คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : มายชิง ตอน 09 ::: เพื่อนร่วมทีม
[Fic] มายชิง
ตอน 9: เพื่อนร่วมทีม
Fiction by 2nd Admin
.
.
.
“มีความเชื่อกันว่า นอกจากโลกมนุษย์ที่เราใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้ ยังมีอีกโลกคู่ขนานที่ลึกลับและไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นโลกที่ประกอบขึ้นด้วยเวทมนตร์และสิ่งมหัศจรรย์มากมายเหมือนที่เด็กๆ เคยได้อ่านกันในแฟรี่เทล หรือนิทานแฟนตาซี มนุษย์ทุกคนในโลกนั้นจะมีภูติประจำตัว ซึ่งอาจเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ รูปร่างคล้ายคน แต่มีปีกคล้ายแมลงปอและบินได้ หรือมีกายภาพเป็นสัตว์ต่างๆ ที่แสดงถึงตัวตนของคนๆ นั้น ดังเช่นเจ้าชายในหนังสือนิทานที่เด็กๆ ได้อ่าน ซึ่งมักจะมีภูติประจำตัวเป็นสิงโตหรือมังกร คอยดูแลปกป้องและเป็นเพื่อนแท้ พจญภัยไปในที่ต่างๆ ด้วยกัน หรือเจ้าหญิงแสนสวยที่มีนางฟ้าตัวน้อยๆ มีปีกปินได้เหมือนผีเสื้อ คอยร่ายเวทมนตร์ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่แรกเกิดจนเติบใหญ่ ทว่าน่าเศร้าที่ในบางเรื่องราว ภูติผู้ซึ่งเป็นเสมือนเพื่อนแท้และจงรักภักดีเหล่านั้นกลับหมดความสำคัญเมื่อมนุษย์เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ค่อยๆ ไร้ตัวตนและสูญสลายไปจากความทรงจำของมนุษย์อันเป็นที่รักไปในที่สุด ...”
“ดูอะไรอยู่น่ะชิง?” เจ้าตัวจ้อยหันขวับมามองคนที่เดินตัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ กระพริบเปลือกตาสองสามครั้งก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งลอยหน้าลอยตาบนหน้าขาเมื่อเด็กหนุ่มหย่อนก้นลงบนพื้นเตียงใกล้ๆ กัน
“คริส”
“หืม?”
“คริสรู้จักภูติประจำตัวมั้ย?” มือที่กำลังขยี้ผ้าขนหนูเพื่อซับน้ำบนผมนั้นหยุดชะงัก หันมาเลิกคิ้วใส่คนถามด้วยความสงสัย
“ภูติเหรอ?”
“อื้อ ก็คน... เอ้ย ตัวอะไรก็ไม่รู้ที่มีเวทมนตร์ แล้วก็คอยเสกเรื่องดีๆ ให้นายมีความสุข เหมือนในนิทานไง มันมีอยู่จริงๆ นะ” คริสมองตอบดวงตาใสแจ๋วแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายรายการที่เจ้าตัวเล็กดูอยู่ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ดูทีวีมากไปหรือเปล่า ของแบบนั้นน่ะไม่มีจริงหรอก เวทมนตร์อะไรนั่นมันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก” ใช่... แค่หลอกเด็ก เด็กน้อยคนหนึ่งเคยเชื่อว่าความสุขและเวทมนตร์เหล่านั้นมีจริงจนกระทั่ง...
“ต้องมีสิ แต่คริสอาจจะมองไม่เห็นก็ได้”
“แล้วนายเคยเห็นรึไง?”
