ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #2 : เขียวหวานน่ารัก ~ 02 ~

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 58


     

    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 2

    Fiction by 2nd Admin

     

    .

    .

    .

     

                “เป็นเพราะนายแท้ๆ เลยเสี่ยวลู่”

                “อ้าว ไหงมาโทษกันแบบนี้ล่ะ”

                “ก็ถ้านายไม่ทิ้งให้ฉันกินข้าวคนเดียว ฉันก็คงไม่ต้องไปเจอเรื่องซวยๆ แบบนี้หรอก” คนหน้ามุ่ยสะบัดเสื้อคลุมกันหนาวที่เพื่อนอุตส่าห์สละให้แรงๆ สองสามครั้งก่อนจะสวมทับเสื้อกล้ามของตัวเองไว้ ส่วนเสื้อนักศึกษาของตัวเองก็โน่น ซักจนเปียกก็เลยต้องผึ่งลมเอาไว้ที่หน้าต่างก่อน มีเรียนอีกทีตอนบ่ายสองโมงครึ่ง หวังว่าคงจะแห้งทันนะ

                รอจนไฟล์รูปภาพถูกโหลดใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของชมรมเสร็จแล้วลู่หานก็ดึงเมมโมรี่การ์ดออกแล้วใส่คืนกล้องให้อี้ชิง เสร็จหน้าที่ของเพื่อนที่ดีแล้วก็นั่งหมุนเก้าอี้เล่นตามประสาคนอารมณ์ดี อี้ชิงเล่าวีรกรรมที่ทำไว้กับคนดังให้เขาฟังหมดแล้ว ฟังไปหัวเราะไปจนคนเล่าทำหน้ามุ่ยตุ้ยอย่างที่เห็นนี่แหละ

                “แต่จะว่าไปนะ ไอ้การที่บังเอิญเจอกันถึงสองครั้งในวันเดียวนี่มันไม่ธรรมดา บางทีพวกนายสองคนอาจจะมีดวงต่อกันก็ได้”

                “ดวงชงล่ะสิไม่ว่า เจอกันครั้งแรกก็พ่นน้ำใส่หน้า ครั้งที่สองก็ทำแกงหกใส่เสื้อ ฉันกับหมอนั่นต้องเป็นตัวซวยของกันและกันแน่ๆ”

                “โว๊ววว ฟังดูดีอ่ะ เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกันเลย” หัวเราะสนุกก่อนจะต้องรีบเลื่อนเก้าอี้หนีเท้าที่ยื่นมาหาเมื่อเพื่อนรักไม่สนุกด้วย “คิดแง่ดีสิ สาวๆ ทั้งมหาลัยพยายามอ่อยกันเท่าไหร่กว่าจะได้เข้าใกล้หมอนี่ นายแทบไม่ต้องทำอะไรเลย หมอนี่ก็เดินเข้ามาหาเอง”

                “เรื่องดีๆ สินะ”

                “แน่น๊อน สาวๆ ต้องอิจฉานายแน่” อี้ชิงหัวเราะเหอะ เขาควรดีใจสินะ “เผลอๆ นะ หมอนั่นแอบมีใจให้นายรึเปล่า คิดดูสิ มาเรียนที่นี่ตั้งสองอาทิตย์ เพิ่งจะมาถามทางไปแคนทีน ไม่เคยกินข้าวกลางวันเลยรึไง”

                “ไม่ต้องมาเฉไฉพูดมาก กลับถึงหอแล้วซักเสื้อให้ฉันเลย ซักให้ออกด้วยล่ะ”

                “เกี่ยวอะไรกับฉันเล่า”

                ตอนนี้ในห้องชมรมมีแค่อี้ชิงกับลู่หาน เพราะคิมจงแดติดคุยธุระอยู่กับอาจารย์ก็เลยไลน์มาบอกว่าให้เอารูปลงคอมพ์ไว้ เดี๋ยวจะกลับมาเลือก ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ จะเข้ามาก็ตอนเย็นเป็นปกติ ดังนั้นเสียงเคาะประตูในตอนนี้จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจนัก หลังจากเกี่ยงกันอยู่ซักพักก็เป็นลู่หานที่ต้องลุกไปเปิดให้

                “โอ๊ะ มาหาใครครับ?” น้ำเสียงแปลกใจทำให้อี้ชิงต้องชะเง้อคอมองข้ามไหล่เพื่อนออกไปนอกประตูด้วยความอยากรู้ มีชายแก่ในชุดสูทผูกหูกระต่ายแบบพนักงานต้อนรับในโรงแรม กับใครอีกคนที่หนุ่มกว่า สวมเพียงเชิ๊ตขาวกับกางเกงขายาวสีดำยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มให้อย่างสุภาพก่อนจะเอ่ยถาม

                “ต้องขออภัยที่มารบกวน ไม่ทราบว่าที่นี่ใช่ชมรมหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยหรือเปล่าครับ?”

