ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #5 : เขียวหวานน่ารัก ~ 05 ~

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 58



    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 5

    Fiction by 2nd Admin

     

    .

    .

    .

     

    “จะกลับแล้วหรือจ๊ะอี้ชิง?”

    พี่สาวซึ่งเป็นพนักงานในร้านด้วยกันถามขึ้นเมื่อเจออี้ชิงในห้องล็อคเกอร์ เธออยู่กะเดียวกันกับเขาและเข้ามาเก็บของเพื่อจะเตรียมตัวกลับบ้านเช่นกัน อี้ชิงซึ่งเก็บของเสร็จก่อนปิดตู้ล็อคเกอร์แล้วจึงหันไปยิ้มให้

    “ครับ”

    “มีเดทต่อใช่มั้ยล่ะ?”

    “ด.. เดทเดิดอะไรกันครับ?!

    “แหมๆๆ พี่เห็นนะ มีหนุ่มหล่อมานั่งรอด้วย” เธอแซวแล้วก็ยิ้มเหมือนรู้ทัน แต่อี้ชิงรีบสั่นหัวดิก ไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ว่าหมายถึงใคร

    “ไม่ใช่นะครับ หมอนั่นไม่ได้มารอผมซักหน่อย เค้าก็แค่แวะมาหาอะไรกิน” แล้วก็นั่งแช่อยู่ในร้านนานหน่อยก็แค่นั้น รอเราที่ไหนกัน นั่งอ่อยสาวล่ะไม่ว่า

    “แต่รู้จักกันใช่มั้ย? พี่เห็นหยอกกันที่เคาท์เตอร์ แล้วเราก็ยังเดินเข้าไปทักเค้าด้วยนี่” อี้ชิงได้แต่ยิ้มกร่อย ตอนนั้นพี่สาวอยู่เคาท์เตอร์ข้างๆ คงได้ยินหมด แต่ตอนคุยกันที่โต๊ะเขายังคิดว่าจะไม่มีใครเห็น ถูกจับได้แบบนี้ จะบอกว่าไม่รู้จักกันก็คงไม่ทันแล้ว

    “รุ่นพี่ที่มหาลัยน่ะครับ”

    “รุ่นพี่? ยังเป็นนักศึกษาหรอกหรือ? หล่ออย่างกับนายแบบ ลูกครึ่งหรือเปล่าน่ะ?” ดูเธอจะกะตือรือร้นขึ้นมาทันตา ไม่แปลกหรอก ก็พ่อคนดังเขาหล่อออกขนาดนั้น สาวที่ไหนบ้างจะไม่สน อี้ชิงส่ายหน้าเนือยๆ

    “ไม่ทราบครับ” หญิงสาวยู่ปากเล็กน้อยอย่างผิดหวัง แต่แล้วก็ยิ้มออกมา

    “น่าอิจฉาจังน้า ที่มหาลัยพี่ไม่เห็นมีหนุ่มหล่อแบบนี้บ้าง” อี้ชิงได้แต่แค่นยิ้มรับ น่าอิจฉาตรงไหนกัน มีแต่ความวุ่นวายล่ะไม่ว่า พี่สาวยังไม่เคยได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดใกล้ๆ หูแบบไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไหนจะถูกบรรดาแฟนคลับชนเอาจนแทบจะล้มกลิ้ง ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ ไม่มีคริสคนดังซักคน มหาวิทยาลัยของเขาคงจะสงบสุขขึ้นเยอะ!

    “อะแฮ่ม” พนักงานหนุ่มสาวทั้งสองมัวแต่คุยกันจนไม่ทันสังเกตุว่ามีใครอีกคนเข้ามาในห้อง กระทั่งเสียงกระแอมอย่างจงใจนั้นทำให้ต้องสะดุ้ง หญิงสาวหันไปมองชายร่างท้วมที่ยืนกอดอกขวางประตูซึ่งกำลังมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาดุๆ แล้วก็ต้องรีบเก็บของ ก่อนไปยังไม่วายหันมาบอกทีเล่นทีจริงกับอี้ชิง

    “หล่อๆ แบบนี้ วันหลังพามาอีกนะ พี่จะได้กระชุ่มกระชวย” พี่สาวซึ่งมาทีหลังยังชิ่งไปก่อน แล้วอี้ชิงจะมัวยืนอยู่ตรงนี้ทำไม เด็กหนุ่มมองใบหน้าเข้มงวดของผู้จัดการร้านแล้วก็ฉีกยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะค้อมศีรษะลง

    “ขอตัวก่อนนะครับ”

    “เดี๋ยวก่อน” แต่ก่อนที่จะทันได้บีบตัวแทรกผ่านร่างท้วมเพื่อออกจากห้อง น้ำเสียงเข้มงวดก็ดึงไว้ให้ต้องชะงัก อี้ชิงหันทั้งตัวไปหาหัวหน้างานอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วยิ้มเจื่อน เหมือนจะรู้ความผิดตัวอยู่แล้ว “ถึงจะเป็นคนรู้จักก็เถอะ แต่ถ้ายังอยู่ในเครื่องแบบของร้าน เราก็ต้องให้บริการเค้าดีๆ เหมือนลูกค้าคนอื่นๆ เข้าใจหรือเปล่า?”