“ก็...!” ปากเล็กๆ อ้าออกแล้วก็ค้างอยู่อย่างนั้น กรอกตาไปมาเหมือนกำลังใช้ความคิดแต่สุดท้ายก็เถียงไม่ออก คริสเหล่ตามองแล้วก็อดจะมันเขี้ยวไม่ได้ เด็กหนุ่มทิ้งผ้าขนหนูไว้ข้างตัวแล้วคว้าเจ้าตัวนิ่มขึ้นมาวางบนอุ้งมือ ยกขึ้นในระดับสายตาแล้วแกล้งจิ้มนิ้วให้ปากเล็กๆ นั้นหุบลง
“ไม่เคยเห็นก็แสดงว่าไม่มี” คนไม่ยอมแพ้ยกมือขึ้นกอดอกฉับ บุ้ยปากแดงๆ อย่างไม่สบอารมณ์จนคริสต้องง้อด้วยการปัดนิ้วกับหูยาวๆ นั่น “แต่ถ้าจะมี... ฉันก็คงมีแต่นายนี่แหละ นายคนเดียวที่ทำให้ฉันยิ้มได้”
“จริงนะ?”
“จริงสิ”
“งั้นเราทำให้คริสมีความสุขหรือเปล่า?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าตัวจ้อยยิ้มกว้างอย่างชอบใจ คริสเองก็ยิ้มตาม ค่อยวางร่างเล็กกลับลงบนพื้นเตียงแล้วลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดตัวเก่งออกมาสวม
“นี่ วันนี้ไปเล่นบาสกันมั้ย?”
“ที่โรงเรียนเหรอ?”
“ม่ายย ที่สวนสาธารณะสิ” ได้ยินอย่างนั้นร่างกลมป้อมก็ขยับเนื้อขยับตัวอย่างตื่นเต้น
“งั้นให้เราเล่นด้วยนะ?”
“ได้สิ วันนี้ฉันมีลูกบาสมาให้นายด้วยนะ”
“จริงนะ? เย้ๆๆ! งั้นไปเล่นบาสกัน ไปเล่นบาส! ไปเล่นบาส!” กระโดดโลดเต้นพลางส่งเสียงเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุข เด็กหนุ่มมองเจ้าตัวน่ารักแล้วก็ยิ้มตาม
คริสไม่ได้โกหก ในโลกนี้มีเพียงชิงน้อยเท่านั้นที่ทำให้เขายิ้มได้แบบนี้
สวนสาธารณะยามเช้านั้นผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน แต่ส่วนใหญ่จะออกมาเพื่อวิ่งจ้อกกิ้งกันเสียมากกว่า ดังนั้นสนามบาสฯจึงมีเพียงเด็กหนุ่มตัวสูงยึดครองพื้นที่อยู่เพียงคนเดียว
คริสปลดสายสะพายกระเป๋าลงจากไหล่แล้ววางมันไว้บนม้านั่งยาวข้างสนาม ก่อนจะค่อยๆ ช้อนก้อนนิ่มออกมาจากช่องซิปหน้า เพราะเสื้อยืดที่คริสสวมวันนี้ไม่มีกระเป๋าที่อก ชิงน้อยก็เลยได้เปลี่ยนบรรยากาศไปอยู่ในช่องกระเป๋าแทน และดูท่าว่าเจ้าตัวจะชอบอกชอบใจกว่าเพราะได้โผล่หัวออกมาแอบดูโน่นนี่ตลอดทางโดยที่คริสไม่ห้าม
“อยู่ตรงนี้นะ” เด็กหนุ่มวางเจ้าตัวเล็กลงบนม้านั่ง แถวนี้ไม่มีใครเห็น ชิงน้อยคงวิ่งเล่นได้สะดวก แต่พอคริสทำท่าจะลุกขึ้น เจ้าตัวจ้อยก็กระโดดเหยงๆ ยื่นสองมือออกมาข้างหน้า
“ไหนอ่ะลูกบาส? คริสบอกจะให้ลูกบาสเราไง” คริสอมยิ้มเพราะเขาเองที่แกล้งทำเป็นลืม กะอยู่แล้วว่าจอมซนอย่างชิงไม่มีทางลืมเรื่องของเล่นแน่ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วกำบางอย่างเอาไว้ ก่อนจะแบมือออกตรงหน้าคนที่กำลังรอด้วยความกะตือรือร้น
“อ่ะนี่” ตาคู่โตยิ่งโตกว่าเดิม เป็นกระกายวิบวับยามเห็นของถูกใจ ทันทีที่คริสปล่อยเจ้าลูกกลมๆ ในมือให้กลิ้งลงบนพื้น ชิงน้อยก็กระโดดกอดหมับ
“โว้วววว!” หมุนซ้ายหมุนขวาแล้วก็จับทุ่มให้กระเด้งกระดอนไปกับพื้นก่อนจะวิ่งตามไปเก็บเอง แค่นี้ชิงน้อยก็สนุกจนหัวเราะคิกคัก “ลูกบาสจริงๆ ด้วย!”