                “ใช่ครับ”

                “ผมกำลังตามหาคุณหนูที่สวมเสื้อกล้ามสีขาว ที่พกกล้องติดตัวตลอดเวลา ไม่ทราบว่า พอจะมีใครรู้จักบ้างมั้ยครับ?

                “คุณหนูเหรอ?”

                “อ๋อ เพื่อนผมเองครับ คนนี้ๆ” อี้ชิงกำลังงงกับสรรพนามที่ใช้เรียก ลู่หานก็ชี้นิ้วมาที่เขาพลางเปิดทางให้คนแปลกหน้า แต่ชายแก่ไม่ได้เข้ามาในห้อง เขาขยับแว่นสายตาแล้วเพ่งมองเสื้อกล้ามที่อี้ชิงใส่ก่อนจะเลื่อนลงไปมองกล้องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็พยักหน้า

                “อ้อ คุณหนูนั่นเอง”

                “ม.. ไม่ใช่มั้งครับ ผมว่าเรา... ไม่น่าจะรู้จักกันนะ” แล้วคำว่า คุณหนู นั่น เค้าเอาไว้ใช้เรียกเด็กผู้หญิงไม่ใช่เหรอ แต่ชายแก่กลับหัวเราะเบาๆ

                “คุณหนูคงไม่รู้จักผมหรอกครับ แต่คุณชายสั่งให้ผมเอาของมาให้” หันไปพยักหน้าให้ผู้ติดตามเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยื่นของบางอย่างที่ประคองไว้อย่างดีด้วยสองมือมาตรงหน้าอี้ชิงพลางค้อมกายอย่างนอบน้อมเสียจนเด็กหนุ่มค้อมศีรษะรับแทบไม่ทัน

                “เสื้อนี่นา” แต่ลู่หานไวกว่า ปรี่เข้ามาชะโงกหน้ามองของในมือคนแปลกหน้าอย่างตื่นเต้น “ยี่ห้อดังซะด้วย ท่าทางจะแพงนะเนี่ย”

                “แบรนด์นำเข้าน่ะครับ เนื้อผ้าดี ไม่ยับง่าย” อี้ชิงมองเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับเรียบร้อยอยู่ในซองพลาสติกอย่างดีแล้วก็สั่นหัวดิก

                “ถ้าอย่างนั้นยิ่งไม่ใช่ของผมใหญ่ ผมไม่มีเงินสั่งซื้อของแพงขนาดนี้แน่ๆ”

                “คุณชายจ่ายให้หมดแล้วครับ เค้าฝากมาขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เสื้อคุณหนูเลอะ แล้วก็ฝากจดหมายฉบับนี้มาให้ด้วย” คราวนี้ชายแก่ดึงกระดาษแผ่นเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วนำมายื่นให้กับอี้ชิงด้วยมือของตัวเอง

                อี้ชิงสบตากับลู่หานซึ่งฝ่ายนั้นก็ยักไหล่อย่างนึกไม่ออกเช่นกันว่าคนที่ส่งของมาให้นั้นควรจะเป็นใคร มองจดหมายน้อยในมือชายแปลกหน้าแล้วก็ตัดสินใจรับมันมาเปิดออกอ่าน ถ้าส่งมาผิดคนก็คงจะได้รู้กันคราวนี้

     

    ใส่ซะ จะได้ไม่เป็นภาระต่อสายตาคนมอง

    ปล. หวังว่าฉันคงกะไซส์นายถูก

     

                อี้ชิงได้อ่านแล้วก็ขมวดคิ้วฉับ ราวกับได้ยินน้ำเสียงยียวนของใครบางคนลอยมาเข้าหูเลยทีเดียว

                “คุณลุงครับ คุณชายของคุณลุงเค้าชื่ออะไร?”