    “...ครับ” เด็กหนุ่มก้มหน้ารับคำอย่างเสียไม่ได้

    “อ้อ แล้วก็ วันหลังจะพามาอีกก็ได้นะ ฉันไม่ห้าม”

    “เอ๋?” แต่ข้อหลังนี่ทำเอาอี้ชิงต้องเงยหน้าขึ้นมองแล้วเลิกคิ้ว หัวหน้างานไม่ได้อธิบายอะไรนอกจากเสียงกระแอมเบาๆ

    “มองอะไรอยู่ล่ะ จะไปก็รีบไปสิ”

    “อ.. อ้อ ครับๆ ผมไปนะครับผู้จัดการ” ความแปลกใจนั้นมากกว่าอารมณ์ขุ่นมัวที่ต้องถูกตำหนิ พี่ผู้จัดการเคยเตือนนักหนาว่าไม่ให้พาคนรู้จักมาที่ร้าน เพราะจะทำให้เสียสมาธิในการทำงาน อี้ชิงเองยังคิดว่าต้องโดนดุสองเด้งแน่ๆ แต่ไหงกลายมาเป็นใจดีแบบนี้ได้ก็ไม่รู้

    แต่พออออกมาเจอบรรยากาศหน้าร้านถึงได้รู้เหตุผล ลูกค้าสาวๆ แน่นร้านเพราะมีคนหล่อมานั่งเป็นแมสคอตให้โดยไม่ต้องเสียค่าจ้าง แบบนี้เองสินะ พี่ผู้จัดการถึงได้ไม่ว่า แต่อี้ชิงมองแล้วก็เบะปาก รอบตัวพ่อคนดังมีแต่สาวๆ มารุมล้อมชวนคุยด้วยเยอะแยะ ไหนว่าไม่ชอบให้ใครมาคอยกรี๊ด นี่ก็เห็นคุยกับเค้าดี๊ดี ปากไม่ตรงกับใจชัดๆ อี้ชิงไม่อยากจะฝ่าวงล้อมสาวๆ เข้าไปให้เจ็บตัวถึงได้ออกมายืนห่างๆ หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเรียกเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ก่อนจะกดปุ่มโทรออก พอปลายสายกดรับก็ถามเสียงห้วน

    “อ่อยเสร็จหรือยัง จะได้ไปกันซักที” มองจากตรงนี้ยังเห็นว่าคนที่ปลายสายเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ

    [ไปไหน?]

    “ก็สวนสาธารณะไง” ทำมาเป็นลืม อย่าบอกนะว่าจะเบี้ยวกัน

    [แล้วทำไมไม่คุยที่นี่?]

    “ที่นี่คนเยอะจะตาย แถมสาวๆ ก็คอยจ้องนายตาเป็นมันแบบนั้น ฉันไม่เอาด้วยหรอก อึดอัดตายเลย” อี้ชิงไม่ทันได้ยินเสียงหัวเราะหึ ก่อนที่คนเสียงทุ้มจะกวาดตามองไปรอบๆ ร้านจนกระทั่งมาเจอเขาซึ่งยืนหลบมุมอยู่ตรงประตูหน้า คริสคนดังกระตุกยิ้มมุมปากจนสาวๆ ที่รายล้อมพากันครางเพ้อ ก่อนจะกรอกน้ำเสียงยียวนส่งมาให้คนที่ยืนทำหน้าบึ้งรออยู่

    [นายยังไม่ชอบ แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันจะชอบ?]

     

    เรื่องยอกย้อนนี่เก่งนัก!

     

     

     

    ปกติแล้วอี้ชิงก็เดินผ่านทางเส้นนี้อยู่ทุกวัน จากหอพักผ่านตลาด ผ่านสวนสาธารณะก่อนจะถึงมหาวิทยาลัย ระยะทางจากร้านที่อี้ชิงทำงานพิเศษมาจนถึงสวนสาธารณะนี่ก็ใช้เวลาเดินไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แต่วันนี้อี้ชิงกลับต้องรีบจ้ำด้วยความเร็วที่มากกว่าทุกวัน เพราะคนที่เดินนำหน้านั้นทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ ทำไมนะ ทั้งที่ช่วงขายาวนั้นก็ดูจะก้าวย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน แต่เขากลับต้องรัวฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นวิ่งตาม

    และกว่าคนที่ถูกนินทาในใจนั้นจะหันกลับมามองก็ตอนที่ถึงสวนสาธารณะแล้ว ยังมีหน้ามาทำไม่พอใจใส่เมื่อเห็นว่าเขายังตามอยู่ห่างๆ

    “ชักช้าชะมัดเลยนายเนี่ย”

    “ฉันน่ะนะ... เดินธรรมดา นายนั่นแหละ แฮ่ก... แรงก็เยอะ ขาก็ยาว จ้ำเอาๆ แบบนี้... ใครจะตามทัน”

    “เพราะนายขาสั้นเองต่างหาก” วิ่งตามจนหอบแต่กลับมาโดนแขวะใส่นี่มันน่าเจ็บใจนัก อี้ชิงได้แต่แอบแยกเขี้ยวใส่ตอนที่คริสไม่เห็น

