ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #8 : MKML ตอน 08 ::: Moment in Thailand (2)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 57


    [Fic] My Kris, My Lay

    Fiction by 2nd Admin

     

     

     


    ตอนที่ 8

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เช้าวันที่สองของการมาโปรโมทในต่างประเทศเป็นครั้งแรกของกลุ่มศิลปินดาวรุ่ง EXO หกสมาชิกจากฝั่งจีนต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อเตรียมตัวไปร่วมรายการทอล์คโชว์ซึ่งเป็นรายการสด เลย์ซึ่งเมื่อวานยังดูอ่อนเพลียแล้วก็ไม่แข็งแรงนัก เช้านี้ก็ดูแจ่มใสขึ้นมาก ลู่หานถามแล้วถามอีกเจ้าตัวก็ย้ำว่าไม่เป็นไรจริงๆ ยังบิดเอวให้ดูเพื่อยืนยันอีกด้วย

     

    การถ่ายทำกินเวลาแค่ช่วงสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมาที่โรงแรม ตามตารางงานก็จะมีอัดรายการทอล์คโชว์รายการใหญ่ในช่วงหัวค่ำเลยไปถึงตอนดึก แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังมีสัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ กับนิตยสารและรายการบันเทิงอีกหลายรายการ ดังนั้นกว่าที่หกหนุ่มจะได้พักกันจริงๆ ก็เกือบจะเลยมื้อกลางวันแล้ว

     

    “เสียดายนะฮะ น่าจะรอพวกนั้นมาก่อน จะได้ทานมื้อกลางวันพร้อมกัน” เฉินที่คงจะคิดถึงเพื่อนชาวเกาหลีมากหันมาเปรยกับซิ่วหมินระหว่างที่นั่งรอบริกรทยอยยกอาหารมาเสิรฟให้บนโต๊ะ ในห้องรับรองที่ทางโรงแรมจัดให้เป็นพิเศษ ตอนนี้ภายในล็อบบี้ของโรงแรมมีแฟนคลับมารออยู่เต็มไปหมด บางส่วนก็จองห้องพักที่นี่ ถ้าจะให้หนุ่มๆ ลงไปทานอาหารที่ห้องอาหารในโรงแรมก็คงจะทำให้วุ่นวายเกินไป

     

    ซิ่วหมินที่กำลังจดๆ จ้องๆ น้ำซุปหน้าตาน่าทานที่มีกุ้งตัวใหญ่ๆ ยังไม่ยอมละสายตาจากก้ามโตๆ ของมันตอนที่บอกน้อง  

    “ป่านนี้เครื่องลงรึยังก็ไม่รู้ แล้วกว่าจะมาถึงโรงแรมอีก หิ้วท้องรอหิวตายเลย เผลอๆ อาจจะแวะกินอะไรมาก่อนแล้วก็ได้”

    เฉินก็เลยได้แต่พยักหน้า น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเมนร้องเสียงหลักของกลุ่มเอ็มจิตใจอ่อนไหวแค่ไหน เฉินไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายก็จริง แต่ท่าทางหงอยๆ ในบางครั้งมันก็ทำให้คนรอบข้างรู้สึกได้ ถึงบางครั้งจะทำเป็นร่าเริง หัวเราะหรือพูดคุยกับคนอื่นเพื่อกลบเกลื่อน แต่คนที่ต้องจากบ้านมาทำงานไกลๆ ก็ต้องอยากเจอเพื่อนที่พูดภาษาเดียวกันเป็นธรรมดา ลู่หานรู้ดีว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นยังไง

     

    “คิดถึงเพื่อนหรือจงแด?” เขายื่นมือไปจับไหล่น้องชายแล้วบีบเบาๆ “เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วนะ”

    หนุ่มน้อยพยักหน้าแล้วยิ้มรับก่อนจะหันไปขอบคุณพี่ชายสัญชาติเดียวกันที่อุตส่าห์ตักกุ้งตัวโตที่เล็งไว้มาใส่จานให้

    “นี่เค้าเรียกว่า ท่ม-ยาม-คุ่งฉันไปถามมาแล้ว อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ฉันสละตัวใหญ่ที่สุดให้นายเลยนะ”

    “จะให้ดีต้องแกะให้ด้วย” ลู่หานก็ตักกุ้งใส่จานแบ่งมาอีกตัวแล้วแกะหัวกับหางมันออก ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบมันใส่จานแบ่งของน้องชาย “อ่ะนี่ พี่แกะให้ แมนกว่าเยอะ”