อันที่จริงแล้วมันคือลูกปิงปองที่คริสกดมาได้จากตู้เกมเมื่อนานมากแล้ว เพิ่งค้นเจอเมื่อวานก็เลยจับมาระบายสีแล้วก็ตีเส้นอีกหน่อย ถึงจะผิดสัดส่วนไปนิดแต่ก็มีขนาดเบาเหมาะกับตัวเล็กๆ ของชิงดี
“ทีนี้ก็ เล่นอยู่ตรงนี้นะ ส่วนฉันจะไปเล่นในสนาม ถ้ามีใครเข้ามาใกล้ต้องรีบเข้าไปแอบในกระเป๋าทันที เข้าใจหรือเปล่า?”
“โอเคคค” รับปากโดยไม่ยอมละสายตาจากลูกปิงปองมามองหน้ากันเลย น่าน้อยใจมั้ยละ พอได้ของเล่นแล้วก็ลืมกันเลยเชียว คริสทำปากยื่นน้อยๆ แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเบาๆ
เด็กหนุ่มวอร์มอัพร่างกายด้วยการสะบัดข้อมือและหมุนข้อเท้า ก่อนจะวิ่งรอบสนามอีกสามรอบ แล้วจึงลองซ้อมมือโดยเลี้ยงลูกบาสจากกลางสนามเข้าไปชู้ตใต้แป้น ผลก็คือลูกกระแทกกับแป้นบาสแต่ไม่ลงห่วง คริสหัวเราะกับตัวเองพลางส่ายหน้า เขาห่างหายจากการเล่นไปนานมาก นึกถึงตอนที่เอาชนะต้าหลงด้วยลูกชู้ตจากระยะสามแต้มในตอนนั้นแล้วก็ถือว่าฟลุ้คมากๆ เด็กหนุ่มวิ่งไปเก็บลูกบาสแล้วเลี้ยงกลับไปที่กลางสนามอีกครั้งแล้วลองเข้ามาชู้ตใหม่ คราวนี้บอลกระแทกห่วงเหล็กแล้วเด้งออก ร่างสูงกระโดดรับลูกได้กลางอากาศแล้วชู้ตอีกครั้งในทันที
ซวบ!
“เย้! เข้าไปแล้ว เข้าไปแล้ว”
คริสหันไปยิ้มให้เจ้าของเสียงเชียร์เจื้อยแจ้ว แต่แล้วก็ต้องยิ้มเจื่อนเมื่อพบว่าชิงน้อยกำลังกระโดดโลดเต้นให้กับเจ้าลูกปิงปองที่เข้าไปอยู่ในช่องซิปข้างกระเป๋า เจ้าตัวเล็กคงสมมุติให้มันเป็นห่วงแล้วจับลูกโยนลงไป เด็กหนุ่มท้าวสองมือเข้าข้างสะเอวแล้วบุ้ยปากอย่างงอนๆ
ได้ของเล่นใหม่แล้วก็ลืมกันเลยนะ รู้งี้ไม่หามาให้เล่นหรอก
“อี้ฟาน” เสียงเรียกคุ้นหูนั้นทำให้คริสละสายตาจากเจ้าตัวเล็กแล้วหันไปมองตาม ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเจ้าของรูปร่างสมส่วนซึ่งอยู่ในชุดวอร์มนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาเอง
“อ้าว จุนมยอน” เจ้าของชื่อส่งยิ้มสว่างไสวให้ก่อนจะเดินตัดสนามเข้ามาหา
