คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : เขียวหวานน่ารัก ~ 13 ~
[Fic] เขียวหวานน่ารัก~♡
ตอนที่ 13
Fiction by 2nd Admin
.
.
.
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องและเหลียวมองตามเมื่อรถมอเตอร์ไซค์สีดำแดงคันใหญ่พุ่งผ่านถนนเส้นกลางของมหาวิทยาลัยไปด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก
ตัวถังดีไซน์เท่และราคาสูงลิบลิ่วของมันซึ่งทุกคนต่างรู้ดี ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าคนขับรูปร่างสูงใหญ่กับคนตัวเล็กที่ซ้อนท้ายมา
เสียงพูดคุยกลายเป็นเสียงซุบซิบเมื่อรถแล่นเข้าจอดเทียบบันไดขั้นแรกหน้าตึกคณะบริหารฯ
และเริ่มฮือฮาขึ้นเมื่อกระจกหน้าของหมวกกันน็อคสีดำถูกเลื่อนเปิด
เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเร่งจังหวะหัวใจของทุกผู้ที่ได้พบเห็น
ทว่าดวงตาคมที่น่าหลงใหลกลับไม่ปรายมองผู้ใดเลย นอกจากเจ้าของร่างเล็กที่ค่อยปีนลงจากท้ายรถ
รอยยิ้มน้อยๆ นั้นก็เช่นกัน
“กลางวันนี้จะกินที่ไหน?”
อี้ชิงถอดหมวกกันน็อคออกแล้วส่งคืนให้เจ้าของ
ยักไหล่ก่อนตอบ
“จะไปไหนได้ล่ะ ก็ต้องแคนทีนสิ
ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนายก็โดดเรียนอีก”
“อ้อ หมายความว่าให้มารับ” ริมฝีปากอิ่มอ้าค้างอย่างเหวอๆ
ก่อนจะต้องรีบหุบเมื่อเห็นรอยยิ้มยียวนของคนตรงหน้า
“ก็นายถาม”
“รู้แล้วน่า เลิกเรียนแล้วมารอตรงนี้
ห้ามลืมอีกล่ะ”
อาการมุ่ยหน้าแล้วยกมือขึ้นกอดอกฉับนั้นคงถือเป็นคำตอบได้
อี้ชิงได้ยินเสียงหัวเราะหึก่อนที่คริสจะปิดหมวกกันน็อคลงแล้วบิดคันเร่งให้รถพุ่งตัวออกไป
คนอะไรกวนประสาทชะมัด แต่หมั่นไส้ยังไงก็ทำได้แค่ย่นจมูกตามหลัง ฝากไว้ก่อนเถอะ
“จางอี้ชิง”
เสียงเรียกแหลมสูงนั้นทำเอาหนาวที่หลังแปลกๆ
เขาหันไปมองแล้วก็นึกอยากชมสังหรณ์ตัวเองที่แม่นนัก เป็นสามสาวเพื่อนร่วมคณะของเขาที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด
แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่อะไรกัน สามสาวก็ก้าวตรงมาแล้วกระจายตัวกันยืนล้อมเขาเหมือนนัดกันไว้
ดูสีหน้าพวกเธอแต่ละคนแล้วคงไม่ได้มาเพื่อทักทายยามเช้าแน่ๆ
“อ.. อะไรของพวกเธอ?”
“ไหนว่าไม่ได้ชอบรุ่นพี่ไงล่ะ”
“ห.. ห๊ะ?”
“ทำเป็นเล่นตัว
บอกว่าจะไม่ยุ่งกับเค้า”
“แล้วไปขอเค้าเป็นแฟนตอนไหนยะ?!”
เสียงตะคอกจากคนสุดท้ายนี่ทำเอาสะดุ้งโหยง อี้ชิงตกใจจนแทบจะก้าวถอยแต่ยังทำใจกล้าตอบกลับ
“พวกเธอก็... ไปถามเค้าเองสิ”
“เป็นคนแบบนี้เองสินะ”
“ว่าไงนะ?”
“เห็นติ๋มๆ ก็นึกว่าไม่มีพิษภัย
ที่ไหนได้”
“ทำเป็นใช้เรื่องงานบังหน้าเพื่อเข้าหารุ่นพี่สินะ”
“คงทำตัวสนิทสนมจนรุ่นพี่ยอมใจอ่อน
ชิ!”
“ฉันเปล่านะ!”
“จะบอกว่านายไม่ได้คิดจะจีบรุ่นพี่หรือไง?”
“เค้ามาชอบนายเองงั้นสินะ?”
“หน้าด้านจริงๆ เลยนายเนี่ย”
“ฉันเปล่า! ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น
แล้วก็ไม่ได้อยากเป็นแฟนหมอนั่นด้วย!” เพราะเริ่มจะโกรธก็เลยทำเสียงแข็งตอบกลับไปบ้าง
อยู่ดีๆ ก็มารุมว่ากันปาวๆ คนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาก็มองกันใหญ่ แต่ไม่ยักมีใครที่คิดจะเข้ามาช่วยเขาบ้างเลย
“งั้นก็หลอกใช้พี่เค้าอย่างนั้นสิ?”
“อยากเด่นอยากดังจนต้องหลอกใช้รุ่นพี่เลยสินะ
ร้ายกาจที่สุด”
อี้ชิงสั่นหน้าแล้วกัดปาก
ไม่อยากเถียงด้วยแล้ว สาวๆ พวกนี้จงใจหาเรื่องเขา คงไม่ฟังอะไรทั้งนั้น สองมือกำสายสะพายเป้จนแน่น
ชำเลืองตามองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่แล้วขยับเท้าก้าวถอยหลัง
แต่เพียงแค่ก้าวเดียวพวกเธอก็ก้าวตามมาตีวงล้อมให้ยิ่งแคบ
พร้อมคำขู่ที่ทำเอาต้องกลืนน้ำลายยาก
“พวกเราไม่ปล่อยนายไปแน่!”
