ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #4 : เขียวหวานน่ารัก ~ 04 ~

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 58



    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 4

    Fiction by 2nd Admin

     

    .

    .

    . 

     

    วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของกิจกรรมรับน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยของคณะวิศวะฯ ดังนั้นหลังเลิกเรียนในช่วงหัวค่ำ หลังจากเสร็จพิธีการของพวกรุ่นพี่ปีสี่แล้ว รุ่นพี่ชั้นปีสองทั้งคณะก็พารุ่นน้องไปกินดื่มกันที่ร้านบรรยากาศชิลๆ ใกล้มหาวิทยาลัย

    ลู่หานนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆ ในชั้นปีเดียวกัน พูดคุยกันเสียงดังอย่างสนุกสนาน ทว่าดวงตากลับคอยแต่ชำเลืองมองโต๊ะของรุ่นน้องที่อยู่เยื้องไป เขาเพิ่งดื่มไปได้ไม่ถึงแก้วด้วยซ้ำ แต่ดวงตาซุกซนก็เริ่มหวานเยิ้มจนเพื่อนแซว

    “เฮ้ย จ้องนานๆ แบบนั้นน้องเค้าละลายพอดี” เพื่อนข้างๆ เอาศอกกระทุ้งเบาๆ หมายจะแหย่ให้รู้ตัว พวกเพื่อนในแก๊งค์น่ะรู้กันดีว่าเจ้าจอมซนมันแอบเล็งรุ่นน้องคนนึงไว้ ปิ๊งมาตั้งแต่รับน้องวันแรก จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมเข้าไปคุยซักที

    “ละลายก็ดีดิวะ จะได้จับใส่แก้วชงแล้วกรอกปากกินคนเดียว คนอื่นจะได้ไม่ต้องมาแย่ง”

    “เกินไปไอ้ลู่ น้องเค้ามีแฟนแล้วรึป่าวก็ไม่รู้ หน้าตาดีขนาดนี้” ดูมันท้าวคางมองแล้วเอียงคอน้อยๆ ตางี้หวานฉ่ำ น่าหมั่นไส้เป็นบ้า ปกติก็เห็นทำเจ้าชู้ใส่แต่กับสาวๆ แต่นี่น้องเค้าเป็นผู้ชาย ลู่หานมันยังจดๆ จ้องๆ คงเพราะอยากดูให้แน่ใจว่าจะเข้าไปยังไงดีล่ะมั้ง

    “มีแล้วไงวะ ฉันยังไม่ได้จีบเค้าซักหน่อย”

    “ไม่ได้จีบ? แต่มือถือน่ะ มีแต่รูปน้องเค้ารึเปล่าวะ ฉันเห็นแกถ่ายจัง แต่ไม่เห็นมีลงในเวบ ตกลงจะทำข่าวหรือเก็บไว้ดูเอง เอาดีๆ”

    “เรื่องของฉันป่ะ”

    “เออๆ เรื่องของแก มัวแต่จ้องเข้าไปเหอะ ไม่เข้าไปสีซักที ตัวอะไรคาบไปไม่รู้ด้วยนะ” แกล้งเอาไหล่ชน ลู่หานก็กระแทกกลับ ตวัดตามองแล้วเบะปากบอกให้รู้ว่าไม่สน ก่อนจะยกแก้วสีจางตรงหน้าขึ้นดื่มสองสามอึกเพื่อเพิ่มความร้อนในเลือด

    “รุ่นพี่ครับ” แต่แล้วเสียงเรียกก็ทำให้ต้องหันไปมอง ลู่หานเกือบจะสำลักเบียร์ที่ดื่มเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง เนื้อตัวขาวสว่างราวกับแสงนีออนนั้นมายืนส่งยิ้มสว่างไสวอยู่ตรงหัวโต๊ะใกล้กันกับเขานั่ง “คือ น้ำแข็งที่โต๊ะนั้นหมด”

    น้ำเสียงนุ่มหูนั้นไม่ได้เจาะจงมีให้ใครเป็นพิเศษ ดวงตาเรียวรีค่อยกวาดมองไปรอบๆ โต๊ะคล้ายจะหาคนที่ให้ความช่วยเหลือได้ ลู่หานมัวแต่อึ้งจนเพื่อนต้องเอาศอกสะกิดถึงได้รู้ว่าควรต้องทำอะไรซักอย่าง รีบร้อนวางแก้วเบียร์ลงกับโต๊ะแล้วใช้หลังมือเช็ดปากอย่างลวกๆ ก่อนจะเสนอตัว