    เฉินได้แต่ตัวหัวเราะตอนที่พี่ลู่หานหันไปยักคิ้วแสดงชัยชนะเล็กๆ กับพี่ซิ่วหมิน เรื่องแค่นี้ยังทำให้เป็นเรื่องสนุกได้ เฉินรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่มีพี่น้องน่ารักอย่างนี้อยู่ข้างๆ

     

    “ทานเสียบ้าง อย่ามัวแต่มอง” เลย์สะดุ้งน้อยๆ ตอนที่เสียงทุ้มเตือนอยู่ข้างหู ในมือของเขาถือตะเกียบค้างไว้ตั้งแต่เมื่อครู่เพราะมัวแต่มองสองคู่หูแย่งกันเอาใจน้องชายเมนร้องเพลินๆ ตอนนี้ในจานก็มีกุ้งหนึ่งตัวมานอนรออยู่แล้ว “อันนี้ไม่เผ็ด ฉันลองชิมแล้ว”

    “ขอบคุณนะ”

    คริสพยักหน้ารับแล้วแอบมองคนตัวขาวที่เงอะงะกับตะเกียบในมือเพราะไม่รู้จะใช้มันแกะเปลือกกุ้งยังไง เลย์คงลืมไปแล้วว่าข้างๆ จานยังมีช้อนส้อมอยู่ด้วย

    “แกะให้มั้ย?” คริสเลยเสนอความช่วยเหลือแล้วคีบกุ้งตัวนั้นกลับมาโดยไม่รอให้คนเป็นน้องตอบรับด้วยซ้ำ วิธีใช้ช้อนกับส้อมเลาะเปลือกกุ้งของคริสดูคล่องแคล่วมาก คนที่เติบโตในเมืองนอกเมืองนาคงถนัดใช้ช้อนส้อมมากกว่าตะเกียบ นิ้วเรียวสวยที่ดูสะอาดสะอ้านเวลาหยิบจับอะไรก็ดูดีไปหมด ตอนที่หั่นเนื้อกุ้งออกเป็นชิ้นเล็กๆ ยังดูเหมือนกำลังหั่นเสต็กในร้านอาหารหรูๆ ยังไงยังงั้น คริสสมบูรณ์แบบและดูเป็นผู้ดีในทุกกระเบียดนิ้วโดยที่เขาเองไม่ต้องเสแสร้ง ตอนที่ใช้ส้อมจิ้มเนื้อกุ้งแล้วยื่นให้คนที่นั่งมองอยู่อย่างเอาใจเขาก็ทำได้อย่างแนบเนียนโดยไม่มีเคอะเขิน

     

    แต่คริสลืมไปว่าเมนเต้นคนเก่งไม่ชอบให้ใครประคบประหงมมากนัก ตาคู่สวยเสมองไปรอบๆ บอกให้รู้ว่าเลย์ระลึกอยู่เสมอว่าเขาสองคนไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ถึงได้ยิ้มอย่างขอบคุณแล้วรับส้อมนั้นมาถือไว้เอง

     

    คริสเจื่อนยิ้มลงเล็กน้อย ถึงจะรู้ว่าน้องขี้อาย แต่การถูกปฏิเสธ... ถึงจะนุ่มนวลแบบนี้ก็ยังอดทำให้หัวใจของเขาเบาหวิวไม่ได้ เลย์คงเห็นท่าทางที่หงอยลงทันตาถึงได้พยายามจะเอาใจ

    “อ่ะนี่” เพราะใช้ตะเกียบคล่องกว่า เลย์เลยใช้มันแกะเนื้อปลาในจานใหญ่ที่อยู่กลางโต๊ะ แล้วค่อยใช้ส้อมตัวเองจิ้มมันมายื่นให้ตรงหน้าร่างสูง “แลกกันนะ”

    คริสยิ้มขื่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีใจที่คนน่ารักตั้งใจป้อนอาหารให้ขนาดนี้

     

    แต่เขาไม่ชอบปลา! เลย์ลืมไปแล้วหรือ?