“พวกเธอ... จะทำอะไรน่ะ?”
อี้ชิงยังก้าวถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับราวบันได พอจนมุมแล้วก็ได้แต่หันซ้ายหันขวา
จะให้เขาขัดขืนหาทางแหวกวงล้อมออกไปก็ได้ แต่คงต้องเกิดการปะทะ
พวกเธอเป็นผู้หญิงทั้งนั้น คงไม่ดีแน่ จะทำยังไงดี!
“อย่าคิดทำร้ายรุ่นพี่เด็ดขาด
ไม่อย่างนั้นพวกเราจะ...!” ได้แต่หลับตาวูบเมื่อหนึ่งในพวกเธอเงื้อมือขึ้นสูง คราวนี้คงต้องเจ็บตัวแน่
“จางอี้ชิง~”
แต่ยังไม่ทันที่เนื้อตัวจะถูกทำร้ายที่ตรงไหน เสียงเรียกคุ้นหูก็ดังขัดขึ้น
เขาลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองถึงได้เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิท
ลู่หานยืนยิ้มเผล่อยู่ที่เชิงบันไดและโบกมือให้อย่างอารมณ์ดี
สามสาวเองก็หันไปมองเช่นกัน ฉวยโอกาสตอนที่พวกเธอกำลังเผลอ อี้ชิงหาช่องว่างหนีออกจากวงล้อมจนได้แล้ววิ่งไปหาเพื่อนสนิทในทันที
“เสี่ยวลู่!”
“หยุดนะจางอี้ชิง!”
พวกเธอที่เพิ่งรู้ตัวก็วิ่งตามมา แต่ลู่หานก็ย้ายตัวเองมายืนบังเขาไว้ในทันทีเช่นกัน
“โอ๊ะโอ อยู่กันเยอะแยะเลย
ติวหนังสือกันอยู่หรือเปล่าจ๊ะสาวๆ? ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ”
พวกเธอหยุดอยู่ตรงหน้าเพียงไม่กี่ก้าว
แต่ลู่หานยังล้วงสองมือลงกระเป๋าแล้วยิ้มให้อย่างใจเย็น เห็นอย่างนั้นสาวๆ
ก็กระตุกยิ้มกลับบ้าง ยกมือขึ้นกอดออกอย่างไว้ที
“ลู่หานคณะนิเทศฯหรอกหรือเนี่ย
มีธุระอะไรแถวนี้มิทราบ?”
“ก็ว่าจะมาแจ้งข่าว พวกเธอเห็นข่าวในเวบเพจของชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์กันหรือยัง?
รุ่นพี่คนดังเปิดตัวแฟนวันแรกก็โชว์หวาน ไปรับแฟนถึงหน้าหอพักแต่เช้าตรู่
กอดเอวซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันออกไปจนคนแถวนั้นได้แต่แอบอิจฉากันตาร้อนผ่าว
มีภาพประกอบด้วยนะ ฉันถ่ายเองกับมือ อย่าลืมเข้าไปกดไลค์ล่ะ
เพราะพวกเธอคงทำได้แค่นั้น จริงมั้ย?”
“นี่นาย...!”
พวกเธอแยกเขี้ยวใส่จนใบหน้าสวยๆ บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เงื้อมือกางเล็บเหมือนจะวิ่งเข้ามาขย้ำให้เละกันไปข้าง
แต่ลู่หานยังยืนยิ้มอย่างไม่กลัว ยกนิ้วชี้ขึ้นให้เห็น
“อ้อแล้วก็ อย่าอยู่ตามลำพังกับแฟนรุ่นพี่บ่อยนักนะ
ดูก็รู้ว่าเค้าเห่อแฟนขนาดไหน เกิดเค้าหึงขึ้นมาล่ะก็ พวกเธอแย่แน่” สามสาวโมโหจนตัวแดงเหมือนจะระเบิดได้
พวกเธอมองหน้ากันแล้วทำท่าจะกรี๊ด แต่ลู่หานยังไม่เลิกแหย่ เขาเอานิ้วแตะปากแล้วบอกเสียงเบา
“ชู่ววว ไม่ต้องห่วงนะ เพื่อนฉันไม่ใช่คนปากโป้ง เค้าไม่บอกรุ่นพี่หรอกว่าพวกเธอเข้ามายุ่มย่ามใกล้ๆ
แต่ถ้าเกิดเนื้อตัวขาวๆ นี่มีรอยขีดข่วนหรือรอยช้ำแม้แต่นิด นั่นก็ไม่แน่นะ”
ไม่มีเสียงกรีดร้องให้ได้ยินแม้พวกเธอจะกัดปากแดงๆ
จนแทบจะหลุด เรียวนิ้วสวยที่แต้มปลายเล็บด้วยสีแดงสดนั่นขยับไปมาคล้ายอยากจะข่วนหน้าใครซักคนเต็มที
แต่สุดท้ายแล้วพวกเธอก็กำมันไว้แน่น กระทืบเท้าปังก่อนจะสะบัดตัวหันหลังจนผมปลิว
“ฝากไว้ก่อนเถอะย่ะ!”