                “คุณชายอี้ฟานแห่งตระกูลอู๋ครับ”

                “อี้ฟาน?” หันไปสบตากับลู่หานอีกครั้งแล้วต่างฝ่ายต่างก็ถามขึ้นมาพร้อมกัน “ใครวะ?”

                “คุณชายเพิ่งมาจากต่างประเทศ มาเรียนที่นี่ได้สองอาทิตย์เท่านั้นเอง” บอกแบบนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่กำลังฮอตในหมู่สาวๆ ตอนนี้

                “หรือว่าหมอนั่นจะเป็น... คริส?” ชายแก่หัวเราะเบาๆ

                “ใช่แล้วล่ะครับ”

                “โป๊ะเช๊ะเลย! งั้นก็ของนายแน่ๆ ลู่หานปรบมือเสียลั่นพลางหัวเราะราวกับเป็นเรื่องสนุก ในขณะที่อี้ชิงยังยืนอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนขี้เก๊กนั่นจะซื้อเสื้อตัวใหม่ให้เค้าจริงๆ มองเสื้อราคาแพงแล้วก็นึกถึงสายตากวนประสาทของคนที่ถูกพูดถึง

     

                อย่าบอกนะว่าที่จ้องเอาๆ ในห้องน้ำตอนนั้นเพราะจะกะไซส์เสื้อน่ะ?

               

                “ใจป้ำชะมัด ทำเสื้อเลอะก็ซื้อให้ใหม่ ส่งตรงถึงมือแถมเป็นของแบรนด์เนมอีกต่างหาก เอายังไงดีล่ะจางอี้ชิง?” ลู่หานเข้ามากระเซ้าอยู่ใกล้ๆ ก็เลยโดนศอกถองเข้าให้ไปทีนึงจนต้องถอยไปยืนห่างๆ แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงหัวเราะมาให้อี้ชิงรำคาญใจ

                เขาออกจากแคนทีนมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หมอนั่นก็ให้คนเอาเสื้อมาส่งให้ถึงมือแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ท่าทางจะถูกเลี้ยงมาแบบตามใจเหมือนลูกคนรวยทั่วไป ถึงได้เอาแต่ใจตัวนัก เสื้อผ้าราคาแพงขนาดนี้ ให้ทำงานพิเศษทั้งเดือนอี้ชิงก็ไม่มีปัญญาซื้อใส่เองหรอก

                แต่ถ้าคิดว่าคนธรรมดาอย่างเขาจะต้องปฏิเสธของที่มีราคาแพงเกินตัวอย่างมีศักดิ์ศรีแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าคิดผิด เขาไม่ใช่คนเห็นแก่ได้ แต่ในเมื่อหมอนั่นทำให้เขาเสียเสื้อไปหนึ่งตัว ก็สมควรอยู่แล้วที่ต้องชดใช้

                อี้ชิงรับเสื้อมาถือไว้ในมือพลางค้อมศีรษะให้คนทั้งคู่แทนคำขอบคุณที่อุตส่าห์เป็นธุระเอาเสื้อมาส่งให้

     

                “ในเมื่ออยากไถ่โทษ ฉันจะรับไว้ก็แล้วกันนะ”

     

     

     

     

                บ่ายสองโมงนิดๆ แล้วตอนที่อี้ชิงกับลู่หานเดินออกมาจากห้องชมรมด้วยกัน โชคดีของลู่หานที่อี้ชิงได้เสื้อตัวใหม่ เขาก็เลยได้เสื้อฮู้ดกันหนาวคืน ให้เดินตากแดดเปรี้ยงยามบ่ายโดยที่สวมแค่เสื้อเชิ๊ตตัวเดียวคงไม่ไหว ที่จริงแล้วช่วงนี้ก็ไม่ใช่หน้าหนาว แต่ที่ลู่หานมักจะใส่เสื้อแขนยาวปิดไว้ตลอดเพราะเขากลัวแดดแรงๆ จะเผาผิวเอา ต่างกับอี้ชิงที่ขี้ร้อนเป็นที่สุด นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องใส่ชุดนักศึกษาแล้วล่ะก็ คนตัวขาวคงได้ใส่เสื้อกล้ามมาเรียนทุกวันเป็นแน่

                “เสื้อใหม่เป็นยังไง ใส่สบายมั้ยล่ะ?”