     

    “อี้ชิง คือว่า...” เลย์เอียงคอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาคู่สวยกระพริบปริบ ดูเหมือนท่าทีอึกอักของคริสจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้เองว่ามันคือการปฏิเสธ ปากอิ่มถึงเม้มเข้าหากันด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เลย์มองชิ้นปลาแล้วค่อยๆ ดึงมือกลับ

     

    แต่คริสก็รีบคว้าจับเพื่อรั้งมือเล็กไว้

     

    ถึงจะแอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเลย์มักจะอ้อนเอาใจเขามากกว่าคนอื่น แต่โอกาสหวานๆ แบบนี้ก็ไม่ได้มีมาก พลาดไปเสียดายแย่

     

    จริงอยู่เขาไม่ชอบทานปลา ให้ตายยังไงก็ไม่ ขนาดตอนเด็กๆ แม่เคยบังคับปนขู่ว่าจะไม่ให้เขาออกไปเล่นกับเพื่อนถ้าเขาไม่ยอมทานข้าวต้มปลาที่แม่ทำ แต่เขาเลือกที่จะยอมขังตัวเองอยู่ในห้องนอนทั้งวันโดยไม่ยอมแตะอาหารซักอย่างจนแม่ต้องล้มเลิกความคิดนั้น แล้วตอนนี้... ทั้งที่ไม่มีใครบังคับ แต่คริสกลับรู้สึกว่าเขาต้องยอมหักหลังตัวเองเพื่อคนตรงหน้าดูซักครั้ง เพราะถ้าเขาปฏิเสธเจ้าปลาชิ้นนี้ ไม่แน่ว่าต่อไป... เลย์อาจจะไม่ยอมป้อนอะไรเขาอีกเลยก็ได้

     

    เลย์มองหน้าเขาที่เงียบไปนานแล้วก็ทำปากยื่นน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

    “ถ้าอยากทานเอง ไม่ป้อนก็ได้นะ” ดูท่าว่าน้องจะเข้าใจผิด คริสไม่เคยอายต่อให้คนเป็นร้อยมานั่งจ้องซึ่งๆ หน้า ใครจะมองจะอิจฉาก็ช่าง มือที่ยังจับอยู่นี่ไงที่เป็นหลักฐาน คริสไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเลย์จะขืนดึงกลับอยู่หลายครั้ง ดวงตาสวยใสหรี่ลงด้วยความไม่เข้าใจ คริสสบตาคู่นั้นนิ่งก่อนจะอ้าปาก ส่งปลายส้อมที่มีเนื้อปลาชิ้นนั้นเข้าปากไป

     

    “อร่อยมั้ย?” คนป้อนค่อยคลี่ยิ้มออก เอ่ยถามอย่างน่ารัก คริสยอมรับว่าตอนแรกเขาต้องกลั้นหายใจตอนที่เคี้ยวมันด้วยความที่ไม่ชอบ แต่ยิ้มหวานๆ ของคนตรงหน้ามันทำให้เนื้อปลาในปากพลอยหวานไปด้วย ร่างสูงพยักหน้า อันที่จริงรสชาติปลามันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ ออกจะหวานเสียด้วยซ้ำ    

     

     

    มองคนไม่ชอบกินปลาที่ทำตาเยิ้มใส่คนป้อนแล้วลู่หานก็ต้องทำเสียงครางในคอให้รู้ว่าหมั่นไส้ สองมือของเขายังวุ่นวายกับการล็อคคอและปิดปากน้องชายคนเล็กของกลุ่มไม่ให้พูดมาก หวงจื่อเทาดิ้นๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่อี้ชิงถึงให้ตุ้ยจางทานของที่ไม่ชอบ พี่อี้ชิงอาจจะลืม เขาก็แค่จะเตือน พี่ลูหานจะมาห้ามทำไม ข้อสงสัยของจื่อเทามีคนช่วยถามเมื่อเฉินแอบกระซิบเบาๆ

    “ตุ้ยจางไม่ชอบทานปลาไม่ใช่เหรอฮะ?” จื่อเทาพยักหน้าเห็นด้วยตามนั้น นั่นแหละลู่หานถึงได้ยอมปล่อยมือจากปากเขา แต่ยังล็อคคอไว้ คนรองกระดิกนิ้วให้ซิ่วหมินอีกคนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ พอครบทุกหัวแล้วถึงได้เฉลย

     