    คนตัวสูงกวาดตามองไปรอบๆ สวนกว้างอย่างช้าๆ นอกจากสนามเด็กเล่นขนาดเล็กตรงกลางสวนซึ่งมีเครื่องเล่นเด็กอยู่สองสามชิ้นกับกองทรายขนาดย่อมแล้ว ด้านหนึ่งยังเป็นสนามบาสเก็ตบอลที่ไม่มีคนเล่น ส่วนที่เหลือก็เป็นพื้นที่โล่งๆ สำหรับสันทนาการ ทั้งที่สวนนี้ดูร่มรื่นเหมาะแก่การวิ่งจ้อกกิ้งหรือออกกำลังกาย แต่คนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะนั่งพักผ่อนกันอยู่ตามม้านั่งยาวใต้ร่มไม้ใหญ่มากกว่า บางกลุ่มที่ดูเหมือนเป็นนักศึกษาด้วยกันก็กำลังขมักเขม้นกับหนังสือกองโต คงเพราะสวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ก็เลยไม่ค่อยมีวัยทำงานมาออกกำลังกายหรือเด็กๆ มาวิ่งเล่น มีแต่นักศึกษาที่อยากมาเปลี่ยนบรรยากาศในการทำรายงานกันเสียมากกว่า

    “เอาไงต่อ?” อี้ชิงยังไม่ทันหายเหนื่อยตอนที่คริสหันมาถาม เขาโบกมือว่าไม่ไหวก่อนจะพาตัวเองไปที่สนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ใกล้กว่าแล้วนั่งลงบนชิงช้าอย่างอ่อนแรง

    “ขอฉันนั่งพักก่อน” สูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วโบกมือเรียกลมให้ตัวเอง ให้ตายเถอะ เดินผ่านสวนนี่ไปเรียนทุกวัน ยังไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าวันนี้เลย หันมองคนตัวสูงกว่าที่ยังดูปกติดีแล้วก็ย่นจมูกใส่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตามมานั่งบนชิงช้าตัวข้างๆ หน้าหล่อๆ นั้นไม่มีเหงื่อซึมเลยซักเม็ด ท่าทางสบายๆ ไร้ซึ่งอาการเหนื่อยหอบ อี้ชิงเคยคิดว่าคนดังคงต้องมีช่วงเวลาที่พลาดทำเรื่องหลุดๆ ออกมาบ้าง แต่คริสไม่เคยเลย แค่เดินสะดุดปลายเท้าตัวเองซักครั้งก็ยังไม่มี เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ คนตัวสูงยังตีสีหน้าเย็นชาไม่ยินดียินร้ายได้ การวางตัวก็ดูเป๊ะไปหมดอย่างกับถูกจัดวาง ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือแม้แต่เวลาที่วิ่งอยู่ในสนามบาสฯ ก็ยังคีพลุคคูลๆ ได้ตลอด ถึงจะดูขี้เก๊กไปหน่อยแต่ก็ยังเพอร์เฟ็คจนน่าหมั่นไส้ ปกติที่เห็นอยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษาทุกวันก็ดูดีมากๆ อยู่แล้ว พอเปลี่ยนเป็นชุดซ้อมลงสนามบาสเก็ตบอลก็เท่ไปอีกแบบ หรืออย่างตอนนี้ที่ออกมาข้างนอก แค่กางเกงยีนส์สีซีดขาดๆ กับเสื้อยืดพอดีตัวเขียวเข้ม แล้วก็รองเท้ากีฬาคู่เดียว คริสยังดูดีราวกับพรีเซ็นเตอร์ชุดกีฬาแบรนด์ดังอย่างไรอย่างนั้น คนอะไรจะหล่อเท่จนไม่มีที่ติได้ขนาดนี้

    ถ้าไม่นับรวมรอยยิ้มกวนประสาทเวลาที่หาเรื่องกันแล้วล่ะก็ อี้ชิงนึกไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงให้คนที่เพอร์เฟ็คขนาดนี้มาดหลุดจนสาวเมินได้

    “ตกลงจะเอาแต่จ้องฉันหรือจะสัมภาษณ์?” พอคนหล่อรู้ตัวแล้วหันมาถาม ตาคู่คมก็เลยสบเข้ากับประกายตาใคร่รู้ของนักข่าวมือสมัครเล่นอย่างจัง อี้ชิงร้องอุ้ยก่อนจะต้องกระแอมเสียงแก้เก้อ

    “เอ่อ แป๊บนึงนะ ฉันหยิบของก่อน” ทำเป็นก้มหน้าก้มตาหาของในเป้ นี่ไม่เคยสัมภาษณ์ใครก็เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง ก่อนหน้านี้ก็คิดหาแต่วิธีที่จะได้สัมภาษณ์คริสคนดัง แต่พอได้โอกาสเข้าจริงๆ ก็กลับเริ่มต้นไม่ถูก

    “ทำอะไรของนาย?” หาอยู่นานจนอีกฝ่ายชะโงกหน้ามาช่วยมอง ดีนะว่าจงแดเตรียมคำถามที่จะต้องถามไว้ให้แล้ว ไม่อย่างนั้นอี้ชิงคงเวิ่นเว้อยิ่งกว่านี้แน่