“อรุณสวัสดิ์ ขยันจัง มาซ้อมแต่เช้าเลย”
“แค่ออกกำลังกายน่ะ แล้วนายล่ะ มาจ้อกกิ้งเหรอ?” คนถูกถามพยักหน้า ใช้ชายผ้าขนหนูที่พาดคออยู่ซับเหงื่อที่ข้างขมับ
“อื้ม เช้านี้อากาศดีก็เลยอยากออกมายืดเส้นยืดสายหน่อย แต่วิ่งได้แค่รอบเดียวก็หมดแรงแล้ว แล้วนี่นายเล่นบาสคนเดียวเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ” ตอบพลางลอบปรายตามองไปยังม้านั่งยาวข้างสนาม มันว่างเปล่า ชิงคงจะหลบเข้าไปอยู่ในกระเป๋าแล้วสินะ
“เล่นคนเดียวจะสนุกได้ยังไง”
“ฉันชินแล้วล่ะ เล่นคนเดียวออกบ่อย” คิมจุนมยอนพยักหน้าช้าๆ เท่าที่รู้จักกันมาสามปีก็ไม่เคยเห็นคริสมีเพื่อนสนิทที่ไหน ก่อนหน้าที่จะมาเรียนที่นี่ก็คงเหมือนกัน
“กินน้ำมั้ย?”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ” คริสส่ายหน้าปฏิเสธขวดน้ำที่เพื่อนส่งให้แล้วเดินไปเก็บลูกบาสมาเลี้ยงไว้ในมือ คราวนี้เขาลองชู้ตจากระยะใต้แป้นดูบ้าง ลูกก็ลงห่วงไปอย่างแม่นยำ คนที่ดูอยู่ก็ยิ้มให้อย่างชื่นชม
“อันที่จริงฉันก็อยากลองเล่นบาสดูเหมือนกันนะ แต่ความสูงฉันน่ะสิ”
“อยากเล่นก็เล่น ไม่เห็นต้องกังวลเรื่องส่วนสูงเลย” คริสบอกพลางเลี้ยงลูกไปรอบๆ แป้นบาส หามุมที่จะชู้ตลูกต่อไป
“แต่คนที่เค้าเล่นบาสเก่งๆ ก็ต้องตัวสูงๆ เหมือนอย่างนายหรือสองแฝดนั่นไม่ใช่เหรอ”
“อันที่จริงในทีมบาสเก็ตบอลน่ะ คนที่ตัวเล็กจะได้เปรียบเพราะมีความคล่องตัวกว่า ไม่เกี่ยวกับว่านายตัวสูงแค่ไหนหรอกนะ” คริสส่งลูกจากด้านข้างสนามลงห่วงไปอีกหนึ่ง ลูกกระเด็นไปทางที่จุนมยอนยืนอยู่ เขาจึงรับเอาไว้แล้วส่งกลับไปให้คริสในทันที
“นายนี่ดูรู้เรื่องบาสเก็ตบอลเยอะจัง ไหนจะลูกชู้ตตอนที่เอาชนะต้าหลงได้อีก ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยนะว่าไม่เคยเล่นบาสมาก่อน” มือที่รับลูกนั้นชะงัก แต่จุนมยอนไม่ทันสังเกตุเห็น แววตาที่เปลี่ยนไปหลังกรอบแว่นนั้นก็เช่นกัน
“...แค่ฟลุ้คน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น คราวหน้าฉันขอมาเล่นด้วยได้มั้ย?”