                “ก็ดีนะ แต่หลวมนิดหน่อย” อี้ชิงว่าพลางดึงไหล่เสื้อให้สูงขึ้นมาอีกหน่อย แต่ลู่หานดูแล้วไม่น่าจะใช่เพราะเสื้อมันหลวมหรอก คงเพราะแขนเสื้อที่ยาวกว่าที่อี้ชิงเคยใส่นั่นทำให้เจ้าตัวรำคาญมากกว่า

                “ไซส์ฝรั่งไง แบรนด์นอกก็เงี้ย” มองเพื่อนที่ยักไหล่พลางเบะปากเหมือนจำใจต้องใส่เสื้อนอกแล้วก็อดจะหรี่ตาด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ “น่าอิจฉาออก อยู่ดีๆ ก็มีเสื้อใหม่ๆ แพงๆ ใส่”

                “อยากได้บ้างมั้ยล่ะ ฉันจะได้ไปบอกจงแดว่าให้นายรับงานไปสัมภาษณ์หมอนั่นแทน”

                “หึ ไม่เอาด้วยหรอก ฉันไม่ถนัดงานตามติดคนหล่อ”

                “แต่ถ้าเป็นสาวๆ ล่ะก็ไม่เกี่ยงสินะ นี่ถามจริงๆ เหอะ นายไปปิ๊งรุ่นน้องในคณะเข้าใช่มั้ย ถึงได้หายตัวบ่อยนักน่ะ” อาการกรอกตาแล้วงับปากนั่นบอกให้รู้ว่าเพื่อนกำลังมีความลับ อี้ชิงถึงกับหยุดเดินแล้วตั้งท่าจะซักไซ้จริงจัง แต่คนกะล่อนอย่างลู่หานไหวตัวทันก่อน ค่อยก้าวถอยหลังออกไปช้าๆ

                “เอ้อ ต้องรีบไปแล้วล่ะ เย็นนี้นายไม่ต้องรอนะ กลับหอไปก่อนได้เลย”

                “เฮ้ย เดี๋ยวดิ”

                “ไว้เจอกันที่หอนะ”

                “เสี่ยวลู่!” อี้ชิงกระทืบเท้าปังเมื่อเพื่อนรักโบกมือแล้วหันหลังวิ่งตัดสนามฟุตบอลไปแบบไม่ฟังเสียงเขา ดูเอาเถอะ คบกันมาตั้งกี่ปี มีอะไรถึงบอกกันไม่ได้ ต้องแอบไปมีแฟนแน่ๆ อี้ชิงบุ้ยปากอย่างเคืองๆ หมายมั่นในใจว่ากลับถึงหอเมื่อไหร่จะต้องคาดคั้นให้ได้

                ย่นจมูกใส่แล้วหันควับกลับมาที่ทางเดิน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอกำแพงตัวโตขวางอยู่ตรงหน้า

                “โอ๊ะ!” ยังไม่ได้ชนแต่ก็เกือบ ปลายจมูกนี่เหมือนจะเฉี่ยวโดนอะไรซักอย่างไปแล้วด้วย

                “เดินระวังหน่อยสิ” อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ตำหนิแล้วก็ต้องรีบดีดตัวเองออกจนห่าง ชี้นิ้วใส่หน้าคนที่ยืนมองเขาด้วยสีหน้ารำคาญเต็มที

                “น.. นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

                “นี่มันทางเดิน ฉันก็เดินมาเรื่อยๆ” คนตัวสูงเมินมองเขาแล้วออกเดินต่อ กิริยาเอามือล้วงกระเป๋ากับการก้าวเดินอย่างช้าๆ นั้นดูขี้เก๊กเสียจนคนมองต้องแอบเบะปาก แต่พอนึกถึงว่าเขาได้เสื้อใหม่มาเป็นของไถ่โทษแล้วอี้ชิงก็ทำเป็นลืมๆ ความหมั่นไส้นั้นไปเสีย เร่งฝีเท้าขึ้นไปเดินข้างๆ แล้วชวนคุยอย่างเป็นมิตร

                “ขอบใจนะ เรื่องเสื้อเนี่ย” พยายามยืดตัวขึ้นให้อีกฝ่ายเห็นว่าใส่ได้พอดีอย่างที่กะให้ แต่คนตัวสูงปรายตามามองแล้วก็เฉลยพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