    “ก็หากระดาษกับปากกาเตรียมจดไง เดี๋ยวพอฉันถามตามสคริปต์นี่แล้วนายตอบ ฉันจะได้จดลงไปแล้วเอาไปให้จงแดพิมพ์”

    “แล้วทำไมไม่ใช้มือถืออัดเสียง จดเอาแบบนี้เสียเวลาแย่”

    “เออ จริงด้วย” คริสส่ายหน้าเอือมๆ แต่สุดท้ายก็แค่นยิ้ม

    “นี่นายอยู่ชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์จริงหรือเปล่า ไม่เตรียมพร้อมเลย” คนถูกแขวะขมวดคิ้วฉับ

    “ฉันก็เพิ่งสัมภาษณ์นายเป็นคนแรกเนี่ยแหละ”

    “ป้ำๆ เป๋อๆ อย่างนี้อย่าหวังได้สัมภาษณ์คนอื่นอีกเลย” จางอี้ชิงเบ้ปาก เสร็จงานนี้เขาก็จะบอกจงแดว่าไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคนดังคนไหนอีกแล้วเหมือนกัน!

     

    คริสเริ่มแกว่งชิงช้าเล่นขณะที่อี้ชิงหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมอัดเสียง อุปกรณ์พร้อม สคริปต์พร้อมแล้วถึงได้หันมาหาคนที่รอ

    “งั้นคำถามแรก”

    “เดี๋ยวก่อน” แต่คริสยกมือขึ้นห้าม ทำเอาอี้ชิงอ้าปากค้าง “ไหนล่ะเรื่องที่ตกลงกันไว้?”

    นึกว่าเรื่องอะไร อี้ชิงคลี่ยิ้มสนุก หยิบสคริปต์บทสัมภาษณ์ในมือขึ้นมาโบกให้คริสเห็น

    “ฉันไม่โกงนายหรอกน่า ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นน่ะ อยู่ในบทสัมภาษณ์นี่แหละ”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “สเปคของผมแน่นอนว่าต้องเป็นคนน่ารัก จิตใจดี แต่ผมไม่ค่อยมองผู้หญิงเท่าไหร่ ผมว่าผู้ชายขี้อ้อนน่ะน่ารักกว่า”

    คิมจงแดเลิกคิ้วเมื่ออ่านถึงตรงนี้ ส่งสายตาลอดแว่นมามองคนเขียนข่าวที่นั่งยิ้มตาใสอยู่ฝั่งตรงกันข้าม วันนี้จางอี้ชิงดูอารมณ์ดีที่สุดในรอบสองอาทิตย์ก็ว่าได้ ประธานชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์เดาเอาว่าคงเป็นเพราะผลงานชิ้นสำคัญซึ่งอยู่ในมือของเขานี่แหละ อี้ชิงเอามาส่งให้เมื่อเช้าและจงแดก็กำลังอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นแรกของนักเขียนมือสมัครเล่นอย่างตั้งอกตั้งใจ ข้อมูลทั่วไปของคนดังมีครบตามที่เขาเขียนสคริปต์คำถามให้ แต่คำตอบในข้อที่น่าจะเป็นไคลแม็กซ์ของบทสัมภาษณ์นั้นกลับดูทะแม่งๆ จนจงแดไม่กล้าเดาเรื่องต่อ มีแต่คนที่เอางานมาส่งให้นั่นแหละที่พยักหน้ารัวๆ เหมือนจะเร่งให้เขาต้องอ่าน

    “แหม ตอบแบบนี้ไม่กลัวสาวๆ น้อยใจแย่หรือ? ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่พูดความจริง อันที่จริงที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยมีแฟนสาวเลย บางทีเนื้อคู่ของผมอาจจะไม่ใช่... ผู้หญิง... ก็ได้...” จงแดอ่านประโยคสุดท้ายนั้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอี้ชิงอีกครั้ง ชี้นิ้วลงบนแผ่นกระดาษในมือ “แน่ใจนะว่านายไม่ได้นั่งเทียนเขียนบทสัมภาษณ์นี้ขึ้นมาเอง?”

    “ฮึ ใครจะกล้า”

    “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...” คราวนี้นักข่าวมือสมัครเล่นยักคิ้วแล้วเพยิดหน้าไปยังบทสัมภาษณ์ที่เขาพิมพ์ขึ้นมาเองจากเครื่องอัดเสียง ช่วยลดงานให้จงแดน่ะก็ใช่ แต่เพราะมีบางส่วนที่ต้องเพิ่มเข้าไปเองด้วยนี่แหละ

    “ตามนั้น”

    “รุ่นพี่ชอบผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ? ให้ตายเหอะ ฉันไม่อยากจะเชื่อ”

    “ทำไมไม่เชื่อล่ะ จากสถิตินะ เค้าบอกว่าคนที่คิดว่าตัวเองหล่อมากๆ หล่อจนไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่คู่ควร คนหลงตัวเองแบบนั้นแหละที่มีเปอร์เซ็นต์จะเป็นเกย์มากที่สุด หมอนี่ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”

    “แต่รุ่นพี่มีสาวๆ อยู่รอบตัวให้เลือกตั้งเยอะ จะไปชอบผู้ชายด้วยกันทำไม ถ้าชอบทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายก็ว่าไปอย่าง”