“ก็... ถ้าเจอกันน่ะนะ ปกติฉันไม่ค่อยได้ออกมาเล่นที่นี่เท่าไหร่” ท่าทีกระอักกระอ่วนนั้นชัดเจนเสียจนคิมจุนมยอนรู้สึกได้ เขาเพียงเห็นว่าวันนี้อู๋อี้ฟานพูดได้เยอะกว่าทุกวัน ถึงได้ลองชวนดู แต่ดูเหมือนกำแพงนั้นจะหนาเกินกว่าที่ความจริงใจจะทะลุเข้าไปได้
“งั้นเหรอ...” แม้จะผิดหวัง ทว่าคิมจุนมยอนยังคงยิ้ม เขาพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ บางที... อาจต้องใช้เวลามากกว่านี้ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กวนนายดีกว่า เอาไว้เจอกันเย็นนี้นะ”
คริสเพียงพยักหน้าเมื่ออีกฝ่ายโบกมือให้แล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปจากสนาม คิมจุนมยอนวิ่งไปไกลจากระยะสายตาแล้วคริสถึงได้เดินกลับมาที่ม้านั่ง ล้วงกระเป๋าหยิบขวดน้ำที่เตรียมไว้ออกมา เปิดฝาขวดแล้วยกขึ้นดื่ม ขณะที่ร่างจ้อยกำลังคลานต้วมเตี้ยมออกมาจากช่องซิป
“นี่คริส”
“หืม?” เขาเลิกคิ้วพลางรินน้ำใส่ฝาขวดเพียงค่อนแล้ววางลงตรงหน้าเพื่อนตัวจ้อยที่คลานมานั่งจุมปุ้กอยู่ใกล้ๆ
“คริสเคยบอกว่า เล่นบาสต้องเล่นด้วยกันหลายๆ คนถึงจะสนุก ทำไมไม่ชวนหัวหน้าห้องมาเล่นด้วยกันล่ะ” มองสบดวงตาใสแจ๋วแล้วคริสก็ยิ้ม ปัดปลายนิ้วกับหูนุ่มเบาๆ
“ฉันรอให้นายโตแล้วค่อยมาเล่นด้วยกันไง” เจ้าตัวน้อยโคลงหัวด๊อกแด๊ก ยกฝาขวดน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ทำท่าชื่นอกชื่นใจเสียจนน่ามันเขี้ยว คริสเห็นแล้วก็หัวเราะพลางส่ายหน้า เขาก้มลงหยิบลูกบาสฯแล้วลุกขึ้น”
“มา แข่งกันดีกว่า” เด็กหนุ่มเลี้ยงลูกไปที่เขตโทษแล้วตั้งท่าเตรียมชู้ต ปรายตามองเพื่อนตัวน้อยอย่างท้าทาย “ใครโยนลูกลงห่วงได้น้อยกว่า เย็นนี้อดกินขนมนะ”
“หื้อ! เราไม่ยอมแพ้หรอก!”
.
.
.
คริสมาถึงโรงเรียนตอนสามโมงครึ่ง ก่อนเวลาซ้อมถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อเข้าไปในโรงยิมก็ต้องแปลกใจที่เห็นคนอื่นๆ อยู่ที่นั่นด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนหญิง นั่งอยู่เกือบเต็มอัฒจรรย์ข้างนึงเลยทีเดียว
“วันนี้โรงเรียนหยุด ทำไมคนเยอะจัง” เขาถามเอากับจุนมยอนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่แถวที่พักนักกีฬา ดูเหมือนกำลังเตรียมน้ำดื่มกับผ้าขนหนูให้พอดีกับสมาชิกในทีมอยู่
