คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : เขียวหวานน่ารัก ~ 15 ~
[Fic] เขียวหวานน่ารัก~♡
ตอนที่ 15
Fiction by 2nd Admin
.
.
.
“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับวันนี้?”
“ไก่ทอดชุดใหญ่ครับ แล้วก็...”
“โอ๊ะ”
เพราะเสียงทุ้มติดจะอ้อนนั้นฟังคุ้นหูเหมือนได้ยินทางโทรศัพท์ก่อนนอนอยู่ทุกคืน
ใบหน้าจริงจังผิดวิสัยที่จดจ่ออยู่กับเมนูและเครื่องคิดเงินถึงได้เงยขึ้น
เพียงแค่เห็นรอยยิ้มสว่างไสวของลูกค้าตรงหน้าก็ทำเอาลู่หานยิ้มกว้าง “น้องฮุน~ มาได้ยังไงเนี่ย?”
รุ่นน้องตัวสูงยักไหล่
เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวหลวมปลดกระดุมเม็ดบนนั้นทำให้ร่างสูงโปร่งดูเป็นผู้ใหญ่ผิดจากเครื่องแบบนักศึกษาที่ลู่หานเห็นทุกวัน
โอเซฮุนล้วงสองมือลงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ
“ผมเห็นคนบ่นในไอจีว่าวันนี้ต้องมาทำงานพิเศษแทนเพื่อน
เดาจากเครื่องแบบแล้วคงเป็นที่นี่”
ลู่หานยืดอกแล้วชี้นิ้วโป้งไปที่สัญลักษณ์ของร้านซึ่งอยู่บนกระเป๋าเสื้อ
ท่าเดียวกับที่เขาถ่ายเซลฟี่ครึ่งตัวแบบไม่โชว์หน้าแล้วโพสต์ลงอินสตาแกรมเมื่อสองชั่วโมงก่อน
ที่จริงก็แค่หวังผลให้ใครบางคนแปลกใจเล่น
จะได้มีเรื่องไว้คุยกันคืนนี้เท่านั้นแหละ ไม่คิดว่ารุ่นน้องจะน่ารักถึงขนาดอุตส่าห์มาหากันที่ร้าน
คิดถูกแล้วจริงๆ ที่เปลี่ยนแผน จากตอนแรกที่กะจะทำตัวเป็นปาปารัซซี่แอบสะกดรอยตามคู่รักคนดังไปเดทกัน
แต่เกรงว่าถ้าเบี้ยวงานอาจจะทำให้เพื่อนรักโดนตำหนิได้ เลยเลือกที่จะทำตามที่รับปากไว้ดีกว่า
และนี่ก็คงเป็นรางวัลของที่รักษาคำพูดสินะ
“อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
“อย่าเลยครับ ที่มากันวันนี้กินจุทั้งนั้น”
“มากับเพื่อนเหรอ?”
“ครับ มากันห้าหกคน
นัดกันมาติวหนังสือ ตอนแรกก็ว่าจะไปที่มหา’ลัย
แต่ผมว่ามาที่นี่ดีกว่า”
“อ่า ต้องติวหนังสือกับเพื่อนสินะ”
รุ่นพี่พยักหน้าน้อยๆ รอยยิ้มยังไม่จางแต่ก็เจือความผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง
เขาอุตส่าห์ดีใจนึกว่าน้องตั้งใจมาหา ที่แท้ก็มากับเพื่อน เซฮุนคงเห็นเขาเงียบไปถึงได้เอียงคอน้อยๆ
“ไม่ดีหรือครับ?
ถ้าแวะมาหาอะไรกินอย่างเดียว อย่างมากก็คงอยู่ได้แค่สองสามชั่วโมง
แต่ถ้าติวหนังสือกับเพื่อนก็จะอยู่ได้นานหน่อย อาจจะซักสี่โมงเย็น
ผมยังจำได้นะครับว่าพี่ลู่ติดมื้อใหญ่ฉลองคัดตัวผ่านทีมเชียร์ให้ผมอยู่”
รุ่นน้องบอกแล้วยิ้มตายิบหยี ประกายตาระยับในดวงตาคู่เรียวนั้นทำเอาลู่หานอดจะยิ้มด้วยความเอ็นดูในความช่างคิดไม่ได้
จริงสินะ เขาลืมคิด มีน้องมานั่งในร้านให้เขามองนานๆ ก็ดีออก
น้องติวเสร็จเขาก็คงเลิกงานพอดี
“ได้เลย!”
เปิดโอกาสให้ขนาดนี้ มีหรือลู่หานจะไม่รีบคว้า คิดจะจีบคนน่ารักก็ต้องทุ่มกันหน่อยล่ะ
“งั้นพี่เลี้ยงคอมโบ้เซ็ตใหญ่เพื่อนน้องฮุนแล้วกัน ส่วนเราสองคน ไว้ค่อยไปฉลองด้วยกันเย็นนี้เนอะ”
“ขอบคุณครับ”
จัดชุดอาหารใส่ถาดจนเรียบร้อยแล้วลู่หานก็มองตามเจ้าของร่างสูงโปร่งซึ่งอุ้มถาดเดียวกันนั้นเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนที่โต๊ะ
รุ่นน้องห้าหกคนเห็นเขามองไปก็ค้อมศีรษะให้แล้วส่งเสียงทักทายกันเซ็งแซ่
ลู่หานยิ้มรับ ทว่าดวงตากลมหวานยังไม่ยอมละจากดวงหน้าหล่อใสของรุ่นน้องที่หมายปองอยู่เลย
เปิดเผยเสียจนแม้แต่พี่สาวที่เค้าท์เตอร์ข้างๆ ยังแอบเห็น
และอดจะกระแซะด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้
“อะไรเนี่ย ไม่เจอกันพักเดียว ลู่หานสุดหล่อมีแฟนซะแล้ว”
เด็กหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ
“ยังไม่ใช่หรอกฮะ”
“อย่ามาปฏิเสธ พี่เห็นนะ
มองน้องเค้าตาเยิ้มเชียว” ไม่ให้ปฏิเสธก็ยิ้มรับอย่างหน้าไม่อาย
แก้มใสเริ่มจะแดงจนหญิงสาวนึกมันเขี้ยว ยื่นมือมาแกล้งบีบเล่นแรงๆ “หนุ่มๆ
นี่น่าอิจฉากันจังน้า ลู่หานมีรุ่นน้องมาหา วันก่อนอี้ชิงก็มีหนุ่มหล่อมานั่งเฝ้า”
“อี้ชิงเหรอฮะ?”
