กนี้ตั้งให้ ...คำเรียกที่เขาแสนโหยหา

     

    คริสหันกลับมามองคนบนเตียง แต่ประกายตาที่สื่อความหมายเพียงวูบเดียวที่เขาไม่ทันรู้สึกตัวทำให้อีกฝ่ายต้องค่อยๆ ดึงมือกลับพร้อมกับหลบสายตา ริมฝีปากได้รูปสั่นระริก อยากจะอ้อนขอให้น้องเอ่ยเรียกชื่อนั้นเต็มๆ คำ แต่ก้อนเนื้อน้อยๆ ภายใต้แผ่นอกแข็งแรงที่ยังรู้สึกผิด มันกลับแย้งว่าไม่กล้า

     

    “...ขอแค่น้ำก็พอ”

    ร่างสูงทอดถอนใจ ละสายตาจากใบหน้าหวานแล้วหันไปเทน้ำจากขวดที่ตั้งไว้บนโต๊ะหัวเตียงตั้งแต่เมื่อคืนใส่แก้ว พอหันกลับมาเลย์ก็ยันกายให้ลุกขึ้นนั่งได้เองแล้ว คริสเลยช่วยจับหมอนพิงหัวเตียงเพื่อให้คนตัวเล็กได้เอนหลัง มือใหญ่ประคองต้นคอขาวไว้ก่อนจะป้อนน้ำให้ช้าๆ

     

    กระหายน้ำมาทั้งคืนยังไม่ยอมบอก คริสรู้ได้เพราะเจ้าตัวดื่มไปเสียอึกใหญ่จนหมดแก้ว แต่พอเขาถามว่าเอาอีกมั้ยก็ส่ายหน้า ท่าทางเลย์จะยังไม่อยากลุกจริงๆ คริสมองนาฬิกาก็เห็นว่าเพิ่งจะหกโมงเช้า วันนี้มีงานแจกลายเซ็นช่วงสายๆ พวกเขาก็ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย วางแก้วน้ำกลับคืนที่เดิมแล้วร่างสูงก็เลยนั่งเป็นเพื่อนคนเพิ่งหายป่วยอยู่ตรงนั้น

     

    เลย์เพิ่งจะได้มีโอกาสมองไปรอบๆ ห้อง เตียงที่อยู่ข้างๆ ก็ว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของรูมเมทที่ควรจะอยู่แถวนั้น

    “เสี่ยวลู่ล่ะ?”

    “ฉันไล่ไปนอนกับเซฮุนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่งั้นคงนั่งเฝ้านายไม่ยอมนอน”

    คนตัวขาวพยักหน้า ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เบาลง  

    “แล้ว... ตุ้ยจางอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยเหรอ?”

    “ตอนแรกก็กะว่าจะไปนอนอีกเตียง แต่เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้” ถ้าการที่คนตัวโตๆ จะบีบตัวเองให้ขึ้นมานอนหมิ่นเหม่อยู่บนเตียงเดี่ยวขนาดสามฟุตครึ่งเพื่อจะเฝ้าคนป่วยใกล้ๆ ได้ เรียกว่าเผลอล่ะก็นะ

     

    เลย์มองหน้าเขาได้ไม่นานก็ก้มหน้า บิดนิ้วไขว้กันไปมาอยู่บนตัก คริสมองเห็นเพียงข้างแก้มใสที่แดงระเรื่อ หรือจะยังไม่หายไข้?

    “เป็นอะไร? ไม่สบายตัวหรือ?”

    แต่เลย์กลับส่ายหน้า เงยหน้าขึ้นสบตาคริสแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก กลีบปากอิ่มถูกกัดเม้มจนน่ากลัวว่าจะเจ็บ

    “เมื่อคืน... ฉันละเมอรึเปล่า?”

    “หืม? ละเมอเหรอ?”

    “อื้ม...”

    คริสนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อคืนเลย์ครางเพ้อเพราะพิษไข้ก็จริง แต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์ แบบนั้นคงไม่เรียกว่าละเมอ

    “ทำไมถามแบบนั้น?”

    “ก็ตุ้ยจางเองยังละเมอออกบ่อย”

    “ฉันเนี่ยนะ? ฉันละเมอว่ายังไง?”

    “ก็... เรียกใครไม่รู้ว่า ที่รัก

    “ห๊า!?” เล่นเอาคริสหน้าร้อนผ่าว เขาเคยฝันหวานอยู่บ่อยๆ เวลาที่ได้นอนร่วมห้องกับคนตัวขาว แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นเอามากขนาดนั้น เพ้อในฝันจนละเมอออกมาให้เลย์ได้ยินเนี่ยนะ? คริสหัวเราะกลบเกลื่อน “นาย... หูฟาดรึเปล่า ฉันจะไปเรียกใครอย่างนั้นได้”

    นั่นสิ จะไปเรียกใครได้ นอกจากคนที่ได้ยินเขาละเมอนั่นแหละ

     

    เลย์ยิ้มบางแล้วก็ก้มหน้าลงไปอีก

    “เมื่อคืนฉันฝันล่ะ”

    “....?”