“อ้อ แฟนคลับกวังยอนน่ะ ฉันเพิ่งรู้ว่าเด็กนั่นเคยร่วมทีมแชมป์มัธยมต้น มิน่าล่ะ อาจารย์ซึงฮวานถึงเลือกมาด้วยตัวเอง” คริสพยักหน้าช้าๆ มองไปรอบๆ พลางบุ้ยปากอย่างใช้ความคิด อันที่จริงเขาตั้งใจจะวางกระเป๋าไว้บนอัฒจรรย์ ชิงมองจากตรงนั้นจะได้เห็นทั่วทั้งสนามชัดๆ แต่วันนี้คงจะไม่ได้ คนเยอะแบบนี้ เอาไว้ใกล้ตัวจะดีกว่า คิดแล้วคริสก็เลยเดินไปที่เก้าอี้ตัวสุดท้ายในที่พักนักกีฬา วางกระเป๋าไว้ตรงนั้นก่อนจะเปิดช่องซิปแล้วกอบเอาเจ้าตัวนิ่มออกมาวางทับห่วงที่ห้อยกระเป๋าไว้เหมือนทุกครั้ง
“อยู่ตรงนี้แล้วกันนะชิง ระวังตัวด้วยล่ะ” น่าแปลกที่จอมซนไม่ยอมรับคำเหมือนทุกครั้ง นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวแถมยังไม่ยอมกระพริบตาจนคริสนึกแปลกใจ เกือบจะอุ้มขึ้นมาดูใกล้ๆ อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงกระแนะกระแหนจากข้างหลัง
“นายนี่แปลกดีนะ คุยกับตุ๊กตาก็ได้ด้วย” เป็นแฝดมังกรผู้น้องนั่นเองที่กำลังยิ้มเยาะ คริสหาได้ตอบโต้อะไรไม่ นอกจากถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“มุ้งมิ้งสมเป็นนายดีนะอี้ฟาน” ยังมีแฝดพี่ตามมาเสริมทัพด้วยอีกคน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังแล้วกอดคอพากันเดินออกไปจากตรงนั้น คริสมองตามแผ่นหลังของทั้งสองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า เขาโดนแกล้งมาสามปีจนชินชา คนพวกนี้ยังไม่ยอมหยุด ไม่รู้จักเบื่อกันบ้างหรือไงนะ
คิมกวังยอน
หลังจากวอร์มอัพร่างกายกันแล้ว โค้ชก็แบ่งลูกทีมออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละสามคน เพื่อให้แข่งสตรีทบาสกัน คิมวอนซิก คิมกวังยอน และอีกหนึ่งตัวสำรองอยู่ทีมเดียวกัน และถึงแม้สองแฝดจะคัดค้านเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องร่วมทีมกับคริสอยู่ดี
ทว่าเกมเริ่มไปได้ไม่ถึงสิบนาที คิมวอนซิกปีสามห้องสองซึ่งกำลังครองบอลกลับยกมือขึ้นขออนุญาตให้โค้ชเป่านกหวีดหยุดเกม
“มีอะไรรึวอนซิก?”
“โค้ชครับ ผมว่าไม่โอเค แบ่งทีมละสามคน แต่ผมรู้สึกเหมือนคู่แข่งมีแค่สอง”
“ผมก็ว่างั้น รุ่นพี่แทบไม่ได้จับบอลเลย แบบนี้ถ้าทีมเราชนะจะถือว่าเอาเปรียบ” คิมกวังยอนยังช่วยเสริมพลางเพยิดหน้ามาทางคริส และนั่นก็ทำให้สองแฝดถึงกับฉุน เป็นเสี่ยวหลงคนน้องที่ปรี่เข้าประชิดตัวรุ่นน้องผมแดงอย่างหาเรื่อง
“อย่าอวดดีให้มาก แค่ฉันสองคนก็เอาชนะพวกนายได้สบาย ไม่ต้องพึ่งพวกอ่อนหัดด้วยซ้ำ”
“แต่บาสเก็ตบอลเราเล่นกันเป็นทีมนะฮะ ไม่ใช่กีฬาที่จะให้ใครมาโชว์ออฟอยู่คนเดียว”
“นี่นาย!”