“จ้ะ รายนั้นน่ะ ทำเอาลูกค้าแน่นร้านจนพี่รับออเดอร์แทบไม่ทัน
ก็เล่นให้หนุ่มฮอตมานั่งรอตั้งแต่บ่ายจนเย็น สาวๆ นี่จ้องกันตาเป็นมัน”
“ใช่คนที่ตัวสูงๆ หล่อๆ
หน้าตาลูกครึ่ง?”
“นั่นแหละจ้ะ คนนั้นเลย เจ้าตัวยังปากแข็งอีกนะว่าแค่คนรู้จัก
ถ้าแค่รู้จักกันจะมานั่งเฝ้าทำไมตั้งครึ่งค่อนวัน นี่ถ้าไม่ติดว่าของน้องพี่จีบไปแล้วนะ
หล่อแซ่บขนาดนั้น”
ลู่หานพยักหน้าตาลุกวาว
นี่ข่าวใหม่เลยนะ จงแดก็น่าจะยังไม่รู้
เขาทั้งคู่รู้แค่ว่าสองคนนั้นมีนัดสัมภาษณ์กันเมื่ออาทิตย์ก่อน
แต่เพื่อนไม่ได้บอกว่ารุ่นพี่สุดหล่อถึงกับมานั่งเฝ้า
ไม่ใช่แค่เพราะมีเวลาว่างแน่ๆ มันน่าคิดมั้ยล่ะ คนดังอย่างรุ่นพี่มีอะไรให้ทำตั้งเยอะ
จะมาเสียเวลานั่งรอใครซักคนอยู่ทำไมตั้งหลายชั่วโมง นึกถึงเรื่องรักหลอกๆ
ที่เขาพยายามเชียร์ให้ได้รักกันจริงๆ อยู่ ใบหน้าน่ารักก็คลี่ยิ้มสนุก
งานนี้มีลุ้นแน่ๆ!
.
.
.
เที่ยงกว่าแล้ว พอให้เลือกเองอี้ชิงก็คิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี
เดินวนในห้างฯเพื่อเลือกร้านอาหารอยู่นานจนสุดท้ายคริสต้องเลือกให้ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขานั่งอยู่ตอนนี้นี่แหละ
เมื่อกี้คนที่พามาก็เปิดเมนูสั่งคนเดียวไปเสียหลายอย่างเลย แพงๆ ทั้งนั้น อี้ชิงเลยไม่กล้าสั่งเพิ่ม
แค่จานเดียวก็ราคาเกือบเท่าค่าแรงหนึ่งวันของเขาแล้วมั้ง
แต่ยังไงทั้งหมดนั่นก็คงไม่ทำให้เงินในกระเป๋าคนรวยยุบลงซักเท่าไหร่หรอก
คริสเอาแต่สนใจโทรศัพท์เครื่องใหม่ตั้งแต่สั่งอาหารเสร็จ
นิ้วเรียวสไลด์หน้าจอและจิ้มปุ่มนั่นนี่อย่างคล่องแคล่ว
ปล่อยให้คนที่ไม่ชอบใช้ของแพงนั่งมองแล้วเบะปากในความขี้เห่อ ก่อนจะเบนสายตาไปสนใจของตกแต่งสวยๆ
แปลกๆ ในร้านแทน ปล่อยบรรยากาศให้เงียบได้ไม่นานคริสก็ทำลายมันโดยการเลื่อนโทรศัพท์มาตรงหน้าอี้ชิง
“อ่ะนี่”
“อะไร?”
“ลองใช้ดูสิ” มองโทรศัพท์รุ่นล่าหน้าจอเอี่ยมอ่องที่อยู่บนโต๊ะแล้วคนตัวเล็กสั่นหัวดิก
จู่ๆ ก็จะเอาของแพงมาให้เล่นเสียอย่างนั้น
“ไม่เอาอ่ะ กลัวพัง”
“แค่จิ้มๆ ไม่พังหรอกน่า” ให้พูดยังไงอี้ชิงก็ส่ายหน้าไม่เอาด้วยอยู่ดี
คนตัวสูงมองสีหน้าระแวงปนขยาดแล้วก็จิ๊ปาก ทิ้งเก้าอี้แล้วลุกขึ้นย้ายฝั่งที่นั่งตัวเองมาข้างๆ
จนอี้ชิงเขยิบหนีเพิ่มระยะห่างแทบไม่ทัน
นิ้วยาวสไลด์เปิดหน้าจอแล้วป้อนรหัสผ่านให้อี้ชิงเห็นซ้ำยังสั่งให้จำ
ถามกันซักคำว่ามั้ยอยากรู้หรือเปล่า
“ฉันสอนให้ นี่สมุดโทรศัพท์นะ
เบอร์แรกเป็นเบอร์ฉัน นายจะเพิ่มใครเข้าไปก็ได้ แต่ชื่อแรกต้องเป็นฉัน แล้วก็นี่
โปรแกรมไลน์ ฉันตั้งค่าให้ซิงค์กับเบอร์โทรศัพท์
รายชื่อในเบอร์โทรก็จะเพิ่มเข้ามาในลิสต์ติดต่อเองอัตโนมัติ นี่ไลน์ฉัน”
“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมฉันต้อง...?”