    “อ.. อ๋อ งั้นเดี๋ยวพี่สั่งให้นะ เฮ้ย น้องๆ เอาน้ำแข็งไปส่งให้โต๊ะนั้นที” ชี้นิ้วบอกให้เด็กเสิร์ฟในร้านรู้ตำแหน่ง โต๊ะที่ว่านั้น ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าโต๊ะไหน ก็เป็นโต๊ะเดียวกับที่ลู่หานนั่งจ้องมาตลอดตั้งแต่เข้ามาในร้าน รุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นๆ มีการสลับที่นั่งกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะได้พูดคุยกันอย่างทั่วถึง แต่มีอยู่คนเดียวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหนเหมือนกันกับลู่หาน แต่ตอนนี้ก็มายืนอยู่ตรงหน้านี่แล้ว

    รุ่นน้องยิ้มขอบคุณแล้วหันกลับไปที่โต๊ะ แต่กลับพบว่ามีคนอื่นเข้ามานั่งแทนทีตัวเองไปเสียแล้ว ลู่หานเองก็รู้เมื่อตำแหน่งที่เขาวางสายตามากว่าชั่วโมงนั้นเปลี่ยนคนนั่ง

    “เอ่อ ท่าทางโต๊ะจะเต็มแล้วเนอะ มานั่งโต๊ะพี่ก็ได้มา โต๊ะพี่ว่าง” ทำเอาเพื่อนที่นั่งข้างๆ ถึงกับเลิกคิ้ว

    “ว่างตรงไหนวะไอ้ลู่ นี่ก็นั่งกันเต็ม”

    “แกก็ลุกไปดิ จะได้ว่าง ไปเลยไป ไปดูแลน้องๆ โต๊ะโน้น สาวๆ ทั้งนั้นเลยนะเว้ย” ไอ้เพื่อนยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเองแล้วถลึงตาถามย้ำ ลู่หานก็ขยิบตาแล้วเริ่มผลักไหล่ “ไปดิวะ”

    กระซิบขู่แล้วแยกเขี้ยวโชว์ฟันเกแบบนี้ ใช่ว่าเพื่อนจะกลัว แต่เห็นว่าถ้าจบงานรับน้องวันนี้ เจ้าตัวซนก็คงไม่มีโอกาสมานั่งจ้องคนน่ารักทุกวันอย่างที่ผ่านมา เอาเถอะ เปิดโอกาสให้ก็ได้

    เพื่อนข้างๆ สละที่นั่งลุกขึ้นแล้วเดินสะบัดสะบิ้งไปที่โต๊ะอื่นแล้ว ลู่หานก็ถัดก้นเขยิบตัวเองไปแทนที่แล้วตบมือบนเก้าอี้ให้รุ่นน้องนั่งลงข้างกัน

    “น้องเซฮุนใช่มั้ยครับ?” คนตัวขาวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ยิ้มหวานแบบประชิดตัวทำเอามือของคนที่กำลังเทเบียร์ใส่แก้วใบใหม่ให้รุ่นน้องนั้นเริ่มสั่น “พี่... ชื่อลู่หานนะ เรียกพี่ลู่ก็ได้”

    “ผมจำได้ครับ พี่ลู่อยู่ชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ผมเห็นถ่ายรูปอยู่บ่อยๆ” ลู่หานยิ้มแหย น้องจะรู้มั้ยว่าที่เห็นว่าถ่ายน่ะพี่ถ่ายแค่น้องคนเดียว รูปทำข่าวน่ะถ่ายแค่สองสามรูปก็พอแล้ว

    “เออ แล้วนี่บ้านอยู่แถวไหน กลับดึกๆ แบบนี้ที่บ้านจะว่าหรือเปล่า ต้องให้ใครไปส่งมั้ย?”

    “ผมเพิ่งย้ายมาอยู่หอพักของมหาลัยไม่กี่วันนี้เองครับ”

    “งั้นเหรอ ดีจัง หอพักพี่ก็อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเลิกแล้วเราเดินกลับด้วยกันก็ได้นะ ทางผ่านพอดี”

    “ก็ได้ครับ” รุ่นน้องพยักหน้ารับคำอย่างไม่มีอิดออด ยังสำทับด้วยยิ้มหวานจนตาปิด ทำเอาคนมองแทบละลายลงไปกองอยู่กับพื้น หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ชีวิตมันดีอะไรอย่างนี้นะ ลู่หานได้แต่ครางงี้ดๆ อยู่ในใจ

     

    อร๊างงงง น้องฮุนของพี่ลู่น่ารักที่สุดในโลกเลยยย ><

     

    .

     

    .

     

    .