    “ถ้าไม่เชื่อจะโทรไปถามเค้าเองก็ได้นะ ฉันได้เบอร์โทรศัพท์เค้ามาแล้วด้วย” อี้ชิงหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้วให้หัวหน้าชมรมอย่างท้าทาย ถ้าจงแดจะโทรไปเช็คจริงๆ เขาก็ไม่หวง ยังไงพ่อคนดังก็คงไม่ฉลาดน้อยจนคิดไม่ได้ว่าควรต้องตอบยังไงเวลาที่ถูกถาม แต่คนใส่แว่นมองโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วก็มองหน้าเขาอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ส่ายหน้า

    “ช่างเถอะ ถ้านายว่าจริงฉันก็เชื่อ”

    อี้ชิงยิ้มแป้น เก็บมือถือลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี ไม่ลืมที่จะหันไปยิ้มให้เพื่อนสนิทที่นั่งฟังอยู่ห่างๆ ด้วย และลู่หานก็เพียงแค่เพยิดหน้ายิ้มๆ

    “ให้ตายเหอะ ลงบทสัมภาษณ์นี้ไปเมื่อไหร่ เรทติ้งรุ่นพี่ได้ตกแน่ ถ้าสาวๆ ไม่สนใจเค้าแล้วเราจะเอาข่าวที่ไหนมาเพิ่มยอดไลค์ให้ชมรมล่ะเนี่ย” จงแดยังบ่นพลางใช้สันมือนวดขมับด้วยท่าทางเครียดๆ แต่จางอี้ชิงยักไหล่ไม่สน เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี จะได้เข้าแผนเขาเป๊ะ คิดแล้วก็ถอยเก้าอี้ออกก่อนจะลุกขึ้น

    “เสร็จงานแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ อ้อ เย็นนี้ก็ไม่ต้องไปเฝ้าหมอนั่นที่โรงยิมฯแล้วใช่ป่ะ?” จงแดพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ได้บทสัมภาษณ์มาแล้วก็คงไม่ต้องไปตามเก็บรูปคนหล่อมาโพสต์โบ้มๆ เหมือนก่อนหน้านี้ ยังแอบคิดต่อไปด้วยว่าบางที เรทติ้งเวบไซต์ของชมรมอาจจะตกตามไปจนไม่ต้องเอารูปรุ่นพี่คนดังมาลงอีกเลยก็ได้

     

     

                “ฮ้า~ อากาศวันนี้มันช่างดีสุดๆ ไปเลยจริงๆ น้า”

                ลู่หานปรายตามองเพื่อนสนิทที่กางแขนรับลมราวกับอยู่บนยอดเขาสูงแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ฤดูกาลไม่ได้เปลี่ยน อากาศก็เหมือนเดิมทุกวัน มีก็แต่อารมณ์คนนั่นแหละที่เปลี่ยน จางอี้ชิงถึงได้ดูสดชื่นนัก แน่นอนว่าเขารู้สาเหตุดี เมื่อเช้านี้ตอนที่ออกมาเรียนด้วยกัน อี้ชิงเล่าให้ฟังทุกอย่างเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ รวมทั้งสาเหตุที่คริสคนดังมีแนวโน้มว่าจะชอบผู้ชายด้วยกันนั่นก็ด้วย เพื่อนตัวขาวดูท่าจะภูมิใจกับแผนการณ์ฉลาดๆ ของตัวเองนัก

    “ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ?”

                “ก็ต้องดีแล้วสิ คิดดูนะ จงแดได้บทสัมภาษณ์ พ่อคนดังเค้าก็ดิสเครดิตตัวเลงให้เรทติ้งตกได้ ส่วนฉันก็เสร็จงาน ปิดจ๊อบ วินวินกันทุกฝ่าย มีตรงไหนไม่ดีล่ะ”

                “แต่นายโกหกจงแดนะ แล้วก็กำลังจะโกหกคนทั้งมหาลัยด้วย” น้ำเสียงของลู่หานบอกชัดว่าเขาไม่เห็นดีด้วยเท่าไหร่ อี้ชิงชำเลืองตามองเพื่อนแล้วก็บู้ปาก ยักไหล่ไม่สน

                “ไม่ใช่ความผิดฉันนี่ หมอนั่นต่างหาก อยากสร้างเงื่อนไขบ้าๆ นี่ขึ้นมาทำไม”

                “รุ่นพี่เค้าสร้างเงื่อนไข แต่นายสร้างเรื่องโกหก คิดดูแล้วกันว่าใครผิดมากกว่า เกิดจงแดรู้เรื่องขึ้นมาจะทำยังไง”

                “ก็ไปโทษพ่อคนดังโน่นสิ อยากเรื่องมากเองทำไม ถ้าเค้าไม่เห็นดีเห็นงามด้วยฉันจะกล้าเขียนแบบนั้นเหรอ”