“แล้วก็ นายชอบถ่ายรูป
นี่อินสตาแกรม ฉันสร้างแอคเค้าท์ให้แล้ว ไอดีเป็นชื่อนาย
พาสเวิร์ดเป็นชื่อกับวันเกิดฉัน”
“ห.. ห๊ะ?”
“เคดับเบิลยูเก้าศูนย์หนึ่งหนึ่งศูนย์หก
เวลาจะฟอลโล่วใครก็เซริจหาไอดีแบบนี้ นี่ของฉัน แล้วก็กดฟอลโล่วตรงนี้”
“เดี๋ยวสิ ฉันไม่...”
“มองหน้าจอสิ
อย่าเอาแต่มองหน้าฉัน” อี้ชิงมุ่ยหน้าทั้งที่ยังงงๆ นั่นแหละ
ใจคอไม่คิดจะฟังกันบ้างเลยหรือไง เอาแต่พูดอยู่คนเดียว อี้ชิงไม่เห็นเข้าใจอะไรซักอย่าง
จู่ๆ ก็มาสอนโน่นนี่แล้วยังบอกให้มองหน้าจอทั้งที่ตัวเองก็ยกโทรศัพท์ขึ้นสูง
แบบนี้แล้วจะไปมองเห็นได้ยัง...
แชะ!
“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ?”
ถึงจะใช้สมาร์ทโฟนไม่ค่อยเป็น แต่เมื่อกี้นี้ที่ได้ยินคือเสียงชัตเตอร์กล้องไม่ผิดแน่
รูปบนหน้าจอที่เห็นแว้บๆ นั่นก็เขา หมอนี่แอบถ่ายคนอื่นตอนเผลอได้ยังไงกัน!
“แล้วก็โพสต์”
“เดี๋ยวก่อนสิ!”
คริสดึงมือหลบในทันที่ที่มือเล็กตะกายแย่ง นิ้วเรียวยังสไลด์และจิ้มปุ่มคำสั่งบนหน้าจออย่างคล่องแคล่ว
เสียงแง้วๆ ข้างหูก็ดีแต่ทำให้มุมปากได้รูปนั้นกดลงเป็นรอยยิ้ม กระทั่งเสร็จสิ้นสิ่งที่ต้องทำแล้วนั่นแหละ
ถึงได้ส่งโทรศัพท์ให้คนที่รอแย่ง
เพราะความหงุดหงิดมีมากกว่า
อี้ชิงลืมไปแล้วว่าของในมือนั้นแพงแค่ไหน พอรับมาได้ก็ถลึงตาใส่หน้าจอที่คริสจงใจเปิดค้าง
รูปเขาทั้งคู่นั่งข้างกันอย่างตอนนี้แหละ
คริสซึ่งถือกล้องหันเพียงเสี้ยวหน้ามามองเขาด้วยรอยยิ้มเพียงมุมปาก
ขณะที่อี้ชิงมุ่ยหน้าใส่กล้องด้วยท่าทางเหวอๆ
แฟนครับ!!
“อะไรเนี่ย?!”
“ฉันไง”
“หมายถึงแคปชั่นนี่ต่างหาก”
ถ่ายรูปเขาตอนเผลอแล้วยังโพสต์ลงอินสตาแกรม กับแคปชั่นโจ่งแจ้งแบบนี้
อยากให้คนทั้งมหาวิทยาลัยหมั่นไส้เขามากขึ้นหรือยังไงกัน “ทำไมต้องอวดแบบนี้ด้วยเนี่ย”
“ไม่ใช่ฉัน นายต่างหาก”
“อะไรนะ?!”
ถ่ายเองโพสต์เอง คิดแคปชั่นเองทั้งนั้น ตัวเองแหละอวด ไม่ใช่เราเสียหน่อย
คริสยิ้ม ยักคิ้วน้อยๆ
ตอนที่ดันมือเล็กซึ่งถือโทรศัพท์ไว้เบาๆ
“นี่ของนาย เก็บไว้สิ”
“อะไร? รูปเนี่ยน่ะเหรอ?”
“โทรศัพท์นี่ต่างหาก”
อี้ชิงมองโทรศัพท์ในมือแล้วก็เพิ่งนึกได้ถึงราคาของมัน
จากที่กำจนแน่นในทีแรกก็ค่อยคลายออกจนกลายเป็นประคองไว้อย่างระวัง
ตาคู่ใสสลับมองของในมือกับหน้าหล่อๆ ของเจ้าของมันอย่างไม่ไว้ใจเลย อยู่ดีๆ
ก็มาบอกว่าของเรา คิดจะแกล้งอะไรกันอีกแน่ๆ
“พูดเล่นใช่มั้ยเนี่ย?”
“คิดว่าฉันจะพกโทรศัพท์คนเดียวสองเครื่องเลยหรือไง?”
“ก็ถ้าของเก่ายังใช้ได้แล้วนายจะซื้อมาทำไม?”
จากที่ยิ้มๆ อยู่ก็ถอนหายใจหน่าย คริสยืดตัวให้หลังพิงไปกับพนักที่นั่ง
ผินหน้าไปทางอื่นตอนที่บ่นเสียงเบา
“ซื่อบื้อชะมัด”
“ว่าไงนะ?” ยังมีหน้ามาจิ๊กจั๊ก
อี้ชิงก็ยู่หน้าเข้าให้ คริสตวัดตาคมๆ มามองเขาก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จิ้มนิ้วเข้าที่ปลายจมูกเล็กจนอี้ชิงต้องย่นคอหนี
“ฉันซื้อให้นาย เข้าใจหรือยัง?”