     

    อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาทรงกลมที่แขวนอยู่บนผนังห้องแล้วก็ก้มลงมองนาฬิกาดิจิตอลที่ข้อมือตัวเองเหมือนกลัวว่าเวลาจะคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาจนผมหน้าปลิว

    “ยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย” บุ้ยปากอย่างเซ็งๆ แล้วก็ยกรีโมทขึ้นกดปุ่มสีแดงให้หน้าจอทีวีดับ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินลากขาไปเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง

    เขานั่งรอลู่หานอยู่จนสี่ทุ่มครึ่ง แต่เพื่อนตัวดีก็ยังไม่โผล่มา รู้อยู่แล้วล่ะว่าวันนี้จะไปต่อกับเพื่อนๆ แล้วก็รุ่นน้องที่คณะฯ เห็นโทรมาบอกตั้งแต่เย็น แต่ที่เขายังรออยู่นี่ก็เพราะมีเรื่องจะปรึกษา คิดว่าซักสามสี่ทุ่มยังพอไหว ไม่คิดว่าจะกลับเอาดึกดื่นป่านนี้ พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่มีเรียนก็จริง แต่เขาต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานพิเศษอีก

    เข้ามาในห้องแล้วอี้ชิงก็ทิ้งทั้งตัวลงนอนคว่ำบนเตียงตัวเอง ถอนหายใจอย่างสุดเซ็ง ทั้งที่คิดว่าเรื่องจะง่ายตอนที่พ่อคนดังเค้ารับปากว่าจะให้สัมภาษณ์ แต่ดันมีข้อแม้ให้ต้องมานอนคิดจนปวดหัวแบบนี้อีก

     

    ย้อนกลับไปเมื่อตอนเที่ยง

    “นายต้องจัดการเรื่องบางอย่างให้ฉัน”

    “เห...?” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย อี้ชิงเห็นแล้วก็อดระแวงไม่ได้ นี่คงไม่ได้คิดจะให้เขาไปทำอะไรพิเรนทร์ๆ หรอกนะ “แล้ว... จะให้ฉันทำอะไร?”

    คริสยืดขาในท่าที่สบาย ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะบอก

    “นายทำยังไงก็ได้ ให้คนพวกนั้นเลิกยุ่งกับฉันที”

    “คนพวกนั้น?” คริสเหล่ตามองเขาแล้วชักสีหน้าประมาณว่าบื้อเต็มที เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้

    “ก็พวกที่คอยตามฉันไปทุกที่ ชอบส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดรำคาญหู” ใบ้มาขนาดนี้อี้ชิงก็ถึงบางอ้อ คุ้นๆ ว่าเพิ่งเจอกับตัวเองมาตอนที่อยู่ในคลาส

                “นายหมายถึงพวกสาวๆ แฟนคลับนายน่ะนะ?”

                “ใช่” ฟังแล้วก็เบ้หน้าเพราะไม่อยากจะเชื่อหู คนดังที่ไหนไม่ชอบให้คนมาสนใจกัน

                “ทำไมล่ะ มีคนมารุมชอบตั้งเยอะ นายไม่ชอบเหรอ?”

                “ฉันรำคาญ ไม่ชอบให้ใครมานั่งจ้องเวลาจะทำอะไร หรือนายชอบแบบนั้น?”

                “ไม่อ่ะ” อี้ชิงสั่นหัวดิก ทำหน้าขยาดเพียงแค่นึกภาพตาม “ฉันก็ต้องไม่ชอบอยู่แล้ว แต่นายไม่เหมือนกันนี่ ก็นายเป็นคนดัง”

                “ฉันไม่ใช่ดารานะ ฉันก็แค่นักศึกษาแลกเปลี่ยน อีกสองเดือนก็ต้องกลับแคนาดาแล้ว ขอฉันอยู่เงียบๆ บ้างไม่ได้รึไง” อี้ชิงแอบย่นจมูกใส่ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ทำมาเป็นรักสงบ มีสาวๆ มาตามกรี๊ดเยอะแยะ ใครที่ไหนจะไม่ชอบ เขาไม่เชื่อหรอกว่าหมอนี่จะอยากอยู่คนเดียวจริงอย่างที่ปากว่า แค่ทำเป็นเก๊กเรียกเรทติ้งเท่านั้นแหละ

                “แล้วจะให้ฉันทำยังไง” แต่อี้ชิงก็ต้องเนียนไปตามน้ำ เป้าหมายของเขามีแค่เรื่องงาน หมอนี่จะเล่นตัวท่าไหนก็ช่างเถอะ ให้เขาได้บทสัมภาษณ์ไปถวายคิมจงแดก็พอ

                คริสขยับตัวลุกขึ้นแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่อย่างใจเย็น มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าขณะที่ปรายตามามองคนที่ยังนั่งอยู่พลางกดยิ้มที่มุมปาก

                “นั่นมันเรื่องที่นายจะต้องคิด ถ้าจัดการให้ฉันได้ ฉันก็จะให้สัมภาษณ์”

     

    แค่นึกถึงรอยยิ้มกับท่าทางอวดดีแบบนั้นก็ชวนให้อารมณ์เสียจนต้องคว้าหมอนใกล้มือมาทุบๆๆ ให้หายหมั่นไส้ คนอะไรขี้เก๊กนัก นี่ถ้าไม่เห็นว่าต้องทำงานให้เสร็จแล้วล่ะก็ คงทนคุยด้วยได้ไม่นานแน่ๆ