                “รุ่นพี่เค้ามาเรียนที่นี่แค่สองเดือนก็กลับ นายนั่นแหละที่ต้องระวัง สร้างเรื่องไว้มากๆ ระวังจะเข้าตัว” ลู่หานบอกทีเล่นทีจริง แต่ท่าทางที่ล้วงสองมือลงกระเป๋าแล้วกดยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากนั้นทำให้อี้ชิงรู้สึกเหมือนกำลังโดนขู่ก็เลยหมดอารมณ์สนุก คนตัวขาวมุ่ยหน้าแล้วบุ้ยปาก ก่อนจะเอามือผลักแขนเพื่อนแรงไม่เบา

                “ไม่ต้องมาแช่งกัน เวลาที่ฉันอยากให้ช่วยนายหายไปไหนล่ะ ฉันอยากปรึกษา นายก็มัวแต่ไปเที่ยวกับแฟน”

                “ฟ.. แฟนเฟินอะไรกัน ก็เพื่อนๆ น้องๆ กันทั้งนั้น ฉันก็บอกนายแล้วนี่”

                “ขนาดไม่ใช่แฟนนายยังทิ้งฉันเลย แล้วอีกหน่อยถ้ามีแฟนจริง ฉันคงหัวเน่าเลยสินะ”

                “นายก็พูดเกินไป น้องเค้ายังไม่ได้อะไรกับฉันซักหน่อย”

                “นั่นไง! มีจริงๆ ด้วยใช่มั้ย?”

                “เพ้อเจ้อน่า ไม่มีอะไรซักหน่อย” ลู่หานจับนิ้วเล็กที่ชี้หน้าเขาอย่างจงใจออกแล้วกรอกดวงตาไม่ยอมมองสบ ก่อนจะตีสีหน้าว่าเพิ่งนึกได้ “ฉันมีเรียนเช้า ไปก่อนนะ”

                “คิดจะชิ่งอีกแล้วล่ะสิ” เจ้าของรอยยิ้มแสนซนยักไหล่ขำๆ แล้วกระชับสายสะพายเป้ก่อนจะโบกมือแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนั้นโดยที่อี้ชิงก็ไม่คิดจะรั้งไว้

                เพียงคล้อยหลังเพื่อนไป คนตัวเล็กก็กระแทกลมหายใจแล้วยกมือขึ้นกอดอก ตาคู่สวยกรอกไปมาด้วยความมั่นใจที่ลดลงจากเช้านี้ลิบลับ คำขู่ของลู่หานไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวเท่ากับความรู้สึกผิดเมื่อคิดได้ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่ไม่ถูก... เสียทีเดียว เขาแค่คิดหาวิธีจะเอาชนะข้อต่อรองของคริสให้ได้โดยที่ลืมนึกไปว่าผลลัพท์ของแผนนั้นจะเป็นยังไง ถ้ามีใครรู้ความจริงเข้าเขาคงกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ไม่ต้องคนอื่นหรอก เอาแค่คิมจงแดที่ไว้ใจเขามากถึงขนาดไม่ยอมโทรไปเช็คข่าวด้วยตัวเอง ถ้ารู้ว่าเขานั่งเทียนเขียนบทสัมภาษณ์นั้นขึ้นมาเองจะโกรธมากแค่ไหนกัน

                “โฮ้ยยย ทำไมต้องมากลุ้มแบบนี้ด้วยนะ” สองมือเล็กช่วยกันยีผมตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมดด้วยความรู้สึกผิดถูกที่ตีกันจนไม่รู้ฝ่ายไหนจะชนะ แต่สุดท้ายแล้วอี้ชิงก็พ่นลมหายใจออกมา ยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้งก่อนจะเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ

     

                จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง ไม่ใช่ความผิดเขาเสียหน่อย

     

                “ความผิดนายนั่นแหละ อู๋อี้ฟาน!

     

    .

     

    .

     

    .

     

                บรรยากาศในห้องเรียนวันนี้ดูเงียบสงบเกินไปจนผิดคาด ระหว่างที่รอให้อาจารย์เข้ามาสอน อี้ชิงลอบสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ห้องเผื่อจะเห็นเพื่อนร่วมชั้นปีกำลังจับกลุ่มคุยกันเรื่องบทสัมภาษณ์คนดังที่จงแดน่าจะเพิ่งโพสต์ลงเวบเพจเมื่อเช้านี้ หวังใจว่าอาจจะได้เห็นสาวๆ ร้องห่มร้องไห้เพราะอกหัก แต่ก็เปล่า หลายๆ คนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์ทโฟนของตัวเองก็จริง แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรที่พอจะเดาได้ว่ากำลังอ่านบทสัมภาษณ์นั้นอยู่เลย จงแดก็บอกไปแล้วว่าจะลงวันนี้ น่าจะมีบรรดาแฟนคลับที่ตั้งตารอกันบ้างสิ ถ้าจะไม่เสียอกเสียใจกันอย่างที่คาด ก็น่าจะทำสีหน้าเซอร์ไพรซ์กันซักนิด แบบนี้แล้วอี้ชิงจะรู้ได้ยังไงว่าแผนการณ์ของเขาได้ผลน่ะ

                จนกระทั่งหมดชั่วโมงและเดินออกจากห้องเรียนมาพร้อมกับคนอื่นๆ แอบเงี่ยหูฟังสองสามกลุ่มที่เดินคุยกันก็ยังไม่ได้ยินแม้แต่ชื่อรุ่นพี่คนดังด้วยซ้ำ บทสัมภาษณ์มันไม่ดีหรือไงถึงไม่มีใครพูดถึง หรือว่าจงแดยังไม่ได้โพสต์กันแน่นะ?