“บ๊ายบาย~”
ลู่หานยังยิ้มสนุกกระทั่งสามสาวเดินขึ้นตึกคณะไปแล้วถึงได้พรูลมหายใจ
หันมามองอี้ชิงแล้วทำหน้าแหยง
“สาวๆ คณะตัวนี่น่ากลัวชะมัด”
“เห็นหรือยังล่ะ เราจะโทรไปบอกจงแดให้ยกเลิกเรื่องนี้”
“เฮ้ย ไม่ได้นะ เกิดความแตกขึ้นมาว่าเรากุเรื่องโกหก
ได้เดือดร้อนกันทั้งชมรมแน่ สาวๆ พวกนั้นคงไม่ปล่อยตัวไว้เหมือนกัน”
“แล้วจะให้ทำยังไง?”
ลู่หานยักไหล่แล้วยิ้มสนุก
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร ตัวแค่อยู่เฉยๆ
เป็นแฟนกับรุ่นพี่ไป”
“แล้วก็รอให้พวกสาวๆ มารุมฉีกเนื้อเราเข้าซักวันน่ะนะ?”
“พวกนั้นไม่กล้าทำอะไรหรอกน่า
กลัวรุ่นพี่กันจะแย่ ตัวปลอดภัยอยู่แล้ว”
“ทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยเนี่ย...”
อี้ชิงยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วโอดครวญ ขณะที่เพื่อนสนิทได้แต่ขำ ไม่มีใครรู้หรอกว่าการเป็นแฟนคนดังน่ะมันคือความซวยแค่ไหน
ไม่มีใครรู้เลยจริงๆ
“ว่าแต่ ทำไมมาช้าจัง
นี่เรามาถึงก่อนได้ซักพักแล้วนะ” ลู่หานไม่ได้บอกว่าเขาเลยไปส่งรุ่นน้องถึงตึกคณะก่อนแล้วด้วยซ้ำ
ก่อนจะวกกลับมาหาเพื่อนที่นี่
อี้ชิงเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือแล้วถอนหายใจทิ้งไปเสียหนึ่งทีก่อนตอบ
“หมอนั่นแวะกินข้าวน่ะสิ”
“ด้วยกัน?”
“อือ”
“แหมๆๆ มื้อเช้าแรกของการเป็นแฟนกัน
คงจะหวานน่าดูเลยสิเนี่ย นี่นึกว่าหิวเลยว่าจะมาชวนไปกินข้าวที่แคนทีนด้วยกันซักหน่อย
ไม่ทันแล้วสินะ” อี้ชิงเหล่ตามองใบหน้าสนุกของเพื่อนสนิทที่แกล้งเอาไหล่กระแซะเขาแล้วก็ตีหน้ามุ่ยใส่
“เลิกแซวซักทีเถอะน่า”
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ยิ้มหน่อย~”
คราวนี้หยิกแก้มเขาเลยด้วย ทำไมถึงชอบวุ่นวายกับแก้มเขานักนะ รู้ว่าเนื้อเยอะก็ชอบจับอยู่นั่น
เดี๋ยวก็ยุ้ยยิ่งกว่าเดิมจนได้ “คู่รักข้าวใหม่ปลามันก็ต้องมีความสุขให้มากๆ นะ”
“เราไม่...!”
“ป่ะๆๆ ไปเรียนกันดีกว่า เดี๋ยวเราไปส่งถึงห้องเลย
ว่าแต่ รุ่นพี่จะไม่หึงใช่ป่ะ?”
“เสี่ยวลู่!”
อี้ชิงได้แต่ฟึดฟัดอย่างขัดใจ
นี่เพื่อนสนิทเขาไม่คิดจะทุกข์ร้อนกับความโชคร้ายของเขาบ้างเลยหรือไงนะ
พวกสาวๆ จะนึกกลัวอย่างที่ลู่หานขู่ไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้แหละ
แต่อี้ชิงไม่อยากรอพิสูจน์อะไรทั้งนั้น ดังนั้นพออาจารย์บอกเลิกคลาสเขาก็กวาดข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วรีบออกมาจากห้องเรียนในทันที
ไม่ลืมที่จะโทรหาเพื่อนสนิทในระหว่างที่เดินไปด้วย
“เสี่ยวลู่
เจอกันที่ข้างสนามฟุตบอลนะ ใช่ ตอนนี้เลย อย่าช้านะ”
แล้วรีบจ้ำไปจนถึงหน้าตึกคณะโดยไม่หันหลังกลับไปมองเลยซักนิดว่ามีคนตามมาอย่างที่นึกระแวงหรือไม่
รีบร้อนจนเกือบจะวิ่งลงบันไดไปอยู่แล้วถ้าไม่มีเสียงใครคนหนึ่งทักขึ้นเสียก่อน
“ออกมาเร็วดีนี่” ร่างสูงใหญ่ที่ยืนกอดอกพิงสะโพกกับราวบันไดด้วยท่าทางสบายๆ
นั้นทำเอาคนที่ชะงักทั้งที่กำลังรีบต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“นาย ทำไม...?!”
เรียวคิ้วได้รูปเลิกขึ้นสูง
เดินมาใกล้คนที่เหมือนจะลืมอะไรไปบางอย่างแล้วเลื่อนมือขึ้น กำรอบนิ้วเล็กซึ่งชี้มาที่หน้าหล่อๆ
เหมือนไม่เคยเห็นกันมาก่อน ขณะที่อี้ชิงยังงงๆ คริสก็เป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปหาพลางหรี่ตา
“ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าลืม?”
“ใช่... เอ่อ ไม่สิ ไม่ได้ลืม” ลืมนั่นแหละ
แต่เพิ่งนึกได้ก็ตอนนี้ อี้ชิงรีบสั่นหัวดิก “คือ ฉันจะถามว่าทำไมมาเร็ว
อย่าบอกนะว่าโดดเรียน?”