    อี้ชิงกำลังขยำขยี้หมอนในมือเพื่อระบายอารมณ์ตอนที่มือถือเครื่องเล็กซึ่งวางทิ้งไว้บนโต๊ะส่งเสียงเรียกร้องให้เขาต้องลุกจากเตียงแล้วเดินไปหยิบขึ้นมาดู คิ้วบางขมวดน้อยๆ เมื่อเห็นเบอร์ไม่คุ้นโชว์ขึ้นบนหน้าจอ แล้วก็คิดเอาเองว่าอาจจะเป็นเพื่อนในคณะฯของเสี่ยวลู่โทรมาบอกว่าหมอนั่นเมาแอ๊จนกลับหอไม่ได้ อี้ชิงกดรับสายด้วยความสงสัย

                “ใครครับ?”

                [คิดออกรึยัง?] แต่คำถามที่สวนกลับมานั้นทำเอาคนตัวเล็กแทบจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง เสียงห้วนๆ แบบนี้ไม่มีใคร พ่อคนดังตัวแสบนั่นแหละ คิดแล้วก็เจ็บใจตัวเองที่พลาดท่า หลอกเอาเบอร์โทรศัพท์เค้ามาไม่ได้ ยังต้องมาถูกกดขี่อย่างกับเป็นเบี้ยล่าง ดูเอาเถอะ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังจะโทรมาจิกกัน ไม่คิดว่าเขาจะเข้านอนไปแล้วบ้างหรือไร

                “โทรมาป่านนี้ ไม่มีมารยาทเลยนายเนี่ย ให้เวลากันบ้างสิ เรื่องของฉันก็ไม่ใช่”

                [ตามใจนายนะ นายคิดช้าฉันก็ให้สัมภาษณ์ช้า แค่นี้แหละ]

                “เฮ้ยเดี๋ยว!” ไม่ทัน คนโทรมาชิงวายสายไปก่อนแล้ว อี้ชิงได้แต่กำโทรศัพท์ในมือแล้วครางครื่อๆ ในคอด้วยความโมโห คนบ้าอะไรเอาแต่ใจแบบนี้นะ ใช่ว่าเขาจะอยากเสร็จงานช้า จงแดให้ส่งบทสัมภาษณ์พรุ่งนี้ด้วยซ้ำ แต่ยังคิดหาวิธีไม่ได้ จะให้ทำยังไง อี้ชิงโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ปลายเตียงแล้วล้มตัวลงนอนแผ่หรา คว้าหมอนมาปิดหน้าแล้วโวยวายอู้อี้อยู่ใต้นั้นเพื่อระบายความหงุดหงิด ดีดดิ้นจนหายบ้าแล้วถึงได้เอาหมอนออก พ่นลมหายใจแรงๆ อีกครั้งก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่ง

                ถ้าไม่อยากให้หมอนั่นมาวุ่นวายในชีวิตอีกก็ต้องตั้งสติแล้วคิด ทำยังไงถึงจะกันเจ้าบ้านั่นออกจากกลุ่มแฟนคลับได้นะ คิดสิ คิด

     

                แต่ว่า...

     

                “ฮึ่ย คิดไม่ออกอ่ะ” อี้ชิงทึ้งผมตัวเองแล้วส่ายหน้าแรงๆ อย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจ้าบ้านั่นนิสัยเสียจะตาย ทำไมถึงมีแต่คนชอบนะ

     

                ...เดี๋ยวก่อน

     

                จริงสิ ที่สาวๆ คอยตามหมอนั่นก็เพราะว่าชอบ จะเพราะอะไรก็ช่าง แต่พวกหล่อนชอบเค้า

     

                ถ้าอย่างนั้น... ก็ทำให้เกลียดซะสิ

     

                ใบหน้ามุ่ยตุ้ยค่อยเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มออกจนกว้าง

     

                มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พวกผู้หญิงต้องทนไม่ได้แน่ๆ ในที่สุดเขาก็คิดออก!

     

                อี้ชิงเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ที่โยนไว้ปลายเตียงกลับมาแล้วเรียกดูเบอร์ล่าสุดที่โทรเข้ามาก่อนจะกดปุ่มโทรออก รอไม่ถึงห้าวินาทีก็ได้ยินเสียงตอบจากปลายสาย

                [มีอะไร?]