                อี้ชิงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่ต้องหานานก็เจอเบอร์โทรเพื่อนสนิท เขากดปุ่มโทรออกในทันที

                “เสี่ยวลู่ เลิกเรียนยัง?”

                [เพิ่งเลิกเนี่ย] หลังจากนั้นก็ดูเหมือนปลายสายจะย้ายปากออกจากโทรศัพท์ ได้ยินแว่วๆ ว่าหันไปบอกกับใครบางคนว่าจะตามไป และอี้ชิงก็ดักคอขึ้นทันที

                “จะเบี้ยวมื้อกลางวันฉันอีกแล้วใช่มั้ย?”

                [อ่า เอางี้นะ เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะเลี้ยงเนื้อย่าง แต่กลางวันนี้น่ะ...]

                “ก็ได้ ฉันกินคนเดียวก็ได้ ไม่ง้อนายหรอก แค่นี้นะ” บอกเสียงห้วนแล้วก็กดตัดสายโดยไม่รอให้อีกฝ่ายง้อ ที่จริงไม่ต้องง้อก็ได้ ลู่หานรู้ดีว่าอี้ชิงไม่เคยโกรธจริงจัง ที่จริงแล้วเขาตั้งใจแค่จะให้เพื่อนออนไลน์เข้าไปดูในเวบเพจของชมรมให้หน่อย แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็เลยต้องเปลี่ยนแผน ไหนๆ ตอนนี้ก็ยังไม่เที่ยงดี จงแดคงยังไม่เลิกเรียน เขาแวะไปดูที่ชมรมเองดีกว่า

                เส้นทางการเดินจึงเปลี่ยนจากเดินตัดสนามฟุตบอลเป็นเดินเลาะไปตามแนวร่มไม้ริมสนามแทน อี้ชิงเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพัก ไม่มีใครมาแย่งทางเดินให้ต้องคอยหลบจนวุ่นวาย เพิ่งจะเห็นนักศึกษาคนอื่นกำลังเดินสวนมาก็ตอนที่ผ่านหน้าตึกคณะบริหารฯ รูปร่างสูงใหญ่สะดุดตาก็จริง แต่อี้ชิงก็ไม่ได้สนใจกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ในระยะที่สายตาพอจะเห็นชัด สองขาเล็กจึงหยุดชะงัก

     

                “ทำไมต้องมาเจอกันตอนนี้ด้วยนะ”

     

                เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจงแดลงบทสัมภาษณ์ไปหรือยัง ผลจะเป็นยังไงบ้างก็ยังไม่รู้ ถ้าเกิดใครคนนั้นถามขึ้นมาจะตอบยังไงดี?

     

                ไม่ได้การละ

     

                “หลบก่อนดีกว่า”

     

                หันซ้ายหันขวาก่อนจะหลบวูบเข้าไปแอบที่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างทาง คริสน่าจะยังไม่เห็นเขา หลบอยู่ตรงนี้ซักพักแล้วค่อยออกไปดีกว่า แต่กลั้นใจรออยู่เพียงครู่ นึกอยากแน่ใจขึ้นมาถึงได้ค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปมอง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อทางเดินนั้นว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาของใครอีกคนแล้ว

                “หายไปไหน? เดินผ่านไปแล้วหรือไงนะ ทำไมเร็วจัง”

                “ดักรอใครอยู่รึไง?”

                “แว๊ก! อุ๊บ!” จู่ๆ หน้าของคนที่ไม่อยากเจอก็โผล่ออกมาจากอีกด้านของต้นไม้ เล่นเอาคนขวัญอ่อนตกใจสะดุ้งจนเผลอร้องอุทาน ก่อนจะต้องรีบเอามือปิดปากเพื่อกลั้นเสียง มุมปากที่ยกยิ้มอย่างคล้ายจะเยาะกันนั่นทำให้อี้ชิงยืดตัวขึ้นแล้วเชิดหน้าน้อยๆ แสร้งตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อนอาการตกใจ

                “อ.. อะไร? ดักรออะไรกัน ฉันก็แค่... แค่ผ่านมา”

                “ผ่านมา พอเห็นฉันก็เลยหลบ”

                “ไม่ได้หลบซักหน่อย ก.. ก็ฉันเห็นวิวมันสวยดี ก็เลยกะจะถ่ายรูป” พูดพลางยกกล้องที่สะพายติดคอขึ้นมา ทำท่าเล็งไปทางโน้นทีทางนี้ที แต่พอเล็งตรงไปข้างหน้าแล้วเห็นโครงหน้าหล่อๆ กับดวงตาคมดุที่ลอยชัดอยู่เหนือเลนส์กล้องก็ต้องรีบลดมือลง “แต่ตอนนี้วิวไม่ดีแล้ว ไปดีกว่า”

                “เดี๋ยวก่อนสิ” อี้ชิงก้าวเท้าจะเดินหนีแต่ไม่เร็วไปกว่ามือใหญ่ที่คว้าจับ ไหล่เล็กถูกล็อคให้ต้องยืนอยู่ที่เดิม และเมื่อมืออีกข้างยื่นมาตรงหน้า คนตัวเล็กกว่าก็ผวาหลบ

                “จ.. จะทำอะไรน่ะ?”