    “ของกินไม่ถูกปาก แต่ถ้าคนป้อนถูกใจก็กินได้ไงล่ะ”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    หลังมื้อกลางวันหนุ่มๆ ก็ได้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง มีเวลาอีกสามถึงสี่ชั่วโมงก่อนจะต้องเตรียมตัวสำหรับงานช่วงหัวค่ำ เลย์เลือกที่จะนอนอ่านหนังสือเล่นอยู่บนเตียง ขณะที่ลู่หานนั่งจ้องโทรทัศน์อยู่ที่ปลายเตียง นิ้วเล็กๆ รัวแป้นรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อย พอไม่ได้ที่ถูกใจก็โยนมันไว้ข้างๆ แล้วล้มตัวลงนอน

    “เฮ้ออออ เบื่อจัง ไม่มีอะไรเล่นเลย”

    เลย์ปิดหนังสือแล้วหันมายิ้มให้ ท่าทางเสี่ยวลู่ของเขาจะอยากได้เพื่อนเล่น

    “ป่านนี้พวกเคน่าจะมาถึงแล้วนะ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เจ้าของห้องทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่ลู่หานจะรีบลุกพรวดแล้ววิ่งไปที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงเรียก

     

    “ฮยอง~

    เพราะจำน้ำเสียงอ้อนๆ นั้นได้ดี พอลู่หานเปิดประตูแล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อร่างสูงโปร่งของน้องชายต่างสัญชาติมายืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า

    “เซฮุน~

    “คิดถึงผมมั้ย~

    “ที่สุดอ่ะ”

    “ผมก็เหมือนกัน” มักเน่ฝั่งเคยิ้มกว้างจนตายิบหยี ดึงแขนคนเป็นพี่ไปกอดไว้แล้วซบลงตรงไหล่ ไถหัวกลมๆ กับแนวไหล่น่ารักนั้นอย่างออดอ้อน “คืนนี้ให้ผมนอนด้วยนะ?”

    ลู่หานหันไปมองรูมเมทเหมือนจะขออนุญาต แน่นอนอยู่แล้วว่าเลย์ต้องพยักหน้า พี่น้องคู่นี้ตอนอยู่ที่เกาหลีก็ตัวติดกันเป็นตังเม นานๆ ได้เจอกันทีก็แอบมานอนเบียดกันอยู่เรื่อย

     

    “งั้นให้ผมนอนด้วยสิ” แต่ร่างสูงใหญ่ที่โผล่มายืนยิ้มพราวทีหลังนี่ ไม่เกี่ยวนะ

    ไคกอดคอเซฮุนไว้ทำให้เด็กหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้น เขายักคิ้วกวนๆ ให้คนรองฝั่งจีนแทนคำทักทาย

    “เสียใจ ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับนาย”

    เจอปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย รองมักเน่ร่างเข้มฝั่งเคก็ทำปากยื่น แต่นัยน์ตานี่ยังพราวระยับ แอบชะเง้อมองเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะแทรกครึ่งตัวใหญ่ๆ เบียดร่างที่บางกว่าของรุ่นพี่เข้าไปโบกมือทักทายคนในห้อง

    “ผมนอนกับอี้ชิงฮยองก็ได้นี่ หวัดดีครับฮยอง~

    “ไม่ได้!” แต่ก็ถูกคนหวงน้องผลักออกไปแทบจะในทันที

    “ใจร้ายจัง” ไคยังมีหน้ามายิ้ม แววตาเจ้าเล่ห์พราวระยับเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ เขามองคนตัวขาวในห้องที่ยังส่งยิ้มให้ตั้งแต่ตอนที่เขาทักทีแรก แล้วถามคนน่ารักตรงหน้าเสียงเบา “แล้วนี่... แผนสนุกของเสี่ยวลู่ไปถึงไหนแล้ว?”

    ลู่หานยกมือขึ้นกอดอกฉับ ถอนหายใจอย่างสุดเซ็ง

    “ถึงไหนอะไรล่ะ หมอนั่นใจแข็งปากก็แข็ง งัดไม่ขึ้นเลย”

    “ว้า~ ผมอุตส่าห์ชงไว้ตั้งเยอะ เสี่ยวลู่นี่ไม่ได้เรื่องเลย”

    “หนอยยยย~! กลับไปห้องตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ!” มือเล็กๆ ทั้งผลักทั้งดันร่างใหญ่โตกว่าจนเซถอยหลังไปได้สองสามก้าว ตากลมโตยังส่งค้อนหนักๆ ตามไปสมทบจนไคต้องยกสองมือขึ้นยอมแพ้ คราวก่อนตัวเองทำแผนแตกแท้ๆ ยังมีหน้ามาว่าเค้าไม่ได้เรื่อง จะเกินไปหน่อยละ!