                “ฉันคิดออกแล้วว่าจะทำยังไง”

                [ว่ามา]

                ตอนนี้ยังไม่ได้ นายต้องให้สัมภาษณ์ฉันก่อน

                [งั้นรอวันจันทร์ก็แล้วกัน แค่นี้นะ]

                “เฮ้ยเดี๋ยว!” เพราะปลายสายทำท่าจะชิงวางไปก่อนอีกแล้ว อี้ชิงก็เลยต้องรีบดักไว้ รอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังฟังอยู่ถึงได้พูดต่อ “สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ตอนนี้เลยไม่ได้รึไง”

                [ฉันไม่ชอบคุยโทรศัพท์นานๆ]

                “เรื่องมากจริง” อันนี้ต้องแอบดึงโทรศัพท์ออกห่างแล้วบ่นเบาๆ เกิดพ่อคนดังเค้าได้ยินขึ้นมาจะหาเรื่องเล่นตัวอีก

                [เอาไง? ไม่อย่างนั้นก็รอวันจันทร์ ฉันไม่รีบ]

                “ก็ได้ๆ” นายไม่รีบแต่ฉันรีบ เกิดนานไปพ่อก็จะเปลี่ยนใจเบี้ยวสัมภาษณ์ขึ้นมาอีก “งั้น... พรุ่งนี้ได้มั้ยล่ะ?”

                [กี่โมง]

                “เย็นๆ เลยอ่ะ พรุ่งนี้ฉันต้องทำงานพิเศษ”

                [ที่ไหน?]

                “อืม งั้นเจอกันที่สวนสาธารณะก็แล้วกัน มีอยู่ที่เดียวอ่ะ นายรู้จักหรือเปล่า”

                [ฉันถามว่านายน่ะ ทำงานที่ไหน]

                “จะรู้ไปทำไม?”

                [ฉันถามก็บอกมาสิ] ยังจะทำเสียงดุข่มกันอีก พอถือไพ่เหนือกว่าแล้วก็ขู่เอาๆ อี้ชิงล่ะอยากจะกรี๊ดใส่นัก แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้ รอไว้ให้งานเสร็จก่อนเถอะ

                “เคเอฟซีใกล้มหาลัย ฉันเลิกงานห้าโมง เอาเป็นว่าเจอกันที่สวนสาธารณะห้าโมงครึ่งก็แล้วกัน”

                [ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้เจอกัน]

                ปลายสายวางไปแล้ว อี้ชิงมองโทรศัพท์ในมือแล้วก็แยกเขี้ยวใส่ แต่แล้วก็คลี่ยิ้มร้ายก่อนจะหัวเราะเหอะ ทำเป็นอวดดีไปเถอะ รู้แผนของเขาเมื่อไหร่ พ่อคนดังได้ขำไม่ออกแน่!


     


     



     

                “นี่เงินทอนครับ ขอบคุณมากนะครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่” เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีแดงขาวซึ่งยืนประจำอยู่ที่หลังเคาท์เตอร์ค้อมศีรษะให้หญิงสาวที่เดินคล้อยหลังไปก่อนจะหันมาทักทายคู่รักที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างหลัง ยิ้มและพูดจาอย่างสุภาพ “ลูกค้าท่านต่อไปรับอะไรดีครับ?”

                วันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นจะค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในย่านที่มีทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ดังนั้นร้านฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่แถวนี้ซึ่งมีแค่พนักงานพาร์ททามก็เลยรับพนักงานพิเศษเข้ามาช่วยในช่วงวันหยุดด้วย และค่าแรงก็ค่อนข้างดีทีเดียว อี้ชิงทำงานที่ร้านเคเอฟซีสาขานี้มาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสองโน่นแน่ะ แม้ที่บ้านจะส่งเงินค่าเล่าเรียนมาให้จนพอใช้ แต่อี้ชิงก็อยากจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วยตัวเอง ครอบครัวเขามีฐานะปานกลาง แล้วเขาก็เป็นลูกชายคนเดียว อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ไม่อยากรบกวนพ่อแม่ ไม่เหมือนกับลู่หานหรอก รายนั้นทำตัวสมถะเหมือนเขาก็จริง แต่ที่บ้านน่ะรวยมาก พ่อเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ในปักกิ่ง ตัวเองไม่ต้องลำบากดิ้นรนอะไรก็มีเงินโอนเข้าบัญชีให้ใช้ทุกเดือน แต่ลู่หานไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ เคยออกไปหางานพิเศษทำเหมือนกันกับเขาด้วยซ้ำ แต่ทำได้ไม่นานก็ออก นิสัยอิสระแบบนั้นไม่ชอบอยู่ในกฏระเบียบอะไรซักเท่าไหร่

                “ของที่สั่งได้รับครบแล้วนะครับ? ขอบคุณมากครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่” ค้อมศีรษะส่งลูกค้าไปอีกหนึ่งแล้วก็หันมาทักทายคนที่มาใหม่พร้อมรอยยิ้มเช่นเคย “สวัสดีครับ รับอะ... เฮ้ย!

                แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจจนแทบหงายหลัง ก็คนตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์นั้นเป็นคนที่อี้ชิงไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ ในเวลาแบบนี้

                “น.. นี่นาย...!