                “เสื้อนี่พ่อบ้านฉันซื้อมาผิดไซส์ เก็บไว้ที่บ้านนานแล้ว ถึงไม่ให้นายก็ต้องทิ้งอยู่ดี” ที่แท้ก็ของเหลือใช้แล้วสินะ เออ พูดได้ตรงดีแท้ จะโกหกเอาความดีเข้าตัวเสียหน่อยก็ไม่ได้ อุตส่าห์จะคิดแง่ดีว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบแล้วเชียวนะ แต่ที่ไหนได้ อี้ชิงแอบแยกเขี้ยวใส่พลางชูกำปั้นแต่อีกฝ่ายไม่เห็น แต่เอาเถอะ ถึงยังไงเค้าก็ได้เสื้อใหม่อยู่ดี คิดแล้วก็พยายามข่มอารมณ์โกรธไว้แล้วฉีกยิ้มกลบเกลื่อน           

                “นายเป็นคนจีนเหรอ มีชื่อจีนด้วยอ่ะ” คนถูกถามพยักหน้าเนือยๆ “จริงดิ? ฉันก็เป็นคนจีนนะ ฉันมาจากฉางซา แล้วนายล่ะ? เออลืมไป นายมาจากแคนาดานี่นะ แล้วนายเป็นคนจีนแท้ๆ หรือว่าเป็นลูกครึ่ง?”

                “นี่เขียวหวาน”

                “ห๊ะ?”

                “ที่ถามนี่เพราะอยากรู้จริงๆ หรือจะเอาไปลงเป็นบทสัมภาษณ์?”

                “เฮ้ย นายรู้ด้วยเหรอ?”

                “ก็เสียงดังออกขนาดนั้น คิดว่าอยู่กันสองคนรึไง” สายตาที่ปรายมามองนั้นดูระอาเต็มที ยังจะส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนจะแอบกัดเขาในใจว่าเรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ยังไม่รู้ อี้ชิงอุตส่าห์ตีเนียนทำเป็นชวนคุย เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ ไปเอาหน้ากับจงแดได้บ้าง หมอนี่ดันรู้ทันซะได้

                “แหม ก็ส่วนนึง แต่ได้เจอคนที่พูดภาษาเดียวกันฉันก็ดีใจนะ แต่นายพูดภาษาเกาหลีคล่องจัง อย่างกับอยู่ที่นี่มาหลายปีแน่ะ ไม่ได้เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกใช่ป่ะ?”

                “อยากรู้?”

                “อื้อ” อี้ชิงพยักหน้ารัวๆ ในขณะที่อีกฝ่ายกระตุกยิ้มมุมปาก กระดิกนิ้วพลางโน้มใบหน้าลงหา คนที่ตัวเล็กกว่าก็เข้าใจได้ว่าให้เอียงหูเข้าไปใกล้ๆ

     

                “ไม่ บอก หรอก”

     

                “.....!” แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่คิดว่าจะได้ยิน คนฟังยังยืนเหวอในขณะที่คนพูดเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะแล้ว กว่าอี้ชิงจะรู้ตัวว่าต้องโกรธ คนตัวสูงกว่าก็เดินไปไกลเกินกว่ากำปั้นจะตามไปตะบันถึง

                “ไอ้...! ฮึ่ย!” ได้แต่กระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ อุตส่าห์คุยด้วยดีๆ กลับมายียวนให้ต้องโมโห ท่าทางจะญาติดีกันยากซะแล้ว

     

     

                “อย่าให้ถึงคราวฉันบ้างก็แล้วกัน!”

     

     

    .

     

    ต่อให้ไม่อยากเห็นหน้ายังไง เย็นวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว อี้ชิงก็ต้องมานั่งแกร่วเฝ้าพ่อคนดังที่สนามบาสฯ อยู่ดี แต่คราวนี้ไม่ใช่เอาแต่รัวชัตเตอร์กล้องเก็บภาพอย่างเดียว ในหัวยังต้องคิดหาวิธีทำให้หมอนั่นคุยด้วยดีๆ ให้ได้ น่าเสียดาย เขามีโอกาสเข้าถึงตัวคนดังถึงสามครั้งในวันเดียวแบบไม่ต้องฝ่าฟันบรรดาสาวๆ แฟนคลับ แต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลย ต้องทำยังไงรุ่นพี่นักเรียนนอกถึงจะยอมให้ความร่วมมือนะ