    “ฝันถึงพวกเราตอนที่ยังเป็นแค่เด็กฝึกหัด ฝึกซ้อมกันตั้งแต่เช้าจนเย็น วันไหนได้เลิกเร็วหน่อยก็ออกไปเดินเล่นที่ตลาด กินราเมงร้านอร่อยกัน”

    นึกถึงวันเก่าๆ แล้วคริสก็ยิ้มออกมา เอนหลังพิงพนักหัวเตียงด้วยท่าทางสบายๆ แล้วเล่าบ้าง

    “นายเป็นเมนเต้นก็เลยต้องซ้อมหนัก ออกจากหอพักตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแล้วก็กลับมาตอนเที่ยงคืน”

    “แล้วนายกับลู่หานก็ต้องลำบากสลับกันไปรับ”

    “ไม่อย่างนั้นนายก็คงนอนค้างที่ห้องซ้อมไม่ยอมกลับหอแน่ๆ

    “ฮะๆๆๆ ฉันนี่ดูเป็นภาระมาแต่ไหนแต่ไรเลยนะ”

    ทั้งที่อีกฝ่ายหัวเราะ แต่คริสกลับรู้สึกหน่วงในอก ทำไมถึงชอบคิดว่าตัวเองเป็นตัวปัญหาของคนอื่นอยู่เรื่อยเลยนะ เลย์ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากรับภาระดูแลเขาไปตลอดชีวิตบ้างเลยรึไงกัน

     

    “...เสี่ยวลู่เคยบอกว่า มีวันนึงที่เขาไปรับ เห็นฉันนั่งหลับอยู่ตรงมุมห้องซ้อม พอเข้าไปเรียก ...ฉันกลับละเมอเรียกชื่อนาย ฉันก็เลย... กลัวว่าจะละเมอแบบนั้นออกมาตอนที่หลับน่ะ” เลย์มองหน้าเขาแล้วยิ้มเก้อๆ แต่หัวใจของคริสกลับสั่นอย่างรุนแรง  

     

    มือใหญ่เลื่อนขึ้นช้าๆ ได้เพียงแตะปลายนิ้วลงบนแก้มนุ่ม กว่าจะรู้ตัว คริสก็รวบคนตรงหน้าเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้ว

    “อี้ชิง...” เขาซบหน้าลงกับกลุ่มผมนุ่มหอม แขนทั้งสองข้างกอดรัดร่างขาวจัดแน่นหนาจนแผ่นอกของทั้งคู่แนบชิดกัน คริสรู้ว่าอีกฝ่ายอาจได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เขายอมทุกอย่างแล้ว

     

    “...เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมได้มั้ย” คริสแนบริมฝีปากกับใบหูนิ่ม กระซิบอ้อนเสียงพร่า “ชื่อของฉัน... ชื่อที่นายเคยเรียกตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรก... นะ”

    “ฉันเรียกได้หรือ ตอนนี้... นายเป็นตุ้ยจางแล้ว”

    “ฉันคืออู๋ฟาน ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนฉันก็คืออู๋ฟานของนาย เรียกชื่อฉันเถอะ ...นะ”   

     

    หัวใจของคริสอ่อนยวบเพียงได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายยังเรียกหาเขาอยู่ตลอดเวลา ภาพในวัยเยาว์ที่เขาทั้งคู่ยังเป็นเหมือนเงาของกันและกัน ทั้งที่คริสพยายามจะวิ่งหนี แต่เลย์กลับเก็บมันไว้รอบๆ ตัว ความห่างเหินเริ่มต้นเมื่อคำเรียกตามหน้าที่ถูกใช้แทน เขาเองที่เป็นฝ่ายขีดเส้นกำหนด และตอนนี้คริสก็อยากได้มันคืน

     

    คริสจะไม่หนีอีกแล้ว จะไม่ฝืนตัวเอง จะไม่หาเหตุผลมาทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังอีก

     

     

    นานเท่านานกว่าคริสจะรู้สึกว่าร่างนิ่มในอ้อมแขนขยับยุกยิก มือเล็กแตะลงบนอกเขา ยังไม่ทันออกแรงผลักร่างสูงก็ถอยออกมาเอง

    “ขอโทษ ฉันกอดแน่นไปหรือ?”