ตาคู่ใสกระพริบปริบ จ้องหน้าคนพูดสลับกับโทรศัพท์เครื่องแพงในมืออยู่นานกว่าสมองน้อยๆ
จะประมวลผล เอาจริงดิ? ทั้งรหัสเปิดเครื่องที่สั่งให้จำ แล้วยังมาสอนโน่นสอนนี่ให้วุ่นวาย
นี่สมเพชที่เขาใช้ของถูกเลยต้องลงทุนซื้อให้ใหม่เลยหรือยังไงกัน
“ไม่เอาอ่ะ”
“ทำไม?”
“ของไม่ใช่ถูกๆ อยู่ดีๆ จะมาให้กัน”
ถึงจะชอบของฟรีแต่ก็ไม่ใช่กับของแพงๆ แบบนี้แน่ ยิ่งไม่ใช่คนสนิทกันด้วยแล้ว “ไม่เอาอ่ะ”
คริสถอนหายใจอีกครั้งเมื่ออี้ชิงยัดเยียดจะคืนของให้ได้
พอไม่รับก็วางไว้บนโต๊ะแล้วถอยตัวออกห่างเหมือนเป็นของร้อน เขาต้องสะกดเสียงไม่ให้ฟังเหลืออดนักตอนที่พยายามเกลี้ยกล่อม
“นายชอบถ่ายรูป แล้วก็อยากให้คนอื่นได้เห็นรูปที่นายถ่ายไม่ใช่หรือไง?
ถ้าใช้เจ้านี่นายก็ถ่ายแล้วโพสต์ลงอินสตาแกรมได้เลย ไม่ต้องคอยให้จงแดโพสต์ลงเวบเพจให้
ไม่ดีหรือไง?”
คนตัวเล็กงับปาก แววลังเลในตาคู่ใสนั้นทำให้คริสย่ามใจได้เพียงชั่วครู่
อี้ชิงก็ส่ายหน้าอีก
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
แต่ของนี่มันแพงมาก ฉันไม่กล้าใช้หรอก”
“กล้องนั่นก็แพง นายยังกล้าใช้เลย”
“ก็กล้องมันของฉัน แต่นี่ของนาย”
“ตอนนี้มันเป็นของนายแล้วไง” คริสเลื่อนโทรศัพท์ไปตรงหน้าเด็กดื้ออีกครั้ง
แต่ในทันทีมือเล็กก็ดันคืน
“ไม่เอาอ่ะ”
“ฟังนะ นายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
เพราะฉันซื้อให้แฟน”
น้ำเสียงเข้มงวดแกมบังคับนั้นบอกชัดว่าคริสเริ่มเหลืออด
แต่อี้ชิงยังมุ่ยหน้าใส่ ก็แฟนที่ว่านั่นเป็นคนอื่นมั้ยล่ะ? นอกจากแฟนหลอกๆ
คนนี้แล้วยังมีคนอื่นอีกมั้ย? เป็นคนรวยก็ต้องซื้อของแพงๆ ให้แฟนใช้สินะ
แต่ในเมื่อยังไม่อยากมีตัวจริงก็คงต้องยัดเยียดให้ตัวปลอมไปก่อน
ถ้าจะบังคับกันแบบนี้แล้วอี้ชิงจะไปปฏิเสธอะไรได้ ได้แต่งับปากนิ่งตอนที่คริสจับมือเขาให้หงายขึ้นแล้ววางโทรศัพท์ใส่มือให้
“งั้น... ถือว่านายให้ยืมก็แล้วกัน”
“.....?”
“นายให้ฉันยืมโทรศัพท์นี่เอาไว้ใช้แค่ตอนที่...
ตอนที่นายอยู่ที่นี่ แล้วนายต้องเอามันคืนไปตอนที่นายกลับ ตกลงมั้ย?”
ในเมื่อหน้าที่ของเขาจะหมดลงแค่นั้น
อี้ชิงก็ไม่อยากเก็บของที่ไม่ใช่ของตัวเองไว้อีก
คริสตีสีหน้าระอาแต่สุดท้ายก็ยิ้มขำ
“ตามใจนาย” ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างยอมแพ้
เขาไม่ได้คาดหวังว่าคนตัวเล็กจะหัวอ่อนว่าง่าย รู้ว่าต้องออกแรงเกลี้ยกล่อมแต่ไม่คิดว่าต้องเหนื่อยกับความดื้อดึงขนาดนี้
ตาใสๆ นี่แหละ สำคัญนัก ดูไร้พิษภัยมาแต่ไหนแต่ไร
แต่คริสไม่เคยเอาชนะได้ซักครั้ง... ไม่เคยเลย มองคิ้วบางที่ขมวดน้อยๆ ยามนิ้วเล็กค่อยจิ้มลงบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างระมัดระวังแล้วคริสก็อมยิ้มด้วยนึกเอ็นดูนัก
ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายจะช่วยดูให้
“อยากให้สอนใช้โปรแกรมแชทด้วยมั้ย?”