“มีแฟนมารอ ดีกว่านั่งรอแฟนนะ”
แฟนหลอกๆ บอกแล้วยิ้ม ประกายวาววับในดวงตาคมนั้นทำเอาอี้ชิงต้องย่นคอหนีน้อยๆ
นิ้วเล็กที่ถูกกุมไว้เริ่มขยับ ระยะใกล้แค่เอื้อมมือถึงกันแบบนี้ หากเป็นพวกแฟนคลับคงตัวอ่อนใจอ่อน
ละลายลงไปกองอยู่บนพื้นแล้วแน่ๆ ก็ขนาดอี้ชิงเองยัง...
“จางอี้ชิง
เมื่อเช้าเรายังคุยกันไม่จบเลยนะ”
เสียงแบบนี้ตามมาอีกแล้ว
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้เลยว่าใคร อี้ชิงจิ๊ปากด้วยนึกเจ็บใจตัวเองที่มัวแต่ชักช้าจนหนีไม่ทัน
“นึกว่าเราจะกลัวที่เพื่อนนายขู่...
เอ๊ะ?!” เหมือนสามสาวจะไม่สนใจว่ามีใครอยู่กับเขาด้วยในทีแรก กระทั่งเจ้าของร่างสูงใหญ่หันหลังไปมอง
พวกเธอทั้งสามก็ยกมือขึ้นทาบอก ส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยความแปลกใจ “รุ่นพี่! มาได้ยังไงกันคะ?”
จู่ๆ ก็กรูกันเข้ามาจนอี้ชิงตกใจ
เขาก้าวถอยโดยไม่รู้ตัวจนเกือบจะตกขั้นบันได แต่มือใหญ่ก็เลื่อนขึ้นจับเหนือเอวช่วยประคองไว้ได้ทัน
“ฉันมารับแฟน” คริสบอกพวกเธอก่อนจะหันมายิ้มให้เขา
กระชับมือที่เอวให้แน่นเข้าจนตัวเขากระเถิบเข้าไปชิดตอนที่โน้มใบหน้าลงหาแล้วกระซิบถาม
“ตกลงคิดออกหรือยังว่าอยากไปกินที่ไหน?”
อี้ชิงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ มองใบหน้าหล่อที่แย้มยิ้มอย่างใจเย็นสลับกับหน้าสวยๆ
ของเพื่อนร่วมห้องที่กำลังกัดปากแดงๆ เพื่อห้ามเสียงกรีดร้อง ปลายเล็บแดงที่ขยับไปมาของพวกเธอทำให้เขาต้องกลืนน้ำลาย
หันกลับมาหาคนข้างกายแล้วเหยียดริมฝีปากอย่างที่คิดว่าน่าจะพอมองออกว่าเป็นรอยยิ้ม
“นาย... รู้จักร้านอาหารไทยอร่อยๆ แถวนี้บ้างมั้ย?”
.
.
.
“ขำอะไรนักหนา”
อี้ชิงฮึดฮัดจนแทบจะพ่นไฟใส่คนตรงหน้าได้อยู่แล้ว
ตั้งแต่ออกมาด้วยกันจนถึงตอนนี้ เลือกร้านอาหารแล้วนั่งรอจานที่สั่ง พ่อคนดังก็ยังไม่ยอมหยุดยิ้มเสียที
อารมณ์ดีขนาดไหนก็คงไม่เอาแต่จ้องหน้าเขาแล้วยิ้มขำอยู่คนเดียวแบบนี้แน่ จะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะอยากกวนประสาทกัน
“ฉันได้ยินว่ามีคนไม่อยากโดดเรียน”
“ก็ไม่ได้จะโดดนี่ บอกไว้ก่อนเลยนะ
แค่ออกมากินข้าว เสร็จแล้วก็กลับ ฉันไม่โดดชั่วโมงบ่ายเด็ดขาด”
“ก็ไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้น”
“ใครจะรู้ล่ะ เกิดนายนึกอยากเถลไถลขึ้นมาเหมือนคราวก่อน”
“นี่ ถึงจะแค่แลกเปลี่ยนแต่ฉันก็มาเรียนนะ
ไม่ใช่มาเที่ยวจนพอใจแล้วก็กลับ ทำแบบนั้นบ่อยๆ ได้ที่ไหนกัน” อธิบายเสียงจริงจัง
แต่คนตัวเล็กกลับเบะปาก ไม่อยากเชื่อเสียเท่าไหร่หรอก วันๆ
เห็นขลุกอยู่แต่ในสนามบาสฯ ไม่เคยเห็นจะเป็นกังวลเรื่องเรียนเลยซักครั้ง
รู้จักที่เที่ยวที่กินเยอะกว่าเขาที่อยู่มานานกว่าเสียอีก ขนาดให้โจทย์แค่ว่าอยากกินอาหารไทย
ยังพามาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเซริจหาเลย ไม่ใช่เพราะเคยพาสาวออกมากินบ่อยหรอกหรือ
“ร้านนี้อร่อยแน่นะ?”
“ไม่รู้สิ เค้าว่างั้น”
“เค้า?”
“กูเกิ้ลไง”
คริสหันหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังเปิดแอปพลิเคชั่นค้นหาร้านอร่อยมาให้เห็น
รอยยิ้มอวดดีนั่นทำให้อดหมั่นไส้ไม่ได้เลยจริงๆ อี้ชิงย่นจมูกใส่
“ถ้าไม่อร่อยฉันไม่จ่ายเงินนะ
บอกไว้เลย”
“กลัวอะไร ยังไงฉันก็เลี้ยง”
“จริงอ่ะ?” คริสพยักหน้า
“ก็บอกแล้วไงว่าจะชดเชยให้”
“ด้วยของกินเนี่ยนะ?”