“หยุดเถียงกันทั้งคู่นั่นล่ะ!” ก่อนที่เรื่องราวจะใหญ่โตจนอาจถึงขั้นลงไม้ลงมือ โค้ชซึงฮวานก็เข้ามาห้ามทัพไว้ คริสมองดูทั้งสองฝ่ายแล้วก็ลอบถอนใจ เป็นจริงอย่างที่กวังยอนกับวอนซิกว่า สองแฝดนั่นไม่สนใจเขาจริงๆ ในเกมที่เป็นฝ่ายรุกก็รับส่งลูกและพยายามทำแต้มกันอยู่สองคน ในจังหวะที่ส่งลูกให้ได้ในเกมรับก็กลับไม่ส่ง มีครั้งนึงที่เขาตัดบอลมาได้เอง ก็กลับถูกทีมเดียวกับกระแทกเข้าที่ไหล่จนลูกหลุดจากมือ คริสเอือมระอาแต่ก็เฉยชาเสียมากกว่าจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง ถ้าวอนซิกไม่ยกมือขึ้น เขาก็คงแค่วิ่งตามไปอย่างนั้นจนกระทั่งจบเกม
โค้ชซึงฮวานมองดูลูกทีมทั้งหมดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คริสรู้สึกได้ว่าอาจารย์จ้องมองเขานานกว่าคนอื่นๆ ราวกับจะสำรวจหรือค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กวังยอนพูดถูก ถ้าไม่เล่นให้เข้าขากันก็ไม่ถือว่าเป็นทีม ต่อให้เก่งยังไงก็ไม่อาจเอาชนะคู่แข่งได้” แฝดผู้น้องยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่รุ่นน้องร่วมทีมอย่างไม่ยอมกัน จนต้าหลงต้องสะกิดเตือนก่อนที่จะถูกโค้ชตำหนิอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเปลี่ยนกติกา ลูกทีมแต่ละคนต้องผลัดกันทำแต้ม ทีมไหนที่ส่วนต่างคะแนนที่ลูกทีมชู้ตลงห่างกันมากกว่า ถือว่าทีมนั้นแพ้และต้องถูกลงโทษทั้งทีม”
“แต่โค้ชครับ...!”
“ถ้าอยากร่วมทีมก็ต้องฟังคำสั่งฉัน ไม่อย่างนั้นก็ออกไปเล่นที่อื่น” น้ำเสียงเด็ดขาดนั้นทำให้คู่แฝดไม่กล้าต่อรองหรือคัดค้านอะไรอีก แม้จะไม่ชอบใจนักเพราะนั่นเท่ากับบังคับให้พวกเขาต้องร่วมมือกับคริสอย่างเสียไม่ได้ แต่ความอึดอัดใจนั้นยังไม่เท่าหากต้องเสียหน้าเพราะถูกไล่ออกจากทีม สุดท้ายจึงได้แต่รับคำอย่างไม่เต็มใจ
แต่โค้ชซึงฮวานหาได้สน เขากลับไปที่ตำแหน่งข้างสนามแล้วเป่านกหวีดอีกครั้ง
“เริ่มเกมใหม่!”
คิมวอนซิก
จบเกมไปด้วยแต้มที่ห่างกันแบบไม่มีลุ้น ทีมของวอนซิกเอาชนะไปได้ทั้งแต้มรวมและแต้มเฉลี่ยต่อคน คิมกวังยอนเด็กหนุ่มผมแดงเป็นเด็กฉลาดสมกับที่โค้ชไว้ใจ เขามองออกว่าเพื่อนร่วมทีมอีกคนไม่ค่อยมีทักษะนัก แต่ได้ประโยชน์ตรงที่เป็นคนตัวสูง จึงปรึกษากับวอนซิกให้ช่วยส่งลูกและสลับกันทำแต้ม ในขณะที่สองแฝดซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเข้าขากับคริสได้ ทำให้แต้มรวมห่างกันถึงเจ็ด ส่วนแต้มต่อคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง คริสมีโอกาสได้ชู้ตลูกแค่สามครั้งเท่านั้น
หลังถูกทำโทษให้ถูสนามจนเสร็จ คริสก็คว้ากระเป๋าแล้วเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนคู่แฝด แต่เมื่อกลับออกมาก็ต้องแปลกใจที่เห็นคิมวอนซิกซึ่งยังอยู่ในชุดซ้อมยืนอยู่แถวนั้น กำลังหมุนลูกบาสด้วยปลายนิ้ว คริสไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมชั้นปีผมสีน้ำเงินคนนี้มากไปกว่าการใช้ชายเสื้อยืดเช็ดเลนส์แว่นตาในมือ เขาเดินเลยไปแล้วด้วยซ้ำตอนที่อีกฝ่ายพูดขึ้น