     

    ไล่ตัวแสบจนยอมถอยไปได้คนนึงก็ต้องหันมาอ้อนน้องชายอีกคนที่ยังยืนมึนๆ เพราะไม่รู้ว่าคุยอะไรกันให้กลับไปพักที่ห้องก่อน เซฮุนก็ว่าง่ายแสนง่าย แค่พี่ลู่หานลูบหัวลูบหลังเข้าหน่อยก็เดินต้อยๆ กลับห้องไปแล้ว

     

    พอปิดประตูห้องได้ลู่หานก็ถอนหายใจเสียยาว เห็นเลย์ยังนั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียงก็เดินเข้าไปหา มองหน้ารูมเมทชัดๆ ก็เห็นว่าตาคู่สวยดูหมองๆ สีหน้าก็เพลียๆ เหมือนเมื่อวานไม่ผิด

    “หน้าเซียวอีกแล้ว ง่วงเหรอ?”

    “...นิดหน่อย”

    ลู่หานแตะหลังมือกับหน้าผากน้องแล้วก็ทำหน้าดุใส่ ตัวร้อนขึ้นมาอีกแล้ว แต่เจ้าตัวยังทำเป็นเฉย

    “เมื่อวานรับปากไว้ว่ายังไง?”

    “ก็ฉันยังไหวนี่นา”

    “เห็นพูดแบบนี้ตลอด” ป่วยการที่จะบ่น ลู่หานเดินไปเปิดกระเป๋าเป้หยิบกระปุกยาลดไข้ที่ขอมาจากพี่ผู้จัดการตั้งแต่เมื่อวานแล้วไปหยิบน้ำเปล่าที่ไม่ได้แช่เย็นมาขวดหนึ่ง ส่งให้น้องชาย

    “ทานยาหน่อยนะ นอนซักงีบก็ได้ เดี๋ยวเค้าปลุกเอง”

    เลย์พยักหน้าแล้วรับยามากินอย่างว่าง่าย ก่อนจะล้มตัวลงนอน มีลู่หานดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้คนถึงคอ คงเพราะเมื่อคืนนอนดึก แล้วเมื่อเช้ายังต้องตื่นแต่เช้า วันนี้ก็ทำงานมาเกือบทั้งวัน พอหัวถึงหมอนซักพัก เลย์ก็เลยหลับสนิท มาตื่นเอาอีกทีก็ตอนเย็นที่ต้องเตรียมตัวออกไปทำงานแล้ว

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เย็นวันนั้นสิบสองสมาชิกมาถึงที่สตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำด้วยเสื้อผ้าหน้าผมที่พร้อมเข้ากล้อง ยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลา ระหว่างนั้นก็มีของว่างรองท้องจากทางทีมงานมาให้ทั้งสิบสองหนุ่มและสต๊าฟเช่นเคย ไม่มีใครสังเกตุว่าเมนเต้นฝั่งเอ็มแทบไม่ได้แตะของว่างเลย ระหว่างที่สมาชิกคนอื่นเล่นหัวกันสนุกสนาน เลย์กลับนั่งรออยู่ที่โซฟาเงียบๆ ไล้ปลายนิ้วเรียวสวยกับแหวนประจำตัวรูปยูนิคอร์นของตัวเองเล่น ตอนที่พี่สาวไตลิสต์เดินไปเติมแป้งให้ ไคก็บังเอิญได้ยินเธอถาม

    “เหงื่อออกเต็มเลย ร้อนเหรอ?

    “...เปล่าครับ”

    “หน้าซีดเกินไป เดี๋ยวพี่ปัดเพิ่มดีกว่า”

    เลย์นั่งนิ่งไม่หือไม่อือกระทั่งพี่สไตลิสต์ทำหน้าที่ของเธอเสร็จแล้วลุกไป ไคที่มองอยู่ซักพักก็เข้ามาแทนที่ ใกล้ๆ แบบนี้ยิ่งเห็นชัดว่าใบหน้าขาวยิ่งขาวซีด เหงื่อที่เปียกซึมตามไรผมนั่นบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวมีอาการผิดปกติแน่ๆ

    “ฮยอง โอเคมั้ย?”

    “อื้ม...”