“พาไปเที่ยวด้วย แพ็คเกจเสริมในการเป็นแฟนฉันไง
กินฟรีเที่ยวฟรีตลอดเวลาที่นายอยู่กับฉัน”
“คิดจะเอาเงินฟาดหัวกันรึไง?”
“ฉันกำลังหลอกล่อนายด้วยของฟรีต่างหาก”
ยิ้มอย่างรู้ทันนั่นทำเอาอี้ชิงคันมือคันไม้ อยากจะลุกไปข่วนหน้าหล่อๆ
ให้หายอวดดีนัก โชคดีที่พี่สาวพนักงานยกถาดอาหารเข้ามาเสิร์ฟได้ทันก่อนที่คนตัวเล็กจะนึกโมโหหิวจนเผลองับหัวคนตรงหน้าไปเสียก่อน
หลังจากวางจานผัดไทยหอมฉุยลงตรงหน้าร่างสูงแล้วพี่สาวพนักงานก็เสิร์ฟขนมจีนแกงเขียวหวานที่อี้ชิงเลือกสั่งโดยไม่ต้องดูเมนูด้วยซ้ำ
ในจานใบกว้างมีเส้นแป้งสีขาวถูกจับม้วนให้เป็นก้อนกลมพอดีคำเรียงซ้อนกันอย่างสวยงาม
กับถ้วยแกงเขียวหวานที่มีชิ้นไก่ลอยตุ้บป่องในน้ำกะทิสีเขียวอ่อน เห็นแล้วก็น้ำลายสอจนต้องรีบกลืนลงไปก่อนที่มันจะล้นออกมานอกปาก
แต่ก่อนที่จะลงมือกับจานโปรดตรงหน้า อี้ชิงเหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าแล้วหันไปบอกกับพี่สาวพนักงานพร้อมชูสองนิ้ว
“ขอแบบนี้อีกสองที่นะครับ”
คริสเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น รอจนพนักงานสาวเดินไปแล้วจึงได้ถาม
“สั่งมาซะเยอะ กินหมดเหรอ?”
คนตัวเล็กยักไหล่ แสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนที่ตอบ
“ไม่หมดก็ห่อกลับ ไม่เห็นเป็นไรเลย
ยังไงนายก็เลี้ยงอยู่แล้วนี่”
คนที่นั่งตรงข้ามยิ้มขัน จานผัดไทยตรงหน้าไม่ได้รับการใส่ใจเมื่อมีอย่างอื่นให้น่ามองกว่า
สองมือเล็กที่จับช้อนส้อมนั้นเหมือนเด็กเพิ่งหัด อาการตื่นเต้นตอนที่ตักน้ำแกงสีเขียวอ่อนจากถ้วยแล้วค่อยๆ
ราดลงบนเส้นขนมจีนในจาน พอตักเข้าปากได้คำหนึ่งก็ทำเสียงอู้อ้าตาโต ดูก็รู้ว่าชอบเอามากๆ
น่าเอ็นดูเสียจนคนมองไม่อาจละสายตาได้
...ใสซื่ออะไรอย่างนี้
ไม่ว่าเมื่อไหร่...
...ก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
.
.
.
“โฮ้ยยย เหนื่อยชะมัด”
ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งบนสแตนด์ขั้นแรกทันทีที่มาถึง
หอบหายใจพลางโบกมือเรียกลมเพื่อไล่เหงื่อบนหน้าตัวเอง พอสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่พบใครเลยอยู่แถวนั้น
โรงยิมฯในตอนนี้เงียบเหงาจนรู้สึกไม่ชินตา ก็แหงล่ะ พอหมดชั่วโมงเรียนสุดท้าย
อี้ชิงก็รีบเก็บของแล้วโกยอ้าวออกมาจากห้อง วิ่งตรงมาที่นี่ทันทีโดยไม่สนว่าจะมีใครตามหรือไม่
ต่อให้สามสาวเพื่อนร่วมคณะอาจจะเลิกตอแยเขาแล้วก็เถอะ แต่ที่ต้องหลบมานี่ก็เพราะอี้ชิงไม่อยากเผชิญหน้ากับบรรดาแฟนคลับกลุ่มอื่นๆ
ของคนดังอีก หาใช่เป็นเพราะข้อความที่ถูกส่งเข้ามาในมือถือตอนก่อนที่เขาจะเลิกเรียนแน่ๆ
‘เลิกเรียนแล้วเจอกันที่โรงยิม’
อี้ชิงย่นจมูกใส่หน้าจอมือถือด้วยนึกหมั่นไส้ประโยคสั้นๆ
ห้วนๆ นั้นจนพาลนึกไปถึงใบหน้าคนส่ง อยากจะข่วนหน้าหล่อๆ นั้นให้ขี้เหร่นัก
คนอะไรชอบออกคำสั่งอยู่เรื่อย เห็นเขาทำอะไรไม่ได้หน่อยก็ข่มเอาๆ น่าโมโหนัก!
“มาเร็วไปหน่อยหรือเปล่า”
เสียงทุ้มที่ทักนั้นดังก้องไปทั่วทั้งโรงยิมฯที่ว่างเปล่า
อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่เพิ่งเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง เก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืนอย่างกะตือรือร้น
“หวัดดีฮะรุ่นพี่กัปตัน”
“นึกว่าฉันจะมาถึงเป็นคนแรกเสียอีก”
คิ้วบางเลิกขึ้นน้อยๆ เผลอมองออกไปนอกประตูโรงยิมฯ เพราะนึกว่าจะมีใครตามมาด้วย “มองหาคริสเหรอ?