                “อยู่นิ่งๆ เถอะน่า” คริสไม่ได้มองหน้าเขาแต่มองเลยไปที่เหนือศรีษะ ขณะที่มือข้างนั้นค่อยเลื่อนขึ้น อี้ชิงกรอกตามองตามทั้งที่รู้ว่าคงไม่เห็น พอรู้ว่าเส้นผมถูกสัมผัสก็ทำให้นึกระแวงจนต้องย่นคอหนีแต่กลับถูกฝ่ามืออุ่นตรึงข้างแก้มรั้งไว้

                ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจแต่อี้ชิงกลับทำได้แค่ยืนนิ่งเมื่อใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าหา ดวงตาคู่งามเบิกกว้างยามเมื่อแนวคางได้รูปนั้นเข้ามาใกล้ ก่อนจะต้องปิดแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงลมเบาๆ ที่เป่าเหนือเส้นผม

                “ซุ่มซ่ามจริงๆ นะนายเนี่ย”

                “ว.. ว่าไงนะ?” อี้ชิงลืมตาขึ้นและทันได้เห็นใบไม้เล็กๆ ร่วงหล่นถึงเข้าใจ

                “นอกจากซื่อบื้อแล้วยังซุ่มซ่ามอีก” แต่ปลายนิ้วที่แตะลงบนปลายจมูกพร้อมกับคำพูดเราะร้ายนั้นทำให้คนตัวเล็กนึกฉุน พยายามปัดมือใหญ่ให้พ้นหน้าแต่กลายเป็นว่าถูกอีกมือประกบเข้าที่แก้มอีกข้าง

                “ปล่อยเลยนะ” แกะเท่าไหร่ก็ไม่ออก ยิ่งโวยวายคนนิสัยไม่ดีก็ยิ่งหัวเราะหึ แถมยังยิ่งออกแรงสองมือที่แนบแก้ม แกล้งบีบเสียจนปากอิ่มบู้และแก้มนิ่มล้น บังคับให้ดวงตาดื้อรั้นนั้นมองสบกับดวงตาคมดุเข้าจนได้ อี้ชิงได้ยินเสียงกระซิบขู่อยู่เหนือปลายจมูกเพียงนิดเดียวเท่านั้น

                “ฟังนะ อย่าคิดหลบหน้าฉันอีก ฉันไม่ชอบคนที่ไม่รักษาคำพูด นายได้สัมภาษณ์ฉันไปแล้วก็จริง แต่ถ้าผลที่ออกมามันไม่เป็นไปตามแผนที่นายว่าไว้ ฉันไม่มีทางปล่อยนายไปง่ายๆ แน่”

                “ร.. รู้แล้วล่ะน่า” เพราะสู้แรงไม่ได้ถึงได้ยอมอ่อนข้อ จ้องตากันต่ออีกไม่นาน แรงบีบที่สองแก้มก็คลายลงจนเขาดึงมือใหญ่ออกได้ง่ายๆ ดูเหมือนคนได้เปรียบจะค่อนข้างพอใจถึงได้ยกยิ้มน้อยๆ และเพียงเมื่อร่างสูงถอยห่างอี้ชิงก็รู้ตัวว่าเป็นอิสระ เขากระชับสายสะพายเป้แล้วเดินจากมาในทันที

                หัวใจดวงเล็กที่เต้นกระหน่ำคงเพราะความหงุดหงิด อี้ชิงบอกตัวเองว่าเขาไม่ชอบเลย คนอะไรปากร้ายแล้วยังชอบแกล้ง เขาโกรธจนร้อนทั้งหน้าชาทั้งตัวไปหมด อี้ชิงไม่ชอบดวงตาคู่นั้น ไม่ชอบเสียงหัวเราะ ไม่ชอบรอยยิ้มร้ายกาจ ไม่ชอบอะไรที่รวมกันเป็นอู๋อี้ฟานคนนั้นเลย เขายอมทำยังไงก็ได้ให้ห่างไกลจากคนนิสัยแย่ๆ แบบนั้น

                คอยดูเถอะ ถ้าแผนการณ์สำเร็จเมื่อไหร่ จะไม่เฉียดเข้าใกล้คนดังอีกเลย!

     

                ร่างเล็กเดินห่างออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับ ทิ้งไว้เพียงสายตาที่มองตามด้วยแววที่หม่นแสงลงพร้อมๆ กับรอยยิ้มที่จางหาย ...แววตัดพ้อในดวงตาคู่คมที่ไม่เคยมีใครได้เห็น ร่างสูงถอนหายใจบางเบาก่อนจะยิ้มบางราวกับปลอบใจตัวเอง

     

                “...คนไม่รักษาคำพูด ฉันไม่มีทางปล่อยนายไปง่ายๆ แน่”


     

     

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     


     

    คนรอง: ขอโทษที่หายไปนานนะคะ หลังจากนี้จะเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้เขียวหวานด้วยนะ

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×