“ความจริงฝีมือนายก็ไม่เลว ลือกันว่ายังเอาชนะแฝดพี่ได้ตอนที่แข่งกันตัวต่อตัว ทำไมถึงยอมให้เจ้าพวกนั้นข่มเอา”
คริสหันกลับมามองแต่ดูเหมือนวอนซิกจะสนใจลูกบาสที่กำลังหมุนติ้วๆ นั่นมากกว่า เด็กหนุ่มยกแว่นขึ้นสวม ตอบเสียงเรียบ
“ฉันไม่ชอบมีปัญหากับใคร”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าทำแบบนี้จะยิ่งสร้างปัญหา เจ้าพวกนั้นถึงได้คอยหาเรื่องนายอยู่เรื่อยๆ”
“ถ้าไม่ตอบโต้ สองคนนั้นก็เบื่อ เดี๋ยวก็เลิกไปเอง”
“แต่เท่าที่ฉันเห็นเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น รู้อะไรมั้ย บางทีการที่ทำเป็นเงียบแล้วก็รักสงบน่ะ มันก็ดูเสแสร้งจนน่าหมั่นไส้นะ” จู่ๆ คนพูดก็ออกแรงที่นิ้ว ส่งลูกบอลที่กำลังหมุนขึ้นไปบนอากาศแล้วรับไว้ด้วยมือเดียว ก่อนจะส่งมันต่อให้คริสซึ่งไม่ทันตั้งตัวแต่ก็สามารถรับลูกไว้ด้วยมือเดียวได้เช่นกัน คิมวอนซิกมองดูเขาแล้วแค่นยิ้ม
“อย่าให้มีปัญหากับการแข่งก็แล้วกัน ถึงจะแค่นัดกระชับมิตร แต่ฉันก็ไม่อยากแพ้หรอกนะ”
คริสมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินจากไป ก่อนจะหลุบตาลงมองลูกบาสในมือ คุณพ่อสอนให้เขาเล่นบาสเพราะอยากให้ร่างกายแข็งแรง เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องเล่นให้เก่งเพื่อแข่งขันกับใคร กับสองแฝดนั่นหรือไม่ว่ากับใครๆ คริสก็ไม่ได้อยากเอาชนะ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมแพ้ ในเมื่อตัดสินใจเข้าร่วมในทีมแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด
“คริสไม่มีทางแพ้หรอก” กำลังใจน้อยๆ ของเขาโผล่หัวกลมๆ กับหูยาวๆ ออกมาจากช่องซิปของกระเป๋าแล้วตะโกนบอกอย่างจริงจัง เด็กหนุ่มก้มลงมองแล้วก็ยิ้มเอ็นดูกับท่าทางเก่งกล้าเกินตัวนั้น
“แน่นอน ฉันไม่มีทางแพ้”
“สัญญาแล้วนะ” ยกกระเป๋าขึ้นให้เจ้าตัวเล็กอยู่ในระดับสายตา แล้วแตะปลายนิ้วกับมือเล็กๆ ที่ยื่นออกมาแทนการเกี่ยวก้อยแบบที่เคยสอนกันเอาไว้
คริสกำลังก้าวขาออกไปจากโลกของตัวเอง ออกไปยังที่ๆ ไม่เคยคุ้น ต้องพบปะกับคนมากหน้าที่อาจเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู เขาไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้คือเขามีเพื่อนแท้อยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรเขาก็ไม่มีทางกลัว ขอแค่มีชิงอยู่ด้วยกันแค่นั้น
“สัญญาตลอดไป ใครเบี้ยวขอให้เป็นหมู”
“หื้อ เราไม่เป็นหมู”
“ฉันก็ไม่ยอมเป็นหมูแน่”
“แต่คริสอ้วนเหมือนหมู”
“ใครกันแน่ที่อ้วน กินขนมหวานทุกวัน”
“คริสนั่นแหละ”
“ใช่เหรอ?”
“คริสเป็นหมู”
“ชิงต่างหาก”
“คริสนั่นแหละ”
“ชิงนั่นแหละ”
“คริสๆๆๆๆ”
“ชิงๆๆๆๆ”
“คริสสสสสสสส!”
“ฮะๆๆๆๆๆ”
.
.
.
จบตอน ^^
คนรอง: เผลอแป๊บเดียวปีนึงแล้วเนอะ ชิงน้อยยังไม่โตซักที แหะๆๆ ^^"
ความคิดเห็น