ยังไม่มาหรอก กว่าจะฝ่ากลุ่มแฟนคลับที่คณะมาได้ก็คงใช้เวลาอีกซักพัก”
รุ่นน้องพยักหน้าแล้วยิ้มเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะมองหาหรอก
ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสองคนนี้อยู่คณะเดียวกัน นี่รุ่นพี่คงนึกว่าเขาเห่อแฟนจนต้องมานั่งรอตั้งแต่ยังไม่เริ่มซ้อมกันแบบนี้
น่าอายแท้ๆ อี้ชิงได้แต่ถอนใจแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ กระทั่งมือใหญ่แตะลงที่ข้อศอกชวนให้เขาเดินเข้าสนามไปด้วยกัน
“ได้ยินว่าเมื่อวานมีเรื่องตื่นเต้น”
กัปตันคงหมายถึงตอนที่พวกสาวๆ รุมคาดคั้นเขาเรื่องคริส เสียงกรีดร้องของพวกเธอไม่เบาเลย
คงจะรบกวนคนอื่นๆ เข้า อี้ชิงยิ้มเจื่อนพลางผงกศีรษะเล็กน้อย
“ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายฮะ”
“ขอโทษทำไม ความผิดเราที่ไหนกัน ต้องโทษพ่อคนดังเค้าโน่น
แฟนคลับก็ออกจะเยอะแยะ ยังจะกล้าประกาศออกไปแบบนั้น ไม่คิดบ้างเลยว่าแฟนตัวจริงจะลำบากใจแค่ไหนที่ถูกพวกสาวๆ
ตามอิจฉา เนอะ?” อี้ชิงพยักหน้ารัวๆ อย่างเห็นด้วย รู้สึกซาบซึ้งในความเห็นใจของกัปตันผู้โอบอ้อมอย่างที่สุด
คนจิตใจหยาบกระด้างอย่างคริสคงไม่มีวันเข้าใจหรอก ดีแต่หาเรื่องแกล้งเขาให้เดือดร้อนก็เท่านั้น
“ว่าแต่ วันแข่งจะมาเชียร์ด้วยมั้ย?”
“แฟนลงแข่งทั้งคนก็ต้องมาเชียร์อยู่แล้ว
จริงมั้ย?” แค่ขยับริมฝีปากยังไม่ทันได้ตอบด้วยซ้ำ เสียงที่สามก็แทรกขึ้นพร้อมท่อนแขนที่โอบรอบไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ
คนที่อยู่ในความคิดเมื่อครู่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยื่นหน้ามาส่งยิ้มอารมณ์ดีให้
แต่อี้ชิงตีหน้างอกลับ เหล่ตามองมือบนไหล่แล้วสะบัดตัวน้อยๆ หมายให้หลุด ทว่ามือใหญ่กลับยิ่งกระชับกุมจนแน่น
“งั้นจะจองที่นั่งพิเศษไว้ให้
ที่พักนักกีฬาเลยดีมั้ย ติดขอบสนามดี”
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยฮะ”
“แบบนั้นก็ดีนะ มีกำลังใจอยู่ใกล้ๆ
ฉันจะได้มีแรงวิ่ง” ฟังพูดเข้าเถอะ! ตวัดตามองก็แล้วยังไม่รู้สึกรู้สา
ทำยิ้มตีเนียนเหมือนไม่รู้ตัวว่าเพิ่งจะพูดคำโกหกออกไปอย่างนั้น คนอะไรหน้าด้านชะมัด! มือนี่ก็เหนียวจริง สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุดเลย
“พวกนายอย่าสวีทกันนักสิ
คนโสดอย่างฉันเริ่มจะอิจฉาแล้วนะ จิตใจยิ่งไม่แข็งแรงอยู่ด้วย” กัปตันแสร้งทำสีหน้าละห้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อคริสเอื้อมแขนไปตีไหล่พลางหัวเราะประสานเสียงไปด้วยกัน
คนตรงกลางก็อยากจะฉีกยิ้มให้เป็นเรื่องขำ แต่คงไม่สมจริงพอคริสถึงได้แกล้งดึงแก้มเขาเสียจนโย้
คนมองคงเห็นเป็นเรื่องหยอกเอินกันถึงได้ยิ้มเอ็นดู หารู้ไม่ว่าอี้ชิงแอบส่งเสียงขู่ครื่อๆ
ในคอ สิบนิ้วนี่ขยับไปมา อยากจะข่วนหน้าคนดังให้ขี้เหร่จะแย่แล้ว!