    คิดไปพลาง นิ้วก็กดชัตเตอร์ถ่ายภาพไปพลาง ถ่ายได้แต่ภาพเดิมๆ คนเดิมๆ ไม่ว่าจะยืน เดิน หรือวิ่ง ที่ผ่านมาเขาได้ภาพคนหล่อเพียงมุมด้านข้างแบบแคนดิท แต่กระนั้นทุกครั้งที่จงแดอัพโหลดรูปภาพเหล่านี้ลงในเวบเพจ ยอดกดไลค์ก็ไม่เคยลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวันพร้อมคอมเม้นท์ขอให้อัพโหลดอีกเยอะๆ ด้วยซ้ำ ไม่เบื่อกันบ้างหรือไงนะ การเฝ้ามองคนที่เขาไม่เคยแม้แต่จะปรายตามามองเราเลยน่ะ มันน่าเบื่อจะตาย

    เหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันนั้นทำให้เขาได้มองสบกับดวงตาคมคู่นั้นตรงๆ เป็นครั้งแรก ขณะที่อี้ชิงกำลังนึกถึงประกายวาววับในดวงตาคู่นั้น พลันชั่ววินาทีที่กดนิ้วบนปุ่มชัตเตอร์ ดวงตาคู่เดียวกันนั้นก็หันมามองสบกับเขาอีกครั้งผ่านเล่นกล้อง

    “เฮ้ย” อี้ชิงตกใจจนต้องดึงกล้องออก มองด้วยตาเปล่าอีกครั้งถึงได้แน่ใจว่าคนในสนามกำลังมองมาที่เขาจริงๆ แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วินาที ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะรับลูกบาสฯที่เพื่อนร่วมทีมส่งให้แล้วออกวิ่งต่อ เขายกกล้องขึ้นเล็งอีกครั้ง คราวนี้ปรับโฟกัสที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นชัดๆ หลังจากที่เลี้ยงลูกไปใต้แป้นและชู้ตลงห่วงได้อย่างสวยงามแล้ว รุ่นพี่ก็หันมามองที่เขาอีกครั้ง แต่คราวนี้อี้ชิงไม่ขวัญอ่อนอย่างครั้งที่แล้วก็เลยกดชัตเตอร์เก็บภาพไว้รัวๆ ก่อนจะเปิดโหมดพรีวิวเพื่อเช็ครูป กว่าสิบรูปที่ถ่ายมาได้นั้นล้วนเป็นภาพที่รุ่นพี่คนดังมองกล้องตรงๆ ทั้งสิ้น

    หลังจากนั้นอี้ชิงก็ยังได้ภาพหน้าตรงของคนดังอีกหลายสิบภาพ นายแบบให้ความร่วมมือดีแบบนี้ คนถ่ายก็ถ่ายเพลินกระทั่งลืมเวลาไปเลย รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเกมในสนามจบแล้ว พอออกจากสนามปุ๊บ คนดังก็ถูกรุมล้อมด้วยสาวๆ ปั๊บ แต่คราวนี้อี้ชิงไม่ได้ลงไปไฟว้เพื่อแย่งพื้นที่ด้วย ปล่อยให้คนหล่อถูกรุมไป ส่วนเขาก็เปิดโหมดพรีวิวในกล้องเพื่อเช็คภาพที่ถ่ายได้วันนี้ และก็เหมือนจะเลือกได้ยากกว่าทุกวัน เพราะแต่ละรูปที่รุ่นพี่มองมาที่กล้องนั้นล้วนแล้วแต่ดูดี จงแดต้องดีใจแน่ๆ ที่เขาได้รูปมุมใหม่ๆ ไปให้อัพลงเวบเพจ พรุ่งนี้เช้าเอารูปพวกนี้ไปแก้หน้าระหว่างที่ยังไม่ได้บทสัมภาษณ์ท่าจะดี ...ว่าแต่ ทำไมหมอนี่ถึงมองมาที่กล้องบ่อยจัง

    “วันนี้ดูแปลกๆ แฮะ”

    “อะไรแปลก?”