    “แต่หน้าพี่แย่มาก ไม่สบายรึเปล่า?” ไคถามพลางยื่นกระดาษทิชชู่ให้ ร่างโปร่งก็รับไปซับๆ เหงื่อแถวขมับตัวเองอย่างรู้ตัว

    “...นิดหน่อยน่ะ ข้างนอกฝนตก”

    ไคพยักหน้าช้าๆ เขาได้ยินเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาสตูดิโออย่างชัดเจน ฝนตกหนักอย่างนี้มาพักใหญ่ๆ แล้ว อากาศในห้องแอร์จะยิ่งหนาวแล้วก็ยิ่งชื้นตอนฝนตก มันทำให้เลย์ฮยองป่วยได้ง่ายๆ ดูเหมือนใครบางคนจะลืมเรื่องนี้ถึงได้ไม่คอยอยู่ดูแลใกล้ๆ

     

    ไคไล่สายตามองไปรอบๆ ห้องแต่งตัวก่อนจะพบร่างสูงของลีดเดอร์ฝั่งจีนยืนคุยกับพี่ชานยอลอยู่ เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง ดวงตาคมถึงปรายมามองทางโซฟาอย่างช้าๆ

     

    และไคก็หันกลับมาหาคนข้างตัวในทันที

    “เหงื่อพี่ออกนะ” ไคไม่ได้หยิบกระดาษทิชชู่มาส่งให้เหมือนก่อนหน้า กลับใช้หลังมือตัวเองแตะลงที่ข้างแก้มพี่ชายเมนเต้น แล้วเกลี่ยปลายนิ้วเบาๆ ไปตามแนวไรผมอ่อนนุ่ม เหมือนเลย์ฮยองจะอึ้งไปเล็กน้อย แต่พอเขายิ้มให้ เจ้าตัวก็ยิ้มออกมาบ้าง ก่อนจะใช้กระดาษทิชชู่แผ่นเดิมซับๆ เหงื่อให้ตัวเอง

    “แล้วนี่ทานยาหรือยังครับ?”

    “อื้ม”

    “ทานอะไรรองท้องมั้ย? ผมไปเอาให้”

    “ไม่ต้องดีกว่า กลัวปวดท้อง”

    คนเป็นพี่ปฏิเสธอย่างนั้นไคก็ได้แต่พยักหน้า ปรายสายตาไปมองทางกลุ่มพี่ชานยอล คริสฮยองก็ไม่ได้มองมาทางนี้แล้ว ดวงตาพราวระยับหรี่ลงอย่างครุ่นคิด

     

    ปากแข็งใจแข็งอย่างที่เสี่ยวลู่ว่าจริงๆ

     

     

     

     

     

    พอทีมงานให้สัญญาณ แฟนคลับก็ส่งเสียงกรีดร้องต้อนรับ การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้น สิบสองหนุ่มเดินออกมายืนตั้งแถวและแนะนำตัวตามสคริปต์ ก่อนจะแยกย้ายกันนั่งตามเก้าอี้ที่ทางรายการจัดไว้ เพราะรูปแบบของรายการเป็นทอล์คโชว์ ดังนั้นช่วงสองเบรคแรกก็เลยเป็นการสัมภาษณ์เสียส่วนใหญ่ คำถามก็มีตั้งแต่เรื่องทั่วไปจนถึงเรื่องงาน ซึ่งหนุ่มๆ ต้องตอบกันบ่อยอยู่แล้ว แต่เพราะเป็นกิจกรรมร่วมกันในต่างประเทศเป็นครั้งแรก แล้วยังมีเสียงเชียร์ของแฟนคลับที่ทำให้บรรยากาศในห้องอัดสนุกสนาน สิบสองหนุ่มก็เลยค่อนข้างผ่อนคลายแล้วก็ร่าเริงกันมากๆ

     

    พักเบรกแรกหนุ่มๆ จะหันมาคุยกันเองซะมากกว่า เพราะว่าพี่น้องสองฝั่งไม่ได้เจอกันมานาน ส่วนช่วงท้ายเบรกสองมีการแสดงโชว์เล็กน้อยจากสี่สมาชิกของทั้งฝั่งเคและเอ็ม คริสกับชานยอลรับหน้าที่ร้องแร๊พ และไคกับเลย์สองเมนเต้น

     