ระหว่างที่คนตัวสูงทั้งสองหายเข้าไปในห้องล็อคเกอร์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
อี้ชิงก็ยึดที่นั่งริมสุดของม้านั่งยาวในที่พักนักกีฬาข้างสนามเพื่อปักหลัก ตอนที่เขาก้มๆ
เงยๆ จิ้มมือถือเพื่อส่งข้อความให้ลู่หานมารับหลังเลิกซ้อมฟุตบอล สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมก็เริ่มทยอยกันเข้ามา
เกือบทุกคนยิ้มให้และเอ่ยทักทายเขาทั้งที่แทบไม่เคยจะพูดคุยกันด้วยซ้ำ ถึงจะคุ้นหน้าบ้างเพราะตลอดเกือบสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเองก็มาที่นี่แทบทุกวัน
แต่ที่บรรยากาศเปลี่ยนไปจนทุกคนทำเหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมไปแล้ว คงเป็นเพราะข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อวานแน่ๆ
กลุ่มแฟนคลับรอบนอกสนามก็เริ่มหนาตาขึ้นแล้ว
ไม่ต้องบอกว่าหัวข้อสนทนาในตอนนี้คืออะไร ก็ขนาดว่าเขาที่นั่งอยู่ตั้งไกลยังแทบจะได้ยินเสียงซุบซิบของพวกเธอเลย
อี้ชิงถอนใจเบาๆ แค่ข้ามคืนก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่ชอบเวลาที่ถูกสายตาพวกนั้นมองมาเลยจริงๆ
รู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้
การซ้อมเริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน
อี้ชิงได้ยินเสียงใครซักคนเป่าปากแซวตอนที่คริสซึ่งอยู่ในชุดซ้อมแล้วเดินเฉียดเขามาที่กระเป๋าเพื่อเก็บโทรศัพท์มือถือ
คนตัวสูงเพียงปรายตามามองโดยไม่พูดอะไร และเพียงแค่ก้าวลงสนามเท่านั้น หูอี้ชิงก็แทบดับเพราะเสียงกรีดร้องของแฟนคลับที่ดังขึ้น
เหนียวแน่นกันดีจริงๆ
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าจงแดเห็นว่ามีเขาเป็นแฟนหลอกๆ
แล้วพ่อคนดังก็ยังเรทติ้งไม่ตก อาจจะถอดใจยอมยกเลิกแผนนี้ก็ได้
ซ้อมกันไปได้ซักพักพอให้เครื่องเริ่มร้อน
กัปตันก็แบ่งสมาชิกออกเป็นสองทีมเพื่อให้แข่งกันทำแต้ม แน่นอนว่าเขากับคริสต้องอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกัน
การแข่งขันกันเองทำให้เกมเริ่มดุเดือด อี้ชิงเองก็รู้สึกตื่นเต้นจนต้องหยิบกล้องขึ้นมารัวชัตเตอร์เก็บภาพไว้
จงแดควรจะลงข่าวการซ้อมอย่างจริงจังของทีมบาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัยบ้าง ไม่ใช่เล่นข่าวพ่อคนดังแบบโซโล่อยู่คนเดียว
นั่นไง แค่นึกถึงก็โทรมาละ ตายยากจริงๆ อย่างที่ลู่หานว่าเลย
“ว่าไงจงแด?”
[เลิกเรียนยัง?]
“นานแล้วเหอะ”
[แล้วตอนนี้อยู่ไหน?]
“ถามทำไม?”
[ก็มีคนบอกว่าเห็นนายไปนั่งเฝ้าแฟนที่สนามบาสฯ]
“ไม่ได้เฝ้า ฉันแค่...”
อี้ชิงจิ๊ปาก ชำเลืองตามองไปยังกลุ่มแฟนคลับที่อยู่รอบนอก
แม้แต่ที่นี่ก็ยังมีหูตาของจงแดอยู่ด้วยหรือไงนะ “นายก็รู้อยู่แล้วจะถามทำไมเนี่ย”
[ฮ่าๆๆ เมคชัวร์ไง
อยู่ที่นั่นก็ดีแล้ว จะได้ทำสกู๊ปคำถามของวันนี้ไปเลย]
“สกู๊ป? ยังต้องทำอีกเหรอ?”
[ทำสิ
ถึงนายกับรุ่นพี่จะเป็นแฟนกันแล้วก็ยังต้องทำอยู่นะ
พอดีเมื่อวานมีข่าวใหญ่ให้ลงฉันก็เลยข้ามไปก่อน แต่ยังไงวันนี้ก็ต้องทำนะ
มีคนส่งคำถามเข้ามาเยอะเลยด้วย]
อี้ชิงถอนหายใจเซ็งๆ
จงแดก็คงได้ยินถึงได้ส่งเสียงหัวเราะมาตามสาย
“แล้วคำถามของวันนี้คืออะไร?”
.
.
.
“...ว่าไงนะ?!”
เผลอโพล่งเสียงดังแล้วลุกขึ้น และนั่นก็ทำให้ทุกคนในสนามหยุดวิ่งแล้วหันมามอง
อี้ชิงดึงโทรศัพท์ออกจากหูแล้วยิ้มแหะ ผงกศีรษะพร้อมคำขอโทษ
เขาบอกลาจงแดก่อนจะกดตัดสายแล้วนั่งลงที่เดิมอย่างเงียบๆ
เสียงพื้นรองเท้าลั่นเอี๊ยดอ๊าดแสดงว่าในสนามเริ่มซ้อมกันต่อแล้ว แต่อี้ชิงยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับมือถือเพราะมัวแต่ส่งข้อความไปเล่าความหงุดหงิดใจให้เพื่อนสนิทฟัง
ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนยกมือขอโทษขอโพยเพื่อนๆ ในสนามแล้วเดินออกจากเกม
ก้าวตรงมาก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเขา อี้ชิงไม่รู้เลยกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
“เรียกร้องความสนใจหรือไง?”
คริสยืนท้าวสะเอวอยู่ตรงหน้าตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง
อกกว้างนั้นยังยุบๆ พองๆ ด้วยแรงหอบหายใจอยู่เลย เรียวคิ้วได้รูปบนใบหน้าชื้นเหงื่อนั้นเลิกขึ้นน้อยๆ
นี่รำคาญจนถึงกับต้องเดินมาตำหนิกันเลยหรือไง
“เปล่าซักหน่อย”
“แล้วเสียงดังทำไม?” ทำเสียงดุอีกด้วย
รู้หรอกน่าว่าทำให้เสียสมาธิ นี่ก็กำลังสำนึกผิดอยู่นะ
“ก็จงแดน่ะสิ
โทรมาบอกคำถามของวันนี้”
“อ้อ แล้วคำถามว่าไง?”
“ช่างเถอะ ฉันว่าจะไม่...”