                “ทักทายลูกค้าแบบนี้ได้ยังไงกัน” เสียงตำหนินั้นไม่ดังแต่ก็ไม่เบาเลย พี่สาวที่กำลังต้อนรับลูกค้าที่เคาท์เตอร์ข้างๆ ถึงกับหันมามอง อี้ชิงก็เลยต้องลดนิ้วที่ชี้หน้าหล่อๆ นั้นลงแล้วฉีกยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะหันกลับมาถลึงตาใส่คนที่ยืนตรงหน้า ลดเสียงถามรอดไรฟัน

                “นายมาทำไมเนี่ย นี่ยังไม่ถึงเวลานัดเลยนะ”

                “แปลกตรงไหน นี่เที่ยงแล้ว ฉันก็แค่มาหาของกิน”

                “แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่เล่า”

                “ทำไม? ร้านนี้เค้าห้ามคนหน้าตาดีเข้ารึไง?” ดูรอยยิ้มอวดดีตอนที่พูดสิ มั่นหน้ามากสินะ อี้ชิงย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้ “ตกลงจะให้สั่งได้หรือยัง?”

                พนักงานร่างเล็กยังยืนหน้ามุ่ยกระทั่งพี่สาวที่เคาท์เตอร์ข้างๆ แอบสะกิดให้รู้ตัวว่าผู้จัดการร้านกำลังแอบมองอยู่ อี้ชิงถึงได้สูดลมหายใจเข้าจนลึกก่อนจะวาดริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม ให้บริการคุณลูกค้าอย่างเสียไม่ได้

                “รับอะไรดีครับ?”

                “เอาสไปซี่ชิคเก้นเบอร์เกอร์ชุดนึง แล้วก็นักเก็ตกล่องนึง”

                “สไปซี่ชิคเก้นเบอร์เกอร์หนึ่งชุด เพิ่มขนาดเฟรนส์ฟรายส์กับเป๊ปซี่มั้ยครับ?”

                “ไม่ล่ะ มาคนเดียว กินอะไรเยอะแยะ”

                “ถ้าอย่างนั้นยกเลิกรายการนักเก็ตด้วยเลยมั้ยครับ? จะได้ไม่เยอะเกินไป” ลูกค้าตัวโตหัวเราะหึ มองคนที่แกล้งฉีกยิ้มหวานแล้วก็เคาะนิ้วกับเคาท์เตอร์อย่างใจเย็น อี้ชิงก็จ้องตอบอย่างไม่ยอมกัน ดูท่าว่าทั้งคู่คงไม่ยอมเลิกรากันง่ายๆ ถ้าไม่ได้ยินเสียงกระแอมไอจากผู้ชายร่างท้วมในชุดเครื่องแบบพร้อมป้ายบอกตำแหน่งผู้จัดการร้านติดหน้าอกซึ่งมายืนอยู่ข้างหลังอี้ชิงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

                “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?” เขาเอ่ยถามพร้อมพร้อมรอยยิ้ม มองหน้าพนักงานร่างเล็กสลับกับคุณลูกค้าตัวสูง แต่เพียงแค่คริสขยับปาก อี้ชิงก็รีบตัดบท

                “ไม่มีอะไรครับผู้จัดการ ผมจัดการได้ คุณลูกค้ารอสักครู่นะครับ” หยอดยิ้มหวานให้ลูกค้าตัวสูงอีกหนึ่งม้วนก่อนจะหันหลังไปเตรียมของให้ตามออเดอร์ ทันทีที่พ้นสายตาหัวหน้างาน อี้ชิงก็เบ้หน้า ขยับปากบ่นขมุบขมิบไปเรื่อย ไม่ทันได้มองว่าพี่ผู้จัดการตามมาแอบมองอยู่ข้างๆ นี่เอง

                “อุ้ย!

                “ทะเลาะกับลูกค้าหรือเปล่า?”

                “ฮื่อ! เปล่านะครับ” อี้ชิงสั่นหน้าดิก กระพริบตาใสๆ ตอนที่บอก “ผมบริการเค้าดีจะตาย

                แต่ดูเหมือนหัวหน้างานจะไม่เชื่อ หรี่ตามองเขาอย่างตำหนิ ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้น กำชับเสียงดุ

                “ทำตัวให้น่ารักหน่อย” พนักงานผู้น้อยก็ต้องพยักหน้ารับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่พอลับหลังผู้ใหญ่ก็กรอกตาอย่างสุดเซ็ง หยิบของที่เตรียมไว้ไปจัดใส่ถาดที่วางรออยู่บนเคาท์เตอร์แล้วเลื่อนไปตรงหน้าลูกค้าตัวดีพร้อมรับเงินมา

                “ของที่สั่งได้รับครบแล้วนะครับ? ขอบคุณมากครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่” ค้อมศีรษะน้อยๆ ตามหน้าที่แต่ไม่มีรอยยิ้มแถมให้เช่นทุกครั้ง กระนั้นอี้ชิงก็แน่ใจว่าเขาเห็นรอยยิ้มที่มุมปากเจ้าเล่ห์นั่นก่อนที่คริสจะรับถาดอาหารแล้วเดินไปจากเคาท์เตอร์ น่าหมั่นไส้เสียจนต้องย่นจมูกตามหลัง และแน่นอนว่ากิริยาไม่น่ารักแบบนั้นต้องถูกพี่ผู้จัดการมองเห็น หัวหน้างานหรี่ตามองเขาพลางยกนิ้วชี้ขึ้นคาดโทษซ้ำ อี้ชิงก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน นึกโทษคนตัวสูงได้แค่ในใจ

     

                ตั้งใจมาแกล้งกันชัดๆ รอให้เลิกงานก่อนเถอะ!