แต่เด็กดื้อส่ายหน้า ปากอิ่มๆ นั่นยังบู้อยู่เลย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้เสี่ยวลู่สอนให้”
“ให้สอนอย่างเดียวนะ
อย่าให้รู้ว่าเอาไปใช้คุยกับคนอื่น” คริสแกล้งสำทับทั้งที่รู้ว่ารุ่นน้องยังเคือง
ตาขุ่นๆ ที่ตวัดมามองนั้นบอกชัด
“ขี้งก” แต่เขากลับยิ้ม
ยกมือขึ้นท้าวคางมองคนที่เพิ่งหัดเล่นสมาร์ทโฟนอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมื่อไม่ไล่ก็ทำเนียนนั่งอยู่ข้างๆ นี่แหละ ดูเอาแล้วกัน มีคนหล่อนั่งอยู่ใกล้ๆ
แท้ๆ แต่กลับสนใจแค่โทรศัพท์ โลกนี้จะมีใครซื่อบื้อเท่าเจ้าเด็กหัวโตคนนี้อีกมั้ยเนี่ย
หลังอิ่มจากมื้อกลางวันด้วยกันทั้งคู่แล้ว
คริสซึ่งมีแผนจะดูหนังซักเรื่องตั้งแต่ทีแรกก็ถามแฟนตัวเล็กเผื่อว่าอยากจะดูเรื่องไหน
แต่คนที่ไม่ได้คิดอะไรล่วงหน้ามาเลยก็เอาแต่ส่ายหน้า สุดท้ายคนต้นคิดก็เลยต้องเลือกหนังสงครามย้อนยุคแนวโรมันที่เพิ่งเข้าฉายเมื่ออาทิตย์ก่อน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังต่างประเทศซึ่งเป็นระบบเสียงภาษาอังกฤษบรรยายเกาหลีนั้นทำให้คนที่เก่งแค่ภาษาจีนต้องใช้พลังงานหนักมาก
หรือเพราะว่าหนังท้องตึงจนเกินไป หนังฉายไปได้ไม่ถึงครึ่งเรื่อง
คนตัวเล็กถึงได้ม่อยหลับ มาตื่นเอาอีกทีก็ตอนที่ดนตรีกับเครดิตท้ายเรื่องขึ้นแล้ว
คนที่ปลุกยังมีแก่ใจรอจนคนอื่นๆ เดินออกจากโรงหนังกันหมดแล้วถึงได้สะกิดให้ลุกขึ้นแล้วเดินนำออกมาทั้งที่คนเพิ่งตื่นยังงัวเงียนั่นแหละ
“หนังออกจะสนุก นายดันหลับ”
“ก็ฉันขี้เกียจอ่านซับนี่”
“ก็หัดฟัง นายเรียนมหา’ลัยแล้วนะ
ภาษาอังกฤษง่ายๆ แค่นี้ฟังไม่ออกหรือไง?” คริสบ่นแล้วปรายสายตาระอามามอง
คนที่ไม่เก่งภาษาที่สามก็ย่นจมูกใส่
“ง่ายตายล่ะ
ฉันไม่ได้โตที่เมืองนอกเหมือนนายนะ แค่ภาษาจีนกับเกาหลีนี่ก็ตีกันจะแย่แล้ว” ใครจะไปรู้ตั้งสี่ห้าภาษาเหมือนตัวเองกัน! อี้ชิงยังจำบทสัมภาษณ์คนดังที่ปั่นมากับมือได้
เชื้อสายแคนาดาเพียงเสี้ยวเดียวที่ทำให้ใบหน้าหล่อคมนั้นผิดแผกจากคนเอเซียด้วยกัน
แต่คริสเกิดที่จีน อยู่กับคุณแม่ที่กวางโจวจนถึงวัยเดินได้แล้วถึงได้ย้ายไปอยู่กับคุณพ่อที่แคนาดา
เรื่องภาษานั่นก็คงซึมซับเข้าไปในสายเลือดแล้วกระมัง ไหนเลยคนที่จับพลัดจับผลูได้ทุนโรงเรียนให้มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศอย่างเขาจะสู้ได้
อี้ชิงยังงัวเงียถึงได้คอยเอามือขยี้ตาอยู่เรื่อยๆ
ผมเผ้ายุ่งๆ ยิ่งยุ่งเหยิงเมื่อมือไม้คอยแต่จะเสยสางอย่างอยู่ไม่สุก คนข้างๆ
เห็นแล้วคงนึกรำคาญถึงได้ถาม
“ยังไม่ตื่นหรือไง หาอะไรกินให้ตาสว่างมั้ย?”
“กินก็กิน ง่วงก็ง่วง
ไม่เกี่ยวกันซักหน่อย”
“อ้อ งั้นก็คงไม่อยากกินไอติม”
“ฮื่อ!”
ตวัดตามองพร้อมมือที่ดึงชายเสื้อยืดสีดำอย่างลืมตัว ปากยู่ๆ นั่นบอกชัดว่าไม่ยอมถ้าคริสจะหลอกกันให้อยากเล่นเฉยๆ
“บอกว่าไม่เกี่ยวกันไง”
รอยยิ้มบนมุมปากได้รูปนั่นทำให้อี้ชิงต้องเม้มปาก
นึกเจ็บใจตัวเองที่เห็นแก่กินไปหน่อยเลยปล่อยให้คนดังยิ้มเยาะเอาได้
จดเอาไว้ในใจเลยนะทีนี้ วันหลังอย่าหูผึ่งเวลาได้ยินเรื่องของกินอีกเด็ดขาด!
ร้านไอศกรีมคงอยู่ชั้นล่างนี่แหละ
อี้ชิงจำไม่ได้หรอก เจ้าของช่วงขายาวต่างหากที่เดินนำเหมือนรู้ทาง พอออกจากโซนโรงหนังมาไม่ไกลแล้วเลี้ยวขวาก็ถึงทางลงบันไดเลื่อน
คริสก้าวเท้าแล้วแต่อี้ชิงกลับชะงัก ตากลมใสนั้นเบิกกว้างเมื่อเห็นกลุ่มคนที่อยู่บนบันไดเลื่อนขาขึ้นซึ่งกำลังสวนขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน”
มือเล็กคว้าหมับจับท่อนแขนใหญ่อย่างลืมตัว คนตัวโตหันมามองแล้วก็ยิ้ม
“อยากเกาะแขน บอกกันดีๆ ก็ได้”
“ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันแค่ไม่อยากไปทางนี้”
“ทำไม?” คริสเลิกคิ้วถาม
และอี้ชิงก็เพยิดหน้าไปทางกลุ่มสาวๆ บนบันไดเลื่อนขาขึ้น
พวกเธอคงกำลังตื่นเต้นกับป้ายลดราคาของกระเป๋าแบรนด์ดังถึงได้ไม่ทันเห็นเขาที่สุดทางนี่
“นั่นสามสาวเพื่อร่วมคณะ
ฉันไม่อยากเจอ”
“กลัวอะไร?”