    “เฮ้ย” จู่ๆ คนในรูปก็โผล่มายืนอยู่ข้างๆ เล่นเอาอี้ชิงตกใจจนแทบตกเก้าอี้ทีเดียว ก็เมื่อกี้ยังเห็นถูกสาวๆ รุมล้อมอยู่เลยนี่นา หันกลับไปมองในสนามอีกทีก็ไม่มีใครอยู่แล้ว แล้วหมอนี่... “มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

    “นายนี่ความรู้สึกช้าตลอด” คนตัวสูงส่ายหน้าระอา ยืดแขนข้ามตัวเขาไปโยนกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ข้างๆ จนอี้ชิงต้องเอียงตัวหลบ แล้วไหล่ก็ชนเข้ากับอกหนาๆ เมื่อเจ้าตัวนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัว กลายเป็นว่าคนกับกระเป๋าอยู่คนละทางโดยมีเขานั่งคั่นกลางไว้ อี้ชิงกำลังงงๆ หันซ้ายหันขวาก็ถูกแย่งกล้องไปจากมืออย่างถือวิสาสะ “ไหนเอามาดูซิ”

    ได้แต่จิ๊จ๊ะแต่ก็ไม่คิดจะแย่งคืน ในกล้องนั่นไม่มีความลับอะไร มีแต่รูปเจ้าตัวเค้าทั้งนั้น เห็นอีกฝ่ายเปิดโหมดพรีวิวรูปดู อี้ชิงก็ชะเง้อคอมองผลงานตัวเองบ้าง

    “ก็หล่อดีนี่” คอมเม้นท์จากนายแบบทำเอาตากล้องต้องเบะปาก ตวัดตามองคนมั่นหน้าด้วยความหมั่นไส้

    “รู้อะไรมั้ย ผู้ชายที่หลงตัวเองมากๆ เนี่ย เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์จะเป็นเกย์นะ” คนหล่อยักไหล่ไม่ยี่หระ ปล่อยให้เจ้าของแย่งกล้องคืนโดยไม่ยื้อไว้

    อี้ชิงเก็บกล้องลงกระเป๋าเสร็จแล้วก็หันกลับมา คริสยังนั่งอยู่ที่เดิมข้างๆ เขา คนตัวสูงยังสวมเสื้อยืดที่ใส่ตอนเล่นบาสฯ ส่วนเสื้อกล้ามที่เป็นเสื้อกีฬาก็พาดอยู่บนบ่าเช่นเดียวกับผ้าขนหนูผืนเล็ก ใบหน้าด้านข้างและไรผมยังมีหยดน้ำเกาะพราว คงไปล้างหน้าล้างตามาแล้ว เมื่อครู่เขาเห็นมีสาวๆ ยื่นน้ำหวานมาให้ แต่ไม่เห็นคริสถือติดมือมาด้วยเลย เล่นกีฬามาเหนื่อยๆ ได้ดื่มน้ำหรือยังก็ไม่รู้

    “หิวน้ำมั้ย ฉันมีนะ” ขวดน้ำที่อี้ชิงมักจะพกติดตัวไว้ตลอด เขาเป็นพวกขี้ร้อนก็เลยหิวน้ำบ่อย นี่ก็ทำใจดียื่นมันไปตรงหน้าคนตัวสูง ฝ่ายนั้นปรายตามามองขวดน้ำแล้วก็มองเขา เดาได้เลยว่าคงนึกรังเกียจ ก็เพราะน้ำในขวดนี่แหละที่เขาพ่นใส่หน้าตอนที่เจอกันข้างสนามฟุตบอล เห็นว่าอีกฝ่ายไม่รับไปซักที อี้ชิงก็เลยชักมือคืน แต่ตอนนั้นเองที่มือใหญ่กว่ายื่นมาแย่งขวดน้ำไป เปิดฝาออกแล้วยกขื้นดื่มอึกแล้วอึกเล่ากระทั่งหมดขวดในที่สุด ก่อนจะส่งขวดเปล่าคืนให้เจ้าของ

    “ขอบใจ” อี้ชิงยิ้มรับพลางพยักหน้า แต่ในใจน่ะคำรามฮึ่มๆ ไม่คิดจะเหลือให้ฉันบ้างเลยรึไงนะ! แต่เอาเถอะ เห็นแก่ความดีที่วันนี้ให้ความร่วมมือ อุตส่าห์หันมามองกล้องทำให้เขาได้รูปดีๆ ไปอวดจงแด อภัยให้ก็ได้