    เพราะรับหน้าที่สำคัญเลย์เลยต้องใช้พลังค่อนข้างมาก ทั้งที่รู้ว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยพร้อม แต่ร่างโปร่งบางก็ไม่ยอมให้มันมาเป็นอุปสรรค ผ่านการซ้อมมาเป็นร้อยรอบ ทุกจังหวะและท่าเต้นถึงได้ซึมอยู่แทบจะทุกอณูในร่าง เพราะอย่างนั้นเลย์ถึงยังเต้นต่อได้ทั้งที่ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเบลอ เป็นอย่างนี้หลังจากหมุนตัวไปเพียงสองรอบ ยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ ลมหายใจก็ยิ่งร้อนผ่าว เลย์ต้องเผยอปากเพื่อระบายความร้อนในร่าง อาการผิดปกติของเขายังไม่มีใครสังเกตุ กระทั่งสองนาทีของการแสดงจบลง คนเก่งยังยิ้มออกตอนที่แฟนๆ ในห้องส่งปรบมือและส่งเสียงกรีดร้องให้กับการแสดงที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา

     

    แต่เมื่อผู้กำกับรายการสั่งพัก และสมาชิกส่วนใหญ่เริ่มทยอยกันเดินเข้าไปพักทางด้านหลัง เลย์ที่ยังไม่อาจปรับสายตาให้มองภาพตรงหน้าชัดขึ้นถึงได้ยืนอยู่กับที่ ไฟบนเวทีเริ่มมืดลงหรือเขามองไม่ค่อยเห็นเองก็ไม่รู้ แต่จะยืนอยู่อย่างนี้คงไม่ได้ มองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาอยู่ไวๆ เลย์ก็เลยรีบก้าวตาม

     

    หมับ!

     

    “อ๊ะ”

     

    แต่ในทันที ต้นแขนเล็กก็ถูกคว้าไว้

    “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

    “.....?”

    “นายเดินเซนะ เมื่อกี้เกือบล้ม”

    เลย์ไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีหน้าตัวเองตอนนี้แย่แค่ไหน รู้แต่ว่ามึนหัวมาก ร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาใกล้โดยที่ยังจับต้นแขนเขาไว้ แล้วพาเดินเข้าไปทางด้านหลัง รู้ตัวอีกครั้งเลย์ก็มานั่งอยู่บนโซฟาแล้ว

     

    “ซับเหงื่อเสียหน่อยสิ” คริสส่งกระดาษทิชชู่ให้แล้วนั่งลงข้างๆ ถามหายาหาน้ำเสียให้วุ่นวาย แต่สุดท้ายก็ถูกคนตัวขาวปฏิเสธหมด เลย์บอกว่ากินยามาแล้ว “...คงมีคนดูแลดี”

    คนป่วยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ถ้าคริสหมายถึงลู่หานล่ะก็ใช่ แต่เลย์ไม่รู้ว่าคริสหมายถึงคนอื่น ร่างสูงถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา เบือนใบหน้าไปเสียทางอื่น ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยอารมณ์ของเขากำลังปั่นป่วน เมื่อกลางวันเลย์ปฏิเสธอาหารที่เขาป้อน แต่กลับยอมให้เด็กนั่นเช็ดเหงื่อให้ คนที่ร่างขาวยอมให้ถึงเนื้อถึงตัวคงไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว คริสเข้าข้างตัวเองมาตลอด กับเลย์แล้วเขาก็คงเหมือนคนอื่นๆ ...ไม่สิ อาจจะไม่สำคัญเท่า คนอื่นด้วยซ้ำ

     

    คริสจมอยู่กับความคิดน้อยอกน้อยใจ และตัดพ้อคนข้างกายโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสล่วงรู้ ความเป็นห่วงเป็นใยถูกอารมณ์ขุ่นมัวบดบังจนแทบไม่เหลือ แทนที่จะดูแลแต่กลับเลือกที่จะหันหน้าหนี คริสไม่รู้หรอกว่าเขาจะต้องเสียใจกับความคิดงี่เง่าของตัวเองในครั้งนี้อย่างแน่นอน   

     

     

     

     

    เด็กหนุ่มสะบัดมือไล่ละอองน้ำแล้วเช็ดมือกับผ้าขนหนูจนแห้งหมาดก่อนจะกอดสองมือไว้กับอก หันหลังเอาสะโพกพิงกับขอบที่ล้างมือไว้ มองคนรองฝั่งจีนที่กำลังล้างฟองสบู่ออกจากมือเล็กๆ ที่ก๊อกถัดไปแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ

    “ท่าทางอี้ชิงฮยองดูไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายตั้งแต่เมื่อไหร่”

    ลู่หานเงยหน้าขึ้นมองรุ่นน้องผ่านกระจกแล้วมุ่นหัวคิ้ว ใช้ความคิดอยู่ไม่นานก็ตอบ

    “เห็นเพลียๆ มาตั้งแต่เมื่อวาน ตัวก็อุ่นๆ นะ แต่ไม่ถึงกับมีไข้ เมื่อตอนบ่ายก็ให้กินยาไปแล้ว”

    “ยามันกดไข้ไว้น่ะสิ แบบนี้ไม่ดีนะ ฝืนทำงานทั้งที่ร่างกายอ่อนแอ เดี๋ยวพอหมดฤทธิ์ยาจะยิ่งเป็นหนัก”

    “จริงด้วย เมื่อคืนก็เห็นบอกว่าเจ็บหลัง”

    “หลังอีกแล้วเหรอ? หายไปพักใหญ่ๆ แล้วนี่นา”

    “ช่วงนี้งานเยอะน่ะ เริ่มกลับมาเจ็บอีกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รายนั้นเป็นอะไรก็ไม่ค่อยจะบอกด้วย”

    “ก็รู้ว่าอี้ชิงฮยองน่ะปากแข็ง เสี่ยวลู่ก็ต้องดูแลให้ดีๆ หน่อยสิครับ” ดูเจ้าเด็กอวดดีมันมาทำหน้าจริงจังสั่ง ลู่หานเลยสะบัดละอองน้ำจากมือใส่หน้าหล่อเข้มด้วยความหมั่นไส้

    “เป็นห่วงขนาดนี้ไม่มาดูแลเองซะเลยล่ะ”

    เด็กหนุ่มยิ้มพราว ปาดสันมือเช็ดละอองน้ำจากใบหน้าแล้วโน้มตัวลงกระซิบเฉียดปลายจมูกคนน่ารักไปนิดเดียว

    “ได้มั้ยล่ะ? เดี๋ยวคืนนี้ผมหอบผ้าหอบผ่อนย้ายไปนอนกับเสี่ยวลู่เลย จะได้ดูแลฮยองอย่างใกล้ชิด”

    ยังมีหน้ามายักคิ้วใส่ ลู่หานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกอยากจะข่วนห้านิ้วบนใบหน้ากวนๆ ที่ยื่นมานั้นให้เป็นรอยนัก ถ้าไม่ติดว่าต้องทำงานต่อล่ะก็นะ ตากลมโตเสมองไปรอบห้องน้ำ หาน้องชายขี้อ้อนที่ควรจะเสร็จธุระนานแล้ว ก่อนจะเห็นว่าร่างสูงโปร่งกำลังเดินคุยติดพันไปกับน้องคนเล็กฝั่งจีน ตอนนี้สมาชิกทยอยกันเดินออกไปหมดแล้ว ในห้องน้ำเหลือเพียงพวกเขาสองคน

     

    ลู่หานหันกลับมาหาคนตรงหน้า ปากเล็กน่ารักคลี่ยิ้มแบบเดียวกับที่คนเป็นน้องกำลังทำ ก่อนจะเขย่งเท้า

     

    เอาหน้าผากโหม่งคนตรงหน้าจนหงายเงิบ!

     

    “โอ๊ย!

     

    “เซฮุน รอฉันด้วย” แล้วก็รีบวิ่งออกจากห้องน้ำไปทันที ปล่อยให้รุ่นน้องผิวเข้มยืนเอามือกุมหน้าผาก ทั้งเจ็บทั้งขันกับวิธีเอาคืนของคนน่ารัก โหม่งมาได้

     

    “ผมไม่ใช่ลูกฟุตบอลนะเสี่ยวลู่”

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC.

     

     

     

     

     

    Talk: สาบานว่านี่ฟิคคริสเลย์? ครึ่งตอนแรกเป็นลู่เลย์ ครึ่งตอนหลังเป็นลู่ฮุนและไคลู่ ฮะๆๆๆ เอานะ วันนี้วันเกิดคิมจงอิน ให้บทเขาเยอะหน่อย พระเอกตัวจริงเราเลยไม่ค่อยจะมีบทบาท = =’ เดี๋ยวตอนหน้าจะจัดแบบสวีทๆ เต็มๆ ให้น้า > <

     

    ติชมกันตามสะดวก เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×