“ไม่ได้กลัว แค่ไม่อยากเจอ ไปเถอะน่า”
คริสไม่ซักไซ้อะไรต่อ
พอสองมือเล็กช่วยกันดึงเขาก็ยอมถอยโดยไม่ขัด แต่เพราะอี้ชิงไม่รู้ทาง พอเดินออกมาจากตรงนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายนำเสียเอง
จับมือเล็กให้ปล่อยจากแขนเขาแล้วเปลี่ยนเป็นจูงเอาไว้ พาคนที่มัวแต่พะวงว่าจะเจอคนรู้จักคนอื่นอีกเดินอ้อมไปลงบันไดเลื่อนซึ่งอยู่อีกฝั่ง
แล้วถึงได้เดินวนกลับมาหาร้านที่เล็งไว้ ไอศกรีมแบรนด์นอกรสชาติถูกลิ้นคนเอเซีย
แต่ราคาไม่ถูกนัก ทว่าคริสหาได้ใส่ใจ
เขารู้ว่าแบรนด์นี้จะมีขายแค่เฉพาะในห้างฯใหญ่
และใครบางคนก็คงไม่มีเวลามาเดินเล่นบ่อยนัก ดูจากอาการตาโตแล้วร้องอู้หูอ้าหาใส่ตู้ไอศกรีมหลากรสตรงหน้าก็รู้แล้วว่าคงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
พอพนักงานร้านแนะนำรสชาติไหนให้ก็ขอชิมไปเสียหมด ถ้าไม่ห้ามก็คงยืนอยู่ตรงนี้ได้เป็นวันเลยกระมัง
“ตกลงเลือกได้หรือยัง?” พอขัดเข้าหน่อยก็หันมาทำปากบู้ใส่
“ใจเย็นๆ สิ
ฉันไม่ค่อยคุ้นกับชื่อแปลกๆ พวกนี้เลยนี่นา ยังชิมไม่หมดเลยด้วย”
“ขืนชิมหมดนี่นายคงอิ่มพอดี ชอบรสอะไร?”
“ก็ วานิลลากับมินต์”
“งั้นไปนั่งรอ เดี๋ยวฉันสั่งให้”
ถึงจะดูขัดใจนิดๆ แต่คนตัวเล็กก็หันไปยิ้มแล้วผงกศีรษะให้พนักงานสาวอย่างขอบคุณ
ก่อนจะยอมสละตู้เดินไปหาโต๊ะว่างๆ ในร้านแล้วนั่งรออย่างว่าง่าย ไม่นานคริสก็เดินตามไปพร้อมไอศกรีมในถ้วยกลมๆ
สองถ้วย
เลื่อนถ้วยหนึ่งซึ่งมีไอศกรีมสีอ่อนสองสคูปไปตรงหน้าคนที่ยืดตัวมารออย่างกะตือรือร้น
“ว้าววว น่ากินชะมัด”
ถูมือไปมาแล้วทำตาโตอย่างตื่นเต้น ก่อนจะค่อยหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักคำนึงส่งเข้าปาก
ท่าทางชื่นอกชื่นใจจนลืมอาการงัวเงียเมื่อก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น “ฮื้มมมม อร่อยอ่ะ”
คริสยิ้มโดยไม่พูดอะไร
ไอศกรีมตรงหน้าก็ของตัวเอง
แต่พออีกคนชะโงกหน้ามามองก็เลื่อนถ้วยไปให้ตักชิมเสียอย่างนั้น
“ของนายหวาน”
“ไอติมก็ต้องหวานสิ”
“ฉันนึกว่านายจะสั่งรสเข้มๆ ขมๆ”
“ฉันชอบหวานๆ มากกว่า” ปากอิ่มเล็กนั่นบุ้ยใบ้ไปมาพลางสลับสายตาระหว่างไอศกรีมสองถ้วยเหมือนกำลังชั่งใจว่ารสไหนอร่อยกว่า
ก่อนจะตักไอศกรีมสีเข้มเข้าปากไปอีกคำแล้วเลื่อนถ้วยคืนให้เจ้าของ
ส่วนของตัวเองนั่นยึดไว้มั่น ไม่แลกกันชิมบ้างเลย คริสยิ้มขำแล้วก็ส่ายหน้า
“ทำไมต้องหลบสาวๆ พวกนั้น?”