    “ว่าแต่ รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ตรงนี้”

    “นายเล่นตั้งกล้องส่องฉันทุกวัน ไม่รู้ตัวก็บ้าล่ะ” โอ้ววว รู้ตัวด้วยแฮะ ขนาดว่าเขาเลือกนั่งบนอัฒจรรย์เพื่อที่จะได้ถ่ายภาพจากมุมสูงๆ แล้วเชียวนะ

    “แล้ว... นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ชมรมอะไร ทำไมส่งคนไปถูก” คราวนี้คนตัวสูงหัวเราะเหอะ

    “สะพายกล้องติดคอขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่พวกอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นก็คงเป็นสโตรกเกอร์ หรือนายจะเป็นอย่างหลังล่ะ?” อี้ชิงสั่นหัวดิกพลางเบ้ปาก เขาไม่ได้พิศวาสเพศเดียวกันขนาดนั้น ต่อให้หล่อมากแค่ไหนก็เถอะ

     

    ว่าแต่นี่กำลังจะด่าว่าเขาเป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านสินะ ปากคอเราะร้ายจริงเชียว จะฟ้องคิมจงแด คอยดู!

     

    แต่ตอนนี้ต้องตะล่อมเอาไว้ก่อน ยังไงเขาก็ต้องทำงานให้เสร็จ เสร็จแล้วจะได้แยกย้ายกันไปบ้านใครบ้านมัน อย่าได้เจอกันอีกเลยชาตินี้อ่ะ!

     

    “เออนี่ แล้ว...”

    “หมดเวลา”

    “ห๊ะ?” คริสลุกขึ้นยืนแล้วบิดตัวเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเอื้อมมือข้ามคนที่นั่งทำหน้างงอยู่ไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่

    “วันนี้ฉันอารมณ์ดีก็เลยมานั่งให้นายสัมภาษณ์ แต่นายดันถามแต่เรื่องไร้สาระ”

    “ว.. ว่าไงนะ?”

    “กลับบ้านดีกว่า”

    “เฮ้ยเดี๋ยวดิ ฉันยังไม่ได้...”

    “อ้อ นี่” พออี้ชิงจะลุกขึ้นตามก็ถูกหยุดด้วยของบางอย่างซึ่งถูกโยนปุ้ลงมาบนตัก หยิบขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าเป็นอะไร

    “ขนมปัง?”

    “กินซะ เมื่อกลางวันไม่ได้กินข้าวไม่ใช่รึไง” มองหน้าคนให้แล้วก็มองขนมปังในมือตัวเองอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตอนนั้นเขาออกมาจากแคนทีนด้วยความหงุดหงิดจนลืมหิว ทั้งที่ยังไม่ได้กินข้าวซักคำ หมอนั่นสนใจด้วยเหรอ

    แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงอีกครั้ง ฝ่ายนั้นกลับแค่นยิ้มให้

    “ไม่ต้องทำหน้าซึ้งขนาดนั้น ฉันไม่ได้ซื้อเอง เมื่อกี้มีคนให้มาแต่ฉันไม่ชอบกินของคนแปลกหน้า แต่ท่าทางนายคงไม่เรื่องมากเท่าไหร่ จริงมั้ย?” ทิ้งรอยยิ้มเยาะที่อี้ชิงเกลียดนักหนาเอาไว้ก่อนจะเดินจากไป คนที่ถือขนมปังเอาไว้ก็ค่อยๆ กำสองมือจนแน่น คำรามเสียงได้แค่ในคอ นี่ถ้ากรี๊ดเป็นคงกรี๊ดไปแล้ว อุตส่าห์ทำดีพูดดีด้วย ไม่สำนึกบ้างเลยรึไงนะ นี่ยังจะเอาของเหลือมาให้อีก จะว่าเขากินไม่เลือกใช่มั้ย?

     

    ไอ้คนนิสัยเสีย! เสร็จงานเมื่อไหร่ อย่าหวังว่าฉันจะญาติดีกับนายอีกเลย!

     

     

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

     

     

    คนรอง: ว้าวๆๆ ตอนที่สองนี่สถิติดีใช้ได้เลยแฮะ ><

    เขียนให้เค้าทะเลาะกันนี่ชอบจัง

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×