    คนตัวเล็กส่ายหน้าจนเส้นผมปลิว

    “เปล่าหรอก คือ... รู้สึกแปลกๆ น่ะ สงสัยจะยังไม่หายป่วยแน่เลย” เลย์ยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้ คริสอยากจะเชื่อเหลือเกินว่าคนน่ารักของเขากำลังกลั้นยิ้ม ก็ดูสิ รอยบุ๋มที่ข้างแก้มชัดเจนขนาดนี้ ร่างสูงไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องมานั่งเสียดายทีหลังแน่ ช่วงแขนยาวเหนี่ยวรั้งร่างขาวนุ่มให้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง เขากอดเลย์ไว้หลวมๆ ลูบไล้กลุ่มผมนุ่มอย่างเบามือ และเลย์ก็แนบแก้มลงกับอกของเขา

    “พี่ไม่ได้กอดนายแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ”

    คนตัวขาวหัวเราะคิก เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอกอุ่นที่ซบอยู่อย่างน่าเอ็นดู

    “ไม่ค่อยชินเลยเวลานายเรียกตัวเองว่า พี่เนี่ย”
    “แต่ฉันชอบนะ หัดเรียกไว้ซะให้ชินปาก” พอคริสแตะปลายนิ้วกับริมฝีปากนุ่มแล้วหัวเราะบ้าง เลย์ก็ทำหน้ามุ่ย เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งอยากแกล้ง เขาบีบปลายจมูกเล็กเบาๆ จนได้ยินเสียงครางขัดใจนั่นแหละถึงได้ยอมปล่อย ใบหน้าน่ารักงอง้ำแต่ก็ยังเจือรอยยิ้มน้อยๆ น่าเอ็นดูเสียจนคนมองต้องกดหัวกลมๆ ลงกับอก “แล้วทีหลังก็อย่าดื้อ ไม่สบายหรือเป็นอะไรก็ต้องบอก ฉันทนเห็นนายล้มลงไปต่อหน้าเป็นครั้งที่สามไม่ได้แล้วนะ”
    "...จะโดนดุอีกมั้ย?"

    “ถ้าไม่ดื้อก็จะไม่ดุ”

    “แต่ว่า...”

    “แล้วก็ห้ามคิดว่าตัวเองเป็นภาระ ห้ามคิดว่าจะทำให้ใครลำบาก คิดอย่างนั้นเท่ากับดูถูกเพื่อนและพี่น้อง คนที่เขารักและเป็นห่วงนายจะเสียใจ”

    “อืม...” ถึงจะเสียงเบาไปหน่อยแต่ก็ถือว่ารับปาก คริสเลยให้รางวัลเด็กดีเป็นคำชมถึงข้างหู ก่อนจะลูบหลังน้องแล้วโยกตัวเบาๆ เหมือนจะทั้งปลอบคนป่วยและกล่อมตัวเอง

     

     

    ตอนนี้เขาได้กอดโลกทั้งใบเอาไว้ ปลดปล่อยลมหายใจที่แสนทรมาน เหลือไว้เพียงรอยยิ้มที่อิ่มเอมใจบนใบหน้า

     

     

    หัวใจของคริสยังเต้นแรงอย่างสม่ำเสมอ แต่มันไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนก่อนหน้า ความรู้สึกหนักอึ้งที่เคยมีได้ถูกปลดทิ้งเอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง แต่คริสยังไม่กล้าละเลยมันเสียทีเดียว ตอนนี้เขามีอี้ชิงอยู่ในอ้อมแขน ความรู้สึกของเขานั้นชัดเจน เพียงแต่ยังไม่รู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย หากเลย์อยากให้เขาดูแล เขาก็จะทำ อยากให้อยู่เคียงข้าง เขาก็จะไม่ไปไหน มือทั้งสองข้างของเขาเป็นของเลย์ หากอยากให้จับจูงแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เขาก็ยินดี ตราบใดที่คนตัวขาวไม่ปฏิเสธอ้อมกอดนี้ คริสสัญญากับตัวเองว่าเขาก็จะไม่มีวันปล่อย เขาจะกอดเอาไว้จนถึงวันนั้น วันที่เลย์พร้อมจะรับฟังเรื่องทุกอย่าง วันที่เลย์พร้อมจะรับเอาความรู้สึกที่หนักแน่นและลึกซึ้งของเขาเอาไว้โดยไม่รู้สึกอึดอัด ...คริสรอได้

     


    เขาจะรอ ...จนกว่าวันนั้นจะมาถึงจริงๆ   

     




     

     

     

     

     

     

     

     

    จบภาค 1

     

     

     

     


     

     

    Talk: ตอนนี้ใช้เวลาเขียนไปสามอาทิตย์เต็มๆ เลยเชื่อมั้ย มันยากนะเอาจริงๆ เพราะเหมือนต้องใส่ความรู้สึกและเหตุผลของพี่คริสเข้าไปจนหมด (ซึ่งคนรองไม่ถนัดบรรยาย > <’)   

     

    ส่วนเรื่องของ จบภาค 1’ ก็... ตามนั้นค่ะ ฮะๆๆ แต่ในเมื่อมีภาค 1 ก็ต้องมีภาคต่อๆ ไป (ฟิคจบโมเม้นท์ไม่จบนะ > <) ยังมีเรื่องให้เขียนอีกเยอะค่ะ อยู่ที่ว่ายังอยากอ่านกันรึเปล่า ^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×