อี้ชิงเงยหน้าขึ้นจากถ้วยของหวาน จากที่อารมณ์ดีๆ อยู่ก็ทำหน้ายุ่ง
“สามคนนั่นน่ะแฟนคลับนาย
ฉันไม่อยากมีเรื่องด้วยหรอก”
“แล้วทำไมต้องมีเรื่อง นายก็ทำเฉยๆ
ไปสิ”
“พวกหล่อนคลั่งนายจะตาย ถ้าเห็นฉันอยู่กับนายแล้วมากรี๊ดใส่
ฉันคงทำเฉยๆ ได้หรอกนะ”
“ทำไม? นายจะหึงเหรอ?” คำถามนั้นกลั้วเสียงขำ
แต่อี้ชิงไม่ขำด้วย ยู่หน้าใส่คนถามแล้วยิ่งดึงถ้วยไอศกรีมให้ใกล้ตัวเมื่ออีกฝ่ายขยับยืดตัวข้ามโต๊ะมาเหมือนจะใกล้เกินไป
“บ้าเหอะ
กลัวพวกหล่อนจะมารุมฉีกเนื้อเอาต่างหาก” จะต้องหึงไปทำไม ไม่ใช่แฟนกันจริงๆ
เสียหน่อย
“เอาแต่หนีแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ อย่าลืมสิว่าหน้าที่ของนายคือต้องคอยกันพวกสาวๆ
ไม่ให้เข้าใกล้ฉัน ไม่ใช่เอาแต่วิ่งหนี
แบบนี้ถือว่านายไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้นะ”
คนเคยอารมณ์ดีจิ๊ปาก
วางช้อนลงคืนถ้วยไอศกรีมแล้วกอดอกมุ่ยหน้า
“แล้วจะให้ทำยังไง?
ให้ฉันกอดแขนนายแสดงความเป็นเจ้าของแล้วอาละวาดใส่สาวๆ
พวกนั้นว่าอยู่ยุ่งกับแฟนฉันนะ! แบบนี้เหรอ?”
“ทำได้มั้ยล่ะ?” ยังมีหน้ามาย้อนถาม
อี้ชิงมองหน้าหล่อๆ ที่แฝงรอยยิ้มกวนแล้วก็ต้องกัดปาก เขาหรืออุตส่าห์หาทางเลี่ยง
เป็นผู้ชายแท้ๆ จะให้ไปยืนทะเลาะกับผู้หญิง ยิ่งเป็นเรื่องแย่งผู้ชายด้วยแล้ว
ยังไงก็ไม่เหมาะ หมอนี่ดันเห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้ โรคจิตชัดๆ!
“รุ่นพี่!”
เสียงเรียกแหลมสูงตามด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดชวนแสบแก้วหูนั่นทำเอาคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้ง
พอหันไปมองแล้วก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีด้วยรู้สึกอายแทนนัก สามสาวที่เพิ่งจะพูดถึงอยู่เมื่อครู่ยืนเกาะกระจกอยู่นอกร้าน
พวกเธอเคาะกระจกแล้วโบกไม้โบกมือให้รุ่นพี่คนดังโดยไม่สนว่าคนจะมองแค่ไหน
ครู่เดียวก็วิ่งกรูกันเข้ามาในร้านแล้วตรงมาหาคริสถึงโต๊ะอย่างน่ากลัว
“บังเอิญจังเลยนะคะ
ไม่คิดว่ารุ่นพี่ก็มาเดินเล่นที่นี่เหมือนกัน”
ไม่คิดจะปรายตามามองอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยเลย คงไม่อยากออกฤทธิ์ให้คนหล่อเห็นสินะ
ดีแล้วล่ะ อี้ชิงก็ไม่อยากยุ่งด้วยนักหรอก เขาเบะปากใส่แล้วก้มหน้าก้มตาตักไอศกรีมเข้าปากอย่างไม่สน
“พอดีเบื่อๆ น่ะ เลยออกมาหาหนังดู”
คริสตอบเรื่อยๆ พลางตีสีหน้านิ่ง ที่อี้ชิงไม่เห็นคือตาคู่คมนั้นหาได้มองผู้มาใหม่
กลับจงใจมองจ้องคนที่นั่งตรงข้ามกันคล้ายจะกดดันให้คนที่ทำเป็นไม่สนยอมเงยหน้าขึ้นให้ได้
“พวกเราก็ออกมาช้อปปิ้งแล้วก็ว่าจะไปดูหนังเหมือนกันค่ะ
อาทิตย์นี้มีเรื่องใหม่เข้า รุ่นพี่ไปดูด้วยกันมั้ยคะ?”
“ขอโทษที เพิ่งดูไปเรื่องนึงน่ะ”
“ว้า เสียดายจัง
พวกเราอยากดูเพราะเห็นเค้าว่าสนุกมาก แต่มันเป็นหนังซอมบี้น่ากลัวๆ แล้วพวกเราก็มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น
ถ้ามีใครไปดูเป็นเพื่อนก็คงดี” ออดอ้อนพลางบิดไม้บิดมืออย่างน่าสงสาร
ดูบอบบางน่าทะนุถนอมนัก อี้ชิงเห็นแล้วก็อดจะตีสีหน้าล้อเลียนไม่ได้
อย่างยัยสามแสบไม่มีทางอ่อนปวกเปียกแบบนี้แน่ ใครเชื่อก็โง่ตายล่ะ!
“อันที่จริง ฉันก็พอมีเวลา ให้ไปดูอีกซักเรื่องก็คงได้”
ไอศกรีมที่เพิ่งตักเข้าปากนั้นแทบพุ่ง
อี้ชิงร้องห๊ะแบบไม่มีเสียง ใช้สีหน้าแทนคำถามให้คนตรงหน้ายืนยันว่าเขาไม่ได้หูฝาด
ไหนว่าไม่อยากให้พวกสาวๆ เข้าใกล้ไง แล้วไหงไปอ่อยเค้าแบบนี้เล่า!
“จริงเหรอคะ?
รุ่นพี่จะไปดูกับพวกเราจริงๆ นะคะ?” พวกเธอส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ ด้วยความดีใจ
ในขณะที่อี้ชิงยังคงอึ้ง กระทั่งได้เห็นรอยยิ้มที่คนแกล้งอ่อยส่งมาให้ ตาคู่คมนั้นเป็นประกายอย่างร้ายกาจ
คิดจะกดดันให้เขาต้องทำอะไรซักอย่างสินะ คิ้วบางขมวดฉับ อี้ชิงกัดริมฝีปากแน่น
เขาไม่อยากเล่นตามเกมพ่อคนดัง แต่ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง
หมอนี่ก็คงเอาไปฟ้องจงแดว่าเขาไม่ทำตามข้อตกลงเป็นแน่
“งั้นเราไปกันเลยมั้ยคะ?”