     

     

                บ่ายสองโมงกว่า ลูกค้าเริ่มบางตาแล้ว ผู้จัดการจึงให้พนักงานที่ประจำเคาท์เตอร์มาตลอดตั้งแต่เช้าได้เปลี่ยนไปทำงานอื่นในร้านบ้าง บางคนก็เข้าไปช่วยงานในครัว แต่อี้ชิงซึ่งไม่ชอบอากาศร้อนและกระไอของทอดก็เลยขอเก็บโต๊ะอยู่ข้างนอกดีกว่า เขากับเพื่อนร่วมงานอีกคนแบ่งโซนกันทำ โซนหน้าร้านจะอยู่ติดกับผนังกระจกซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ชอบเลือกนั่ง ก็เลยมีงานให้ทำเยอะหน่อย แต่อี้ชิงไม่เกี่ยงเพราะจะได้สูดอากาศข้างนอกบ้าง โซนด้านในนั้นคนเยอะแล้วก็อึดอัดกว่าเยอะเลย

                ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ เช็ดโต๊ะซึ่งลูกค้ากลุ่มหนึ่งเพิ่งจะลุกไปนั่นเอง หางตาก็เหลือบเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นตานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไป พอหันไปมองให้ชัดๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

                “ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย” เพราะคนที่คิดว่าน่าจะกลับไปตั้งนานแล้วกลับมานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วดูบรรยากาศรอบตัวหมอนี่สิ อย่างกับตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยไม่มีผิด ก็บรรดาลูกค้าสาวๆ โต๊ะใกล้ๆ ทั้งที่มากับเพื่อนหรือแม้แต่คนที่มีแฟนแล้วต่างพากันแอบมองหนุ่มหล่อที่นั่งอยู่คนเดียวแล้วก็หัวเราะคิกคัก หรือแม้แต่ที่ด้านนอกของผนังกระจก สาวๆ ที่เดินผ่านไปมายังแอบแวะมาเซลฟี่กับคนหล่อโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลย ให้ตายเถอะ หมอนี่จะสเน่ห์แรงเกินไปนะ

                คนหมั่นไส้ทำเสียงเหอะในคอ เขาเองก็ไม่อยากจะสนใจนักหรอก แต่พอมองๆ ดูแล้วก็รู้สึกผิดสังเกตุ เห็นคนดังนั่งกอดอกแล้วก้มหน้าน้อยๆ นิ่งเกินไปจนอี้ชิงนึกสงสัย แอบย่องเข้าไปใกล้ๆ แล้วยื่นมือไปโบกๆ ตรงหน้าก็ยังไม่หือไม่อือ พอก้มลงมองหน้าหล่อให้ชัดๆ ถึงได้เห็นว่าดวงตาคู่คมนั้นปิดสนิท

                “นั่งหลับเหรอเนี่ย...” พึมพัมเบาๆ ด้วยความแปลกใจ ดูท่าว่าจะหลับสนิทซะด้วย เขาเดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวเลย มองบนโต๊ะก็เห็นมีหนังสือเล่มหนึ่งเปิดค้างไว้ มีสมาร์ทโฟนวางทับอยู่ ตัวหนังสือเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น นี่อ่านจนหลับไปเลยหรือไง

                มองสมาร์ทโฟนเครื่องสีดำแล้วอี้ชิงก็ย่นจมูกใส่ด้วยยังเจ็บใจเรื่องเบอร์โทรไม่หาย พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ถ้าคริสยอมทำตามแผนการณ์ของเขาและยอมให้สัมภาษณ์ หลังจากวันนี้ไป เขากับหมอนี่ก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก แต่อนาคตก็ไม่แน่ เกิดแผนของเขาทำให้หมอนี่ไม่พอใจอะไรขึ้นมา อาจจะโทรมาขู่ฆ่าเอาทีหลังก็ได้ ถ้ายังมีเบอร์โทรอยู่ในเครื่องของคริส ชีวิตคงไม่ปลอดภัยแน่

     

                แอบลบออกดีกว่า!

     

                มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีเพื่อนร่วมงานหรือพี่ผู้จัดการแอบจับตามองอยู่แล้วอี้ชิงก็ค่อยๆ ยื่นมือออกไป สมาร์ทโฟนวางอยู่บนหนังสือนี่เอง อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว อีกนิดเดียว...