“คำถาม ว่ายังไง?” เสียงทุ้มย้ำอีกครั้งอย่างช้าๆ
และชัดๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าอี้ชิงจะเลี่ยงคำตอบไม่ได้ เขาถอนใจเนือยๆ ก่อนบอก
“ชอบฉันตรงไหน”
“ไงนะ?”
“ก็...” มองสบดวงตาคมที่หรี่ลงภายใต้เรียวคิ้วที่เลิกขึ้นนั่นเพียงแว่บเดียวแล้วอี้ชิงก็เลี่ยงหลบ
“ก็บรรดาแฟนคลับนายเค้าอยากรู้ว่านายชอบฉันตรงไหน คือ ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่เวิร์ค
ใครจะเชื่อว่าคนดังอย่างนายจะชอบ... เอ่อ จะคบกับคนธรรมดาอย่างฉัน
เป็นใครก็ต้องคิดว่าเรื่องโกหกทั้งนั้นแหละ”
พูดรัวเร็วเสียจนลิ้นแทบจะพันกัน แต่คริสกลับยืนฟังนิ่งๆ
โดยไม่พูดอะไรเลย อี้ชิงเงยหน้าขึ้นจ้องตอบดวงตาคมดุพลางกลืนริมฝีปาก ทำไมถึงต้องมานั่งลุ้นกับคำตอบแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้
โทรกลับไปบอกให้จงแดนั่งเทียนเขียนไปเองเลยดีกว่า
“หยิบผ้าขนหนูให้หน่อยสิ”
“ห.. ห๊ะ?” แต่จู่ๆ คริสก็พูดขึ้น เพยิดหน้ามาทางซ้ายมือของเขา
อี้ชิงหันไปมองตามแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่งที่พับอยู่ในตะกร้าขึ้นมาให้
แต่คริสยังไม่พอแค่นั้น
“ขอน้ำด้วย” เขาหันซ้ายหันขวาแล้วก็เห็นคูลเลอร์น้ำใบใหญ่ตั้งอยู่ที่ริมสุดอีกข้างของม้านั่ง
กำลังจะลุกไปจัดการให้ คริสก็พูดต่อ “ฉันหมายถึงขวดน้ำของนาย”
“ห๊ะ? ของฉัน?”
คริสพยักหน้าแล้วยื่นมือออกมารอ
อี้ชิงจิ๊กจั๊กแต่ก็ยอมเปิดประเป๋าหยิบน้ำขวดเล็กที่พกติดตัวตลอดออกมาให้ “ทำไมชอบแย่งน้ำฉันกินอยู่เรื่อย
ของนายก็มีเยอะแยะ”
“ก็ฉันเลือกได้นี่
แล้วฉันก็เลือกนาย”
ตอนที่หันกลับมาพร้อมกับขวดน้ำในมือ
ร่างสูงใหญ่ก็โน้มกายลงมารออยู่ก่อนแล้ว คริสท้าวสองมือลงบนพื้นม้านั่ง และนั่นก็ทำให้สองร่างอยู่ใกล้กันเพียงขวดน้ำกั้น
ใบหน้าชื้นเหงื่อนั้นยื่นมาใกล้เสียจนอี้ชิงต้องย่นคอหนี
เสียงทุ้มกระซิบบอกด้วยรอยยิ้มร้าย
“ของที่อยากได้
ถึงจะมีให้เลือกเยอะแค่ไหน แต่จะมีแค่ชิ้นเดียวที่ถูกใจมากที่สุด แค่เห็นก็รู้
และฉันก็เลือกแล้ว ทีนี้ ได้คำตอบหรือยัง?”
ตาคู่ใสกระพริบปริบยามที่เหม่อมองดวงหน้าหล่อร้าย
อยู่ใกล้กันแค่นี้ ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดยังพลอยทำให้ใบหน้าเขาร้อนผ่าวไปด้วย อี้ชิงสั่นหน้าช้าๆ
“แล้วมัน... เกี่ยวอะไรกับคำถามในสกู๊ปล่ะ?”
ตาคู่คมหรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้มที่เลือนหาย
คริสแย่งขวดนั้นจากมือเขาแล้วยืดตัวขึ้นช้าๆ สูดลมหายใจเข้าจนตัวพอง
อี้ชิงยังมองตามตอนที่คนตัวสูงเปิดฝาขวดน้ำแล้วยกมันขึ้นดื่มเพียงสองอึก ใช้หลังมือปาดริมฝีปากอย่างลวกๆ
ก่อนจะยัดทั้งขวดน้ำและผ้าขนหนูคืนใส่มือให้เขา
“ถ้าไม่รู้ก็ตอบไปว่าเพราะนายมันซื่อบื้อแล้วกัน”
“ว.. ว่าไงนะ?!”
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่คริสพูดถึงแต่เรื่องขวดน้ำ เขาก็แค่บ่นนิดเดียวเอง
ไม่เห็นต้องอธิบายเสียยืดยาวเลย
อยู่ดีๆ มาว่ากันทำไมเนี่ย?!
ได้แต่บู้ปากตอนที่คนตัวสูงหันหลังกลับเข้าไปในสนาม มองแผ่นหลังกว้างแล้วก็ก้มลงมองขวดน้ำในมือด้วยความเจ็บใจ ให้กินแล้วยังมาว่ากันอีก ทีหลังไม่ต้องมาขอเลยนะ!
.
.
.
ทู บี คอนตินิว...
คนรอง: เป็นแฟนกันแล้วก็ยังไม่รอด
ความหล่อไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ ^^”
คราวนี้ลงแบบรวดเดียวเต็มๆ
ตอนกันไปเลย เห็นว่าห่างไปเดือนนึงพอดีแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมาเรื่อยๆ นะคะ
เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^
ความคิดเห็น