“นั่นสินะ” คริสลากเสียงยาวอย่างใจเย็น
พลางเลิกคิ้วให้คนที่เอาแต่เงียบอย่างท้าทาย และอี้ชิงก็รู้ดีว่าหากปล่อยให้พ่อคนดังลุกขึ้นแล้วเดินไปกับพวกสาวๆ
ชีวิตการเป็นสมาชิกชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์ของเขาคงจบสิ้นแน่
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้อง...”
“โอ๊ะ!”
ใครจะคิดว่าจางอี้ชิงจะจนตรอกถึงขนาดยอมทำแบบนี้ได้
สามสาวต่างหันมองเมื่อใครบางคนเรียกร้องความสนใจ
ไม่ใช่แค่ริมฝีปากอิ่มแดง แต่ข้างแก้มใสยังเลอะคราบไอศกรีมเป็นทางเหมือนมีใครจงใจเอานิ้วป้าย
อี้ชิงโอดเสียงเบา
“แย่จัง เลอะเลยอ่ะ”
“เลอะก็เช็ดสิยะ” เธอคนหนึ่งพูดขึ้นแล้วอีกสองคนที่เหลือก็ต้องช่วยกันกระตุกแขนบ้างหยิกบ้างให้รู้ตัวว่าไม่ควรหวีดเสียงต่อหน้าคนหล่อ
สีหน้ารำคาญใจเพราะรู้ทันนั้นจึงต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน
เธอคนเดิมช่วยเลื่อนกล่องใส่กระดาษทิชชู่มาให้จนถึงมือ และความหวังดีของเพื่อนร่วมคณะก็ทำให้อี้ชิงต้องยิ้ม
แต่เป็นยิ้มออดอ้อนที่ส่งให้คนตัวสูงซึ่งนั่งตรงข้าม
“รุ่นพี่ครับ เช็ดให้หน่อย~”
“เช็ดเองสิจ๊ะ มือก็มี” น้ำเสียงกดต่ำจนแทบจะรอดไรฟันนั้นบอกให้รู้ว่าใครบางคน
หรืออาจจะทั้งสามคนคงใกล้จะเหลืออด ถ้าอยู่กันตามลำพังอี้ชิงคงได้มีรอยกรีดเล็บบนหน้า
แต่ไม่ใช่ตอนนี้แน่ คนตัวเล็กวาดยิ้มเย็นมาให้กลุ่มสามสาว
“มือน่ะมี แต่มีแฟน
ให้แฟนเช็ดให้ก็ได้ นะครับรุ่นพี่~”
เสียงวี้ดเบาๆ นั้นทำเอาเสียวสันหลังวาบ
แต่คนที่นั่งตรงข้ามยังคงนั่งกอดอกอย่างใจเย็น ยิ้มแล้วเอาแต่มองนิ่งไม่ยอมทำอะไรซักที
เขาลงทุนเล่นละครขนาดนี้แล้ว ถ้าหมอนี่ทำเฉยไม่ยอมเล่นด้วยก็ฉีกหน้ากันชัดๆ เขาได้ถูกสามสาวหัวเราะเยาะเอาแน่ๆ
รออยู่นานจนริมฝีปากที่วาดเป็นยิ้มนั้นเริ่มจะสั่น อี้ชิงต้องแอบยื่นเท้าไปเตะขาคนดังเบาๆ
พลางถลึงตาใส่ สุดท้ายคริสถึงยอมขยับ
มือใหญ่ค่อยยื่นออกมา
แต่แทนที่จะหยิบกระดาษมาเช็ดให้ คนตัวเล็กกลับต้องผงะเมื่อฝ่ามืออุ่นนั้นทาบทับลงบนแก้ม
ก่อนจะใช้เพียงปลายนิ้วปาดป้ายคราบไอศกรีมออกให้อย่างเบามือ
“ซุ่มซ่ามจัง
ให้ป้อนแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” น้ำเสียงอ่อนโยนกับรอยยิ้มบางนั้นทำเอาคนเป็นแฟนร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
ยิ่งเมื่อคนตัวโตส่งปลายนิ้วที่เลอะไอศกรีมนั้นเข้าปากตัวเองแทนที่จะเช็ดมัน
เสียงหวีดร้องของสามสาวก็ทำเอาอี้ชิงหูอื้อไปหมด
แว่วยินเพียงเสียงกลองระรัวซึ่งไม่รู้ที่มา
“ตกลงรุ่นพี่จะไปดูหนังกับพวกเรามั้ยคะ?”
สามสาวยังคงไม่ยอมแพ้ เร่งเร้าขอคำตอบจากหนุ่มหล่ออย่างไม่อาย
และคริสก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองพวกเธอตามมารยาทด้วยซ้ำ
ขณะที่มือหนึ่งเลื่อนถ้วยไอศกรีมของโปรดของอี้ชิงมาตรงหน้า
ใช้ช้อนตักมันขึ้นมาแล้วยื่นให้ถึงริมฝีปากอิ่มที่เผยอออกน้อยๆ อย่างเหวอๆ
“ขอโทษด้วยนะ ไม่ว่างแล้วล่ะ
ต้องป้อนไอติมให้แฟน”
ทู
บี คอนตินิว...
คนรอง: เธอเป็นแฟนฉันแล้ววววว~ รู้ตัวบ้างไหมมมมม~
แล้วเมื่อไหร่นะฉันจะได้เป็นแฟนของเธอออออ~
ให้ทายว่าใครกำลังร้องเพลงนี้
><
เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^
ความคิดเห็น