     

                หมับ!  

     

                “ทำอะไรน่ะ?”

     

                “โอ๊ะ!” แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อข้อมือถูกคว้าพร้อมกับเสียงทุ้มเย็นที่ถาม อี้ชิงค่อยชำเลืองตามองถึงได้เห็นว่าเจ้าของมือถือตื่นแล้ว และกำลังใช้สายตาดุๆ นั่นมองเขา คนมีแผนก็เลยหัวเราะแหะ

                “ก็... เห็นนายหลับ ก็เลยจะเก็บให้”

                “ไม่ต้อง” บอกเสียงห้วนแล้วก็เก็บมือถือลงกระเป๋า หนังสือหน้าที่เปิดค้างไว้ก็เลยปิดไปเองอัตโนมัติ ดูเหมือนคนอ่านจะไม่สนใจจำนักว่าอ่านไว้ถึงหน้าไหน ถึงไม่คิดจะใช้ที่คั่นหนังสือ

                ชิงบุ้ยปากด้วยหมั่นไส้คนหวงของ ไม่น่าตื่นขึ้นมาตอนนี้เลยจริงๆ

                “ถ้าง่วงทำไมไม่ไปนอนที่บ้าน มานั่งหลับอยู่ได้”

                “ฉันแค่พักสายตา ถ้าหลับจะเห็นเหรอว่านายคิดจะขโมยมือถือ”

                “ฉันเปล่าขโมยซักหน่อย!” เผลอเสียงดังจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้ ลูกค้าโต๊ะข้างๆ หันมามองกันใหญ่ แต่คนที่ใส่ร้ายเขากลับทำใจเย็น มองนาฬิกาข้อมือแล้วก็ถาม

                “เลิกงานห้าโมงใช่มั้ย?”

                “อีกตั้งสองชั่วโมง อย่าบอกนะว่านายจะรออยู่ที่นี่?”

                “เค้าห้ามนั่งนานๆ รึไง เดี๋ยวฉันไปซื้อของกินมาเพิ่มก็ได้”

                “เฮ้ยเดี๋ยว!” อี้ชิงร้องห้ามแล้วยื้อแรงไว้สุดตัว ไม่ใช่อะไร แต่เพิ่งจะรู้ก็ตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้นทำท่าว่าจะเดินไปที่เคาท์เตอร์เนี่ยแหละ ว่ามือใหญ่นั่นยังจับข้อมือเขาไว้อยู่เลย “คือ... ไม่ต้องก็ได้ แต่ปล่อยมือฉันก่อน”

                นี่ก็อะไร จับมือเขาอยู่ได้เป็นนาน พอเขย่ามือให้รู้สึกก็ยังไม่รู้ตัว มองอยู่นั่นแหละ กว่าจะยอมปล่อยได้ ความรู้สึกช้าชะมัด ถ้าถึงขนาดจะไปสั่งของกินมาเพิ่มก็คงไล่ไม่ไปแล้วจริงๆ

                “ถ้าไม่เบื่อก็... จะรออยู่นี่ก็ได้” อี้ชิงบอกอย่างเสียไม่ได้ ซ่อนข้อมือที่ยังรู้สึกร้อนผ่าวเอาไว้ข้างหลัง หมอนี่คงใช้กำลังจนเคยตัว มือใหญ่ขนาดนี้กำรอบข้อมือเขาได้ทั้งสองมือเลยมั้ง แล้วนี่แค่มือเดียวยังออกแรงบีบเสียจนชา น่ากลัวชะมัด

                คริสไม่ได้ตอบอะไรอี้ชิงก็ถือเอาว่าเป็นไปตามนั้น อยากจะอยู่ตรงนี้อีกกี่ชั่วโมงก็ช่าง แต่เขาคงอยู่เถียงด้วยนานๆ ไม่ได้ เดี๋ยวพี่ผู้จัดการจะว่าเอา เดินออกมาจนไกลมากแล้วถึงได้หันกลับไปมอง เห็นคนตัวสูงหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านต่ออย่างใจเย็นก็อดแปลกใจไม่ได้ ทนนั่งนิ่งๆ อยู่ได้ยังไงเป็นสองสามชั่วโมงนะ เป็นเขาคงกลับไปนอนเล่นที่บ้านแล้ว

                แต่พอเห็นบรรยากาศรอบๆ ตัวคนดังแล้วอี้ชิงก็ต้องเบ้ปาก นี่คงไม่ได้คิดจะอยู่รอเขาหรอก อยากนั่งอ่อยเรียกเรทติ้งให้ตัวเองเสียมากกว่า

     

                “ชิ ท่าจะว่างมาก!

     

     

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

     

     

    คนรอง: เริ่มเบื่อกันรึยัง? คนอ่านอย่าเพิ่งเบื่อกันนะ พระเอกกับนายเอกต้องทะเลาะกันอีกนานอ่ะ ฮะๆๆๆๆ

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×